แลไปข้างหน้ากับ
ธิดา ถาวรเศรษฐ EP.107
ประเด็น
: ไม่ควรแลกชีวิตเยาวชนที่สดใสกับพวกบ้าคลั่งที่ไร้อนาคต
สวัสดีค่ะ
ดิฉันคิดว่าวันนี้เราก็จะเป็นการไลฟ์สดทันที เพราะว่าสถานการณ์ค่อนข้างฉุกเฉิน เดิมดิฉันคิดว่าในปีใหม่นี้เราจะมีการพูดถึงขบวนการประชาชนเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ยุทธวิธีในการต่อสู้ในปี
2566 แต่เนื่องจากมันมีกรณีที่มีเยาวชนทั้งสองท่าน คุณตะวันและคุณแบม
ทั้งสองคนได้กระทำสิ่งที่ดิฉันต้องถือว่ากล้าหาญมาก
คือเยาวชนทั้งสองคนอาจจะรู้อยู่แล้วว่าการถูกเรียกมาเพื่อไต่สวนเรื่องถอนประกัน
โอกาสที่จะถูกถอนประกันเหมือนกับที่ผ่านมา จะเป็นเก็ทกับใบปอ
ก็อาจจะเป็นไปได้สูงมาก ดังนั้นเมื่อเขามีความคิดอย่างนี้ ด้วยความกล้าหาญของเขา
ก็คิดว่าอย่ากระนั้นเลย ก็ใช้วิธีถอนประกัน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีคนเลิกคิดที่จะต่อสู้ในการไต่สวน
เพราะว่าอย่างไรก็ตามก็จะรอให้ศาลพิจารณาอีกที
แต่ใช้วิธีถอนประกันตัวเองดิฉันถือว่าเป็นครั้งแรก
ในส่วนจิตใจที่กล้าหาญอันนี้เราก็ขอคารวะ
แล้วดิฉันก็นึกไปจนถึงเมื่อเหตุการณ์ 14ตุลา16
อันเป็นจุดเปลี่ยนของดิฉันจากอาจารย์ธรรมดา จนกระทั่งมาสู่ขบวนการต่อสู้ของประชาชน
เข้าสู่ 6ตุลา19 จนกระทั่งเข้าเขตป่าเขาหลังเกิดเหตุการณ์ 6ตุลา19 อันน่าสลดใจ
ในเหตุการณ์
14ตุลา16 มีคำพูดของเยาวชนที่ดิฉันห้ามไม่ให้วิ่งออกไปเผชิญหน้ากับทหาร
ก็พูดในลักษณ์นี้ว่า “ถ้าไม่มีการเสียสละก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง” คำพูดเหล่านี้และสิ่งที่เกิดขึ้นมันเปลี่ยนชีวิตดิฉันเลย
ดิฉันเข้าใจว่าเยาวชนทั้งสองท่านที่มีความคิดถอนประกัน
และต้องการจะประท้วงกระบวนการยุติธรรมและรวมทั้งศาล
คือกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ต้นจนปลาย โดยการที่จะอดข้าว อดน้ำ
ดิฉันคิดว่าพวกเขาเป็นเยาวชนที่สดใส มันไม่ควรจะแลก ดังที่ในชื่อประเด็นก็คือ
“ไม่ควรแลกชีวิตเยาวชนที่สดใสกับพวกบ้าคลั่งที่ไร้อนาคต”
เราสามารถแบ่งประชาชนและความคิดคน คร่าว ๆ ก็คือกลุ่มมีอนาคต มองไปข้างหน้า กับกลุ่มที่ไม่มีอนาคต แต่พยายามที่ดึงไปสู่อดีต เราไม่ได้บอกว่าใครเลวนะ เราประมาณว่าจะมีคนสองกลุ่ม
ท่านผู้ฟังหรือใครก็ตามที่อาจจะเห็นด้วย/ไม่เห็นด้วยกับดิฉัน
มีความคิดไม่เหมือนดิฉันก็ได้ ท่านถามตัวเองว่า ท่านคร่ำครวญถึงอดีต
ถึงความสุขในอดีต และอยากให้ปัจจุบันและอนาคตกลับไปสู่อดีต ใช่หรือไม่? ถ้าใช่!
