วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2566

เปิดความคิดเห็นของ “จตุพร พรหมพันธุ์” กรณี บางซื่อกับหัวลำโพง ในการต่อสู้ปี 2553 เพื่อเป็นหลักฐานให้คนเสื้อแดงและประชาชนใช้ดุลยพินิจและแสดงความคิดเห็น

 


เปิดความคิดเห็นของ “จตุพร พรหมพันธุ์” กรณี บางซื่อกับหัวลำโพง ในการต่อสู้ปี 2553 เพื่อเป็นหลักฐานให้คนเสื้อแดงและประชาชนใช้ดุลยพินิจและแสดงความคิดเห็น


ถอดเทปจากบางส่วนของรายการ “ประเทศไทยต้องมาก่อน” ตอน “หน้าไหว้หลังหลอก” เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2566


เมื่อเช้านี้คุณอดิศร เพียงเกษ ซึ่งครั้งแรกก็โพสต์เล่นงานผมก่อน คุยด้วยท่วงทำนองดุดัน เมื่อวานนี้ผมก็ตอบไป มาเมื่อเช้านี้ท่วงทำนองก็สุภาพ แต่ก็มีท่วงทำนองลักษณะน้ำกรดแช่เย็น น้ำผึ้งอาบยาพิษ เพราะฉะนั้นผมเรียนไปยังพี่อดิศร เพียงเกษ เราก็มีส่วนดี ๆ ที่สุดในชีวิตกันมากมาย เพราะรู้จักกันมานาน ร่วมกันตามสู้กันมานาน ให้การยอมรับนับถือกันตลอดเส้นทาง คุณอดิศร เพียงเกษ เองก็ประกาศชัดว่าเป็นส.ส.มา 5 ครั้ง ส.ส.เขต 4 ครั้ง บัญชีรายชื่อ 1 ครั้ง แต่ก็นับแล้วทั้ง 5 ครั้ง พรรคการเมืองคนละพรรคทั้งสิ้น ไม่ซ้ำ


เพราะฉะนั้น คำว่าภักดีกัน การเป็นนักการเมือง 5 ครั้ง 5 พรรคการเมือง นั่นก็เป็นตัวอธิบาย แต่นั่นก็เป็นสิทธิส่วนตัว ความสัมพันธ์ร่วมเวทีปราศรัยของไทยรักไทย หรือแม้กระทั่งกระบวนการคนเสื้อแดง ก็ต่างคนต่างทำหน้าที่ร่วมกัน และก็มีมุมหนึ่งที่ท่านภาคภูมิใจว่าไปเสนอแต่งตั้งให้ผมเป็นรองโฆษกพรรค ก็ไม่ได้มีความสลับซับซ้อนอะไร แต่ว่าเมื่อมีการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 หลังจากผมและคณะไปแถลงต่อสู้อยู่ที่ทำการพรรค เพราะแทบไม่เหลือใครแล้ว ต่อมาก็ได้ลาออกเพื่อมาต่อสู้กับคณะยึดอำนาจคมช.ชุดนั้น ก็คืนตำแหน่งนี้ให้กับพรรคไป


ทั้งหมดนี้ ความสัมพันธ์อันดีไม่มีปัญหาอะไรกันเลย ความเป็นจริงหลากหลายเรื่องราวที่ คุณอดิศร เพียงเกษ ได้หยิบยกมาว่า ไม่ได้เป็นแกนนำ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงินบริจาค แล้วก็คำว่า “สู้แล้วรวย” ว่าผมรวยมาก และรวมกระทั่งว่า อ้างว่าคนส่งกลอนมาแล้วก็อ่านกลอน ว่าไปรับงานไปรับเงินมาแล้วก็มาพูดเรื่องนี้เพื่อที่จะมาหยุดแลนด์สไลด์ที่ว่า แล้วก็อุปมาอุปไมยไม่ต่อปี 52 แต่ต่อปี 53 ว่าตัวเองตัดสินใจลงที่บางซื่อ แล้วผมไปลงที่หัวลำโพง มีปัญหาว่าเมื่อได้วันเลือกตั้งแล้วก็ควรจะหยุด


ความเป็นจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีการคุยอย่างตรงไปตรงมา เพราะทุกคนไม่อยากจะขยายบาดแผล แต่ว่าเมื่อ คุณอดิศร เพียงเกษ ซึ่งความจริงผมก็ไม่ได้โกรธอะไร เมื่อตั้งใจต้องการจะมาพูดเรื่องบางซื่อกับหัวลำโพงในการต่อสู้ปี 53 ว่ามีบางคนลงที่บางซื่อ มีบางคนลงที่หัวลำโพง


