“พริษฐ์” ยืนยัน กมธ.พรรคประชาชน สู้เต็มที่แม้หลายข้อเสนอแพ้การลงมติใน
กมธ. เร่งผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เสร็จจากรัฐสภาก่อนสิ้นปี มั่นใจ “สูตร 20
หยิบ 1” จะป้องกันการผูกขาด
เปิดให้ประชาชนกำหนดผู้ร่างได้บ้างผ่านคูหาเลือกตั้ง สส.
วันที่
17 พฤศจิกายน 2568 ที่อาคารอนาคตใหม่ พริษฐ์ วัชรสินธุ
โฆษกพรรคประชาชน แถลงข่าวประเด็นต่างๆ ได้แก่ ความคืบหน้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
การติดตามการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลกรณีสารพิษในแม่น้ำ
ข้อเรียกร้องต่อกรณีรัฐบาลจะขยายสัมปทานทางด่วนให้แก่เอกชนซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์อย่างไม่สมควร
และข้อเสนอการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม
กรณีความคืบหน้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
พริษฐ์กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา
คณะกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ลงมติเพื่อหาข้อสรุปในหลายประเด็นสำคัญเกี่ยวกับกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ซึ่งการมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
เป็นสิ่งที่พรรคประชาชนเรียกร้องมาตลอด และเป็นสิ่งที่หลายพรรคเคยเห็นตรงกัน
แต่ตั้งแต่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่
18/2568 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ที่ห้ามไม่ให้
“ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง” ส่งผลให้ไม่มีพรรคการเมืองใดสามารถเสนอ
สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงได้อีกต่อไป และทั้ง 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของ
3 พรรคการเมืองหลักที่ถูกพิจารณาในวาระที่ 1 เมื่อวันที่ 14-15 ตุลาคม 2568 ก็ไม่มีร่างไหนที่เสนอให้มี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง
ร่างของพรรคประชาชนที่รัฐสภามีมติให้ใช้เป็นร่างหลักในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ
มี 2 หลักการที่เราให้ความสำคัญคือ (1) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนให้มากที่สุด
โดยไม่ขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ (2) ป้องกันการผูกขาดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือสีใดสีหนึ่ง
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
คณะกรรมาธิการมีการลงมติเกี่ยวกับ 3 ข้อเสนอหลักในร่างของพรรคประชาชนที่พยายามมุ่งสู่เป้าหมายดังกล่าว
ประกอบด้วย
(1)
สภาที่ปรึกษาที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน :
ด้วยข้อจำกัดของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้กลไกใดๆ
ก็ตามที่มีหน้าที่ในการร่างรัฐธรรรมนูญ ไม่สามารถมาจากการเลือกตั้งโดยตรงได้
พรรคประชาชนจึงออกแบบกลไก “สภาที่ปรึกษา” ที่ไม่ได้มีอำนาจในการร่าง แต่มีอำนาจในการรับฟังรวบรวมความเห็นของประชาชน
เมื่อเป็นเช่นนี้
สภาที่ปรึกษาจึงเป็นกลไกเดียวในบรรดาทุกร่างที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
แต่น่าเสียดายที่คณะกรรมาธิการมีมติ ให้ตัดสภาที่ปรึกษาออก โดยมีแค่กรรมาธิการ 8
คนจากพรรคประชาชนที่ลงมติให้คงสภาที่ปรึกษาไว้ ส่วนอีก 23 คนเห็นควรให้ตัดออก และ 3 คนงดออกเสียง
(2)
การเปิดให้ประชาชนเข้าคูหาเลือกตั้งเพื่อคัดกรองผู้ร่างมาเบื้องต้นก่อนส่งให้รัฐสภาคัดเลือก
: ร่างของพรรคประชาชนเสนอให้ประชาชนเลือกตั้งผู้ร่างให้เหลือ 70 คน โดยใช้ระบบเลือกตั้งคล้ายกับ สส.บัญชีรายชื่อ
ก่อนจะส่งต่อให้รัฐสภาคัดเลือกให้เหลือผู้ร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน
แต่น่าเสียดายที่คณะกรรมาธิการมีมติให้ตัดกลไกดังกล่าวออก โดยมีแค่กรรมาธิการ 8
คนจากพรรคประชาชนที่ลงมติให้คงกลไกดังกล่าวไว้ อีก 14 คนเห็นควรให้ตัดออก และ 12 คนงดออกเสียง