ต้องถือว่าท่านมองไม่เห็นอนาคตจึงต้องกลับสู่อดีต อีกพวกหนึ่งก็คือพวกที่ก็คารวะอดีต
แต่ว่าต้องการมีอนาคตและรวมทั้งประเทศชาติมีอนาคต
เพราะฉะนั้นดิฉันคิดว่ามันแลกกันไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่งดดื่มน้ำ
มันจะมีผลต่อร่างกายอย่างมาก ดิฉันจึงคิดว่าไม่ควรแลกเยาวชนที่สดใส มีอนาคต
มีชีวิตชีวา กับกลุ่มคนที่ไม่มีอนาคตเลย ที่น่าเกลียด น่าชัง ในทัศนะดิฉันนะ
อย่าแลกกันเลย (ไม่อยากให้ประท้วงโดยอดน้ำ อดอาหาร)
เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่า
ในประสบการณ์ของดิฉันซึ่งผ่านการต่อสู้มา นับปีนี้ 50 ปี “50 ปี
แห่งการต่อสู้ของประชาชน” นับจาก 2516 มา เราไม่ได้นับจาก 2475 ด้วยซ้ำ
ซึ่งอีกไม่เท่าไหร่ก็จะเป็น 100 ปีแล้วในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ขบวนการประชาชนในการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชน
ยังไม่ใช่ขบวนปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน เช่น
ประมาณว่าอาจจะเป็นแนวคิดในการปฏิวัติแบบประเทศอื่น ๆ ประเทศสังคมนิยมต่าง ๆ
แต่เป็นขบวนการที่นำมาสู่เสรีประชาธิปไตยเท่านั้น
แม้นในระยะทางอาจจะมีการร่วมขบวนกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
แต่ว่ามันก็เป็นระยะเวลาที่ไม่นาน และบัดนี้มันก็ชัดเจนแล้วนะคะว่า
ขบวนการที่มีอนาคตนั้นต้องการอนาคตประเทศก็คือระบอบประชาธิปไตย
เป็นเสรีประชาธิปไตยเท่านั้น
ดังนั้นสิ่งที่เยาวชนเสนอมา
3 ข้อในแถลงการณ์ ดิฉันสนับสนุน บางคนอาจจะบอกว่าคุณสนับสนุนให้ยกเลิก 112 หรือ?
หรือยกเลิก 116 ดิฉันจะไล่ไปทีละข้อ ดังนั้นการพูดของดิฉันวันนี้เท่ากับเป็นการประกาศว่าดิฉันสนับสนุนนะ
ในคำแถลงของเยาวชนทั้ง 3 ข้อ แล้วดิฉันจะบอกว่าทำไมดิฉันถึงบอกว่าสนับสนุน
อย่างข้อแรก
“ต้องมีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมโดยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน
และเสรีภาพในการแสดงออก” มันผิดตรงไหน? ดิฉันถือว่ามันถูกแน่นอน
กระบวนการยุติธรรมต้องปฏิรูปตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทาง
แบบที่เน่าเฟะกันอยู่ทุกวันนี้ ตั้งแต่ตำรวจไล่ไปหมดเลย
ในขณะนี้มันเน่าเฟะหมดแล้วตามข่าวที่ปรากฏ
เพราะฉะนั้นในข้อ
1 ดิฉันก็ต้องพูดโดยย่อว่า การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม
แล้วก็ปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน
และผู้บริหารศาลต้องไม่แทรกแซงกระบวนการพิจารณาคดี คือ กระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะ
“ศาล” เมื่อ 2475 เป็นต้นมา ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยนะ
ยังสืบเนื่องมาจากระบอบเก่า “สมบูรณาญาสิทธิราชย์”
เพราะความเชื่อของคณะราษฎรยุคนั้นก็ถือว่าขณะนั้นเราอยู่ในระหว่างแก้กฎหมายให้ทันสมัย
เพื่อแก้ปัญหาสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ดังนั้นทุกคนก็ขะมักเขม้น
แต่สิ่งที่คณะราษฎรอาจจะคิดไม่ถึงว่าการปฏิรูปกองทัพหนึ่ง การปฏิรูปศาลหนึ่ง
ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลง มันนำพาทำให้ระบอบประชาธิปไตยไปไม่ถึงฝั่ง
เพราะฉะนั้นดิฉันสนับสนุนอยู่แล้ว ข้อ 1.
