รองโฆษก
ปชน. ชี้รัฐบาลล้มเหลวจัดการภัยพิบัติ มีระบบแต่ไม่ใช้ เขียนแผนไว้แต่ไม่ทำ
ชงข้อเสนอเร่งด่วนพื้นที่สงขลา-จังหวัดภาคใต้ที่เสี่ยงท่วมหนักในอนาคตอันใกล้
วันที่
25 พฤศจิกายน 2568 ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์
รองโฆษกพรรคประชาชน
กล่าวถึงความล้มเหลวในการจัดการภัยพิบัติของรัฐบาลกรณีน้ำท่วมใหญ่ จ.สงขลา
โดยระบุว่า ต้องแบ่งออกเป็นความผิดพลาดที่ยังสามารถปรับแก้โดยด่วนได้
และความผิดพลาดที่ไม่สามารถกลับไปแก้ได้ในแล้วในกรณีจังหวัดสงขลา แต่ต้องใช้เป็นบทเรียนเพื่อปรับแก้ในการจัดการพื้นที่อื่นในภาคใต้
ที่มีความเสี่ยงจะเกิดปัญหาหนักขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้
สำหรับความผิดพลาดที่ยังสามารถปรับแก้โดยด่วนได้
คือกลไกการบัญชาการเหตุการณ์
กรณีจังหวัดสงขลาเป็นเรื่องที่ทุกคนตั้งคำถามกันเยอะมากว่าเหตุใดเราถึงไม่มีผู้บัญชาการ
ซึ่งตนต้องอธิบายว่าในการรับมือภัยพิบัติจะต้องมีผู้บัญชาการ (ผบ.) เหตุการณ์
เรียงตามระดับภัย 1-4
ในระดับที่ 1 ผบ. คือนายก อบต. หรือเทศบาล
ระดับที่ 2 ผบ. คือผู้ว่าราชการจังหวัด ระดับ 3 ผบ. คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และระดับที่ 4 ผบ.
คือนายกรัฐมนตรี
แต่สถานการณ์น้ำท่วมสงขลาปัจจุบันยังถูกจัดเป็นภัยระดับ
2 ที่มีผู้ว่าฯ บัญชาการ
ซึ่งต้องตั้งคำถามว่าจนถึงตอนนี้มีใครรู้จักชื่อหรือหน้าตาของผู้ว่าฯ สงขลาบ้าง
เหตุการณ์วิกฤตขนาดนี้แต่สังคมกลับไม่รู้จักผู้ว่าฯ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการ
ตนถือว่านี่คือความล้มเหลวแรก ความล้มเหลวต่อมาคือสถานการณ์รุนแรงขนาดนี้
แต่รัฐบาลยังไม่ยกระดับเป็นภัยระดับ 3 หรือ 4 ที่จะกำหนดให้ผู้บัญชาการเป็นรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี
ข้อเสนอของตนในตอนนี้
คือต้องยกระดับเหตุการณ์น้ำท่วมจังหวัดสงขลา เป็นภัยระดับที่ 4 เพื่อให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างเต็มตัว
อำนาจสั่งการเด็ดขาด และจัดทำวอร์รูมที่ใช้งานได้จริงโดยด่วนที่สุด
และเราโฟกัสแค่สงขลาจังหวัดเดียวไม่ได้
วอร์รูมนี้ต้องใช้สำหรับจังหวัดที่เสี่ยงในภาคใต้ทั้งหมด
วอร์รูมที่ใช้ได้จริงในตอนนี้
คือแผนที่ที่มีฐานข้อมูลผู้ประสบภัย พื้นที่ใดต้องได้รับความช่วยเหลือในการอพยพ
ลำดับความเร่งด่วนแต่ละเคส พื้นที่ใดที่ประชาชนประสงค์ที่จะไม่อพยพ
ตัวเลขกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะผู้ป่วยติดเตียงในแต่ละบ้าน
ว่ามีบ้านไหนที่ยังตกค้างการอพยพ รวมไปถึงการติดตามตัวเลขสถิติของสถานที่สำคัญ
เช่น โรงพยาบาล ศูนย์อนามัย และสถานที่อพยพต่างๆ ว่าปัจจุบันมีผู้พักพิงเท่าไหร่
ความช่วยเหลือทางการแพทย์ อาหาร และเชื้อเพลิงเพียงพออยู่อีกกี่ชั่วโมงหรือกี่วัน
รวมถึงสถานที่พักพิงสำรองกรณีที่มีความเสี่ยงกลายเป็นพื้นที่ประสบภัยเพิ่ม
และยังต้องมีการติดตาม
(tracking)
ข้อมูลของทีมที่เข้ามาช่วยเหลือทั้งหมดไว้ที่ศูนย์บัญชาการ
ไม่ว่าจะเป็นทีมของรัฐส่วนกลาง ท้องถิ่น ทหาร มูลนิธิ อาสาสมัคร
มอบหมายในระบบอย่างชัดเจนว่าเคสไหนทีมไหนเป็นคนเข้าไปดำเนินการ
และมีผลการดำเนินการอย่างไร ซึ่งในส่วนนี้รัฐบาลไม่มีเวลาในการทำฐานข้อมูลใหม่ของรัฐบาลเอง
แต่สามารถใช้แพลตฟอร์ฒ jitasa.care ตามที่พรรคประชาชนเราเสนอไปได้ทันที
ข้อมูลลักษณะนี้จะทำให้เราสามารถประเมินขีดความสามารถได้ว่าภายใน