สถานการณ์ลองทบทวนสั้น ๆ ช้า ๆ ในสถานการณ์สมรภูมินั้น เหตุการณ์ความตายมีเป็นจำนวนมาก และก็จนกระทั่งว่าหลายคนเกือบทั้งหมดแบกรับสถานการณ์ไม่ไหว ผมรู้สถานการณ์ซ้อนว่าจะมีคนไม่เห็นด้วยกับการยุติเวที มีการประชุมกันที่ตู้คอนเทนเนอร์หลังเวที ทุกเสียงมีความเห็นเป็นเอกฉันท์เลยนะ ยกเว้นผมคนเดียว เป็นเอกฉันท์ก็ไม่ได้ มีผมคนเดียว ว่าต้องยุติเวที บัดนี้เราได้เวลาเลือกตั้งแล้ว ผมบอกว่าผมไม่คาดคิดว่าวันนี้จะต้องมากล่าวลาหรือมาเห็นต่างกับคนทุกที่มีความรักกันเพราะว่าผูกพันการต่อสู้จนถึงนาทีนั้น และทุกคนคิดอย่างเดียวกันยกเว้นผมคนเดียว


ผมอธิบายความว่าถ้าเราไปขึ้นบนเวทีว่าบัดนี้เราได้วันเลือกตั้งแล้ว ถ้ามันไม่มีหีบศพอยู่ด้วย จะไม่เกิดเหตุการณ์อะไร แต่มันมีหีบศพ นักการเมืองพอได้หีบบัตรแล้วจะทิ้งหีบศพ เราจะตอบคำถามกับผู้ชุมนุมและญาติผู้ชุมนุมและคนเกี่ยวข้องกับความตายไม่ได้เลย นี่เป็นประการแรก


ประการที่สอง จะมีการยึดเวที พูดง่าย ๆ ว่าจะมีการรัฐประหารเวทีทันทีที่บรรดาแกนนำทั้งหลายขึ้นไปกล่าวยุติการชุมนุม ก็จะมีอีกชุดหนึ่งเข้ามายึดเวทีแทน และพอชุดนี้ สถานการณ์จะตึงเครียดและความตายจะมากกว่าเดิม เพราะว่าเรามีหน้าที่ในการพยายามอธิบายห้ามผู้คนและให้ยืนยันแนวทางสันติวิธี เพราะการสู้กลางแจ้ง ถ้าสู้ทางการทหารผิดหมด เราต้องสู้ทางการเมือง และถ้ามีการทหารเมื่อไหร่ พังทันที ผมอธิบายว่าเราจะลงจากเวทีนี้อย่างคนที่อัปยศอดสูที่สุด เพราะเวทียังต้องเดินต่อไป และผมก็ชี้ตัวให้เห็นเลย เพราะเจ้าของเวทีที่จ่ายค่าเวทีตัวจริงเขาไม่ต้องการให้ยุติเวที แต่ทุกคนมันตกใจ พูดง่าย ๆ ว่าใจถอดหมดแล้ว


และผมเองก็อธิบายความให้ฟังกันว่า ประชาชนอย่างไรเขาไม่กลับ เมื่อเขาไม่กลับเราจะไปยังไง คิดจะลงเลือกตั้ง คุณจะมีหน้าไปพบคนเหรอ? ถ้าวันนั้นไม่มีการคิดในเชิงซ้อนนะที่จะมีอีกชุดหนึ่งยึดเวที เอาล่ะ! อธิบายกับประชาชนก็พอ ๆ ถู ๆ ไถ ๆ ได้ ก็ปรากฏว่าก็กล่าวคำลากัน และผมก็พูดท้ายว่าปี 2535 ตรงกับวันนี้เลยนะ ตรงกับวันที่ยุติการชุมนุม ปี 35 ปี 53 แต่ว่าตอนนั้นยังไม่ถึงวันที่ 13 ผมก็หลุดไปที่รามคำแหงพวกที่อยู่บนเวทีเพียงแค่คนเดียว แล้วก็นำทัพ กว่าพรรคพวกหมู่มิตรจะตามกันมายากลำบากมาก ผมอยู่ในบรรยากาศนี้มาแล้ว เพราะฉะนั้นขออยู่ส่งประชาชน ก็ถือว่าก็แยกย้ายกันไป


ผมพยายามจะไม่เล่า เพราะว่ามันกระทบกระเทือนใจกันหลายคน แต่ที่ผมบอกไงว่า มันมีการวางแผนซ้อนเวทีอยู่แล้ว และคนที่ทำได้ก็คือคนเดียว พอประชุมเสร็จผมก็ได้รับโทรศัพท์ก็ตามคลิปเลย ก็คือนายกฯ ทักษิณ ที่ต้องพูด ก็โทรมาถาม ความจริงผมไม่เคยพูดที่ไหน เรื่องนี้ถ้าหลุดไปก็ไม่เคยเกิดจากผมมาก่อนเลย แต่เมื่อคุณอดิศร เพียงเกษ หยิบยกเรื่องนี้มา นายกฯ ทักษิณ บอกว่า “หยุดเวทีได้อย่างไร? ผมได้อะไร”