ในข้อ
2. “ยุติการดำเนินคดีความกับประชาชนที่ใช้สิทธิ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
การชุมนุมและการแสดงออกทางการเมือง” ดิฉันก็เห็นด้วย เขาถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ
เขาใช้สิทธิตามหลักกฎบัตรสิทธิมนุษยชน สหประชาชาติ กติการะหว่างประเทศ
คุณต้องแก้กฎหมาย แก้รัฐธรรมนูญด้วยซ้ำ ให้เป็นไปตามระบอบเสรีประชาธิปไตย
ตามกฎบัตรสหประชาชาติ ตามกฎหมายสนธิสัญญาต่าง ๆ ที่ประเทศไทยไปเซ็นรับรองไว้หมดแล้ว
ขณะนี้คุณทำผิดหมดเลย แต่คุณก็ยังบอกตัวเองว่าคุณเป็นระบอบประชาธิปไตย
ซึ่งเป็นระบอบประชาธิปไตยจอมปลอม ถ้าคุณจับเยาวชนแบบนี้
ตัวนี้แหละมันคือตัวฟ้องไปยังโลกว่าระบอบประชาธิปไตยของไทยมันจอมปลอมขนาดไหน
ถึงทำร้ายและทำลายเยาวชนในข้อหาความมั่นคงได้
ส่วนข้อ
3. เรื่อง “พรรคการเมืองทุกพรรค ต้องเสนอนโยบายเพื่อประกันสิทธิเสรีภาพและการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน
โดยการยกเลิกมาตรา 112 และมาตรา 116”
อาจจะมีคนตั้งคำถาม ดิฉันก็คิดว่าดิฉันได้เคยพูดมาหลายครั้งแล้วเรื่องมาตรา
112 กับมาตรา 116 เอามาตรา 112 ก่อนก็ได้
มาตรา
112 ดิฉันเคยพูดมาตลอดแล้ว มันเป็นมรดกของคนบ้า ของคณะรัฐประหาร 2519
ที่บ้าขนาดฆ่าเยาวชน ทำร้ายคนทั้งที่ยังเป็นและที่เป็นศพ คุณว่าเขาบ้าไหม?
แล้วก็คนบ้าพวกนี้แหละที่สนับสนุนให้ฆ่าเยาวชนในสนามในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
มาออกกฎหมายมาตรา 112 ปัจจุบัน ซึ่งต่างจากในอดีตโดยสิ้นเชิง ในอดีตแม้กระทั่งในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ไม่บ้าคลั่งขนาดนี้
นี่เป็นมรดกของพวกรัฐประหาร
2519 ที่บ้าคลั่ง ถามว่าทำไมจะแก้ไม่ได้ มันจะเป็นอะไร?
มันจะเป็นเครื่องบูชาของเทพเจ้าเหรอ? มันไม่ใช่!
มันเป็นกฎหมายที่ใช้กับประชาชน กระทั่งในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในสมัย ร.5 และ
ร.6 ในสมัย ร.ศ.118 จำคุกไม่เกินกว่า 3 ปีนะ พอมา ร.ศ.127 จำคุกไม่เกิน 7 ปี
ปรับไม่เกิน 5,000 บาท ไม่มีโทษขั้นต่ำตอนนี้ของเราตรงข้าม ก็คือ 3
ปีซึ่งเคยเป็นโทษสูงสุดกลายเป็นโทษต่ำสุด พอมาถึงปี 2519 ก็กลายเป็นว่าโทษขั้นต่ำ
3 ปี
เพราะฉะนั้น
ไม่ว่าจะแต่งตัวดูไม่เหมาะสม พูดจาไม่เหมาะสม ขั้นต่ำก็ 3 ปี
คุณโพสต์หรือคุณแชร์อะไรไม่เหมาะสม ก็กรรมละ 3 ปี 5 ครั้งก็ 15 ปี
เยาวชนนี่โดนกันเป็นแถวเลย เป็นสิบ ๆ ปี คำถามว่า
นี่มันยิ่งกว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
แล้วถ้าคุณคิดว่าการเปลี่ยนแปลง
2475 เป็นการยินยอมพร้อมใจ ด้วยความสมัครใจของพระมหากษัตริย์ ของในหลวง ร.7
และข้าราชบริพารในขณะนั้นกับคณะราษฎร การแก้ไขของคณะราษฎรนั้นมีสิ่งสำคัญมากก็คือ