1 ชั่วโมง เราสามารถอพยพหรือช่วยเหลือได้กี่เคส และจากเคสทั้งหมด
จะสามารถจัดการได้ภายในกี่ชั่วโมง หากประเมินว่านานเกินไป
จะได้เพิ่มทีมเพิ่มอัตรากำลังจากภาคส่วนอื่น ๆ เข้ามาช่วยเหลือได้
ในส่วนนี้หากประเมินว่าวิกฤตไม่ทันการณ์แน่นอน เราใช้ข้อมูลตรงนี้ประสานทางประเทศมาเลเซียในการส่งทีมมาช่วยเหลือตามข้อตกลงอาเซียนได้
“นี่คือประเด็นแรกที่รัฐบาลต้องเข้าใจในกลไกและอำนาจในการจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ
การทำงานแบบเรียกประชุมนั่งหัวโต๊ะสั่งนู่นนี่แบบสะเปะสะปะ การถ่ายภาพแจกถุงยังชีพ
ผัดข้าว หรือการชี้นิ้ว ไม่สามารถจัดการภัยพิบัติได้ครับ”
ภัทรพงษ์กล่าวต่อว่า
เรื่องต่อมาคือการแจ้งเตือนและการอพยพ ประเด็นนี้ชัดเจนมากในเคสจังหวัดสงขลา ทั้งๆ
ที่มีข้อมูลปริมาณน้ำฝนสะสมและพยากรณ์อย่างชัดเจน
การประเมินความรุนแรงล่วงหน้าที่ประเมินว่าหนักกว่าปี 2553 แต่กลับไม่มีการอพยพก่อนเกิดเหตุ
ในเรื่องการแจ้งเตือน
ก่อนที่จะแจ้งเตือนได้ ต้องมีการรวบรวมข้อมูลจากทุกหน่วยงานอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นในข้อมูลการแจ้งเตือน
ต้องมีข้อความที่แสดงถึงระดับความรุนแรงมากกว่านี้หลายเท่า ซึ่ง รมว.มหาดไทย
ต้องเป็นคนเคาะข้อความการแจ้งเตือนที่มีการระบุพื้นที่และขั้นตอนอพยพอย่างชัดเจน
เราไม่สามารถใช้การแจ้งเตือนจาก template ทั่วไปได้ในกรณีวิกฤตแบบนี้
เพราะหากใช้ template ทั่วไป
ผลลัพธ์ก็จะออกมาอย่างที่เราเห็นในเคสสงขลา
คือประชาชนไม่รู้ว่าแล้วมันจะรุนแรงขนาดไหน ท่วมสูงเท่าไหร่ กี่วัน
ด้วยข้อความที่ไม่ชัดเจน ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าสถานการณ์อาจไม่หนักมาก
และตัดสินใจไม่อพยพก่อนเกิดเหตุ
ส่วนคำสั่งอพยพก่อนเกิดเหตุ
นี่คืออีกสิ่งหนึ่งที่ไทยเราแทบไม่เคยทำเลย
เปรียบเทียบกับพายุทุกลูกที่ไทยเจอในปีนี้
พายุเหล่านั้นล้วนรุนแรงมากกว่าในประเทศเพื่อนบ้านที่ติดทะเล เช่น ประเทศเวียดนาม
แต่เวียดนามกลับรับมือกับความเสี่ยงได้ดีกว่า โดยการอพยพล่วงหน้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ลดความสูญเสียได้หลายเท่า
ข้อเสนอของตนในส่วนนี้
คือการเร่งประเมินพื้นที่ที่มีความเสี่ยงเพิ่มเติมในจังหวัดอื่น ๆ
เตรียมการอพยพแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่ปัญหาจะวิกฤต ทำทั้งสองส่วน ทั้งการแจ้งเตือนแบบ Cell broadcast หอเตือนภัย วิทยุกระจายเสียงชุมชน ด้วยข้อความที่ชัดเจนให้ประชาชนอพยพ
และการสั่งการอพยพโดยภาครัฐ ที่มุ่งเป้าพื้นที่เสี่ยงสูงที่มีกลุ่มเปราะบาง
ผู้ป่วยติดเตียง และสถานที่สำคัญ เช่น โรงพยาบาล ก่อน
รองโฆษกพรรคประชาชนย้ำว่า
ปัญหาภัยพิบัติต้องเร่งจัดการ เพราะทุกวินาทีที่เราปล่อยผ่าน
นั่นคือความเสี่ยงภัยที่เพิ่มขึ้นกับประชาชน รัฐบาลต้องทำงานจริงจัง เป็นระบบ
ตามกลไกกฎหมายและแผนที่เขียนไว้ ทุกจังหวัดมีแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
ทุกจังหวัดมีแผนศูนย์อพยพเป็นร้อยๆที่ แต่พอถึงเวลาจริง
เรากลับไม่เคยเดินหน้าตามแผนที่มี กลับใช้การสั่งการ ชี้นิ้ว แจกถุงยังชีพ
ทำงานสะเปะสะปะ ปล่อยภาระหนักที่อาสาสมัคร ไม่มีวอร์รูมที่สามารถติดตามการทำงานได้
ทำให้ประเมินตัวเลขความช่วยเหลือได้ไม่ถูกต้อง ทั้งหมดนี้คือข้อเสนอระยะเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องทำความเข้าใจและจัดการเพื่อประชาชน
