วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

“กระทรวง DES แบบไหนที่ไทยต้องมี” จากงานรีชาร์จประชาชนโดย ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ


“กระทรวง DES แบบไหนที่ไทยต้องมี” จากงานรีชาร์จประชาชนโดย ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ


วันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ทีมนโยบายเศรษฐกิจพรรคประชาชน ขึ้นกล่าวประเด็น “กระทรวง DES แบบไหนที่ไทยต้องมี” ในงาน “รีชาร์จประชาชน Recharge the People” ที่สำนักงานใหญ่พรรคประชาชน อาคารอนาคตใหม่ ซอยรามคำแห่ง 42 กรุงเทพฯ ภายใต้ธีม “ธุรกิจไทยยังแข่งกับโลกได้”


โดยภาวุธเริ่มจากฉายภาพกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวง DE) ว่ามีหน่วยงานในกำกับหลายหน่วย มีส่วนราชการ 5 แห่ง สำนักงาน 4 แห่ง และรัฐวิสาหกิจ 2 แห่ง งบกระทรวงปี 2569 อยู่ที่ 10,223 ล้านบาท มีเจ้าหน้าที่ 4,646 คน มีรายได้ประมาณ 30,000 กว่าบาทต่อคน 


ถ้าเปรียบเป็นบริษัท กระทรวง DE จะเปรียบเป็น CTO ของประเทศ (Chief Technology Officer: CTO ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็น CEO หลายประเทศทั่วโลกใช้เทคโนโลยีในการเปลี่ยนประเทศ และมีฝ่ายขายเป็น DEPA ที่สนับสนุนเรื่องการทำโปรโมชั่น มีฝ่ายพัฒนาธุรกิจ (Business Development: BD) เป็น สนง. ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ (สดช.) สนง. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) และ ETDA 


มีฝ่าย DATA เป็นสำนักงานสถิติแห่งชาติที่สำรวจแต่เรื่องคน, GDBI (Government Big Data Institute), กรมอุตุนิยมวิทยา มีฝ่าย Admin และ HR เป็นสำนักงานปลัดกระทรวง มีฝ่าย Logistics เป็นไปรษณีย์ไทย และมี Network & Communication เป็น NT (บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ)


ภาวุธเผยว่าวันนี้ปัญหาประเทศไทย ดังนี้ รัฐขาดความโปร่งใส รัฐขาดประสิทธิภาพ ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน ถ้าจะเอาดิจิทัลเข้ามาแก้ไข เราจะใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนประเทศอย่างไร สามารถแบ่งได้เป็น 4 เสาหลัก ดังนี้ 1) Digital Government รัฐ-ราชการ 2) Digital Economy ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 3) Digital People 4) Digital Infrastructure โครงสร้างพื้นฐาน 


ปัญหาวันนี้คือทุกกระทรวงยังทำงานแบบเดิม เราจะเอาเทคโนโลยีไม่ใช่แค่เปลี่ยนกระทรวง DE เท่านั้น แต่จะเอาเทคโนโลยีมาเปลี่ยนทุกกระทรวง 


1) CTO ประเทศไทย ใช้เทคโนโลยีเปลี่ยนประเทศไปพร้อมกันทุกกระทรวง


โดยที่เราจะต้องมี CTO ทุกกระทรวงและทำงานร่วมกัน ทำเป็น Group CTO เราจะยกระดับการทำงานภาครัฐและใช้เทคโนโลยีเปลี่ยนประเทศไปด้วยกัน เพื่อให้มีเทคโนโลยีในทิศทางเดียวกัน โดยทุกกระทรวงมี CTO ที่ทำงานร่วมกับทุกกระทรวงได้ ไม่ปล่อยให้ทำงานแยกกัน


นอกจากนี้ DTA (สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล) มีระบบการทำงานที่ครบวงจร ทั้งระบบอีเมล์ ระบบประชุม แต่ไม่ค่อยมีคนใช้งาน แม้จะเป็นโปรแกรมที่ทำงานดีมาก แต่ละหน่วยงานกับใช้แพลตฟอร์มเมืองนอก ไม่ใช้ของไทย ภาครัฐใช้งานแพลตฟอร์มกระจัดกระจายมาก ไม่มีใครมองภาพรวมในการใช้เทคโนโลยี ควรจะนำมาใช้เพื่อลดการพึ่งพาต่างชาติและเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลภายในประเทศมากขึ้น


2) Country & City Dashboard & KPI (Open Data)


ในส่วนของ DATA เราควรมี Dashboard ของประเทศ (การนำข้อมูลต่างๆ มาสรุปให้เห็นภายในหน้าเดียว) เพื่อนำมาใช้ในระดับอำเภอ และระดับตำบลได้ โดยการเอา DATA เป็นตัวกำหนด โดยที่ Dashboard ตัวนี้จะสามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากทุกหน่วยงานของภาครัฐให้เราได้เห็นข้อมูล 


ประชาชนสามารถเห็นได้ว่าจังหวัดฉันเป็นอย่างไรบ้าง ข้อมูลอำเภอ-ตำบลเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้ อบจ. ลำพูน เริ่มทำแล้ว ทำ Dashboard ของงบประมาณว่ามีกี่โครงการ แต่ละโครงการมีอะไรบ้าง ทำให้เห็นเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่แต่ละอำเภอ แต่ละจังหวัดไปกับอะไรได้บ้าง เราสามารถกดเข้าไปดูข้อมูลได้เลย


วันนี้เรา Dashboard หลายอย่าง ตัวอย่างเช่น Dashboard ของ คิดค้า.com มีคนใช้น้อยมาก เราสามารถดูข้อมูล GDP ของประเทศไทย ดูการนำเข้า-ส่งออกของไทย แต่คนไม่ค่อยใช้เพราะข้อมูลกระจัดกระจายอยู่ ถ้ารวมเป็น Country Dashboard เราจะทำงานได้ง่ายขึ้น 


3) National LLM (AI) ราชการไทยใช้ AI


เรามีการวิจัย AI ในหลายหน่วยงาน แต่ไม่มีใครใช้ มีการทำงานแยกส่วนระหว่างคนทำวิจัย และคนใช้งาน เราสามารถผลักดัน LLM ให้เอา AI ที่คนไทยทำมาใช้ในหน่วยงานภาครัฐ ผลักดันให้มีการใช้ AI ในหน่วยงานราชการจริง โดยให้กระทรวง DE เป็นผู้ผลักดัน


4) Digital Government 4 แกนหลัก (Doc, Pay, ID, Data)


ถ้าเราเปลี่ยนการทำงานภาครัฐจากกระดาษให้เป็นดิจิทัลทั้งหมด จะตรวจติดตามง่าย สามารถยืนยันตัวตนได้ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทันที 


ประโยชน์ 3 มิติของการปรับมาใช้ Doc, Pay, ID และ Data


ในส่วนของภาครัฐจะทำให้ทำงานได้เร็วขึ้น ลดต้นทุนกระดาษ มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และตัดสินใจได้ด้วยข้อมูล (Data) ในส่วนของประชาชน ทำให้เกิดความสะดวก จบงานได้ในที่เดียว ไม่ต้องทำสำเนาหรือถ่ายเอกสาร บริการได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง 7 วัน และทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น ในส่วนของประเทศ ทำให้เศรษฐกิจเติบโต (GDP) ดึงดูดการลงทุนได้ ลดความเหลื่อมล้ำ มุ่งสู่ Digital Nation เป็นการเปลี่ยนภาครัฐซึ่งมีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามันกระจัดกระจาย


5) Government Cybersecurity & Task Force เรื่องความปลอดภัย 


วันนี้มีการโจมตีไซเบอร์ทั่วโลก ไทยก็เป็นหนึ่งในเป้าหมาย เวลามีการแฮกข้อมูล หน่วยงานภาครัฐโดนแฮกเละเทะ สิ่งแรกที่ Barack Obama ทำเมื่อขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคือการเปลี่ยนโทรศัพท์ เพราะสิ่งที่คุณคุย สิ่งที่สื่อสาร เป็นความลับประเทศ บางคนใช้ LINE สื่อสาร คุณต้องใช้เครื่องมืออื่นๆ ที่เป็นของรัฐเพื่อสื่อสาร การยกระดับความปลอดภัยเรื่อง Cybersecurity ของประเทศสำคัญมาก ต้องให้น้ำหนักในการป้องกันประเทศ เพราะการรบครั้งต่อไปไม่ใช่การยิงจรวด แต่เป็นการแฮกระบบเพื่อแก้โครงสร้างพื้นฐานประเทศ