ในการแก้ไขนั้นบอกให้ชัดเลยว่า
ถ้าการพูดหรือการกระทำอันนั้นมันเป็นการพูดความจริงหรือเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ
ดิฉันจะไม่ลงรายละเอียดทั้งหมดนะ (ลองไปหาอ่านดู)
คือไม่ว่าจะเป็นการพูด
หรือการพิมพ์ หรือการแสดงความคิดเห้นโดยสุจริต เป็นการติชมตามปกติวิสัย
ถ้าได้กระทำไปภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญหรือเพื่อสาธารณะประโยชน์
อันนี้ไม่ให้ถือว่าเป็นความผิด เขาไม่ได้แก้โทษนะ 7 ปี ก็ 7 ปี แต่ 7 ปี
ก็ไม่มีโทษขั้นต่ำ แปลว่าอาจจะ 3 เดือน หรือไม่ลงโทษ หรือให้ไปกวาดบ้าน
กวาดถนนที่ไหน หรือไปจุดธูปที่พระบรมรูปก็ได้ จุดธูปไปเลย แต่ไม่จับกุมคุมขัง
ก็ทำได้! (นี่เป็นโทษตั้งแต่ยุค ร.5 ร.6)
คำถามว่า
ดิฉันใช้คำว่า “บ้าคลั่ง” เหมาะสมมั้ย? กับการออกกฎหมาย 112 แบบปัจจุบัน ดังนั้นกฎหมายมาตรา
112 หลายท่านอาจจะคิดว่าเป็นปัญหาการบังคับใช้ แต่ดิฉันไม่คิดว่าเป็นปัญหาเพียงการบังคับใช้อย่างเดียว
คือการเขียนกฎหมายก็เป็นการเขียนด้วยความบ้าคลั่ง
คือไม่ถูกต้องดังที่ดิฉันเล่าให้ฟังแล้ว อันนี้ไม่ต้องไปเทียบกับประเทศอื่นนะ
เทียบกับประเทศไทยในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ด้วยกันเองนี่แหละ
ยังไม่ต้องไปเทียบกับอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือยุโรปที่เขามีพระมหากษัตริย์
ไม่ต้องไปเทียบ เอาเมืองไทยนี่แหละ เอาตั้งแต่ ร.5 ร.6 ร.7 นี่แหละ
ว่าพระมหากษัตริย์ที่พระองค์ท่านพอจะเข้าใจ ท่านพอพระทัยในโทษนี้เพียงไร?
แต่มาสมัยนี้พวกบ้าคลั่ง
ทำตัวเป็นพวกโหนกระแสจารีต ถ้าบางคนตรง ๆ ก็เรียกว่าคือเป็น Royalist แท้ ๆ ในทัศนะของดิฉัน มันเป็นความบ้าคลั่ง ซึ่งเป็นประโยชน์ส่วนตน
เป็นประโยชน์ต่อคณะตน หรือการไม่ยอมที่จะสละอำนาจให้กับประชาชนทั้งหมดนี้ก็ได้
เพราะฉะนั้น 112 มันเป็นปัญหาทั้งตัวกฎหมายและการบังคับใช้
ในปัญหาการบังคับใช้ดิฉันก็เห็นด้วย
เพราะผู้กระทำ ผู้บังคับใช้กฎหมาย ในทัศนะดิฉันนะกระบวนการยุติธรรมก็วิปริตแล้วนะ
แล้วคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีกับฝ่ายจารีตนิยม ในทัศนะดิฉัน ไม่ใช่! ตรงข้าม
ซึ่งพูดตรง ๆ ว่า หลายคนยกเอาพระราชดำรัสของในหลวง ร.9 ท่านก็เคยมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
ยิ่งไปใช้มากก็ยิ่งแย่ ยิ่งไม่ดีกับพระมหากษัตริย์ ท่านมีพระราชดำรัสอย่างนั้น
แต่ดิฉันพูดในฐานะมองประวัติศาสตร์และวิเคราะห์สังคมด้วย
ไม่ได้พูดในฐานะเป็นอดีตแกนนำนปช. หรืออย่างไร
ดิฉันมองว่าพูดในฐานะประชาชนไทยธรรมดาที่มีประสบการณ์
ดิฉันว่ามันเป็นความโง่เง่า แล้วไม่รู้ว่าในสมอง “เคมี” มันวิปริตหรืออย่างไร?
