แคนดิเดตนายกฯ พรรคประชาชนพบสมาคมนักธุรกิจญี่ปุ่น เสนอวิสัยทัศน์รัฐบาลประชาชน สร้างเศรษฐกิจมั่นคง-งานคุณภาพให้คนไทย หวังญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรร่วมลงทุนเทคโนโลยีอนาคต
วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 ที่อาคารรัฐสภา ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุธ หัวหน้าพรรคประชาชน และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่ 1 พร้อมด้วยศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายนโยบาย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ร่วมด้วย ดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคฝ่ายยุทธศาสตร์ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 เข้าประชุมหารือกับ Keidanren หรือ สหพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น (Japan Business Federation) ซึ่งเป็นองค์กรเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของภาคเอกชนญี่ปุ่น ประกอบด้วยบริษัทเอกชนชั้นนำกว่า 1,500 บริษัท สมาคมเฉพาะอุตสาหกรรม และสมาคมเศรษฐกิจระดับภูมิภาคของญี่ปุ่น โดยเคย์ดันเร็นเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการเสนอแนะแนวนโยบายเศรษฐกิจและการค้าต่อรัฐบาลญี่ปุ่น
ณัฐพงษ์กล่าวทักทายคณะนักธุรกิจญี่ปุ่นและแนะนำตัวสั้นๆ เป็นภาษาญี่ปุ่น เรียกเสียงปรบมือชื่นชมจากคณะนักธุรกิจกว่า 40 คน ก่อนที่จะกล่าวว่าพรรคประชาชนตระหนักดีว่าญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรที่สำคัญของไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในด้านการค้าการลงทุน สร้างงานและรายได้ที่มั่นคงให้กับคนไทย ในโอกาสที่ประเทศไทนกำลังจะเข้าสู่การเลือกตั้งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า พรรคประชาชนในฐานะพรรคอันดับหนึ่งของประเทศ มีความตั้งใจจะจัดตั้งรัฐบาล เข้าสู่การบริหารประเทศให้ได้ในต้นปีหน้า โดยหนึ่งในนโยบายหลักที่พรรคจะทำ คือการนำประเทศไทยไปอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของ Global Supply Chain ซึ่งพรรคประชาชนเชื่อว่าญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรที่เราจะร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ผลิตสินค้ามูลค่าสูง และสร้างงานที่มีคุณภาพให้กับคนไทย
นอกจากนี้พรรคยังมีนโยบายในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการประกอบธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการไทยและต่างชาติ โดยมุ่งเน้นการบริหารที่โปรงใส ปลดล็อกกฎระเบียบที่ล้าสมัย หรือสร้างความยุ่งยากต่อการประกอบธุรกิจ ทั้งนี้ พรรคประชาชนตั้งเป้าว่าจะแสวงหาอุตสาหกรรมใหม่ๆ และเพิ่มนักลงทุนต่างชาติ ให้เข้ามาประกอบกิจการและแบ่งปันนวัตกรรมกับไทย
ด้านซูซูกิ จุน ผู้แทนสมาคมเคย์ดันเร็น ยืนยันว่าสิ่งที่ผู้ประกอบการญี่ปุ่นต้องการมากที่สุดตอนนี้ คือการรักษาซัพพลายเชนของญี่ปุ่นในไทยที่มีมาอย่างยาวนาน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในระบบอุตสาหกรรมโลก และสำหรับนักธุรกิจญี่ปุ่น สิ่งที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจลงทุน คือการมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ ได้แก่ความเปิดกว้างและโปร่งใส จึงต้องการคำมั่นสัญญาว่ารัฐบาลไทยจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
