“เมื่อ Quick Win ไม่ใช่คำตอบของประเทศไทย: ผ่าทางตันนวัตกรรมไทยด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน” จากงานรีชาร์จประชาชนโดย นัยวุฒิ วงษ์โคเมท เป็น Special Guest ของพรรคประชาชน
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 นัยวุฒิ วงษ์โคเมท อุปนายกสมาคมการค้าอุตสาหกรรมไทยเซมิคอนดักเตอร์ เป็น Special Guest ของพรรคประชาชน ขึ้นกล่าวประเด็น “เมื่อ Quick Win ไม่ใช่คำตอบของประเทศไทย” ในงาน “รีชาร์จประชาชน Recharge the People” ที่สำนักงานใหญ่พรรคประชาชน อาคารอนาคตใหม่ ซอยรามคำแห่ง 42 กรุงเทพฯ ภายใต้ธีม “ธุรกิจไทยยังแข่งกับโลกได้”
โดยนัยวุฒิ วงษ์โคเมท เริ่มด้วยการพูดถึงนวัตกรรมจะเกิดขึ้นได้ และย้ำว่านโยบายรัฐเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่พกากากากากากาลังที่แท้จริงคือการขับเคลื่อนผู้ประกอบการทั้งประเทศ ดังนั้นการผ่าทางตันนวัตกรรมไทยได้จะต้องผลักดันผ่านความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ มหาวิทยาลัย และเอกชน
แก่นของโมเดลที่จะขับเคลื่อนนวัตกรรมเศรษฐกิจเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศได้ คือ ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์ โดยในส่วนของวิศวกรรมศาสตร์สามารถขับเคลื่อนอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ยานยนต์สมัยใหม่ เครื่องมือการแพทย์และยา ซึ่งในส่วนของวิศวกรรมจะร่วมขับเคลื่อนไปด้วยกันกับส่วนของวิทยาศาสตร์ชีวภาพ คือเรื่องของแพทย์-ยา-เกษตร-อาหาร แต่นวัตกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะเกิดขึ้นได้จะต้องมีพื้นฐานจากสังคมและเศรษฐกิจที่พร้อมไม่ว่าจะเป็นด้านการเกษตร การศึกษา หนี้ และโครงสร้างราชการ
โดยสิ่งที่จะรองรับทั้งหมดคือโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ อันได้แก่ไฟฟ้า น้ำ และสิ่งแวดล้อมที่ต้องขับเคลื่อนไปด้วยกันเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง
ดร.นัยวุฒิเห็นว่าต้องมีการกำหนดนโยบายรัฐขึ้นมา 3 เรื่อง เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนนวัตกรรม
1) พัฒนาเชิงโครงสร้าง ต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงมาเป็นคณะกรรมการและคณะทำงาน โดยต้องมองแนวทางธุรกิจ-อุตสาหกรรมออก สิ่งสำคัญคือต้องมีการประเมินผลงานของกรรมการและคณะทำงานรายบุคคลด้วย นอกจากนี้รัฐต้องกำหนดหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพและรับผิดชอบการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมขั้นสูง
