โฆษกศาลยุติธรรมแจงปมถอนประกัน
“ตะวัน-แบม” ยันเป็นไปตาม รธน.-กฎหมาย
วันที่
3 ก.พ. 2566 นายสรวิศ ลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม
กล่าวชี้แจงข้อเท็จจริงและแนวทางการพิจารณาและการยกเลิกการปล่อยชั่วคราว
โดยระบุว่า ตามที่มีข่าวในสื่อมวลชน กรณีวันที่ 16 มกราคม 2566 ศาลอาญามีคำสั่งยกเลิกการปล่อยชั่วคราวนางสาว ท. และนางสาว อ.
ผู้ต้องหาในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้น
เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของศาลยุติธรรม
โดยเฉพาะกระบวนการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญา
ศาลยุติธรรมขอแจ้งให้ทราบ ดังนี้
ศาลยุติธรรมมีหน้าที่ตามกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้เสียหาย
ผู้ต้องหา และจำเลย ในคดีอาญา ควบคู่ไปกับการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม
การพิจารณาปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย
ศาลจะดำเนินการตามหลักเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม
ภายใต้มาตรฐานเดียวกันทุกคดี และศาลถือหลักการไม่ปล่อยชั่วคราวเป็นข้อยกเว้น
ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ตลอดจนข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการปล่อยชั่วคราวและวิธีเรียกประกันในคดีอาญา
พ.ศ. 2565
ซึ่งกำหนดให้ศาลต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความหนักเบาแห่งข้อหา
พยานหลักฐานที่ปรากฏ พฤติการณ์แห่งคดี
ตลอดจนภัยอันตรายหรือความเสียหายที่จะเกิดจากการปล่อยชั่วคราว
การพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว
และการกำหนดเงื่อนไขอย่างใดในแต่ละคดีเป็นการใช้ดุลพินิจโดยอิสระขององค์คณะผู้พิพากษาตามกฎหมายภายใต้หลักประกันความอิสระของฝ่ายตุลาการ
ตามมาตรา 188 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งศาลมีระบบตรวจสอบและป้องกันการแทรกแซงการทำหน้าที่ขององค์คณะผู้พิพากษาที่เข้มแข็ง
ในระบบศาลยุติธรรมไม่มีผู้ใดมีอำนาจสั่งการองค์คณะผู้พิพากษาในการวินิจฉัยคดีได้
เมื่อมีการขอปล่อยชั่วคราว
และเข้าเกณฑ์ที่จะอนุญาต ศาลจะมีคำสั่งปล่อยชั่วคราว
โดยวางเงื่อนไขหรือวิธีการที่เหมาะสมและได้สัดส่วนกับพฤติการณ์ให้ผู้ต้องหาปฏิบัติในระหว่างที่ได้รับการปล่อยชั่วคราวตามที่กฎหมายบัญญัติ
เช่น การกำหนดข้อห้ามไม่ให้ทำกิจกรรมบางอย่าง การห้ามเข้าหรือห้ามออกจากสถานที่
การแต่งตั้งผู้กำกับดูแล การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (กำไล EM) หรือการเรียกหลักประกัน
เป็นต้น ดุลพินิจของศาลในการสั่งคดี
มีการตรวจสอบตามลำดับชั้นศาลในทางวิธีพิจารณาคดี คดีนี้
หากศาลอาญาไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว
ผู้ต้องหาก็มีสิทธิที่จะยื่นอุทธรณ์คำสั่งไปยังศาลอุทธรณ์ได้
กรณีนางสาว
ท. พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 ศาลอาญามีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว
โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามมิให้ผู้ต้องหากระทำการในลักษณะแบบเดียวกับที่ถูกกล่าวหา
หรือเข้าร่วมในกิจกรรมใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
หรือทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และให้ติดกำไล EM (โดยความยินยอมของผู้ต้องหา)
คำสั่งศาลอาญานี้
เป็นกรณีที่ศาลเห็นว่า คดีมีเหตุที่จะออกหมายขังได้ตามกฎหมาย
แต่สมควรอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยกำหนดเงื่อนไขให้นางสาว ท. ปฏิบัติ
เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการไปก่อเหตุต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้น
ต่อมาวันที่
18 มีนาคม 2565 พนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง
ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งที่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว
เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงว่า นางสาว ท.
ได้ทำกิจกรรมที่เข้าข่ายเป็นการผิดเงื่อนไข ศาลไต่สวนแล้วพบว่า นางสาว ท.
ปฏิบัติผิดเงื่อนไขจริง จึงมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว
วันที่
20 พฤษภาคม 2565 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล
ใช้ตำแหน่งยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวนางสาว ท. โดยนางสาว ท.
