วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

ชัยวัฒน์ พรรคประชาชน เปิดมาตรการจัดการขบวนการฟอกเงินทุนเทาในตลาดไทย ทุนเทาไม่ใช่เรื่องไกลตัว ร่วมปกป้องเหยื่อคนไทยจากสแกมเมอร์

 


ชัยวัฒน์ พรรคประชาชน เปิดมาตรการจัดการขบวนการฟอกเงินทุนเทาในตลาดไทย ทุนเทาไม่ใช่เรื่องไกลตัว ร่วมปกป้องเหยื่อคนไทยจากสแกมเมอร์


วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2568 ที่สำนักงานใหญ่พรรคประชาชน อาคารอนาคตใหม่ ซอยรามคำแห่ง 42 กรุงเทพฯ ชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร พูดถึง “มาตรการจัดการขบวนการฟอกเงินทุนเทาในตลาดทุนไทย” ในงาน “รีชาร์จประชาชน Recharge the People” ภายใต้ธีม “เอาจริง! มาตรการจัดการทุนเทายึดประเทศ” 


ทุนเทาในตลาดทุนไทยไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะคนไทยเป็นทั้งเหยื่อจากการหลอกลวงและเป็นทั้งเหยื่อจากการฟอกเงิน คนไทยโดนหลอกให้สูญเสียเงินให้สแกมเมอร์ เป็นอันดับ 3 ของเอเชียรองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย ตกปีละ 13,000 ล้านบาท เงินที่โดนหลอกเหล่านี้ไหลไปที่สแกมเมอร์เซนเตอร์แถวชายแดนไทย ทั้งพม่าและกัมพูชา 


การจะเอาเงินสกปรกไปฟอกเงินและนำไปทำเอาไปทำธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ นั้นยุ่งยาก ในขณะที่ ตลาดทุนไทยของเรามีขนาดประมาณ 16 ล้านล้านบาท ดังนั้น การเอาเงินจากสแกมเมอร์ใส่เข้ามาในบริษัทขนาดใหญ่ก็ทำให้ไม่ต้องไปฟอกเล็กฟอกน้อย การเอาเงินสกปรกเหล่านี้เข้ามาฟอกในตลาดทุนจึงเป็นทางเลือกของกลุ่มอาชญากรเหล่านี้ 


ชัยวัฒน์สะท้อนให้เห็นถึงดุลบัญชีเดินสะพัด เงินไหลเข้าวัดกับเงินไหลออก เงินไหลเข้าไทยในส่วนที่เรียกว่า Error and Omissions คือเราไม่รู้ว่ามันคืออะไร หลังโควิดมีเงินไหลเข้า 8.6% เศรษฐกิจหลังโควิดไม่ดี แต่กลับมีเงินปริศนาไหลเข้ามาซื้อบาท ทำให้บาทแข็ง กระทบทุกจุด คนส่งออกลำบาก ต้นทุนสู้เวียดนามไม่ได้ ความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนราคาต้นทุนก็สู้ลำบาก ทำให้เศรษฐกิจไทยขายออกลำบาก เงินในกระเป๋าคนไทยลดลง เศรษฐกิจย่ำแย่ที่เผชิญอยู่ ส่วนหนึ่งมาจากทุนเทา เพราะฉะนั้น เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เป็นการพูดถึงในแง่การเมืองเท่านั้น แต่พูดถึงความอยู่รอดของประชาชนไทย 


พรรคประชาชนต่อสู้เรื่องกำจัดทุนเทาเพราะต้องการให้คนสุจริตได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก เอาทุนดำ ทุนเทาที่เอาเปรียบเราออกไปจากประเทศ ให้คนไทยที่ทำธุรกิจสะอาดมีโอกาสเติบโตและต่อสู้ไปด้วยกัน


ผลลัพธ์จากทุนเทายึดรัฐไทย โดยเอาอำนาจรัฐไปเอื้อประโยชน์ให้ทุนต่างชาติที่เป็นทุนเทา Tom Wright เปิดเผยให้เห็นถึง MOU อัปยศ การลงนามระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) กับกองทุน VCC ปริศนา กองทุน Variable Capital Company จดทะเบียนที่สิงคโปร์ เป็นการวางโครงสร้างการลงทุนที่ไม่สามารถติดตามหาเจ้าของที่แท้จริงได้ มีการใช้ VCC เพื่อซ่อนผู้ถือหุ้น เป็นที่น่าสงสัยว่ากระทรวงดิจิทัลของเราไปแอบเซ็น MOU แบบนี้ ไม่มีการบอกประชาชนก่อน ไม่มีการประกาศคัดเลือกก่อน เจตนาคืออะไร?


MOU ที่ว่านี้อนุญาตให้กองทุนที่มาจด สร้างสองอย่าง คือการทำ Digital Economy Regulatory Sandbox (DERS) สร้างอาณาเขตขึ้นมาเป็นสนามเด็กเล่น Sandbox เพื่อทำธุรกิจคริปโต มีการถือหุ้นต่างๆ และแจกวีซ่าต่างชาติ 500 อัตรา และก่อตั้ง Thailand International Digital Business & Finance Centre (TIDC) เป็นโครงสร้างบริษัทที่เอามาทำหน้าที่คล้ายกับเป็นนายหน้าเก็บค่าเช่าคนทำธุรกิจเกี่ยวกับคริปโต มีการถือหุ้นโดยรีวิน เพทายบรรลือ และตัว Prime Opportunity Fund VCC (กองทุนนิรนามใช้โครงสร้าง VCC สิงคโปร์) 