ผมรู้เรื่องนี้กันมาตั้งแต่ต้นว่าจะมีการซ้อนเวที ถ้าซ้อนเวที แน่นอนที่สุดมันจะเป็นปลายอีกมุมหนึ่ง ความรุนแรงมันก็จะเกิด มันจะคุมไม่อยู่ ผมจึงต้องหักกับทุกคน ผมก็บอกว่าอย่างนี้ ว่าถ้าอย่างนั้น เพื่อให้เวทีเดินต่อ แต่ผมเชื่อว่าคงไม่อยู่ครบแล้ว คนที่เคยเป็นลูกพรรคของท่าน ท่านเคลียร์ไป บรรดาสายนักเคลื่อนไหว ผมจะเคลียร์เอง ความจริงแยกกันแล้วนะ


พิธีกร : วันนั้นกลุ่มนักเคลื่อนไหวก็ตัดสินใจออกเหมือนกัน เป็นส.ส.เหมือนกัน


จตุพร : เป็นหมด


พิธีกร : ไปเอาหีบบัตรเหมือนกัน


จตุพร : ก็เหลือผมคนเดียว ผมก็ต้องตามมาเคลียร์ คนใกล้ชิดของผมบอกว่าใครหนีก็ได้ เราห้ามหนีนะ แล้วก็อธิบาย สุดท้ายก็เหลือตามจำนวนที่ปรากฏเห็น นายกฯ ทักษิณ ก็ไปเคลียร์กับนักการเมือง ลูกพรรค ที่เป็นอดีตส.ส. อะไรของท่าน ท่านก็ว่าไป ผมก็เคลียร์กับนักเคลื่อนไหว เวทีก็เดินมาถึงวันที่ 18 ที่วุฒิสภามาเจรจา และจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ 19 ซึ่งก็เป็นความเจ็บปวด เป็นความขมขื่น


ถ้าวันนั้นเราไม่ยืนแข็งแรง เวทีเขาไม่กลับอยุ่แล้ว เจ้าของเวทีเขาไม่เลิก และอีกชุดหนึ่งจะเข้ามาซ้อน ถ้าผมไม่อยู่คานเอาไว้นะ เพราะว่าเรามีประสบการณ์ในการที่จะควบคุมไม่ให้เกิดปัญหา และนาทีนั้นโอกาสตาย 100% อยู่แล้ว หนักมาก เพราะว่าการที่ยืนอยู่เสี่ยงที่สุดอยู่แล้ว


ที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ความเป็นจริงผมไม่อยากเล่าเลย เมื่อคุณอดิศรได้หยิบยกเรื่องนี้มา อดิศร เพียงเกษ เขาก็เล่าให้ฟังว่า หลังจากนั้นเขาก็ไปประเทศลาว เขาใช้คำว่าประเทศเพื่อนบ้าน อยู่ลาวสักพักผมก็รู้ว่าก็ไปอยู่กัมพูชากับแรมโบ้ ที่พยายามล้อผมว่าแรมโบ้ 2 คนที่ไปอยู่กับแรมโบ้จริง ๆ ก็คือคุณอดิศร เพียงเกษ


วันนั้น เวทีวันที่ 19 คนที่มีบทบาทมากที่สุดคือ ธนาวุฒิ วิชัยดิษฐ์ ซึ่งความตายมันมากเหลือเกิน ธนาวุฒิบอกห้าม ๆ เราอย่าขึ้น เขาขอขึ้น ๆ เขาพูดเอง ๆ แต่ว่าสุดท้ายเมื่อเหลือจุดสุดท้ายคือที่เวที คือมันล้อมหมดแล้ว เอาไม่อยู่แล้ว หน้าเวทีมีแต่คนแก่กับผู้หญิงประมาณสัก 500 คน และทุกคนพร้อมตายแล้ว คืออารมณ์มันมาถึงว่าพร้อมพลีชีพแล้ว เราเองก็ห่วง ผมก็นอนเก้าอี้ผ้าใบ เดี๋ยวก็มีคนมาลาไป ๆ ไปเถอะ ๆ เราก็รอเวลา จนกระทั่งขึ้นไปยุติการชุมนุม เพราะว่าถ้ามียุติ ความตายอย่างรุนแรงก็จะเกิดขึ้น ณ เวที เพราะเป็นจุดสุดท้าย


ผมเล่ามาถึงตอนนี้เพื่อจะบอกว่า หลายปีต่อมา มืองานคนสำคัญก็มาเล่าให้ฟังอีกเรื่องหนึ่งว่าวันนั้นมีการวางแผนที่จะยิงถล่มเวทีขณะที่ขึ้นกล่าวยุติ แต่มีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาไม่ตัดสินใจ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ผมไม่ควรจะอยู่อีกแล้วตรงนั้น ทั้งหมดทั้งปวงเพื่อจะชี้ให้เห็นว่า การตัดสินใจเรื่องหัวลำโพงกับบางซื่อ ผมไม่โทษพี่วีระนะที่กล่าวลาออกจากการเป็นประธาน เพราะว่าทันทีที่ลูกชายถูกเอาปืนจี้ เรื่องราวมันก็เปลี่ยนแปลงไป คนเป็นพ่อคน ก็ไม่โทษกัน ไม่ว่ากัน แต่ว่าผมในฐานะเรารู้สถานการณ์ รู้ทุกมุมการชุมนุม แม้ว่าเจอหรือไม่เจอ ผมนั่งอยู่ผมก็เช็คการข่าวผมละเอียดยิบ