2) ใช้นโยบายผลักดัน โดยต้องมีนโยบายสำคัญที่ชัดเจนเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนวัตกรรม เช่น นโยบายจัดซื้อภาครัฐ รัฐควรให้สิทธิประโยชน์เพื่อเป็นแต้มต่อให้แก่ผู้ผลิตที่ใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่พัฒนาโดยคนไทย ออกแบบโดยคนไทย แค่ Made in Thailand ไม่พอ แต่ต้อง Developed in Thailand แต่ผู้ประกอบการด้านนวัตกรรมไม่ควรร่ำรวยจากการขายสินค้าให้กับรัฐบาล รัฐบาลและตลาดภายในประเทศจะเป็นแค่บันไดให้ก้าวไปสู่ตลาดโลก
นอกจากนี้รัฐต้องแถลงนโยบายว่าในอีก 3, 5, 10 ปีข้างหน้ารัฐต้องการผลิตภัณฑ์นี้ สเปคสินค้าเป็นอย่างไร เพื่อทำให้ผู้ประกอบการเตรียมตัวลงมือออกแบบและพัฒนาสินค้าเพื่อนำมาขายให้กับภาครัฐ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาภาคเอกชนให้แข็งแกร่งได้เพราะภาครัฐมีการจัดซื้อมูลค่านับแสนล้านบาทในแต่ละปี
3) ต้องมีงบประมาณสนับสนุนที่ต่อเนื่อง ทุกวันนี้มีการจัดงบประมาณรายปี แต่เราไม่รู้เลยว่าเป็นงบประมาณต่อเนื่องหรือไม่ ควรมีการวางงบประมาณต่อเนื่อง 5-10 ปีไปจนถึง 20 ปีในกรณีที่เราต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
ดร.นัยวุฒิชี้ว่าสิ่งที่หน่วยงานรัฐต้องทำ คือเน้นการปรับตัว มุ่งผลสัมฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืน โดยสิ่งแรกที่ต้องทำคือเริ่มจาก KPI ยกเลิกการใช้ KPI ที่เป็นเพียงตัวเลข เช่น จำนวนคนที่ จำนวนโครงการ แต่ต้องกำหนด KPI ให้มีความท้าทาย โดยมีเป้าหมายที่เป็นผลสำเร็จ ต้องสร้างวัฒนธรรมให้ข้าราชการกล้าทำ สามารถรับความเสี่ยงได้หากโครงการที่ทำนั้นไม่สำเร็จ และเรียนรู้จากความล้มเหลวว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างจากการทำสิ่งนั้น
ทัศนคติในการทำงานต้องมีความรับผิดชอบและช่วยกันทำให้สัมฤทธิ์ผล ตลอดจน Team Thailand ที่ต้องมีการทำงานร่วมกันระหว่างข้าราชการทุกสายงาน ผู้เชี่ยวชาญ ภาคเอกชน ร่วมกันทำงานมากกว่าเพื่อนำไปสู่การสร้างความเปลี่ยนแปลง
ข้าราชการและหน่วยงานรัฐต้องเข้าใจและเชี่ยวชาญในเทคโนโลยี รวมทั้งต้องเข้าใจการพัฒนาธุรกิจ การแข่งขันต้องมองหาตลาดเฉพาะที่เราแข่งได้ เลี่ยงสินค้าแมสมาร์เกตใน mega trend เวลาเราจะแข่งในตลาดโลกเราต้องดูว่าทีมเขามีกี่คน ถ้าทีม NVIDIA มีอยู่ 10,000 คน ทีมเรามี 100 คน มันเป็นไปไม่ได้ เราต้องมองในมุมที่เราเชี่ยวชาญ สินค้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงเร็วมาก อาจเป็นสินค้าอุตสาหกรรมมากกว่าตลาดผู้บริโภค
นอกจากนี้ก็ต้องเข้าใจว่าแต่ละผลิตภัณฑ์มีความท้าทาย ต้องอาศัยเงินทุน และเวลาในการพัฒนา เช่น พัฒนาแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์อาจต้องใช้เงินแสนล้าน ยาหรือวัคซีนต้องใช้เงินหลายพันล้านไมโครชิปขนาดเล็กอาจใช้เงินร้อยล้านบาท
รวมทั้งการสร้างศูนย์บ่มเพาะที่นำโดยผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ส่วนใหญ่เด็กที่จบมาใหม่จะยังไม่มีความรู้มากพอในการพัฒนาทำงานภาคอุตสาหกรรม ดังนั้นควรมีการสอนต่อเนื่องในลักษณะ post graduate เพื่อเพิ่มทักษะภาคอุตสาหกรรม ซึ่งอาจรวมถึงทักษะของอาจารย์ผู้สอนด้วย
ดร.นัยวุฒิกล่าวต่อไปว่า มหาวิทยาลัยควรต้องก้าวออกจากกรอบ (Comfort Zone) สร้างคนให้พร้อม สิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ก็คือเรามีอาจารย์ เรามีคนเก่งที่จบจากสถาบันระดับโลก ทำงานวิจัยระดับโลกตอนที่อยู่ต่างประเทศ เราต้องสร้างระบบนิเวศในมหาวิทยาลัยให้คนเก่งได้มีโอกาสได้เติบโต มีการประเมินบุคลากรโดยวัดผลสำเร็จนอกเหนือจากการตีพิมพ์ผลงาน และเปิดโอกาสให้บุคลากรคุณภาพออกมาสร้างผลงานภายนอก ปัจจุบันเริ่มมีกฎหมายรองรับแล้วแต่การดำเนินงานยังค่อนข้างช้า นอกจากนี้ต้องมีการปรับเปลี่ยนหลักสูตร ภาควิชา คณะ สถาบัน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ถ้าระบบนิเวศน์การทำวิจัยพัฒนาพร้อมทั้งภาคการศึกษาและเอกชน จะเปิดโอกาสให้อาจารย์สามารถสร้างรายได้จากผลงานวิจัยของตัวเอง
ในส่วนของภาคอุตสาหกรรม ต้องสร้างขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก นวัตกรรมเป็นหนทางแห่งการอยู่รอด ไทยต้องแข่งขันในตลาดโลกได้ เราจะไม่สามารถแข่งขันได้ถ้าเรามีสภาพเช่นในปัจจุบัน
ดร.นัยวุฒิย้ำว่าสิ่งที่ต้องระวังมีอะไรบ้าง? เราต้องคำนึงถึงแก่นของเทคโนโลยีที่บริษัทนั้นๆ ซึ่งแต่ละบริษัทจะมีแตกต่างกัน และได้มายาก แต่เมื่อมึแล้วสามารถพลิกแพลงเพื่อผลักดันผลิตภัณฑ์ออกมาได้หลากหลาย ในประเทศไทยมีการวิจัยและพัฒนาน้อย ดังนั้นสิ่งที่ขาดมากกว่านักวิจัยและพัฒนาก็คือคนที่จะมาผลักดันแผนกวิจัยและพัฒนาซึ่งเป็นสิ่งที่หายากที่สุด ดังนั้นอาจจะต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ หรือคนไทยที่ทำงานอยู่ในต่างประเทศเข้ามาช่วยขับเคลื่อนในระยะแรก
ขอทิ้งท้ายว่าควรผลักดันนวัตกรรมแบบไร้พรมแดน เราไม่จำเป็นต้องออกแบบในเมืองไทยทั้งหมด เราสามารถซื้อบริษัท ลิขสิทธิ์ ทรัพย์สินทางปัญญาได้ แต่ทีมวิจัยหลักต้องอยู่ในเมืองไทยก่อน นอกจากนี้แบรนด์เป็นสิ่งสำคัญ ธุรกิจควรสร้างแบรนด์ไทยในตลาดโลก หรือซื้อแบรนด์ระดับโลกมาเป็นของคนไทย
สำหรับข้อเสนอที่มีต่อพรรคประชาชน นัยวุฒิสรุปว่า เราควรทำ Sustainable win ไม่ใช่ Quick win และอาจใช้เวลามากกว่า 10 ปี เราต้องแก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน เราควรตั้งเป้าหมายให้สูงและท้าทาย เช่น สร้างบริษัทสตาร์ทอัพมูลค่า 1,000 ล้านบาท เป็นจำนวน 1,000 บริษัท ภายใน 10 ปี ซึ่งหมายถึง 1 ล้านล้านบาทภายใน 10 ปี สิ่งนี้จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจเราได้ และขอฝากสิ่งสุดท้ายว่า วัฒนธรรมการทำงานของคนไทยต้องเปลี่ยน อยากเห็นคนไทยที่สู้งาน ไปทำงานและขยายธุรกิจที่ไหนในโลกก็ได้
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #QuickWin #รีชาร์จประชาชน




