วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2566

"ก้าวไกล" จี้รัฐเร่งขยายผล "คดีทุนจีนสีเทา" หลัง "อธิบดีดีเอสไอ" ถูกย้ายฟ้าผ่า ซัด "รัฐบาล-ประยุทธ์" ไม่สนใจติดตาม มัวแต่คิดสืบทอดอำนาจ

 


"ก้าวไกล" จี้รัฐเร่งขยายผล "คดีทุนจีนสีเทา" หลัง "อธิบดีดีเอสไอ" ถูกย้ายฟ้าผ่า ซัด "รัฐบาล-ประยุทธ์" ไม่สนใจติดตาม มัวแต่คิดสืบทอดอำนาจ

 

วันนี้ (19 ม.ค. 66) พลตำรวจตรีสุพิศาล ภักดีนฤนาท ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้ความเห็นต่อกรณีการสั่งย้าย ไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จากกรณีที่มีข้อสงสัยว่าเกี่ยวพันกับการเรียกรับผลประโยชน์ จนเกิดการปล่อยตัวผู้ต้องหาในคดี “ตู้ห่าว” หรือขบวนการทุนจีนสีเทา ให้หลบหนีออกนอกประเทศได้

 

สุพิศาลระบุว่า กรณีของอธิบดีดีเอสไอนั้น เชื่อได้ว่าน่าจะมีส่วนรู้เห็นกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงการออกมาให้ข่าว ว่ากรณีการค้นบ้านพักกงสุลนาอูรูร่วมกันระหว่างตำรวจ 191 ดีเอสไอ และทหารนั้น ตัวเองไม่ได้ประสานเพื่อขอให้ดีเอสไอไปทำภารกิจตรวจค้นร่วมกับตำรวจ ทำนองว่าจะโยนความผิดทั้งหมดให้ตำรวจ แต่จากข้อเท็จจริงที่ตนได้มา เชื่อได้ว่ากรณีการตรวจค้นดังกล่าว ดีเอสไอได้เข้าประสานงานกับสถานกงสุลนาอูรูแล้วอย่างไม่เป็นทางการ แต่ด้วยความที่ขั้นตอนตามกฎหมายยังไม่ได้ให้อำนาจดีเอสไอเข้าไปเกี่ยวข้องกับการสืบสวนคดีตู้ห่าว ดีเอสไอจึงได้อาศัยความสัมพันธ์ที่มีกับตำรวจ 191 ขอให้ตำรวจ 191 เป็นเจ้าภาพในการขอหมายและปฏิบัติการตรวจค้น แล้วดีเอสไอจึงเข้าไปร่วมในปฏิบัติการด้วย ซึ่งแม้ในหมายค้นจะไม่มีการระบุถึงความเกี่ยวข้องของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอในปฏิบัติการ แต่ในทางข้อเท็จริงกลับปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าไปเกี่ยวข้อง และยังไปถึงสถานที่พร้อมกับเริ่มปฏิบัติการตรวจค้นก่อนตำรวจ 191 จะมาถึงด้วยซ้ำ

 

สุพิศาล กล่าวว่า ปรากฏว่าผลการตรวจค้นครั้งนั้น มีการระบุในบันทึกการจับกุม ว่าได้จับกุมผู้ต้องหาสตรีชาวจีนที่เป็นแม่บ้านเพียงคนเดียว กับเงินสด 2.5 ล้านบาท ทั้งที่ความจริงแล้วพบตัวผู้ต้องหาตามหมายแดงจากการข่าวถึง 11 คน กับเงินสด 8.5 ล้านบาท ซึ่งเมื่อดูจากภาพคลิปในกล้องวงจรปิดที่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นำมาเปิดเผย ก็จะเห็นได้ว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์จากบุคคลชาวจีนคนหนึ่ง โดยล่ามของดีเอสไออยู่ที่ด้านนอกบ้าน ได้เป็นเงินจำนวน 4 ล้านบาท ก่อนจะมีการปล่อยตัวผู้ต้องหาชาวจีนทั้ง 11 คนไป

 