ผมรู้เลยวันนั้นถ้าเป็นเอกฉันท์ ถ้าผมไม่ทัดทานเอาไว้ ขึ้นเวทีพลั้ว พอลงจากเวทีอีกชุดหนึ่งเข้าไปยึดเลย เจ้าของเวทีเขาไม่ให้หยุด แต่ว่าชุดที่สู้อยู่ ณ ขณะนั้นใจถอดหมดแล้ว ยอมหมดแล้ว แต่ว่าผมก็อธิบายว่าอย่างไรประชาชนไม่มีวันจะกลับเลยนะ นอกจากไม่กลับ อีกชุดหนึ่งจะมายึดเวที นี่ก่อนเกิดเหตุการณ์ เสธ.แดง ถูกสไนเปอร์


ผมเล่าเรื่องนี้เพื่อจะบอกว่าหัวลำโพงมันจำเป็น เพราะมิฉะนั้นมันจะตายนองเลือดที่บางซื่อชนิดที่มากกว่า อาจจะเป็นหลายร้อยศพก็ได้ ที่ต้องลากไปหัวลำโพงเพื่อจะลดความตายที่จะเกิดขึ้น แล้วเจ้าของเวทีเขาก็เตรียมการอีกชุดหนึ่งอยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงบอกว่าเหตุที่ต้องเดินได้ต่อไง ก็นักการเมือง นายกฯ ทักษิณ เคลียร์ นักเคลื่อนไหว ผมเคลียร์ แต่ผมไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่นเพราะผมเห็นเกมส์ทั้งสนาม เห็นเกมส์ทั้งกระดานว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมก็อธิบายชัดว่าไม่ควรจะเกิดปรากฏการณ์อันนี้เลย ทั้งห้องมีผมเสียงเดียว แต่เพราะว่าผมเห็น ผมอธิบายว่านี่ไง ชี้ให้เห็นเลย แต่ทุกคนหันหัวไปแล้ว


การที่คุณอดิศร เพียงเกษ มายกเรื่องนี้ก็ดีแล้ว ว่าวันนั้นที่ผมต้องไปหัวลำโพง และถ้าผมลงบางซื่อตามคุณอดิศรไปวันนั้น และอีกหลายคน ที่นั่นจะนองเลือดหนักกว่าเดิม เลือดนองท้องช้าง เพราะว่าเจ้าของเวทีเขาไม่ยอม และมีชุดหนึ่งซึ่งเป็นคนของเจ้าของเวที และเราก็จะเป็นหมาเลย นี่จะเป็นหมาจริง ๆ เลย เห็นหีบบัตรแล้วทิ้งหีบศพเลย ผมพยายามจะไม่พูด


ประเด็นต่อมาพี่อดิศรบอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นแกนนำ เอาล่ะ ผมก็บอกว่าแกนนำมันเป็นคำสมมุติ แล้วก็บอกเรื่องตำแหน่งประธานนปช. ผมบอกว่าเวลานี้ผมไม่ได้ใช้เลย แต่ละคนก็ไปใช้ตำแหน่งอื่นหมดแล้ว เช่น ณัฐวุฒิ ก็เป็น ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย อ.ธิดา ก็เป็นคณะทวงคืนความยุติธรรม ผมก็คณะหลอมรวมประชาชน ไม่มีใครไปใช้ในตำแหน่งนี้ก็ฟรีซ หมายความว่าก็ยุติกันไปในทางชื่อตำแหน่ง ส่วนใครจะอย่างไรก็ว่ากันไป เพราะว่าต่างคนต่างไม่ใช้กัน ไอ้ที่บอกว่าอย่ามาเป็น บัดนี้ต่างคนต่างไม่ใช้


ประเด็นต่อมาบอกว่า เรื่องเงินบริจาค คือผมก็ฟ้องเสื้อแดงคนหนึ่งที่ปากดี ศาลจำคุก 2 ปี แต่ว่ารอลงอาญา ที่กล่าวหา คนที่อยู่ในที่ชุมนุมที่เป็นคีย์แกนทั้งหลายต้องรู้ว่าผมไม่เคยยุ่งเรื่องการเงินเลย ไม่ว่าจะเป็นเงินบริจาคหรือจะเป็นเงินใดก็ตาม ผมไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่ยุ่ง และไม่ประสงค์จะไปรับรู้ด้วย แต่เวลาที่ต้องตอบคำถามมันก็มักจะยัดใส่ทั้งที่ผมไม่เกี่ยวข้องเลยในปี 2553 ปี 57 ผมก็อธิบายความแล้วว่าก็ให้คนไปรับผิดชอบ ผมไม่ประสงค์จะยุ่งเรื่องนี้


ทีนี้คุณอดิศร เพียงเกษ ก็บอกว่าโดยพยายามอ่านกลอน ตัวเองนักกฎหมายนี่ ว่ามีคนส่งกลอนมาให้เพื่อจะบอกว่าเป็นการรับเงินมาในการออกมาพูด และก็สู้แล้วรวย ปัจจุบันฐานะร่ำรวยมาก คุณอดิศรฟังผมดี ๆ นะ คุณอาจจะไม่มีความรู้สึกเพราะคุณเป็นผู้แทน 5 ครั้ง 5 พรรคการเมือง แต่ผมไม่ใช่คนแบบนั้น ถ้าผมเป็นคนไม่อดทนนะ หลากหลายเรื่องราว นี่ผมพูดครั้งแรกนะ เรื่องนี้พูดครั้งแรกนะ และผมเองก็ถ้าไม่มีเรื่องอะไรกระทบกระเทือนจิตใจมากมายผมก็อยู่ตามประสาผมอยู่แล้ว เพราะว่าผมเป็นคนปากกับใจตรงกัน ใช่คือใช่ ไม่ใช่คือไม่ใช่ และอะไรที่มันผิดผมก็ต้องบอกผิด ซึ่งเป็นสิ่งที่นายกฯ ทักษิณ ไม่ประสงค์จะฟัง เพราะแน่นอนที่สุดเวลาต่อสู้ก็ดีกันอยู่นะ แต่เวลาชนะนี่ผมเป็นยาขม เพราะผมคอยทักท้วงเพราะผมรู้ว่าอะไรจะเกิดปัญหา เพราะเราเห็นเลือดเห็นความตายของประชาชน กว่าจะได้ชัยมามันแลกด้วยเลือดเนื้อชีวิตและคราบน้ำตา แต่อย่างที่บอกเอาชัยชนะไปให้ผู้ฆ่าหมายความว่ายังไง


กรณีนี้ก็เหมือนกัน ถ้านายกฯ ทักษิณ ไม่พูดถึงผมก่อนที่ฮ่องกงไม่มีวันนี้ เรานั่งจัดรายการกันมาคณะหลอมรวม ผมกับพี่นกเขาและคณะ ภารกิจเพื่อนับหนึ่งประเทศไทย คำว่าประเทศไทยต้องมาก่อน และหลัก ๆ นอกจากเรื่องปลดแอกพลังงานแล้วก็เรื่องการขับไล่ การหยุดระบอบ 3ป หยุดประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่เกี่ยวอะไรกับทักษิณเลย แต่การที่นายกฯ ทักษิณ มาพูดดูถูกดูแคลน ถ้าสัญชาตญาณขี้ข้าอย่างถาวรอาจจะทนได้ ผมยอมรับบางเวลาก็เป็นขี้ข้าเหมือนกัน แต่ผมก็ใฝ่ฝันหวังรอถึงวันอิสรภาพ เพราะว่ามันไม่ใช่ผมไปสยบยอม แต่มันระหว่างทางมันมีประวัติการต่อสู้ มันมีเรื่องราวเกี่ยวข้องผูกพัน มันเรื่องความตายเยอะแยะกันไปหมด มันเลือดท่วมปาก แต่ว่าไม่ใช่สยบยอม ถ้าต้องการจะสอพลอไม่ยากลำบากหรอก ไม่ใช่ขี้ข้า แต่บางเวลาดูเสมือนว่า การยอมให้ถูกกระทำดูเสมือนหนึ่งว่าเป็นขี้ข้า แต่ว่าที่ยอมกันนั้นเพราะประชาชนเขาตาย เขาบาดเจ็บ เขาเจ็บปวด เขาไม่อยากได้ยินเรื่องแบบนี้ ไอ้ที่พูดเนี่ยไม่มีใครอยากได้ยิน ผมก็ไม่ได้อยากพูด แต่ว่าเมื่อ อดิศร เพียงเกษ เขาหยิบยกเรื่องนี้มา ผมบอกว่าวันนั้นถ้าผมตามลงบางซื่อด้วย ขาดผมคนเดียวนี้ ป่านนี้ตายเป็นเบือ เพราะเจ้าของเวทีเขาไม่ยอมจบ เตรียมอีกชุดหนึ่งเข้ามายึด


