บันทึกประวัติศาสตร์ : เปิดคำโต้แย้งของอธิบดีศาลอาญาคดี 93 ศพ
แม้จะปรากฏเป็นข่าวไปแล้ว
แต่ในโอกาสครบรอบ 6
ปี การสลายการชุมนุมที่สี่แยกคอกวัว-ถนนดินสอ ในวันที่ 10 เมษายน 2553 ปฐมบทแห่งความรุนแรงและโศกนาฏกรรมทางการเมืองครั้งสำคัญ
‘ประชาไท’
นำเสนอคำพิพากษาโดยละเอียดของทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ยกฟ้องคดีที่สื่อเรียกสั้นๆ
ว่า “คดี 93 ศพ’ สำคัญยิ่งคือ
คำโต้แย้งของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาที่แนบท้ายไว้ว่า “ไม่เห็นด้วยกับการยกฟ้อง”
คดีนี้อัยการสูงสุดฟ้อง
1 สำนวน และอีกสำนวนหนึ่งประชาชนอีก 2 คนขอเป็นโจทก์ร่วม
โดยฟ้อง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเป็นจำเลยที่ 1 และ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และผอ.ศอฉ.ในขณะนั้นเป็นจำเลยที่ 2
ในความผิดฐานเป็นผู้ก่อหรือผู้ใช้ให้คนอื่นกระทำความผิดข้อหาฆ่าคนตาย
ซึ่งศาลนำมาพิจารณารวมกันในคราวเดียว
ต้องอธิบายก่อนว่า
ก่อนที่อัยการสูงสุดจะดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลอาญาดังกล่าว มีการ “ไต่สวนการตาย”
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 อยู่อย่างต่อเนื่องภายหลังเหตุการณ์
มีการสืบพยานกันหลายปาก หลายคดีศาลชี้ว่ากระสุนมาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ทหาร
ขณะที่อีกบางส่วนศาลระบุว่ายังไม่ทราบแน่ชัดว่ากระสุนมาจากที่ใด
เมื่อไต่สวนได้ความแล้วอัยการต้องสั่งฟ้องเป็นคดีอาญาตามกฎหมาย
ระหว่างที่อัยการส่งฟ้องต่อศาล
จำเลยทั้งสอง อภิสิทธิ์-สุเทพ
ก็ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นว่า
กรมสอบสวนคดีพิเศษไม่มีอำนาจสอบสวนคดีนี้
โดยผู้ที่มีหน้าที่ไต่สวนข้อเท็จจริงคดีนี้คือ ป.ป.ช.
เนื่องจากเป็นกระทำการในฐานะนายกฯ และรองนายกฯ
ต่อมาทั้งอภิสิทธิ์และสุเทพยังได้ฟ้อง ‘ธาริต เพ็งดิษฐ์’
อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และพนักงานสอบสวนรวม 4 คน
ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และมีเจตนากลั่นแกล้งผู้อื่นให้ได้รับโทษทางอาญา
ทั้งที่ดีเอสไอไม่มีอำนาจ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง ต่อมาศาลรับฎีกาของทั้งคู่ไปเมื่อพ.ย.2558
ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณา
หลังการรัฐประหารของ
คสช. ไม่นาน ในวันที่ 28
สิงหาคม 2557 ศาลชั้นต้นยกฟ้อง 'คดี 93 ศพ' ดังกล่าว โดยมี 'ความเห็นแย้ง' ของธงชัย เสนามนตรี
อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา แนบท้ายไว้ จากนั้นทั้งโจทก์และจำเลยต่างอุทธรณ์ วันที่ 21
สิงหาคม 2558 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้องตามศาลชั้นต้น
เราจะเริ่มต้นจากการอ่านคำโต้แย้งของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา
ซึ่งจะว่าเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ก็อาจจะไม่ผิดนัก
คำโต้แย้งของเขานำเสนอข้อกฎหมายและเหตุผลไม่เห็นด้วยกับการยกฟ้องของศาลชั้นต้น
คำโต้แย้งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา
"ศาลไม่ควรยกฟ้อง"
“ข้าพเจ้านายธงชัย เสนามนตรี อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา
ได้ตรวจสำนวนคดีหมายเลขดำที่ อ.4552/2556 และคดีหมายเลขดำที่
อ.1375/2557 ทั้งสองคดีแล้ว
ข้าพเจ้าไม่เห็นชอบกับคำพิพากษาทั้งสองสำนวนดังกล่าว
จึงอาศัยอำนาจตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 11(1) ทำความเห็นแย้ง
ดังต่อไปนี้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า
คดีทั้งสองสำนวนอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลอาญาหรือไม่ เห็นว่า
ก่อนฟ้องคดีนี้พนักงานอัยการได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนชันสูตรพลิกศพ
และทำคำสั่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 150 ศาลอาญามีคำสั่งว่า
ผู้ตายถูกกระสุนปืนความเร็วสูงจากอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ทหรหรือกระสุนปืนยิงมาจากด้านเจ้าพนักงาน
..ตามสำเนาคำสั่งแนบท้ายคำฟ้อง เมื่อศาลไต่สวนและมีคำสั่งดังกล่าวแล้ว
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 วรรคสิบเอ็ด
ให้ศาลส่งสำนวนการไต่สวนของศาลไปยังพนักงานอัยการเพื่อส่งให้แก่พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป
ทั้งมาตรา 150 วรรคสิบ ให้คำสั่งของศาลตามมาตรานี้ถึงที่สุด
แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิฟ้องร้องและการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล
หากพนักงานอัยการหรือบุคคลอื่นได้ฟ้องหรือจะฟ้องคดีเกี่ยวกับการตายนั้น
จึงเท่ากับว่าการดำเนินการขอให้ไต่สวนชันสูตรพลิกศพกรณีที่ปรากฏว่าบุคคลใดตายอันเนื่องมาจากการกระทำของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติหน้าที่ราชการตามหน้าที่
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 วรรคสาม
เมื่อศาลชี้ขาดว่าเจ้าพนักงานเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงหรือยิงมาจากเจ้าพนักงาน
พนักงานอัยการมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนการไต่สวนให้แก่พนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไป
คือ สอบสวนหาผู้กระทำผิด ทั้งยังบัญญัติในมาตรา 150 วรรคสิบ
ให้พนักงานอัยการหรือบุคคลอื่นฟ้องคดีเกี่ยวกับการตายดังกล่าวได้ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่า
พนักงานอัยการส่งสำนวนดังกล่าวให้แก่พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ
เป็นผู้สอบสวนตามพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ซึ่งต่อมาพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษได้เสนอความเห็นสั่งฟ้องจำเลยทั้งสองแล้วส่งสำนวนให้แก่พนักงานอัยการ
พนักงานอัยการโดยอัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งฟ้องจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา
143 ซึ่งระบุว่า “ในคดีฆาตรกรรม
ซึ่งผู้ตายถูกเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ฆ่าตาย..อธิบดีกรมอัยการหรือผู้รักษาการแทนเท่านั้นมีอำนาจออกคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง”
การสั่งฟ้องของอัยการสูงสุดจึงเป็นการสั่งฟ้องในข้อหาฆาตรกรรม
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 84 อันเนื่องมาจากการดำเนินการไต่สวนชันสูตรพลิกศพดังที่กล่าวมาแล้ว
ซึ่งมาตรา 150 วรรคสิบ
ให้อำนาจพนักงานอัยการหรือบุคคลอื่นรวมทั้งผู้เสียหายฟ้องคดี
เกี่ยวกับการตายดังกล่าวนั้นได้
โจทก์จึงยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับโทษฐานเป็นผู้ก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดข้อหาฆ่าคนตาย
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288,80,83,84 หาใช่ฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการแต่อย่างใด
แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องในตอนแรกว่าจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าพนักงาน
แต่ก็เป็นเพียงการบรรยายเพื่อให้ปรากฏที่มาของการใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดเท่านั้น
นอกจากนี้การที่เจ้าพนักงานใช้อาวุธสงครามยิงผู้ตาย ย่อมเป็นการกระทำนอกเหนือตำแหน่งหน้าที่ราชการของจำเลยทั้งสอง
เพียงแต่ตามคำฟ้องระบุว่าจำเลยที่ 2 มีคำสั่งอนุมัติใช้อาวุธและกระสุนจริง
และมีการใช้พลแม่นปืนปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งจำเลยทั้งสองมีเจตนาเล็งเห็นผลว่า เจ้าพนักงานจะใช้อาวุธสงครามยิงประชาชนได้
จึงเป็นเรื่องการกระทำนอกเหนือตำแหน่งหน้าที่ราชการ
เป็นการก่อหรือใช้ให้เจ้าพนักงานกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น
ส่วนพยานหลักฐานจะรับฟังได้หรือไม่เพียงใดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
นอกจากนั้นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นฆ่าคนตายตามมาตรา 288,84
ซึ่งต้องระวางโทษประหารชีวิต
จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี
แต่คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีอำนาจไต่สวนเป็นความผิดต่อหน้าที่ราชการ
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี
หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ความผิดที่โจทก์ฟ้องฐานใช้หรือก่อให้ฆ่าผู้อื่นจึงเป็นบทหนักโทษสูงกว่าความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการอย่างมาก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
พ.ศ.2542 มาตรา 66 จึงได้บัญญัติให้คณะกรรมการป.ป.ช.
