วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2566

“หมอสายพิณ” โพสต์กรณี “ตะวัน-แบม” ตื่นได้แล้วค่ะ เราไม่รู้สึกอะไรกันจริงหรือ กับการที่เด็กเยาวชนกำลังนับถอยหลังกับเวลาชีวิตที่ใกล้จะหมดลง เพื่อเรียกร้องสิทธิในการใช้ชีวิต เรียกร้องระบบสังคมของพวกเราทุกคนให้ดีกว่าเดิม

 


“หมอสายพิณ” โพสต์กรณี “ตะวัน-แบม” ตื่นได้แล้วค่ะ เราไม่รู้สึกอะไรกันจริงหรือ กับการที่เด็กเยาวชนกำลังนับถอยหลังกับเวลาชีวิตที่ใกล้จะหมดลง เพื่อเรียกร้องสิทธิในการใช้ชีวิต เรียกร้องระบบสังคมของพวกเราทุกคนให้ดีกว่าเดิม


เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2565 ผศ.พญ.สายพิณ  หัตถีรัตน์ หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็น กรณี #ตะวันแบม อย่างน่าสนใจ ซึ่ง “ยูดีดีนิวส์” เห็นว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ โดยมีข้อความดังต่อไปนี้


ในฐานะประชาชนผู้ใหญ่ คิดอย่างไรกับ กรณีตะวันและแบม


เราไม่ได้ติดตามข่าวอย่างละเอียด รับทราบสั้น ๆ เพียง “เด็ก ๆ นักกิจกรรมอดอาหารและน้ำประท้วง” ... แล้วเราเพิกเฉย ฟังผ่าน ๆ เพราะเหมือนมีกรณีแบบนี้เกิดมาแล้ว และเด็ก ๆ ก็ไม่ตาย...อย่างนั้นหรือ.


เด็กเหล่านี้ แม้จะบรรลุนิติภาวะมาแล้ว 1-2 ปี แต่เขายังเป็นเยาวชน เขาอาจจะมีความรู้ ความคิดมากและกว้างกว่าเรา เพราะความสมัยใหม่ของโลก แต่เขาก็ผ่านประสบการณ์ชีวิตบนโลกใบนี้มาน้อยกว่าเรา ผ่านโอกาสในการต่อสู้ต่อปัญหาสังคมใหญ่ ๆ มาน้อยกว่าเรา


คำว่าเด็กนักกิจกรรม มันเลยทำให้เราพลาดที่จะใส่ใจดูแลพวกเขา เพราะคิดเพียงเป็นการจัดอีเว้นท์เรียกความสนใจจากสังคมหรือไม่


แต่นี่เด็ก ๆ เยาวชนเหล่านี้อดจริง ไม่ใช่การจัดกิจกรรมเพียง 1-2 วัน และมาตรการประท้วงรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นอดทั้งข้าวและน้ำ และยา ที่เป็นการช่วยเหลือทางการแพทย์


ในเมื่อเขาตัดสินใจเอง เขารู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขายังยืนยันจะทำ งั้นเราก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเขา.. ด้วยการปล่อยให้เด็กเยาวชน คนที่ด้อยโอกาสการใช้ชีวิตมาได้เท่าเรา กระทำการอันเป็นอันตรายต่อชีวิตตนเองอย่างนั้นเหรอ ...การเคารพ Autonomy การเคารพในการตัดสินใจของเพื่อนมนุษย์ มันต้องเริ่มต้นจาก “การฟังกัน” ให้เข้าใจก่อนหรือไม่ ฟังว่าเพื่อนมนุษย์คนนั้นเป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้นกับเขามาบ้าง เขาจึงตัดสินใจแบบนี้ เราควรหรือที่จะอนุญาตให้เขาไปตาย เพียงเพราะเขาตัดสินใจจะไปตาย เพราะถ้าเช่นนั้น เราก็จะไม่ได้ช่วยคนไข้จิตเวชหรือคนไข้โรคซึมเศร้าคนอื่นๆด้วยเหตุผลเดียวกัน เพียงเพราะเขาตัดสินใจเช่นนั้น


น้อง ๆ เขาตัดสินใจในขณะที่สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เขารู้ผลของการกระทำว่าจะทำให้เขาตายได้ รู้แล้วใช่มั้ย งั้นหมอก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเฝ้าดูความตายที่จะมาอยู่รอมร่อ ... อย่างนั้นหรือ.