“เป้าสังหาร” เป็นที่รู้กัน คือหมายความว่า คือผมก็ได้ยินมาอยู่แล้วว่าเป็นการร้องขอจากฝ่ายเดียวกันให้จัดการผมเองด้วยซ้ำ เราก็ทนเพราะในสังคมนี้ การที่เราเป็นคนจิตใจนักเลงในแต่ละแวดวงทางการข่าวเราก็จะครบถ้วน แม่นยำ และจะเห็นได้อย่างชัดเจนในปี 53 ผมแถลงข่าวบางครั้งก็ล่วงหน้าก่อนโฆษกศอฉ.อีกนะ การข่าวผมเป๊ะ ๆ ๆ ๆ กันทั้งนั้น เมื่อหยิบยกเรื่องนี้มาก็ได้อธิบาย ผมบอกกับคุณอดิศร เพียงเกษ ว่า ถ้านายกฯ ทักษิณ ไม่พูดในลักษณะดูถูกความเป็นมนุษย์ ผมก็กล้ำกลืนต่อได้ คุณอยากจะแลนด์สไลด์ก็ช่างหัวคุณ คุณอดิศร เพียงเกษ ซึ่งเอาคนไปต่อสู้สมัครเขต 2 ขอนแก่นแล้วไม่ได้ ความจริงก็ไปคุยที่ต่าง ๆ แต่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรคุณก็อยู่ได้ตามปกติ ก็ไม่มีปัญหาอะไร


แต่ว่าการพยายามที่จะอธิบายใส่ความยัดเยียด แบบนายกฯ ทักษิณพูดนั่นแหละ ว่ารับเงิน ถ้ารับเงินผมจะถูกขัง 3 รอบ ผมจะมาไล่ประยุทธ์ ในช่วง 8 ปีนี้ ประยุทธ์ก็ไม่อยากจะมีเรื่องกับผมหรอกเอาว่าจริง ๆ แต่ว่าเขาไม่รู้จะสู้ยังไงกับผมเขาก็ต้องเอาไปขัง ถามว่าคุณอดิศรเคยถูกขังสักครั้งแล้วหรือยังตั้งแต่สู้มา คนเราไม่ใช่ สำนวนไทยเขาว่า “แก่เพราะกินเหล้า เฒ่าเพราะอยู่นาน” หรือว่าเพราะเกิดก่อนแล้วจะถูกนะ แต่ถ้าเกิดก่อนแต่ไม่มีศักดิ์ศรี เป็นมนุษย์ มันก็เสียชาติเกิดเท่านั้น ผมเนี่ยให้ความนับถือ เรียกพี่ทุกคำ เคารพนับถือไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่ว่าการขึ้นเวที เช่นว่าไปประณามคนที่เขาไปโหวตเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ประณามได้นะ แต่พรรคเพื่อไทยรับคนเหล่านี้เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ไอ้คนที่โหวตน่ะคุณจะไปว่าไอ้คนที่มาเห็นมั้ย มันหาเสียงมันย้อนแย้งกับข้อเท็จจริง ก็คุณแสดงด่าสาดเสียเทเสียไปดูคลิปซิ แต่เพื่อไทยก็เอาคนโหวตเลือกพล.อ.ประยุทธ์เข้ามาไม่ใช่หรือ มาตรฐานตรงไหน


ต่อมาครับ บอกว่าใช้ภาษากล่าวหา “สู้แล้วรวย” รวยมาก ผมบอกว่าบรรดาแกนนำในระดับหัวแถว ผมนี่สาหัสที่สุดนะ ผมนี่จำเป็นจะต้องออกมาจากอิมพีเรียลและก็ต้องมาสร้างที่นี่ เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก แต่เมื่อผมถูกนายกฯ ทักษิณ แกลวงไปสังหาร และกระบวนการต้องแยก ผมอยู่ตรงนั้นไม่ได้ เพราะว่าเป็นพื้นที่ที่กินน้ำเห็นปลิงกันแล้ว มันอยู่ไม่ได้จริง ๆ และมาหาสถานที่ที่ต้องเช่าเขา และก็ต้องมาสร้างในวันที่มันโควิด ในวันที่คสช.ยึดอำนาจอยู่ ยากที่สุด พยายามมา 8 เดือนแล้วมีแต่เสาขึ้นโด่เด่ ไม่รู้จะไปยังไง เล่าให้ฟังกันหลายครั้งว่าหมดหนทางจริง ๆ ยืมหนี้ยืมสินพรรคพวกที่มีฐานะหน่อยก็ช่วยมาบ้าง เพราะมันลำบากกันทั้งนั้น บางคนไม่ได้อยู่ในแวดวงการเมืองอะไรเลยมาให้หยิบยืมสตางค์ แต่ว่ามันก็ไม่เพียงพอหรอกเพราะสร้างใหญ่มา หนี้สินเยอะแยะกันไปหมด มันก็ยากที่จะเสร็จ ยอมรับจริง ๆ ว่ามันไปไม่ได้ ผ่านไป 8 เดือนแล้วยังไปไม่ได้เลย ผมจะยอมแล้วนะ ยอมรับความเป็นจริงแล้วว่าคงสร้างไม่ได้ ตังก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี ขอบริจาคชาวบ้านจะเอาตังที่ไหน ชาวบ้านก็ลำบาก มันมาเจอเหมือนกันหมด


