วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

“พริษฐ์” ยืนยัน กมธ.พรรคประชาชน สู้เต็มที่แม้หลายข้อเสนอแพ้การลงมติใน กมธ. เร่งผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เสร็จจากรัฐสภาก่อนสิ้นปี มั่นใจ “สูตร 20 หยิบ 1” จะป้องกันการผูกขาด เปิดให้ประชาชนกำหนดผู้ร่างได้บ้างผ่านคูหาเลือกตั้ง สส.

 


พริษฐ์” ยืนยัน กมธ.พรรคประชาชน สู้เต็มที่แม้หลายข้อเสนอแพ้การลงมติใน กมธ. เร่งผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เสร็จจากรัฐสภาก่อนสิ้นปี มั่นใจ “สูตร 20 หยิบ 1” จะป้องกันการผูกขาด เปิดให้ประชาชนกำหนดผู้ร่างได้บ้างผ่านคูหาเลือกตั้ง สส.


วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ที่อาคารอนาคตใหม่ พริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคประชาชน แถลงข่าวประเด็นต่างๆ ได้แก่ ความคืบหน้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การติดตามการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลกรณีสารพิษในแม่น้ำ ข้อเรียกร้องต่อกรณีรัฐบาลจะขยายสัมปทานทางด่วนให้แก่เอกชนซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์อย่างไม่สมควร และข้อเสนอการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม


กรณีความคืบหน้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พริษฐ์กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ลงมติเพื่อหาข้อสรุปในหลายประเด็นสำคัญเกี่ยวกับกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งการมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน เป็นสิ่งที่พรรคประชาชนเรียกร้องมาตลอด และเป็นสิ่งที่หลายพรรคเคยเห็นตรงกัน


แต่ตั้งแต่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2568 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ที่ห้ามไม่ให้ “ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง” ส่งผลให้ไม่มีพรรคการเมืองใดสามารถเสนอ สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงได้อีกต่อไป และทั้ง 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของ 3 พรรคการเมืองหลักที่ถูกพิจารณาในวาระที่ 1 เมื่อวันที่ 14-15 ตุลาคม 2568 ก็ไม่มีร่างไหนที่เสนอให้มี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง


ร่างของพรรคประชาชนที่รัฐสภามีมติให้ใช้เป็นร่างหลักในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ มี 2 หลักการที่เราให้ความสำคัญคือ (1) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนให้มากที่สุด โดยไม่ขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ (2) ป้องกันการผูกขาดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือสีใดสีหนึ่ง


ในสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการมีการลงมติเกี่ยวกับ 3 ข้อเสนอหลักในร่างของพรรคประชาชนที่พยายามมุ่งสู่เป้าหมายดังกล่าว ประกอบด้วย


(1) สภาที่ปรึกษาที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน : ด้วยข้อจำกัดของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้กลไกใดๆ ก็ตามที่มีหน้าที่ในการร่างรัฐธรรรมนูญ ไม่สามารถมาจากการเลือกตั้งโดยตรงได้ พรรคประชาชนจึงออกแบบกลไก “สภาที่ปรึกษา” ที่ไม่ได้มีอำนาจในการร่าง แต่มีอำนาจในการรับฟังรวบรวมความเห็นของประชาชน เมื่อเป็นเช่นนี้ สภาที่ปรึกษาจึงเป็นกลไกเดียวในบรรดาทุกร่างที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน แต่น่าเสียดายที่คณะกรรมาธิการมีมติ ให้ตัดสภาที่ปรึกษาออก โดยมีแค่กรรมาธิการ 8 คนจากพรรคประชาชนที่ลงมติให้คงสภาที่ปรึกษาไว้ ส่วนอีก 23 คนเห็นควรให้ตัดออก และ 3 คนงดออกเสียง


(2) การเปิดให้ประชาชนเข้าคูหาเลือกตั้งเพื่อคัดกรองผู้ร่างมาเบื้องต้นก่อนส่งให้รัฐสภาคัดเลือก : ร่างของพรรคประชาชนเสนอให้ประชาชนเลือกตั้งผู้ร่างให้เหลือ 70 คน โดยใช้ระบบเลือกตั้งคล้ายกับ สส.บัญชีรายชื่อ ก่อนจะส่งต่อให้รัฐสภาคัดเลือกให้เหลือผู้ร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน แต่น่าเสียดายที่คณะกรรมาธิการมีมติให้ตัดกลไกดังกล่าวออก โดยมีแค่กรรมาธิการ 8 คนจากพรรคประชาชนที่ลงมติให้คงกลไกดังกล่าวไว้ อีก 14 คนเห็นควรให้ตัดออก และ 12 คนงดออกเสียง