ตามที่ Tom Wright รายงาน รีวิน เพทายบรรลือ คือนักธุรกิจและนักการเงินผู้ก่อตั้งกลุ่มการเงิน PrimeStreet Advisory ซึ่งบริษัทนี้เคยถือหุ้นระยะเริ่มต้น 25% ใน BIC Bank Cambodia ธนาคารกัมพูชาของ ยิม เลียก และยังก่อตั้งบริษัทขึ้นมา 3 แห่งคือ TIDC จำกัด, TIDC Holdings และ TIDC Worldverse โดยบริษัท TIDC ทั้งหมดนี้มี George Tan เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม และยังเป็นซีอีโอของ Capital Asia Investments (CAI) และมีความพยายามเข้ามาซื้อหุ้นบางจาก 


คำถามสำคัญ ทำไม กระทรวง DES ถึงเซ็น MOU แบบนี้ได้ 


หน่วยงานอย่าง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หรือ ป.ป.ง. ยังไม่มีความคืบหน้าในการสอบสวน การทำธุรกิจพวกดิจิทัลหรือคริปโตอยู่ภายใต้ ป.ป.ง. และการบริหารจัดการกลุ่มบริษัท ERX และกลุ่มบริษัท TIDC มีชื่อ George Tan ซึ่งเป็น Chief Commercial Officer (COO) ของ CAI เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามบริษัทส่วนใหญ่ (3 จาก 5 บริษัท กรณี ERX) หรือทั้งหมด (4 จาก 4 บริษัท กรณี TIDC) ทั้งที่ไม่มีชื่อ CAI ปรากฏเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทสองกลุ่มนี้ 


ก.ล.ต.ควรสอบสวนว่า George Tan มานั่งเป็นกรรมการบริษัทสองกลุ่มนี้ในฐานะใด CAI มีบทบาทอย่างไร เนื่องจาก ERX ดำเนินธุรกิจกระดานเทรดคริปโต (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น KuCoin Thailand) ที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. ส่วน TIDC เป็นบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจหลักของ WorldCoin ซึ่งมาสแกนม่านตาคนไทยแลกคริปโต (ข่าวล่าสุด ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2025 “ก.ล.ต. ผนึกตำรวจไซเบอร์ ทลายธุรกิจเถื่อนรับแลกเหรียญ WorldCoin” โดยแจ้งข้อหา ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาต)


ชัยวัฒน์ระบุว่า สิ่งนี้สะท้อนว่า “เงินเทาสั่งรัฐไทยได้” ให้รัฐเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจเหล่านี้ที่อยู่ใน Sandbox เขียนนโยบายเกี่ยวกับการทำธุรกิจ Digital Business and Financial Center สอดคล้องกับความพยายามในปีที่ผ่านมาๆ ของรัฐบาลไทย ที่พยายามจะผลักดันการเป็นฮับดิจิทัล หรือ Digital Asset Hub ในบางพื้นที่ เพราะมันเป็นช่องทางที่เอาไว้โอนเงินเข้า-ออกได้ แบบที่ติดตามยาก ไร้ตัวตนสูง คนฟอกเงินต้องการมาก โดยเฉพาะ Digital Asset เพื่อหลบเลี่ยงระบบธนาคาร สามารถโอนได้จำนวนมาก 


การเข้ายึดอำนาจรัฐ สามารถสั่งกระทรวง หน่วยงานรัฐให้ลงนามเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องได้ ทำให้ทุนเทาเข้ามาใช้ตลาดทุนไทย ซื้อบริษัทต่างๆ ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์และเข้ามายึดอำนาจรัฐผ่านการเข้าครอบครองธุรกิจพลังงานซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลกำกับของกระทรวงพลังงาน โดยพบว่ามีนักลงทุนรายใหญ่พยายามเข้ามาซื้อหุ้นบางจาก


สำนักงานประกันสังคมถือหุ้นบางจากอยู่ 14% เป็นเงินจากประชาชนซึ่งเป็นผู้ประกันตน 20 กว่าล้านคน โดยกองทุนวายุภักดิ์ก็มาจากภาษีประชาชน คนที่ตัดสินใจสั่งซื้อ-ขาย ปรับพอร์ตคือเจ้าหน้าที่บางคนที่มีอำนาจตัดสินใจ เงินเทาเข้าไปครอบงำคนที่มีอำนาจตัดสินใจเหล่านี้ โดยกองทุน CAI เข้ามาซื้อหุ้นบางจาก แต่เมื่อปรากฏเป็นข่าวมากขึ้น กองทุน CAI จึงขายหุ้นบางจาก (BCP) ออกไปให้กับบริษัท ACE หรือ ALPHA Chartered Energy (ACE) ซึ่งมีเจ้าของในกลุ่มเดียวกัน ทำให้มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ ACE ถือหุ้นบางจากถึง 20% 


มีการตั้งข้อสังเกตว่า บริษัท ACE เพิ่งจดทะเบียนก่อตั้งเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ด้วยทุนจดทะเบียนเพียง 50 ล้านบาท แต่ภายในเวลาไม่ถึง 3 เดือน บริษัทนี้กลับใช้เงินมหาศาลราว 8,600 – 10,000 ล้านบาท เพื่อเข้าซื้อหุ้น BCP ถึง 20% ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเกือบ 200 เท่าของทุนจดทะเบียน คำถามสำคัญคือ ‘ใคร’ คือเจ้าของเงินทุนมหาศาลจำนวนนี้ และเหตุใดจึงต้องใช้บริษัทที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่เป็นเครื่องมือในการลงทุน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #รีชาร์จประชาชน #ทุนเทา #สแกมเมอร์