จึงได้มีการกระทำต่อเยาวชนและคนทั่วไปอย่างนี้ รู้หรือเปล่าวว่านี่มันหายนะ!
เมื่อพูดกรณีกฎหมายมาตรา
112 คำถามว่าแล้วพรรคการเมืองกลัวหรือว่าถ้าจะแก้ 112
แล้วจะกลายเป็นคนที่ไม่จงรักภักดี คือแตะไม่ได้เลย เหมือนกับเรื่องกระบวนการ ICC
เดี๋ยวจะมีปัญหา คืออยากจะถามว่าคุณใช้สมองส่วนหน้าหรือก้านสมอง
ถ้าคุณใช้สมองส่วนหน้า แล้วคุณคิดวิเคราะห์ได้ ดังที่ดิฉันบอกแล้วว่า
ผลผลิตนี้มันมาจากความบ้าคลั่งในยุคสงครามเย็น แล้วทำไมมันจะแก้ไม่ได้
มันมาจากสวรรค์ชั้นฟ้าตรงไหน? ทำไมถึงแก้ไม่ได้ หรือว่ามองเห็นเป็น ม.112
มันไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว กลายเป็นผีหรือไงถึงได้กลัว มันเป็นเรื่องธรรมดา
มันคือกฎหมายธรรมดาที่ใช้บังคับกับประชาชนไทยและสมควรที่จะต้องทำให้มันถูกต้องกับความเป็นจริง
แล้วก็สอดคล้องกับยุคสมัย เป็นประโยชน์ต่อทั้งประเทศชาติ
และแม้กระทั่งตัวสถาบันพระมหากษัตริย์เอง มันดีกว่าหรือเปล่า
คุณลองไปถามพวกอนุรักษ์นิยมแท้ ๆ แบบคุณอานันท์ ปันยารชุน หรืออาจารย์สุลักษณ์
ศิวรักษ์ ก็ได้ นั่นน่ะอนุรักษ์นิยมตัวเอ้เลย! เขาก็จะบอกให้แก้ไข
ม.112 ใหม่ เขาไม่เห็นกลัวเลยที่เขาจะพูด แต่พรรคการเมืองหลายพรรคกลัว!!!
สำหรับมาตรา
116 ดิฉันของบอกเลย มาตรา 116
ก็เป็นมาตราที่แสดงออกถึงปัญหาของเรื่องราวของการกลัว กลัวประชาชน
และนี่คือจุดอ่อนของฝ่ายจารีตและอำนาจนิยมในประเทศไทย
ความกลัวของคุณทำให้พวกคุณนั่นแหละเสื่อม คุณกลัวประชาชน คุณกลัวระบอบประชาธิปไตย
เพราะคุณเป็นคนอดีตที่ไร้อนาคต ใช่หรือเปล่า? คุณไม่กล้าลงจากอำนาจ
คุณกลัวว่าคุณจะต้องถูกเขี่ยให้ลงจากอำนาจ ถ้าคุณอยู่มีความชอบธรรม
ไม่มีใครเขี่ยลง เหมือนท่านผู้นำ นายกรัฐมนตรีของเรา 8 ปีแล้วไม่ยอมลง
มันเพราะอะไร? ท่านหลงตัวเองว่าตัวเองเป็นผู้นำที่ชอบธรรมอยู่คนเดียวเช่นนั้นหรือ?