เพราะฉะนั้นที่พี่อดิศรบอกว่ารวยมาก พี่มารับหน้าที่ตรงนี้มั้ย หนี้สารพัด หนี้ดาวเทียม สัญญาณเน็ต หนี้พนักงาน ส่วนตัวก็คือว่าคดีแพ่งที่ฟ้องผม ศาลฎีกาแพ่งบอกว่านายจตุพรพูดไม่มีลักษณะยุยงให้เผาบ้านเผาเมือง พูดเหมือนกับอดีตนายกฯ ทักษิณ แต่ให้ยกฟ้องนายกฯ ทักษิณ ให้ลงโทษนายจตุพรเพราเป็นประธานนปช. ซึ่งขณะนั้นผมไม่ได้เป็น อนิสงฆ์ก็คือว่าพอคดีทุกอย่างยังไม่เรียบร้อย บ้านที่ลูกชายอยู่ผมก็โอนไปให้แม่เขา เขาก็ตามไปฟ้องยึด ผมก็เชื่อว่าจะต้องเสียโดยปริยาย เราก็ไม่คาดคิดเพราะว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับการกระทำความผิดไฟไหม้ และในคำพิพากษาก็บอกว่าไม่ได้มีลักษณะพฤติกรรมพูดยุยงให้เผาบ้านเผาเมือง แต่ว่าก็ต้องสูญเสียบ้าน เขาฟ้อง 2 ศาล ศาลแขวงดอนเมืองวันที่ 13 ก.พ. แล้วก็เดือนมีนาก็ศาลแพ่ง อย่างไรก็ต้องเสียบ้านไปเพื่อส่วนรวม


เพราะฉะนั้นคุณอดิศร เพียงเกษ อาจจะมองภาพปรากฏว่ารวยมาก พี่อดิศรมารวยแถวนี้มั้ย คือบางครั้งคนที่มองมาจากภายนอกบางวันเช่นว่าใครมาจัดงานโน่นนี่นั่น หมู่มิตรทั้งนั้น แต่คนมามองเห็นว่าภาพน่าจะมีตัง คือแบบเราหน้าไม่ยินยอมต่อความยากลำบาก ที่บอกว่าสู้แล้วรวยไม่ใช่ผมแน่นอน คุณอดิศรเองต้องดูว่าใครรวย ถ้ามาที่ผมก็พิสูจน์ได้ มีรายได้หลักจากบำนาญผู้แทนเดือนละ 1.2 หมื่น


ที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังเพราะคุณอดิศรได้ตั้งคำถาม แม้ว่าจะพูดเรียบร้อยกว่าเดิมแต่ว่าแฝงไปด้วยน้ำกรดแช่เย็น น้ำผึ้งอาบยาพิษ แต่อย่างที่บอกว่าเมื่อเราวิพากษ์วิจารณ์นายกฯ ทักษิณ เริ่มต้นจากนายกฯ ทักษิณก่อน ก็เป็นธรรมชาติซึ่งคนที่อยู่กับนายกฯ ทักษิณจะต้องออกมาสวนกับเรา ซึ่งครั้งนี้ถือว่าน้อยมากกว่าครั้งไหน ปกตินี่เรียงกันมาเป็นตับ


อย่างที่บอกว่าการทำสงครามกับหมู่มิตรเป็นเรื่องที่ยากที่สุดและก็พยายามจะหลีกเลี่ยง แต่ว่าพอถึงจุดหมดความอดทน ไม่มีทางเลือกก็ต้องรบกัน ก็ต้องสู้กัน วันนี้ยังไม่ถึงขั้นสงคราม แต่ว่าถ้าเดินกันไปถึงจุดหนึ่ง ยิ่งมาดูถูกดูแคลนไม่เลิกแบบนี้นะ ไอ้ที่คุณกล่าวหาผมว่าขัดขวางโน่น ขัดขวางนี่ ผมจะทำตามที่ปากคุณว่า เพราะตอนนี้ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย ผมแค่ป้องกันตน ตามที่คุณกล่าวหา แต่สัญชาตญาณประเภทนายว่าขี้ข้าพลอย ซึ่งไม่ควรที่จะกระทำ นักการเมือง 5 สมัย 5 พรรค เป็นตัวอย่างของความภักดีได้ดีมาก ท่านบอกว่าผมเปลี่ยนแปลงไปหน้ามือเป็นหลังมือ เอาล่ะท่านเป็นคนที่ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลยก็ว่ากันไป เราก็ตอบกันด้วยความอดทน ส่วนที่ดีก็ยังมีกันอยู่ มันลบกันไม่ได้หรอก แต่ว่าไอ้ส่วนที่ไม่ดีก็ต้องว่ากันไป เพราะยืนอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ ผมก็คงไม่ยืนให้ถูกชกฟรีหรอก ก็ต้องใช้สิทธิ์ และถ้าไม่หยุดผมก็จะใช้สิทธิ์มากตามลำดับ