6) Public Money → Public Code (เปิด Source Code) 


แต่ละรัฐทำ Software มากมาย แต่อยู่ไหนไม่รู้ สิ่งที่เราควรทำคือเมื่อมีคการออก TOR ใหม่ ต้องเปิด Source Code โดยที่หน่วยงานอื่นก็ไม่ต้องเปิดใหม่แต่สามารถพัฒนาต่อได้ จะทำให้ประเทศไปได้เร็วมากขึ้น 


สรุปคือเราต้องมี CTO ประเทศไทยและทำงานเป็นกรุปไม่แยกออกจากกัน จากนั้นก็ทำ Dashboard ให้กับประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้เห็นข้อมูลทั้งประเทศ จังหวัด อำเภอ ตำบล ซึ่ง Data จะทำให้เกิดความโปร่งใสได้ จากนั้นก็เปลี่ยนการทำงานของภาครัฐให้ใช้ดิจิทัลทั้งหมด เลิกใช้กระดาษได้แล้ว จากนั้นก็ให้ใช้ AI ได้แล้ว นอกจากนี้ก็พัฒนาความปลอดภัยไซเบอร์ให้กับภาครัฐและมี Source Code ก็เปิดให้พัฒนาต่อ


ภาวุธชี้ว่าในส่วนของการปรับ Digital Economy ทุกวันนี้ธุรกิจแพลตฟอร์มเริ่มมีการผูกขาดแล้ว แพลตฟอร์มเหล่านี้มีร้านค้า ขายสินค้า มีระบบจ่ายเงิน ระบบขนส่ง ระบบโฆษณา และมีลูกค้าของตัวเอง ตอนนี้พอแพลตฟอร์มเริ่มมีข้อมูลร้านค้า ก็เริ่มปล่อยกู้ให้ร้านค้า สามารถปล่อยกู้ได้เลย เป็นความท้าทายของธนาคาร แพลตฟอร์มมีข้อมูลมหาศาลจากลูกค้าราว 30 ล้านคน และเริ่มมีความได้เปรียบธุรกิจในเชิงลึก มีพฤติกรรมลูกค้า รู้ว่าลูกค้าจ่ายเงินอย่างไร บ้านอยู่ที่ไหน มีการเก็บข้อมูลผ่านแอปพลิเคชัน มีการให้แต้มสะสมเพื่อนำไปสู่การอยากได้สินค้าที่เขาขาย


เมื่อแพลตฟอร์มเหล่านี้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มส่งผลกระทบต่อธนาคาร ทั้งการปล่อยกู้ ทั้งการชำระเงิน เริ่มกระทบค้าปลีก โกดัง สื่อโฆษณาเริ่มไหลลงแพลตฟอร์มมากขึ้น รัฐต้องเข้าไปช่วยดูแลผู้ประกอบการด้วย 


ปัจจุบันเราสามารถเข้าไปร่วมผลักดันกฎหมายได้บ้างแล้ว เช่น นักสืบทุนเทา นอกจากนี้ แพลตฟอร์มทั่วโลกมีหมดแล้ว แต่ทำไมมีมีแพลตฟอร์มไทยบ้าง เราต้องสร้างเครือข่ายการค้าไทยแบบเปิดให้ทุกคนเข้าถึงได้ ลดการผูกขาด ขยายโอกาส SMEs และผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางดิจิทัลคอมเมิร์ซในอาเซียน เราต้องลดการขาดทุนดิจิทัล (Digital Deficit) 


โดยสรุป เราต้องทำ Digital People Framework ดังนี้ 1) ให้แอพเดียวเข้าทุกบริการของรัฐได้จริง เป็น Single UXUI 2) Talent Boots มีการปรับทักษะ เพิ่มรายได้ และลดการขาดคนไอที 3) ขยายโครงข่าย Infra + Software + Peopleware 4) ระบบร้องเรียนออนไลน์ One-Stop Traffy Fondue และ 5) ไม่ต้องถ่ายเอกสารให้ทุกบริการรัฐ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #รีชาร์จประชาชน #กระทรวงDES