“พรรคประชาชน” จับพิรุธ “รัฐบาลอนุทิน” เร่งรัดรับซื้อไฟฟ้า
หวังเติมกระสุนไปเลือกตั้งหรือไม่? เปิดข้อมูลไฟฟ้าสำรองล้นระบบ
ซื้อเพิ่มยิ่งผลักภาระประชาชนแบกค่าไฟแพง ชี้วงจรแจกโรงไฟฟ้าเอื้อทุนพลังงานเกิดซ้ำซาก
3 การเลือกตั้ง
พร้อมเรียกร้องรัฐบาลชะลอเซ็นโครงการใหม่ทั้งหมด
วันที่
20 พฤศจิกายน 2568 ที่รัฐสภา วรภพ วิริยะโรจน์ และ
ศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แถลงข่าวตั้งคำถามต่อรัฐบาลอนุทิน
ชาญวีรกูล กรณีมีมติเร่งรัดการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนทั้งในโครงการ RE Big
Lot และโซลาร์ฟาร์มชุมชน รวมกว่า 3,600 เมกะวัตต์ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
ทั้งที่ประเทศไทยมีไฟฟ้าสำรองล้นระบบอยู่แล้ว
การเดินหน้ารับซื้อไฟเพิ่มโดยไม่มีความจำเป็นทางเทคนิค
ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าแท้จริงแล้วรัฐบาลทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ
หรือเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มทุนและกลุ่มการเมืองกันแน่
โดยศุภโชติกล่าวว่า
โครงการ RE
Big Lot ขนาด 2,100 เมกะวัตต์เป็นปัญหาที่คาราคาซังมาตั้งแต่รัฐบาลก่อน
ซึ่งเคยมีมติชะลอการรับซื้อเพราะราคารับซื้อสูงเกินไปและควรเจรจาใหม่
แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นรัฐบาลอนุทิน มติที่ออกมากลับเป็นการ “เดินหน้าต่อในราคาเดิม”
ที่ 2.1679 บาทต่อหน่วย โดยไม่ยอมลดราคาแม้แต่สตางค์เดียว
ทั้งที่ต้นทุนโซลาร์เซลล์ทั่วโลกวันนี้ลดลงมากแล้ว
การเดินหน้าตามราคานี้เท่ากับล็อกภาระต้นทุนให้ประเทศไปอีกกว่า 25 ปี
และจะถูกส่งกลับมาในรูปแบบค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่ายแพงขึ้นโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
ไม่เพียงเท่านั้น
รัฐบาลยังเปิดรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มอีก 1,500 เมกะวัตต์ ในนาม
“โซลาร์ฟาร์มชุมชน”
ทั้งที่โครงสร้างของโครงการยังเป็นการลงทุนโดยทุนใหญ่เหมือนเดิม
ส่วนชุมชนยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีบทบาทในการบริหารหรือขายไฟฟ้าจริงอย่างไร
และที่สำคัญคือราคารับซื้อไฟฟ้าถูกกำหนดไว้สูงถึง 2.25 บาทต่อหน่วย
แพงกว่าโครงการ RE Big Lot เสียอีก ความต่างเพียง 8 สตางค์นี้ เมื่อกระจายไปในระบบไฟฟ้าทั้งประเทศ
จะกลายเป็นภาระที่ประชาชนทุกคนต้องร่วมกันแบกรับ
ทั้งที่ไฟฟ้าของประเทศมีมากเกินพออยู่แล้ว
ด้าน
วรภพ มองว่าปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์การเมืองพลังงานไทย
ก่อนการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 2562 ในเดือนมกราคมปีนั้นมีการอนุมัติโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่
1,940 เมกะวัตต์ให้กับเอกชนโดยไม่มีการเปิดประมูล
ต่อมาก่อนการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม 2566 ในเดือนเมษายนปีเดียวกัน
ก็มีการประกาศรายชื่อเอกชนที่ได้รับคัดเลือกรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 5,200
เมกะวัตต์ (RE Big Lot) และ
โครงการโซลาร์ชุมชน 1,500 เมกะวัตต์
ที่เพิ่งมาอนุมัติในเดือนตุลาคม 2568
วรภพตั้งข้อสังเกตว่า
ทั้งหมดเหมือนเป็นหนังม้วนเดิม แทบทุกครั้งก่อนมีการเลือกตั้ง
รัฐบาลในเวลานั้นมักมีนโยบายอนุมัติ “ซื้อไฟฟ้าเพิ่ม”
ตามออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับเป็นธรรมเนียมทางการเมือง
มากกว่าการวางแผนพลังงานเพื่อความมั่นคงของประเทศ สิ่งที่เกิดขึ้นอาจสะท้อนรูปแบบการ
“แจกโรงไฟฟ้า” ให้กลุ่มทุนที่มีบทบาทในการสนับสนุนทางการเมือง
ซึ่งทำกันมาทุกยุคทุกสมัย แต่ประชาชนคือผู้ที่ต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้นเป็นสิบๆ ปี
ทั้งที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อปัญหา
ทำให้ต้องตั้งคำถามต่อรัฐบาลอนุทิน
ว่าการเร่งรับซื้อไฟฟ้าเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะความจำเป็นทางพลังงาน
หรือเพราะความจำเป็นทางการเมืองกันแน่ การเดินหน้าซื้อไฟฟ้าจากเอกชนในราคาสูง
ทั้งที่ระบบไฟฟ้าล้นเหลือ จะทำให้ประชาชนต้องแบกรับค่าไฟในอัตราที่สูงขึ้น
อีกทั้งยังทำให้ประเทศเสียโอกาสในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านที่สามารถผลิตไฟฟ้าสะอาดได้ในราคาถูกกว่าและมีความโปร่งใสกว่า
พรรคประชาชนย้ำว่าหากรัฐบาลยังคงเดินหน้าเช่นนี้
“Quick
Big Win” ที่ประกาศไว้ จะไม่ใช่ชัยชนะของประชาชน แต่จะเป็น “Quick
Big Win ของกลุ่มทุนพลังงาน”
ขณะที่ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้นโดยไม่สามารถเลือกอะไรได้เลย
พรรคประชาชนเสนอให้รัฐบาลชะลอการลงนามสัญญาโครงการใหม่ทั้งหมดจนกว่าจะมีการทบทวนแผนพลังงาน
PDP ฉบับใหม่อย่างโปร่งใส
พร้อมปรับรูปแบบการรับซื้อไฟฟ้าให้เอื้อประโยชน์ต่อประชาชน
ไม่ใช่กลุ่มทุนเพียงไม่กี่ราย
คำถามสุดท้ายที่พรรคประชาชนอยากให้รัฐบาลตอบอย่างตรงไปตรงมาคือ
การรับซื้อไฟในครั้งนี้ทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนจริง
หรือเป็นการเตรียมทุนสำหรับการเมืองในอนาคต?