ซูซูกิ ยังกล่าวว่าญี่ปุ่นและไทยควรเพิ่มความร่วมมือทวิภาคีในอุตสาหกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสีเขียว และอุตสาหกรรมดิจิทัล โดยซซูกิระบุว่า สิ่งที่ญี่ปุ่นมั่นใจว่าเป็นผู้มีนวัตกรรมดีที่สุดในโลก และสามารถมาลงทุนในไทยได้แน่นอน คือ BESS (Battery Energy Storage System) หรือ ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นระบบที่ใช้แบตเตอรี่ในการเก็บพลังงานไฟฟ้าไว้ใช้ในเวลาที่ต้องการ ระบบนี้ทำงานโดยการเก็บพลังงานส่วนเกินไว้ในแบตเตอรี่ในช่วงที่มีการผลิตไฟฟ้าสูงหรือความต้องการใช้น้อย แล้วนำมาจ่ายออกในช่วงที่ความต้องการไฟฟ้าสูงขึ้นหรือเมื่อแหล่งพลังงานไม่เพียงพอ
ซซูกิยังย้ำว่าไทยควรใช้กรอบความร่วมมือที่มีอยู่แล้วกับญี่ปุ่น เช่น EPA (ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ) และ RCEP (ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค) ให้เกิดประโยชน์กว้างขวางมากขึ้น
ณัฐพงษ์ยืนยันว่า การบริหารประเทศแบบโปร่งใส Lean and Clean Thailand เป็นนโยบายหลักของพรรค จึงขอให้ผู้ประกอบการญี่ปุ่นมั่นใจได้ว่าหากพรรคประชาชนบริหารประเทศ จะมีการสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่โปร่งใส เปิดกว้าง เป็นธรรมกับผู้ประกอบการ
จากนั้น วีระยุทธ ได้เสนอนโยบายเศรษฐกิจของพรรคประชาชน ที่มุ่นเน้น “Look North” หรือการมองหาพัธมิตรด้านการลงทุนและการแบ่งปันนวัตกรรมจากภูมิภาคเอเชียตะวันออก รวมถึงญี่ปุ่น พรรคมีนโยบาย Orange Megaprojects ซึ่งมุ่งเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ในขณะเดียวกันก็กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนโดยภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุน Smart grid หรือระบบส่งไฟฟ้าอัจฉริยะ ระบบจัดการขยะ และระบบขนส่งมวลชนทั่วถึงทั้งประเทศ ซึ่งพรรคประชาชนเชื่อว่าจะสามารถเชิญชวนผู้ประกอบการญี่ปุ่นมาสร้างซัพพลายเชนใหม่ผ่านการลงทุนเหล่านี้ได้
ทั้งนี้ ผู้แทนญี่ปุ่นได้ชื่นชมว่ายุทธศาสตร์นโยบายเศรษฐกิจดังกล่าวเป็นแผนการที่เยี่ยมยอด แต่ญี่ปุ่นยังมีความกังวลว่าจะสามารถปฏิบัติให้เกิดผลจริงได้หรือไม่ โดยความกังวลของญี่ปุ่นคือเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองไทย และบทบาทของไทยในระยะหลังที่ไม่ค่อยรักษาสมดุลระหว่างชาติมหาอำนาจอย่างระมัดระวัง ในประเด็นนี้ ชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร รองหัวหน้าพรรคฝ่ายต่างประเทศ ได้ให้คำมั่นว่าหากพรรคประชาชนได้บริหารประเทศ จะบริหารบนหลักความโปร่งใส ยึดมั่นในธรรมาภิบาล ให้ความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการทุกประเทศ และปรับความสัมพันธ์กับพันธมิตรแต่ละประเทศให้มีความสมดุลมากขึ้นอย่างแน่นอน
การหารือครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการทำงานระหว่างพรรคประชาชนกับสหพันธุ์ธุรกิจญี่ปุ่น โดยทั้งสองฝ่ายจะหาโอกาสในการประชุมลงรายละเอียดระดับเซกเตอร์ในอนาคตต่อไป เพื่อรักษาและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นให้มั่นคงและยั่งยืนยิ่งขึ้น
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน













