“ผบ.ตร.
– อธิบดีอัยการ” ส่งสำนวนคดีตู้ห่าว ให้อัยการสูงสุดพิจารณา หลังอัยการสูงสุดรับลูก
คดีตู้ห่าว เป็นคดีนอกราชอาณาจักร พร้อมขอให้ประชาชนมั่นใจการทำงานของคณะสอบสวนชุดนี้
วันนี้
13 ม.ค. 2566 เมื่อเวลา 10.00 น.
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย นายกุลธนิต
มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวนและพนักงานสอบสวนคดีตู้ห่าว นำสำนวน 13 กล่อง หรือ 13 ลัง หนา 67
แฟ้ม 20,000 กว่าหน้า ส่งมอบให้อัยการสูงสุดพิจารณามีความเห็นทางคดีสั่งฟ้องตู้ห่าวกับพวกรวม
43 ราย ประกอบด้วยผู้ต้องหาเป็นบุคคลจำนวน 38 รายและนิติบุคคลอีก 5 ราย โดยในจำนวนนี้ยังมีผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีการจับกุมจำนวน
18 ราย
บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
พร้อมด้วย นายกุลธนิต อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวนเปิดเผยต่อสื่อมวลชนก่อนส่งสำนวนโดย
ผบ.ตร.กล่าวว่า คดีนี้จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม
2565 เมื่อผู้บัญชาการตำรวจนครบาลซึ่งนำโดย พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง
และตำรวจฝ่ายสืบสวนของกองบังคับการตำรวจนครบาล ร่วมกันเข้าตรวจค้นผับจินหลิงจนพบผู้เสพสารเสพติดซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวคนจีน
คนไทย และชาติอื่น ๆ รวมกว่า 70 คน
ซึ่งจากการสืบสวนหลังเข้าตรวจค้นพบว่า
ผับดังกล่าวและผู้อยู่เบื้องหลังคือ นายตู้ห่าว หรือ นายชัยณัฐร์
กรณ์ชายานันท์ นอกจากนี้จากการสืบสวนของตำรวจฝ่ายสืบสวนนครบาลยังพบผู้ร่วมกระทำผิดซึ่งเป็นผู้ต้องหาหลัก
ๆ ได้ทั้งสิ้น 43 ราย โดยแบ่งเป็นบุคคลจำนวน 38 ราย และนิติบุคคลอีก 5 ราย โดยในจำนวนนี้ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้แล้ว 20 ราย ส่วนที่เหลืออีก 18 ราย อยู่ระหว่างการหลบหนี
ซึ่งทั้ง 18 รายเป็นบุคคลธรรมดา
โดยคดีนี้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลได้ทำหนังสือถึงอัยการสูงสุดให้พิจารณาดำเนินคดีกับตู้ห่าวและพวก
ในความผิดฐานอาชญากรรมข้ามชาติ หรือคดีนอกอาณาจักร ต่อมาอัยการสูงสุดรับพิจารณาแล้วเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักรหรือคดีอาชญากรรมข้ามชาติ
จึงสั่งตั้งคณะทำงานพนักงานสอบสวนของอัยการสูงสุดขึ้นมาทำงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
โดยอัยการสูงสุดรับคดีนี้เข้าสู่การสอบสวนในวันที่ 16 ธันวาคม 2565
ผู้บัญชาการตำรวจแห่วชาติ
ยังกล่าวถึงกรณีการดำนเนินคดีกับตำรวจ 6 นายที่ มีส่วนกระทำผิดในคดีตู้ห่าวว่า
ตำรวจ 5 นาย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้ต้องหาในคดีตู้ห่าว
ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของป.ป.ช. ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ได้สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนแล้ว หลังพบว่ามีส่วนทำให้คดีเสียหาย ส่วน
พ.ต.อ.วัทนารีย์ ภรรยาของนายตู่ห่าว ซึ่งพบพยานหลักฐานเชื่อมโยงว่ามีส่วนรู้เห็นกับการฟอกเงิน
เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้เลย ก็ต้องให้ออกจากราชการเช่นเดียวกัน
ยืนยันตำรวจไม่มีการช่วยเหลือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
ผบ.ตร.ยังบอกอีกว่า
ในคดีนี้ตำรวจสามารถสอบปากคำพยานได้กว่า 70 ปาก
นอกจากนี้ยังมีพยานหลักฐานเป็นพยานเอกสาร พยานจากนิติวิทยาศาสตร์ และวัตถุพยานอื่น
ๆ อีกจำนวนมาก และสามารถยึดอายัดทรัพย์ได้กว่า 5,000 ล้านบาท
จึงมั่นใจว่า สำนวนทั้ง 13 ลัง
จะสามารถเอาผิดผู้ต้องหาทั้งหมดได้ ตามด้วยข้อกล่าวหาที่ตั้งมาก่อนหน้านี้ได้
ด้านนายกุลธนิต
บอกอีกว่า ตั้งแต่รับคดีนี้เข้าสู่อำนาจการสอบสวน วันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา
ตนพร้อมคณะอัยการและตำรวจ 4
หน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ได้ทำงานตลอดทั้งวันทั้งคืนจนสามารถสอบปากคำผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและรับรู้ในคดีนี้
ซึ่งสำนวนที่นำมาส่งให้อัยการสูงสุดในวันนี้ ถือว่าสิ้นสุดการสอบสวนแล้ว
หลังจากนี้จะเป็นอำนาจของอัยการสูงสุดที่จะพิจารณาสำนวนเพื่อนำไปสู่ความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา
และขอยืนยันว่าคณะพนักงานสอบสวนทั้งสององค์กรไม่มีการเรียกรับสินบนในการทำคดีจับตู้ห่าว
อย่างไรก็ตาม
ในระหว่างที่คณะพนักงานสอบสวนนำสำนวนมาส่งมอบให้อัยการสูงสุด นายชูวิทย์
กมลวิศิษฎ์ ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการตรวจสอบคดีนี้
ได้เดินทางมาร่วมสังเกตการณ์และให้กำลังใจคณะทำงาน โดยนายชูวิทย์ได้ยกมือไหว้ขอโทษ
อธิบดีอัยการและ ผบ.ตร. ที่ตนกระทำการล่วงเกินต่อคณะทำงาน แต่ยืนยันว่า
การกระทำของตนเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่มีเรื่องอื่นแอบแฝง พร้อม จะติดตามคดีนี้ต่อไป
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์ #ทุนจีนสีเทา #ตู้ห่าว