มีอำนาจไต่สวนการกระทำผิดต่อหน้าที่ราชการของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเท่านั้น
มิได้มุ่งหวังให้ดำเนินการไต่สวนความผิดฐานอื่น
โดยเฉพาะความผิดฐานฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง
ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ราชการ เนื่องจากเป็นคดีอาญาแผ่นดินที่พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอยู่แล้ว แม้คณะกรรมการป.ป.ช.จะเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ในขณะนี้
แต่ไม่ใช่องค์กรศาล ไม่มีอำนาจชี้ขาดหรือพิพากษาลงโทษผู้ใดได้ เพียงแต่ให้อำนาจตามมาตรา 66 ในการใช้ดุลยพินิจว่าสมควรไต่สวนหรือไม่เท่านั้น
หากเห็นว่าไม่มีมูลก็ยกคำร้องไป
หากเห็นว่ามีมูลก็ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป
ซึ่งเป็นความมุ่งหมายให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการเฉพาะความผิดที่ระบุไว้ตามมาตรา
66 คือ
ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญาเท่านั้น แต่ความผิดที่โจทก์ฟ้องเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นอันสืบเนื่องมาจากการไต่สวนชันสูตรพลิกศพแล้วฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า
เจ้าพนักงานเป็นผู้ใช้อาวุธสงครามยิงผู้ตายโดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ก่อหรือใช้ให้กระทำความผิดจึงเป็นความผิดคนละฐานแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หากคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่าความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการไม่มีมูลก็ย่อมทำให้ความผิดฐานก่อหรือใช้ให้ฆ่าผู้อื่นยุติไปด้วย
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับคณะกรรมการ ป.ป.ช.ทำหน้าที่เป็นศาลในเวลาเดียวกันด้วย ซึ่งหาใช่ความมุ่งหมายของมาตรา 66 แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ.2542 ดังกล่าวไม่
นอกจากนี้ยังเป็นการตัดสิทธิของผู้เสียหายซึ่งเป็นบิดา มารดา
หรือญาติของผู้ตายที่จะใช้สิทธิของตนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150
วรรสิบ อีกด้วย นอกจากนี้บิดา มารดาของนายสุวรรณ ศรีรักษา และ
นายอัฐชัย ชุมจันทร์
ผู้ตายได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองคดีนี้ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ตามคดีหมายเลขดำที่
อ.724/2557 โดยศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งนัดไต่สวนมูลฟ้องเมื่อวันที่
2 มิถุนายน 2557 ต่อมาโจทก์คดีนี้ยื่นคำร้องลงวันที่
19 พฤษภาคม 2557 ขอให้นำคดีของศาลอาญากรุงเทพใต้ดังกล่าวมารวมพิจารณากับคดีนี้
ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนนี้จึงมีหนังสือไปยังศาลอาญากรุงเทพใต้ว่า
หากศาลอาญากรุงเทพใต้ไม่ขัดข้องก็ขอให้มีคำสั่งโอนสำนวนมารวมพิจารณากับคดีนี้
ศาลอาญากรุงเทพใต้จึงมีคำสั่งให้โอนคดีมารวมพิจารณากับคดีนี้
ศาลอาญาออกหมายเลขคดีใหม่เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.1694/2557 โดยคดีดังกล่าวนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยทั้งสองคดีนี้
โดยอ้างเหตุเนื่องมาจากการไต่สวนชันสูตรพลิกศพตามคดีหมายเลขแดงที่ ช.5/2556
ของศาลอาญากรุงเทพใต้
โดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ก่อหรือใช้ให้เจ้าพนักงานใช้อาวุธสงครามยิงบุตรของโจทก์ทั้งสองจนถึงแก่ความตาย
จึงเป็นกรณีที่บิดามารดามีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองอันเนื่องมาจากการไต่สวนชันสูตรพลิกศพตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 150 วรรคสิบ
ซึ่งหาได้เกี่ยวกับความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการแต่อย่างใด หากอำนาจการชี้ขาดไปอยู่ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.