และนายพิธายืนยันรับที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนดทุกประการ
ศาลจึงมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวอีกครั้ง โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกเคหสถาน
เว้นแต่เป็นกรณีเจ็บป่วยหรือได้รับอนุญาตจากศาล
ห้ามทำกิจกรรมในลักษณะเดียวกันกับที่ถูกกล่าวหา ให้ติดกำไล EM (โดยความยินยอมของผู้ต้องหา) และให้ตั้งนายพิธาเป็นผู้กำกับดูแลนางสาว ท.
เงื่อนไขที่ศาลกำหนดดังกล่าว
ศาลกำหนดให้ใช้แก่คดีต่าง ๆ มามากแล้ว
มิใช่เจาะจงใช้เฉพาะแก่คดีนี้หรือคดีกลุ่มนี้ และเป็นการกำหนดตามที่กฎหมายบัญญัติ
เช่น การติดกำไล EM
ก็ดำเนินการภายใต้ความยินยอมของผู้ต้องหาให้ติดได้
การห้ามออกนอกเคหสถานหรือห้ามกระทำการในลักษณะเดียวกันกับที่ถูกกล่าวหา
ก็เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการปล่อยชั่วคราว (ม.108 วรรคสาม)
แม้นางสาว
ท. จะยินยอมสวมกำไล EM
และยอมรับเงื่อนไขห้ามออกนอกเคหสถาน
แต่ก็ได้รับอนุญาตจากศาลให้ไปทำกิจธุระหรือแม้แต่การไปเที่ยวพักผ่อนได้ตามสมควร
ซึ่งนางสาว ท. ได้ขออนุญาตศาลไปทำกิจธุระรวม 19 ครั้ง
ศาลอาญาได้พิจารณาอนุญาตถึง 14 ครั้ง เช่น
นำคอมพิวเตอร์ไปซ่อม ทำบัตรประจำตัวประชาชน ตัดชุดกระโปรงนักศึกษา
ซื้อเอกสารประกอบการเรียน ไปเที่ยวจังหวัดระยอง เล่นบอร์ดเกม ฉลองหลังสอบเสร็จ
ชมงานศิลปะ โดยศาลไม่อนุญาตเพียง 5 ครั้ง
ด้วยเหตุกิจกรรมที่ขออนุญาตไปดำเนินการ
มีลักษณะที่จะผิดเงื่อนไขในการปล่อยชั่วคราว
สำหรับประเด็นเรื่องการนัดไต่สวนกรณีผิดเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวของนางสาว
ท. นั้น เป็นเรื่องที่ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย
โดยการคุมขังหรือปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา
นอกจากศาลต้องให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาแล้ว
ยังต้องคำนึงถึงการคุ้มครองความสงบเรียบร้อยของสังคมควบคู่กันไปด้วย
ซึ่งในคดีที่มีการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวแล้วปรากฏข้อเท็จจริงว่า
ผู้ต้องหาไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนด ศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจดำเนินการไต่สวนเพื่อให้ทราบว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์เช่นนั้นจริงหรือไม่
และสมควรที่จะเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวหรือไม่ทุกคดีไป
ในกรณีของนางสาว
ท. ศาลนัดไต่สวนเพื่อพิจารณาเรื่องการผิดเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราววันที่ 1 มีนาคม
2566 แต่เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2566 นางสาว ท. และนางสาว อ. ยื่นคำร้องขอยกเลิกการปล่อยชั่วคราวตนเอง
ศาลอาญาจึงมีคำสั่งไปตามที่ผู้ต้องหาประสงค์
เพราะพฤติการณ์ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏเข้าเกณฑ์เป็นกรณีผู้ต้องหาแสดงเจตนาว่าไม่อาจปฏิบัติตามเงื่อนไขของการปล่อยชั่วคราวตามที่ผู้ต้องหาและผู้กำกับดูแลรับรองกับศาลไว้ได้
อันเป็นเงื่อนไขสำคัญที่มีขึ้นเพื่อป้องกันภัยอันตราย
หรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการปล่อยชั่วคราวตามกฎหมาย
เมื่อมีการยกเลิกการปล่อยชั่วคราว และศาลมีคำสั่งออกหมายขังแล้ว
จึงไม่ต้องมีการไต่สวนอีก
ศาลยุติธรรมขอย้ำว่า
กระบวนการไต่สวนและการมีคำสั่งออกหมายขังหรือปล่อยชั่วคราว
เป็นการใช้ดุลพินิจโดยอิสระของผู้พิพากษา ปราศจากการแทรกแซงใด ๆ
ทั้งเป็นไปภายใต้รัฐธรรมนูญและกฎหมาย
โดยข้อเท็จจริงในลักษณะเดียวกันก็จะมีการพิจารณาดำเนินการไปในแนวทางและมาตรฐานเดียวกันทุกคดี ทั้งนี้
เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปโดยเสมอภาคและเป็นธรรม
อันจะดำรงไว้ซึ่งหลักความเป็นนิติรัฐและนิติธรรมต่อไป
ที่มาภาพและข่าว
: กรุงเทพธุรกิจ
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ตะวันแบม