วันนี้เรื่องที่ผมไม่ควรจะเล่าถ้าอดิศร เพียงเกษ ไม่หยิบยกมา เมื่อเล่าแล้ว คนที่ต้องชักตาตั้งไม่ใช่คุณอดิศร เพียงเกษ แต่เป็นอีกคน ซึ่งความจริงจะหลุดจากปากผมนี่ยากมาก แต่ว่าเมื่อต้องการจะฟื้นฝอยหาตะเข็บ ผมก็ต้องจัดให้ คือในการต่อสู้นี้ ถ้าผมเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ป่านนี้พวกนี้ถลกหนังผมแดงเถือก แต่ผมเสียงดังได้ทุกกรณี เพราะว่าผมอยู่จนกระทั่งทุกอย่างได้สิ้นสุด และหลังจากนั้นผมมาเดินทางต่อสู้ต่อ ถ้าผมคิดเรื่องส่วนตัว ไอ้พวกที่หนีก็หนีไป ไอ้พวกที่ติดคุกก็ติดคุกไป ผมไม่ติดคุก ผมก็อยู่เฉยซิ รอเลือกตั้ง ไม่มีใครมาแข่งด้วย แต่ว่าไม่ใช่ผมไง ผมนี่ต้องฟาดฟันหลังจากนั้น 7-8-9 เดือน ฟาดฟันจนกระทั่งโกรธกัน สู้จนกระทั่งเอาเพื่อนออกมา ตัวเองเข้าไปแทน ไอ้พวกที่อยู่ต่างประเทศก็ได้กลับมาได้ แต่ตัวเองต้องเข้าคุกนะ เพราะว่ามันไปสร้างศัตรูบ่มเพาะกันมา ถ้าเราคิดแบบทักษะนักเลือกตั้งที่มันเห็นแก่ตัว เราจะทำทำไม สู้หนักอยู่แล้ว รออภิปรายในสภาก็ชำนาญการอยู่แล้ว ไอ้นั่นเป็นเรื่องที่เราเปลี่ยนแปลงกันไม่ได้


ที่หยิบยกเล่ากันวันนี้เหตุการณ์ระหว่างบางซื่อกับหัวลำโพง เพราะว่าเจ้าของรถไฟเขาไม่ได้ให้จอดที่บางซื่อ เพียงแต่ว่าถ้าทุกคนลงที่บางซื่อกันหมด วันนั้นจะตายกันเป็นเบือ ผมนี่รู้ว่าเจ้าของรถไฟเขาคิดอย่างนั้น และเขาคุยกับผม ไม่งั้นจะเดินต่อได้ยังไง ผมมีปัญญาจ่ายค่าเวทีเหรอ เพียงแต่ว่าในสถานการณ์ที่ทุกคนกลัวตายสุดหมดแล้ว หาตาดำไม่เจอกันหมดแล้วแหละวันนั้น มันโหดมากนะ คือถ้าผมเอาด้วยวันนั้น 1. ที่เขาว่าหมา หมาจริง ๆ เพราะว่าได้หีบบัตรทิ้งหีบศพเลย 2. อีกพวกหนึ่งมายึดเวที และหลังจากนั้นก็จะร้อนแรงและจะตายกันเป็นเบือมากกว่านี้ เพราะเจ้าของเวทีเขายังไม่ได้อะไร ตามความที่ปรากฏ มันเป็นความรับผิดชอบ แต่เห็นแล้วว่าจะต้องแก้เกมส์แก้สถานการณ์อย่างไรเพื่อลดความตายความสูญเสีย ผมอธิบายว่าเกมส์มันเป็นเกมส์อำมหิต แต่ว่าผมไม่ไปเล่นเกมส์นี้ด้วย แต่เพื่อนทุกคนที่ประกาศแยกกันเลยนะ เหลือผมคนเดียวนี่ ไม่น่าเชื่อนะ สู้กันมาเต็มห้องนะ ทุกคนไปหมดแล้ว จะลงเวทีนี่ ลงจากเวทีให้เร็วที่สุดแล้ว ทุกคนมันเห็นสถานการณ์มันไปไกลแล้วว่าอยู่ไปมันกลัวหมดแล้วว่างั้นเถอะ ความกลัวหนัก เพราะว่ามันตายกันมากแล้ว แต่ว่าผมอธิบายว่าเดี๋ยวคนจะไม่กลับ แล้วมันจะมีคนมาซ้อนเวที ก็คือเดินเวทีต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และความแรงก็จะกำหนด ไอ้คนที่ลงเวทีก่อนก็หมาในสนาม และท้ายที่สุดที่ต้องไปต่อเพราะเจ้าของเวทีเขาบอก “ผมยังไม่ได้อะไร” และก็แบ่งกันในระหว่างเจรจา ลูกน้องที่เป็นส.ส.เก่านักการเมือง ทางนายกฯ ทักษิณ ก็ไปเคลียร์ ทางนี้ผมก็ไปเคลียร์ เวทีก็เดินกระทั่งไปถึงวันที่ 19 ตอนนั้นคุณอดิศรก็อยู่ประเทศลาวแล้ว

 

สามารถรับชมรายการฉบับเต็มได้ที่ https://www.facebook.com/Jatuporn.UDD/videos/1300353277208750