ทางคณะแพทย์ได้มีการรับมืออย่างไรกับกรณีคนไข้ลักษณะนี้ เด็กเยาวชน เด็ก ๆนักศึกษาอดอาหารและน้ำประท้วงเกินกว่า 10 วัน ไม่ได้มีการแถลงข่าวให้สังคมรับทราบว่าเด็กๆได้รับการดูแลอย่างไร นอกจากฟังข่าวที่ทนายออกมาบอก ที่ฟังมาจากพยาบาลและเด็กอีกที ทำไมจึงไม่มีการแถลงจากคณะแพทย์ว่าได้มีกระบวนการดูแลจากทีมแพทย์หลากหลายสาขาอย่างไรบ้าง เพราะสมควรได้รับการดูแลแบบเข้มข้น โดยเริ่มตั้งแต่การเข้าไปรับฟังความกดดัน สิ่งที่เกิดขึ้น และเยียวยาน้อง ๆ เด็กเยาวชนที่ตัดสินใจแบบนี้


การอดข้าวอดน้ำอดยาประท้วง คนที่เขาตัดสินใจแบบนี้ เขาไม่ได้ต้องการตาย เขาประท้วง เขาติดอยู่ในกับดักทางสังคมบางอย่างที่ไม่มีทางออก เขาต้องการความช่วยเหลือจากสังคม เขาจึงประท้วง และเพราะเขาไม่มีเครื่องมืออื่น เขาจึงใช้ร่างกายเขาเป็นตัวประกัน เป็นอาวุธ เป็นระเบิดพลีชีพ คนที่ถูกกระทำจนกระทั่งจนตรอกโดยอำนาจที่ใหญ่โตมโหฬาร เขาไม่รู้จะสู้กับปัญหายักษ์ตัวใหญ่ขนาดนั้นด้วยอะไร เขาจึงใช้อาวุธที่มี... คือ ชีวิต.


และนั่นคือ ชีวิตของเด็กเยาวชน .. ตกลงเรากำลังดูลูกหลานเราประท้วงต่อปัญหาของสังคม ปัญหาของเรา เขาสู้เพื่อพวกเรา เขาไม่ได้สู้เพื่อตัวเขาเอง เขาประท้วงปัญหาของกระบวนการยุติธรรมที่บิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปอย่างน่าตกใจ การจับเด็กเยาวชนขังคุกทั้งที่ยังไม่มีการตัดสินความผิด ยังไม่ได้เป็นนักโทษ และการกระทำที่ระบบสังคมไล่ล่าและทำกับเด็กเยาวชนที่ลุกขึ้นมาตั้งคำถามแบบตรงไปตรงมา อย่างชนิดที่คนรุ่นเราไม่กล้าทำ ... ตั้งต้นจากการทำโพลกระดาษถามความเดือดร้อนจากขบวนเสด็จ.. แค่นั้นเหรอ..


การที่น้อง ๆ ได้ประกันแล้วถอนประกันตัวเอง กลับเข้าคุกใหม่ พร้อมตัดสินใจอดอาหารและน้ำในเรือนจำ ..นี่มันเป็นเหตุการณ์ประหลาด เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา เสมือนเขาผูกระเบิดพลีชีพเดินเข้าเรือนจำ และเราก็อนุญาตให้เขาทำแบบนั้น และเฝ้ารอเวลาให้ระเบิดพลีชีพทำงาน ผู้ใหญ่ (กว่า) ทั้งในและนอกคุก ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอกับกรณีนี้ มีระเบิดเข้ามาในบ้านเรา เรารู้ และเรารอให้มันทำงาน เฉย ๆ ...