ความจริงนี่คนเหล่านี้ในทัศนะของดิฉันก็คือไม่รู้ว่าสารเคมีในสมองวิปริตหรือเปล่า
เพราะว่ามันเกินกว่ามนุษย์ที่ใช้สมองปกติจะทำได้
เพราะคนโดยทั่วไปมันก็ต้องมีความรู้จักรับผิดชอบชั่วดี และต้องรู้ว่าอะไรควรไม่ควร
ต่อให้เป็นคนเห็นแก่ตัว ต่อให้เป็นคนหลงผิดอย่างไรก็ตาม เพราะฉะนั้น
มันจึงน่าเป็นห่วงว่าความบ้าคลั่งของฝ่ายจารีตนิยมอำนาจนิยมที่ทำอยู่กับประเทศตอนนี้
ดิฉันไม่อยากให้เยาวชนมาแลกชีวิต
ดิฉันเข้าใจและขอคารวะหัวใจความเป็นนักต่อสู้
แต่ว่าอย่าลืมนะว่าประเทศไทยมันมีความคิดอนุรักษ์นิยมและอำนาจของอนุรักษ์นิยมที่ครองอยู่ยาวนานนับพันปี
และมีชนชั้นนำที่ได้ประโยชน์จากระบอบนี้ จากการทำรัฐประหาร และจากการยึดอำนาจ
ครองอำนาจนี้ ได้ประโยชน์อยู่ทุกหัวระแหง แม้นจะมีการต่อสู้ของประชาชนมายาวนาน บางครั้งฝ่ายประชาชนได้อำนาจ
เช่น คณะราษฎรได้อำนาจอยู่ช่วงหนึ่ง 15 ปี แต่ในที่สุดก็รักษาอำนาจไม่ได้ 14ตุลา16
อยู่ได้ 3 ปี ก็รักษาไม่ได้ คุณทักษิณได้เป็นรัฐบาลอยู่จำนวนหนึ่งก็อยู่ไม่ได้
คุณยิ่งลักษณ์ได้เป็นรัฐบาลจำนวนหนึ่งก็อยู่ไม่ได้ เพราะฝ่ายที่เป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังไม่ยอมปล่อยอำนาจที่อยู่ในมือคือความเกรงกลัว
สิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดก็คือ “ประชาชน”
ในการที่เราไม่ได้มีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงอะไรได้ในช่วง
8 ปีมานี้ มันเป็นภาพด้านลบซึ่งเป็นความจริง และพอมันเป็นด้านลบมาก ๆ มันก็มีลักษณะสองด้าน
มันก็มีด้านบวก ก็คือประชาชนจำนวนหนึ่งตาสว่างและเข้าใจ
ว่าการที่ไปสนับสนุนการทำรัฐประหารและสนับสนุนฝ่ายจารีตมันไม่ถูกต้อง
มีผลต่อประเทศชาติและกระทั่งตัวเอง
และบางครั้งเมื่อเข้าสู่สังคมโลกก็ไม่ได้รับการต้อนรับ เพราะได้ชื่อว่าในอดีตเคยสนับสนุนการทำรัฐประหาร
ดังนั้น
ในข้อเสียก็มีข้อดี อดทนค่ะ ไม่เลิก สู้ ไม่ยอมแพ้
แต่อย่าแลกชีวิตที่มีค่าของลูกหลานกับพวกที่ไร้อนาคตที่พยายามจะรักษาอำนาจของตัวเอง
คนเหล่านี้ไม่มีคุณค่าอะไรและไร้อนาคต
สิ่งที่สำคัญคือเราจะทำอย่างไรให้คนส่วนใหญ่เข้าใจและมองเห็น ซึ่งกำลังมากขึ้นทุกที
เราทำให้การต่อสู้จะมีการเปลี่ยนแปลงให้ได้รับชัยชนะที่ยั่งยืน
ปกติดิฉันไม่ค่อยชอบคำว่ายั่งยืนนะ เพราะพวกอนุรักษ์นิยมชอบเอาไปใช้
แต่ว่าต้องเอามาใช้ในเรื่องของชัยชนะด้วย
เพราะว่ามิฉะนั้นเราก็จะถูกปล้นและแย่งชิงชัยชนะไปจากประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่า
ดังนั้น
ในฐานะที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้มาก่อนยาวนาน
แม้นประชาชนและประเทศยังไม่ได้รับชัยชนะที่ประชาชนมีอำนาจจริง
แต่ว่าดิฉันเข้าใจว่าแนวโน้มที่ดีขึ้น ความเข้าใจของประชาชนที่เข้าใจมากขึ้นทุกวัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นใหม่ 100% เลย เข้าใจว่าเขาเป็นคนของอนาคต
เขาไม่ใช่คนของอดีต ดังนั้น อดทน ไม่เลิกสู้ค่ะ แต่อย่าแลกกับคนไร้ค่าและคนบ้า
อดทน มีชีวิตอยู่ และร่วมมือกัน เพื่อทำให้ชัยชนะประชาชนยั่งยืน
อย่าให้เขามาแย่งชิงกลับคืนไปได้อีกค่ะ
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์ #ธิดาถาวรเศรษฐ
#ทานตะวัน #แบมอรวรรณ #ถอนประกันตัวเอง