ผอ.ไอเอ็มเอฟ
เตือนโลกรับมือเศรษฐกิจถดถอย ชี้เงินเฟ้อสูง-เพิ่มดอกเบี้ย
“ผอ.ไอเอ็มเอฟ”
เตือนประชาคมโลกเตรียมรับมือปัญหาเศรษฐกิจ หลังประมาณการเชื่อว่าประเทศต่างๆ
ทั่วโลกราว 1 ใน 3 จะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย สาเหตุใหญ่จากสงครามในยูเครน
อัตราเงินเฟ้อ การเพิ่มดอกเบี้ยธนาคารกลางประเทศต่างๆ
และการยกเลิกมาตรการป้องกันไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาลจีน
ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก กระทบภาคอุตสาหกรรม
ทำให้การผลิตของจีนหดตัวเร็วที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี ด้าน “มูดดี’ส”
สำทับยุโรปไม่รอดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่วนอเมริการ่อแร่
ไอเอ็มเอฟออกมาเตือนเศรษฐกิจถดถอย
เปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 2 ม.ค. คริสตาลีนา จอร์เจียวา
ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกแถลงการณ์เตือนประชาคมโลกให้เตรียมรับมือกับปัญหาทางเศรษฐกิจ
หลังจากการประมาณการเชื่อว่าประเทศต่างๆทั่วโลกราว 1 ใน 3 จะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
(Recession)
ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟกล่าวว่า
สงครามในยูเครน อัตราเงินเฟ้อ และการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางประเทศต่างๆเพื่อพยายามควบคุมค่า
ครองชีพไม่ให้สูงไปกว่านี้ ทำให้เศรษฐกิจในปี 2566 มีแนวโน้มจะชะลอตัว
แต่การยกเลิกมาตรการป้องกันไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาลจีน
ส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างในจีน กระทบภาคธุรกิจอุตสาหกรรมต่าง ๆ
อัตราการผลิตของจีนหดตัวอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี
ในช่วง
2-3 เดือนจากนี้ จีนจะเผชิญกับความยากลำบาก บั่นทอนอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ
และเมื่อเศรษฐกิจจีนซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกได้รับผลกระทบ
ย่อมส่งผลกระทบไปยังการเติบโตของเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคและระดับโลกปี 2566 ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่า จะเป็นปีที่ยากลำบากยิ่งกว่าปี 2565 แน่นอนว่าบางประเทศอาจรอดพ้นจากภาวะนี้
แต่ประชาชนหลายร้อยล้านคนอาจรู้สึกถึงผลกระทบในการใช้ชีวิต
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานด้วยว่า
ภาวะถดถอย หรือรีเซสชัน เป็นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มชะลอการขยายตัว
เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง ทิศทางการลงทุนมีแนวโน้มขาลง
เป็นช่วงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) การจ้างงานและความต้องการสินค้าโดยรวมลดลง
คนว่างงานเพิ่มมากขึ้น ธุรกิจเริ่มขาดแคลนเงินทุนหมุนเวียน
ด้านนางคาทรินา
เอล นักเศรษฐกิจประจำหน่วยวิเคราะห์เศรษฐกิจของบริษัทจัดอันดับมูดดี’ส กล่าวว่า
นอกจากจีนแล้ว เศรษฐกิจยุโรปย่อมหนีไม่พ้นภาวะถดถอย
ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯอยู่ในสภาพจวนเจียนจะถดถอย
เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯมีปัญหาเมื่อไหร่ อุปทานหรือความต้องการสินค้าและบริการจะลดลง
นั่นหมายถึงความต้องการสินค้าและบริการจากจีนและประเทศอื่นๆในเอเชียอย่างไทยและเวียดนามจะลดลง
ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยการกู้ยืมที่สูงอยู่แล้ว
ย่อมทำให้ภาคธุรกิจหลีกเลี่ยงการลงทุน หรือขยายกิจการ
หรือนักลงทุนดึงเงินออกจากระบบเศรษฐกิจ
และการที่นักลงทุนดึงเงินออกจะส่งผลให้บางประเทศโดยเฉพาะประเทศยากจน
ขาดเงินชำระค่าสินค้านำเข้าที่จำเป็นอย่างอาหารและพลังงาน
ขณะที่นายบิล
เบลน นักยุทธศาสตร์ประจำสถาบันการลงทุนและการเงินชาร์ดแคปิทอลของอังกฤษ
มองว่าคำเตือนของไอเอ็มเอฟเป็นการเตือนสติได้ถูกเวลา
เพราะถึงแม้ตลาดแรงงานทั่วโลกยังคง มีความเข้มแข็งอยู่บ้าง มีการสร้างงาน
การจ้างงานอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นการจ้างที่ให้เงินตอบแทนสูง
และย่อมนำมาซึ่งภาวะเศรษฐกิจถดถอยในที่สุด ขณะที่ธนาคารกลางต่าง ๆ จะไม่ลดอัตราดอกเบี้ยในเร็ว
ๆ นี้ ปัจจัยเหล่านี้จะเกิดผลกระทบที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และทำให้ตลาดอยู่ในสภาพวิตกกังวลตลอดเวลาอย่างน้อย 6 เดือนแรกของปี 2566
ที่มา
: ไทยรัฐออนไลน์
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์