(3)
การให้รัฐสภาคัดเลือกผู้ร่างโดยใช้สูตร “20 หยิบ
1” แทนการใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก : สำหรับสูตร 20 หยิบ 1 นั้นคือการกำหนดว่าในเมื่อสมาชิกรัฐสภามี 700
คน และผู้ร่างมี 35 คน
จึงควรให้สมาชิกรัฐสภาที่รวมตัวกันได้ 20 คน
สามารถมีสิทธิคัดเลือกผู้ร่างได้หนึ่งคน
ซึ่งจะเป็นหลักประกันว่าคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญจะไม่ถูกผูกขาดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือสีใดสีหนึ่ง
และทำให้คณะผู้ร่างมีตัวแทนที่หลากหลายจากทุกกลุ่มความคิด
ในทางกลับกัน
หากรัฐสภาใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก
ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือสีใดสีหนึ่งมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา เช่น สส. และ
สว. รวมกันเกิน 350
คน ก็อาจใช้เสียงข้างมากผูกขาดการคัดเลือกผู้ร่างได้ทั้ง 35 คน หรือ 100% แบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งสำหรับข้อเสนอนี้
น่ายินดีที่คณะกรรมาธิการส่วนใหญ่เห็นด้วย แทบเรียกว่าเป็นฉันทามติ ให้ใช้สูตร 20
หยิบ 1 แทนใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก
ในมุมมองของพรรคประชาชน
ผลการลงมติของคณะกรรมาธิการจึงเป็นเรื่องที่ทั้งน่าผิดหวังและน่ายินดีผสมกันไป
เพราะแม้เราไม่สามารถโน้มน้าวให้กรรมาธิการจากพรรคอื่นๆ และ สว. เห็นด้วยกับเราใน 2 จาก 3
ข้อเสนอ (สภาที่ปรึกษาที่ประชาชนเลือกโดยตรง และ
การให้ประชาชนคัดกรองผู้ร่าง)
แต่เราสามารถผลักดัน
1 จาก 3 ข้อเสนอ (สูตร 20 หยิบ 1)
ได้สำเร็จ
จึงรับประกันได้ว่าการคัดเลือกผู้ร่างโดยรัฐสภาจะไม่ถูกผูกขาดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
และประชาชนยังมีส่วนร่วมได้บ้างในการกำหนดผู้ร่างผ่านคูหาเลือกตั้ง สส.
เพราะหากประชาชนเลือก สส. จากพรรคใดเยอะ
พรรคดังกล่าวก็ย่อมมีสิทธิในการคัดเลือกผู้ร่างที่มีจุดยืนเรื่องรัฐธรรมนูญใกล้เคียงกันได้เยอะขึ้น
อย่างไรก็ตาม
มีกรรมาธิการบางท่านมีความกังวลว่า สูตร 20 หยิบ 1 อาจไม่ใช่ยาวิเศษเสียแล้ว
เพราะประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมคัดกรองผู้ร่างมาเบื้องต้น
แต่ข้อเท็จจริงเรื่องนี้คือ
(1)
คณะกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ ร่วมถึงกรรมาธิการดังกล่าว
ไม่ได้ลงมติเห็นชอบกับข้อเสนอของพรรคประชาชน
ที่เสนอให้ประชาชนคัดกรองผู้ร่างมาเบื้องต้น 70 คน
ก่อนส่งให้รัฐสภาคัดเหลือ 35 คน
(2)
กรรมาธิการท่านอื่น ไม่ได้เสนอวิธีการอื่นที่จะป้องกันการผูกขาด
มิหนำซ้ำร่างที่พรรคต้นสังกัดของกรรมาธิการดังกล่าวดังกล่าวเสนอ
ก็กำหนดว่าในขั้นตอนสุดท้ายที่รัฐสภาคัดเลือก สสร. ให้รัฐสภาใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก
ซึ่งเสี่ยงต่อการผูกขาดกว่าสูตร 20 หยิบ 1
นอกจากนี้มีความพยายามในการสร้างความเข้าใจจากบางภาคส่วนว่าการไม่เติม
สสร. ตามข้อเสนอของกรรมาธิการพรรคเพื่อไทย
เป็นการทำให้ผู้ร่างยึดโยงกับประชาชนน้อยลง แต่ข้อเท็จจริงคือ
(1)
สสร. ที่กรรมาธิการเพื่อไทยเสนอให้เติมเข้ามา
ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
(2)
ในการลงมติว่าจะเติม สสร. หรือไม่ ก็ไม่ได้เป็นการลงมติว่า สสร.
จะมีที่มาอย่างไร เพียงแต่เป็นการลงมติว่ากลไกผู้ร่างจะมี 1 ระดับ
(กรรมาธิการร่าง) หรือ 2 ระดับ (สสร. และ กรรมาธิการยกร่าง)
หลังจากนี้
พวกเราพรรคประชาชนจะทำเต็มที่ในการจูงมือทุกภาคส่วนในกรรมาธิการเพื่อเดินหน้าพิจารณามาตราที่เหลืออยู่ของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เสร็จโดยเร็วที่สุด
โดยอย่างน้อยที่สุดควรจะพิจารณาในชั้นคณะกรรมาธิการเสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน
เพื่อให้มีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาวาระ 2 ในต้นเดือนธันวาคม
และให้รัฐสภาพิจารณาวาระ 3 เสร็จก่อนสิ้นเดือนธันวาคม