(3) การให้รัฐสภาคัดเลือกผู้ร่างโดยใช้สูตร “20 หยิบ 1” แทนการใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก : สำหรับสูตร 20 หยิบ 1 นั้นคือการกำหนดว่าในเมื่อสมาชิกรัฐสภามี 700 คน และผู้ร่างมี 35 คน จึงควรให้สมาชิกรัฐสภาที่รวมตัวกันได้ 20 คน สามารถมีสิทธิคัดเลือกผู้ร่างได้หนึ่งคน ซึ่งจะเป็นหลักประกันว่าคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญจะไม่ถูกผูกขาดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือสีใดสีหนึ่ง และทำให้คณะผู้ร่างมีตัวแทนที่หลากหลายจากทุกกลุ่มความคิด


ในทางกลับกัน หากรัฐสภาใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือสีใดสีหนึ่งมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา เช่น สส. และ สว. รวมกันเกิน 350 คน ก็อาจใช้เสียงข้างมากผูกขาดการคัดเลือกผู้ร่างได้ทั้ง 35 คน หรือ 100% แบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งสำหรับข้อเสนอนี้ น่ายินดีที่คณะกรรมาธิการส่วนใหญ่เห็นด้วย แทบเรียกว่าเป็นฉันทามติ ให้ใช้สูตร 20 หยิบ 1 แทนใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก


ในมุมมองของพรรคประชาชน ผลการลงมติของคณะกรรมาธิการจึงเป็นเรื่องที่ทั้งน่าผิดหวังและน่ายินดีผสมกันไป เพราะแม้เราไม่สามารถโน้มน้าวให้กรรมาธิการจากพรรคอื่นๆ และ สว. เห็นด้วยกับเราใน 2 จาก 3 ข้อเสนอ (สภาที่ปรึกษาที่ประชาชนเลือกโดยตรง และ การให้ประชาชนคัดกรองผู้ร่าง)


แต่เราสามารถผลักดัน 1 จาก 3 ข้อเสนอ (สูตร 20 หยิบ 1) ได้สำเร็จ จึงรับประกันได้ว่าการคัดเลือกผู้ร่างโดยรัฐสภาจะไม่ถูกผูกขาดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และประชาชนยังมีส่วนร่วมได้บ้างในการกำหนดผู้ร่างผ่านคูหาเลือกตั้ง สส. เพราะหากประชาชนเลือก สส. จากพรรคใดเยอะ พรรคดังกล่าวก็ย่อมมีสิทธิในการคัดเลือกผู้ร่างที่มีจุดยืนเรื่องรัฐธรรมนูญใกล้เคียงกันได้เยอะขึ้น


อย่างไรก็ตาม มีกรรมาธิการบางท่านมีความกังวลว่า สูตร 20 หยิบ 1 อาจไม่ใช่ยาวิเศษเสียแล้ว เพราะประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมคัดกรองผู้ร่างมาเบื้องต้น แต่ข้อเท็จจริงเรื่องนี้คือ

(1) คณะกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ ร่วมถึงกรรมาธิการดังกล่าว ไม่ได้ลงมติเห็นชอบกับข้อเสนอของพรรคประชาชน ที่เสนอให้ประชาชนคัดกรองผู้ร่างมาเบื้องต้น 70 คน ก่อนส่งให้รัฐสภาคัดเหลือ 35 คน

(2) กรรมาธิการท่านอื่น ไม่ได้เสนอวิธีการอื่นที่จะป้องกันการผูกขาด มิหนำซ้ำร่างที่พรรคต้นสังกัดของกรรมาธิการดังกล่าวดังกล่าวเสนอ ก็กำหนดว่าในขั้นตอนสุดท้ายที่รัฐสภาคัดเลือก สสร. ให้รัฐสภาใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก ซึ่งเสี่ยงต่อการผูกขาดกว่าสูตร 20 หยิบ 1


นอกจากนี้มีความพยายามในการสร้างความเข้าใจจากบางภาคส่วนว่าการไม่เติม สสร. ตามข้อเสนอของกรรมาธิการพรรคเพื่อไทย เป็นการทำให้ผู้ร่างยึดโยงกับประชาชนน้อยลง แต่ข้อเท็จจริงคือ

(1) สสร. ที่กรรมาธิการเพื่อไทยเสนอให้เติมเข้ามา ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน

(2) ในการลงมติว่าจะเติม สสร. หรือไม่ ก็ไม่ได้เป็นการลงมติว่า สสร. จะมีที่มาอย่างไร เพียงแต่เป็นการลงมติว่ากลไกผู้ร่างจะมี 1 ระดับ (กรรมาธิการร่าง) หรือ 2 ระดับ (สสร. และ กรรมาธิการยกร่าง)


หลังจากนี้ พวกเราพรรคประชาชนจะทำเต็มที่ในการจูงมือทุกภาคส่วนในกรรมาธิการเพื่อเดินหน้าพิจารณามาตราที่เหลืออยู่ของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เสร็จโดยเร็วที่สุด โดยอย่างน้อยที่สุดควรจะพิจารณาในชั้นคณะกรรมาธิการเสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน เพื่อให้มีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาวาระ 2 ในต้นเดือนธันวาคม และให้รัฐสภาพิจารณาวาระ 3 เสร็จก่อนสิ้นเดือนธันวาคม


#UDDnews #ยูดีดันิวส์ #พรรคประชาชน