เมื่อน้องอดอาหารและน้ำจนเจ็บป่วย หามส่งโรงพยาบาล น้องขอไปโรงพยาบาลที่เขามั่นใจในความปลอดภัยมากกว่า ซึ่งก็เหมือนคนไข้รายอื่น ๆ ที่เลือกจะไปรักษากับโรงพยาบาลที่ตนมั่นใจมากกว่า นั่นแปลว่าเขายังไม่ต้องการตาย เขายังต้องการความช่วยเหลือ เขาจึงขอไปโรงพยาบาล และนั่นแสดงว่าเขาคือคนไข้


ปกติเราทำอะไรกับคนไข้ที่เป็นนักโทษที่มานอนรักษาตัวในโรงพยาบาล เราจะดูแลเขาเหมือน “คนไข้” ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารหรือราชฑัณฑ์ใด ๆ รออยู่ภายนอก อนุญาตให้เฝ้าอยู่ห่าง ๆ ได้ แต่ไม่ให้มายุ่มย่ามหรือมาควบคุมกำกับ หรืออยู่เหนือการตัดสินใจใด ๆ ของหมอพยาบาล ไม่แม้กระทั่งตีตรวนโซ่ล่าม ญาติเยี่ยมได้ เมื่อนักโทษเข้ามาแอดมิทในโรงพยาบาล จึงมักจะได้รับสิทธิให้กลับมาเป็น “คน” อีกครั้งในฐานะ “คนไข้” ความเป็น “นักโทษ” จะเริ่มอีกครั้งเมื่อการรักษาเสร็จสิ้นจนอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ ...และนั่นคือระดับ “นักโทษ” ที่ได้รับการตัดสินว่าผิดแล้ว


ไม่รู้ว่ากรณีตะวันกับแบมได้รับสิทธิของการเป็นคนไข้ในโรงพยาบาลมากน้อยแค่ไหน สิทธิที่หมอเป็นผู้ตัดสินใจมากกว่ากรมราชทัณฑ์ สิทธิที่เป็นเด็กและเยาวชนที่จะได้รับการเยี่ยมไข้ตามปกติ สิทธิของคนไข้ที่จะต้องได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ด้วยกระบวนการทางการแพทย์ การให้คำปรึกษาเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจ.....สังคมไม่ได้ยินแถลงข่าวใด ๆ ของคณะแพทย์ ทั้งที่เป็นกรณีคนไข้ที่เป็นที่สนใจของสังคม ซึ่งดูแตกต่างจากเวลามีกรณีดารานักร้องหรือคนใหญ่คนโตอื่น ๆ ที่มาแอดมิท


การไม่ทราบข้อมูลที่ตรงไปตรงมา เป็นจริง และแสดงถึงการใส่ใจดูแลอย่างเป็นมนุษย์ เข้าใจจิตใจของสังคมที่รอรับฟังข่าวที่กระเส็นกระสาย รู้สึกกระวนกระวายไปกับข่าวสารที่ไม่มากเพียงพอ รู้แค่ว่านับเวลาถอยหลังของการมีลมหายใจสุดท้ายของน้อง ๆ เด็กเยาวชนเหล่านี้ และไม่รู้ว่าเรารออะไรอยู่ เรารอดูพวกเขาตายต่อหน้าอย่างนั้นหรือ