สุพิศาลยังกล่าวต่อไปว่า ด้วยข้อเท็จจริงภายใต้บริบทเช่นนี้ ประกอบกับการมีเอกสารหลักฐานรายงานของ ผบ.การข่าว ถึงอธิบดีดีเอสไอ เกี่ยวกับกรณีการตรวจค้นจับกุมครั้งนี้ จึงเชื่อได้ว่าอธิบดีดีเอสไอ น่าจะมีส่วนรับรู้กับปฏิบัติการตรวจค้นครั้งนี้ ทั้งนี้ จากการจับกุมตัวผู้ต้องหาที่เป็นล่ามชาวจีนได้ก่อนพยายามหนีออกนอกประเทศ ทำให้บัดนี้เจ้าหน้าที่ทราบถึงข้อมูลเส้นทางการเงินในคดีนี้แล้วว่าไปที่ไหนบ้าง ซึ่งควรจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ในการทำให้ทุกคนได้รู้ว่ากระแสเงินอยู่ที่ไหน มีใครรับไปบ้าง เป็นส่วนแบ่งอยู่ที่ใคร จำนวนเท่าไร

 

ด้าน รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ระบุว่าจากกรณีดังกล่าว เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าทั้งกลุ่มทุนจีนสีเทาและผู้มีอำนาจที่ได้ประโยชน์จากการดำรงอยู่ของกลุ่มทุนจีนสีเทาเหล่านี้ กำลังปฏิบัติการเพื่อบ่อนทำลายกระบวนการยุติธรรมในคดีนี้อยู่ ซึ่งตนขอเรียกร้องให้มีการสอบสวนเพิ่มเติมลงไปอีก ว่ามีหน่วยงานที่รับผิดชอบในคดีตู้ห่าวอื่นใดอีกบ้าง ที่อาจจะมีการทุจริตเรียกรับหรือได้รับผลประโยชน์จากกลุ่มทุนจีนสีเทาเพื่อให้เคลียร์คดีให้

 

รังสิมันต์ กล่าวว่า สำหรับกรณีอธิบดีดีเอสไอนั้น ต้องทำให้มั่นใจได้ว่าตัวของอธิบดีเองและลูกน้องคนสนิท จะอยู่ในฐานะที่ไม่สามารถมีบทบาทต่อกระบวนการตรวจสอบ จนอาจเป็นการยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน เพราะฉะนั้น เพียงแค่การสั่งย้ายไปที่หน่วยงานอื่นในสังกัดกระทรวงเดียวกันย่อมไม่พอ แต่ควรให้ไปอยู่ในจุดอื่นที่เป็นการพักการทำงานไปเลย เพื่อให้กระบวนการสอบสวนเป็นไปโดยความละเอียดรอบคอบ

 

รังสิมันต์ยังระบุด้วยว่า มีความเป็นไปได้ว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับตู้ห่าวและทุนจีนสีเทา ไม่ได้มีแค่ดีเอสไอหรือตำรวจ เป็นไปได้มากว่าจะมีคนที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่านั้นเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะกระทรวงยุติธรรม ซึ่งก็ต้องเรียกร้องไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้มีการสอบสวนโดยละเอียดมากกว่านี้และแสดงความรับผิดชอบมากกว่านี้ด้วย ในฐานะที่ดีเอสไออยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงยุติธรรมโดยตรง และที่สำคัญคือรัฐบาลจะต้องหันมาเอาจริงกับเรื่องนี้ได้แล้ว

 

นี่คือผลของการไม่ยอมทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เอาแต่คิดว่าจะสืบทอดอำนาจอย่างไร หน่วยงานที่สังกัดกระทรวงต่างๆ ที่ดูแลเรื่องนี้อยู่เห็นได้เลยว่าทำงานเละเทะกันไปหมด จนตอนนี้เราแยกแทบไม่ออกแล้วว่าใครคือเจ้าหน้าที่รัฐจริงๆ หรือใครคือโจรกันแน่” รังสิมันต์กล่าว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ทุนจีนสีเทา #ก้าวไกล