ดังคำพิพากษาที่วินิจฉัยมาย่อมเป็นการตัดสิทธิไม่ให้ผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองในข้อหาก่อหรือใช้ให้ฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นการแปลความกฎหมายที่ปราศจากความยุติธรรมและขัดต่อหลักกฎหมาย
เมื่อจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้กระทำความผิด จำเลยทั้งสองก็ควรเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรม
โดยการต่อสู้คดีกันจนถึงที่สุดเพื่อความยุติธรรมทั้งสองฝ่าย
มิใช่วินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายตัดสิทธิฟ้องของโจทก์และผู้เสียหายเช่นนี้ นอกจากนี้แม้การกระทำดังกล่าวจะเป็นความผิดกรรมเดียวกันระหว่างความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ซึ่งเป็นบทเบาระงับแล้วมีผลให้ความผิดบทหนักต้องระงับหรือยุติไปด้วย
คดีนี้เหตุเกิดปี 2553 และปัจจุบันคดีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการยังอยู่ในระหว่างการไต่สวนของคณะกรรมการ
ป.ป.ช. ตามมาตรา 66 โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ยังไม่ได้มีคำสั่งไปในทางใดทางหนึ่ง ดังนั้นผลการไต่สวนจะเป็นเช่นใดจึงไม่อาจคาดคะเนได้
หากผลการไต่สวนได้ข้อยุติว่าไม่มีมูล
ย่อมมีผลเฉพาะข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเท่านั้น
หามีผลต่อความผิดฐานก่อหรือใช้ให้ฆ่าผู้อื่น
ซึ่งเป็นความผิดที่โจทก์ฟ้องแต่ประการใดไม่ ดังเหตุผลที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้นแล้ว
แต่หากคณะกรรมการป.ป.ช. มีมติว่าข้อหาดังกล่าวมีมูลความผิดตามมาตรา 66 ก็ให้ส่งรายงานและเอกสารพร้อมทั้งความเห็นไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ตามมาตรา 70 ซึ่งหากศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองรับฟ้องไว้ก็จะมีเฉพาะข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเท่านั้น
ศาลอาญายังคงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาความผิดก่อหรือใช้ให้ฆ่าผู้อื่นต่อไป
แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวกันก็เป็นเรื่องที่ศาล
โจทก์ หรือจำเลยทั้งสองจะแถลงต่อศาลดังกล่าวว่า เป็นการกรทำความผิดกรรมเดียวกัน สมควรรวมการพิจารณาเข้าด้วยกัน
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นศาลสูงสุด
มีอำนาจสั่งให้โอนสำนวนมารวมพิจารณาหรือมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งได้อยู่แล้ว
จึงไม่ใช่กรณีที่ศาลทั้งสองข้างต้นมีอำนาจขัดแย้งกัน
ทั้งข้อเท็จจริงในเรื่องดังที่กล่าวมาข้างต้นก็ยังไม่ได้เกิดขึ้น ดังนั้น
ตราบใดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ชี้มูล
ก็ไม่มีเหตุที่จะคาดการล่วงหน้าแล้ววินิจฉัยว่าศาลอาญาไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้
โดยยกอำนาจเด็ดขาดของศาลไปให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้ขาดเสียเอง
ด้วยเหตุผลดังได้วินิจฉัยมาข้างต้น จึงมีความเห็นแย้งว่าการสอบสวนของพนักงานสอบสวนกรมคดีพิเศษอันสืบเนื่องจากการไต่สวนชันสูตรพลิกศพตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 150 ซึ่งต่อมาอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลอาญาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา
288,80,83,84 นั้นเป็นการปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย
และเป็นอำนาจของศาลอาญาที่จะพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวได้
จึงไม่เห็นชอบกับคำพิพากษาดังกล่าว
จึงควรมีคำสั่งว่า
ศาลอาญามีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้
และผู้เสียหายมีสิทธิเข้าเป็นโจทก์ร่วมในสำนวนคดีหมายเลขดำที่ อ.4552/2556 แล้วให้ดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาต่อไป
นายธงชัย เสนามนตรี
อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา
ผู้ทำความเห็นแย้ง”
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ความเห็นแย้ง #อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา #อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ #สุเทพเทือกสุบรรณ #ปปช