กระบวนการยุติธรรมที่เป็นคนเกี่ยวข้องมากที่สุด ที่เป็นคนที่ทำให้น้อง ๆ เหล่านี้ลุกขึ้นมาเรียกร้องให้ปฏิบัติกับเขาอย่างยุติธรรมขึ้น ..ควรจะออกมารับฟังข้อเรียกร้อง และตอบรับกับสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่เขาควรได้รับหรือไม่ อะไรที่ทำได้ควรกล้าหาญพอที่จะออกมาบอกว่าทำได้ อะไรที่ทำไม่ได้ควรรับข้อเรียกร้องไปพิจารณา ..นั่นจึงจะเป็นการกระทำของผู้ใหญ่ ที่รับฟัง ได้ยิน และหาทางอยู่ร่วมกันในสังคมได้


กระบวนการทางการแพทย์และพยาบาล ควรตอบสนองต่อกรณีศึกษานี้เพียงแค่นี้หรือไม่ ในเมื่อสังคมกำลังเฝ้ารออยู่นอกโรงพยาบาลว่าเยาวชนสองคนนี้ได้รับสิทธิในการเยียวยารักษาอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง ทุกทีมที่เกี่ยวข้องได้รับการเรียกระดมให้เข้ามาร่วมดูแลแล้วหรือยัง คงไม่ใช่เพียงการวัดสัญญาณชีพและเจาะเลือดทุกหกชั่วโมง คำตอบคงไม่ใช่เพียงหลักการของ การเคารพการตัดสินใจของคนไข้ (Autonomy) .... โดยไม่ได้ดู ประโยชน์สูงสุดที่คนไข้ควรได้รับ (Beneficence) และการกระทำนั้นไม่เป็นโทษเป็นอันตรายต่อคนไข้มากกว่าเป็นประโยชน์ (Nonmalificence) ทั้งยังต้องพยายามสื่อสารถึงสังคมอย่างเข้าอกเข้าใจอย่างต่อเนื่อง เพื่อทุเลาความเจ็บปวดของสังคมที่เฝ้ารอโดยไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย


ทุกคนในสังคม ควรมีสติได้แล้วกับเสียงเพรียกจากเด็กเยาวชนเหล่านี้ นี่ไม่ใช่เพียงกิจกรรม นี่คือชีวิตจริง ๆ เขาประท้วงด้วยชีวิตเขา ชีวิตเด็ก ๆ ของพวกเรา พวกเราต่างหากที่ไม่กล้าหาญพอที่จะลุกขึ้นมาตั้งคำถามกับระบบยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรม จนทำให้น้อง ๆ เขาต้องออกมาทำเองด้วยวิธีการของเขา เราต่างหากที่เพิกเฉยปล่อยให้สังคมมันบิดเบี้ยวผิดรูปไปหนักข้อขึ้นทุกวันในทุกวงการ และนั่นคือผลกระทบไปที่เด็กและเยาวชนเหล่านี้ เราต่างหากที่ละทิ้งเด็กๆเยาวชนของเรา วันนี้เราต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงรับผิดชอบต่อสิ่งที่เด็ก ๆ เรียกร้อง ฟังให้เข้าใจ เพราะมันคือเรื่องของเรา


ตื่นได้แล้วค่ะ เราไม่รู้สึกรู้สาอะไรกันจริง ๆ หรือ กับการที่เด็กเยาวชนกำลังนั่งนับถอยหลังกับเวลาชีวิตที่ใกล้จะหมดลงในไม่กี่วันนี้ เพื่อเรียกร้องสิทธิในการใช้ชีวิต เรียกร้องระบบสังคมของพวกเราทุกคนให้ดีกว่าเดิม ....


เรากำลังดูพวกเขาตายโดยไม่รู้สึกรู้สา ไม่ละอายอะไรเลยอย่างนั้นหรือ เพราะนั่นคือสัญญาณลมหายใจสุดท้ายของเราเช่นกัน สังคมที่กำลังล่มสลาย เพราะไม่ใส่ใจดูแล ไม่ฟังกันให้เข้าใจ เขาตาย เราก็ตายด้วย ไม่รู้สึกหรือ.


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ตะวันแบม