“ศิริกัญญา” ชี้ปัญหางบ 69 จัดเหมือนเดิมทั้งที่วิกฤตจ่อรออยู่ตรงหน้า อัดรัฐอ้างรื้อไม่ทันทั้งที่ปีก่อนเคยนั่งรื้อหาเงินมาแจกเงินหมื่นยังทำได้ ยื่นข้อเสนอช่วยหั่นงบในชั้น กมธ. เชื่อประหยัดงบได้ 30,000 ล้านอย่างต่ำ เปลี่ยนเป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจ-รับมือวิกฤตได้
วันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้เป็นผู้อภิปรายสรุปภาพรวมของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ พร้อมให้คำเสนอแนะต่อรัฐบาลในการจัดทำงบประมาณในวาระต่อไป
โดยศิริกัญญาระบุว่าปัญหาเศรษฐกิจตอนนี้มีมากมาย ทั้งปัญหาของเกษตรกร ราคาสินค้า หนี้ครัวเรือน รวมทั้งสงครามการค้า ที่ตอนนี้แม้ดูเหมือนจะคลี่คลายลงไปแล้ว แต่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกายังมีเครื่องมืออีกมากที่จะทำให้สามารถขึ้นภาษีได้อยู่ ความไม่แน่นอนยังมีสูงมาก สงครามการค้าไม่จบง่ายๆ แน่ๆ เหตุการณ์เลวร้ายที่สุดคือเศรษฐกิจอาจจะโตแค่ 1.3% ในปีนี้ และปีหน้าอาจจะเหลือแค่ 1% หรือแม้หากสงครามการค้าจบได้ด้วยดีก็ใช่ว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น
งบประมาณปี 2569 รัฐบาลบอกว่าจัดใหม่ไม่ทัน ทั้งที่เราพร่ำเพียรบอกรัฐบาลว่าให้เอากลับไปจัดสรรใหม่ก่อน ถ้าต้องส่งมาล่าช้า 1-2 สัปดาห์ก็ไม่เป็นปัญหา กรรมาธิการเร่งระยะเวลาให้พิจารณาได้ แต่รัฐบาลก็ไม่ทำ เตือนไปตั้งแต่เดือนเมษายน ที่ยังเอากลับไปแก้ใหม่ได้แน่ๆ แล้วรัฐบาลก็มาอ้างว่านี่คือความฉลาดของรัฐบาลและความถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งที่ปี 2567 เคยมีการรื้องบประมาณไปสองรอบ ปี 2568 ก็รื้ออีกสองรอบ เพื่อหาเงินมาทำดิจิทัลวอลเล็ตได้ แต่ปีนี้วิกฤตมารอตรงหน้าแล้ว มีเวลา แต่รัฐบาลก็ไม่ทำ พอมาถึงสภาก็แทบจะแก้อะไรและเพิ่มโครงการใหม่ไม่ได้แล้ว
ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่ารัฐบาลอ้างว่างบประมาณนี้เป็นการจัดยืดหยุ่นแบบกระจาย แต่เมื่อลงไปดูในรายละเอียดจะเห็นว่างบประมาณที่ยืดหยุ่นได้มากที่สุดอย่างงบกลาง ที่มีรายการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ ปีนี้น้อยลงจากปี 2568 ที่เคยอยู่ที่ 1.87 แสนล้านบาท เหลือ 25,000 ล้านบาท แต่ไม่เข้าใจว่าจะเป็นการยืดหยุ่นได้อย่างไรถ้าไม่ได้มีโครงการรองรับ คิดได้อย่างเดียวคือจะปล่อยผีให้หน่วยงานโยกงบประมาณไปทำอย่างอื่นได้ง่ายๆ ใช่หรือไม่
และเมื่อลงไปดูในเอกสารงบประมาณฉบับประชาชน ก็พบว่ามีโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเติมเงิน 10,000 บาท มาแน่แต่มีเงินแจกแค่ 25,000 ล้านบาท ใครจะเป็นผู้ได้รับก็ต้องมาลุ้นกัน ว่าจะเป็นกลุ่มเยาวชน คนทำงาน หรือคนใกล้เกษียณ ที่จะได้เงินตรงนี้ไป ส่วนที่เหลือเป็นงบธงฟ้าราคาประหยัดและการจัดกิจกรรมโอท็อป เป็นต้น
ต่อมาคือกองทุน FTA ที่เอาไว้ช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีการค้า ที่ควรจะเตรียมเอามาช่วยเหลือเกษตรกรที่ปลูกพืชที่รัฐบาลเตรียมเอาไปขึ้นโต๊ะเจรจากับสหรัฐอเมริกา ก็ไม่ได้มีการเตรียมงบประมาณไว้แม้แต่บาทเดียว หรือกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศที่จะอุดหนุนงบประมาณให้ผู้ประกอบการไปหาตลาดใหม่ๆ ก็ได้งบประมาณเพิ่มมาแค่ 5 ล้านบาท
ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่าแม้รัฐบาลบอกว่ามีการเตรียมงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจไว้แล้ว 1.57 แสนล้านบาท แต่เมื่อลงไปดูที่กระทรวงมหาดไทยก็จะพบว่ามีการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 10,000 โครงการ เป็นโครงการตู้น้ำดื่มสะอาดตู้ละ 250,000 บาท และยังมีงบประมาณที่กระจุกอยู่ในหน่วยงานส่วนกลางและจังหวัดต่างๆ ที่ขอเยอะที่สุดคือสำนักปลัดกระทรวงมหาดไทย สร้าง 1 อำเภอ 1 ศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติด 278 แห่ง 5,484 ล้านบาท เท่ากับงบประมาณบูรณาการยาเสพติดของปี 2569 ซึ่งตนไม่ติดใจที่จะต้องมีศูนย์บำบัด แต่จะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างไร
งบประมาณที่ลงรายจังหวัดยิ่งตลกใหญ่ เช่น เชียงราย ที่ได้งบประมาณไป 1 พันกว่าล้านบาท เป็นงบประมาณเอไอไปแล้วถึง 867 ล้านบาท โดยผู้ขอคือพลังงานจังหวัดเชียงราย ของบประมาณเอไอจัดการการจราจร จัดการภัยพิบัติ จัดการภัยคุกคาม ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับภารกิจของพลังงานจังหวัดเลย หรือจะเป็นกรณีของ พม. นครราชสีมา ของบประมาณแพทย์แผนไทย นับคาร์บ ตรวจน้ำตาลนักเรียน หรือกรณีที่บึงกาฬ ของบประมาณสร้างตึกพร้อมซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ทำเอไอฮับมูลค่า 200 ล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจแบบนี้ไม่ใช่สัจนิยมเชิงโครงสร้างแล้ว แต่เป็นสัจนิยมมหัศจรรย์ จัดงบประมาณอะไรไม่รู้มากระตุ้นเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ยังมีงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจอีกก้อนหนึ่ง คือกองทุนหมู่บ้าน SML งบประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งมีข่าวปรากฏว่าขณะนี้กำลังการจัดตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อเตรียมรับงานกันแล้ว ถ้าไม่เตรียมป้องกันการทุจริต ก็เตรียมพบกับการหักหัวคิว 30% ได้เลย เมื่อดูของที่ซื้อก็คือตู้กดน้ำดื่ม โต๊ะ เต๊นท์ ฯลฯ ที่ไม่ได้ตรงกับวัตถุประสงค์ของ SML เลย
ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่างบประมาณปี 2569 ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย เช่น งบประมาณด้านการเกษตร ที่จัดงบประมาณแบบเดิม โครงการย้อนยุคไป 10 ปีที่แล้วก็ยังตั้งมาเหมือนเดิม ไม่มีการเตรียมแผนล่วงหน้าเรื่องราคาตกหรือสินค้าล้นตลาด พอราคาตกก็ไปใช้งบกลางไม่ก็กู้ ธ.ก.ส. พอตั้งงบประมาณก็มีแต่งบประมาณใช้หนี้ ยิ่งงบประมาณสวัสดิการยิ่งเป็นเรื่องตลกร้าย รัฐบาลโฆษณาใหญ่โตว่าคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเพิ่มงบประมาณสวัสดิการให้เด็ก คนแก่ คนพิการ ขนาดหน่วยงานยังส่งคำของบประมาณเพิ่มเติมแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ เพราะมติคณะรัฐมนตรีก่อนหน้าเป็นแค่มติรับทราบ ทำให้สำนักงบประมาณอนุมัติให้ไม่ได้
งบประมาณสิ่งแวดล้อมก็ไม่ได้มีการเตรียมการอะไร มีแต่วนเวียนชดเชยกันเรื่อยไป งบประมาณในอนาคตไม่เพียงพอแน่ๆ ถ้าไม่มีงบประมาณด้านการเตรียมการป้องกันแล้วใช้วิธีการชดเชยเยียวยากันไปแบบนี้ แต่ในงบกลางปี 2568 รัฐบาลก็มาจัดงบกลางกระตุ้นเศรษฐกิจเพียงแค่หวังผลทางการเมือง จัดงบประมาณแก้ภัยแล้งแบบพื้นที่แล้งไม่ได้ พื้นที่ได้ไม่แล้ง และอีกไม่กี่เดือนน้ำก็จะท่วมแล้ว
ที่รับไม่ได้ที่สุดคืองบประมาณรายจ่ายประจำ ที่รัฐบาลบอกว่าต่ำสุดในรอบ 18 ปี แต่นั่นก็เพราะรัฐบาลตัดงบประมาณรายจ่ายประจำลงแบบให้ไม่ครบ งบประมาณชำระดอกเบี้ยขาดไป 65,000 ล้านบาท งบประมาณบำนาญขาดไปถึง 51,000 ล้านบาท งบประมาณค่ารักษาพยาบาลก็ตั้งไว้ไม่พอ แค่ 90,000 ล้านบาทจากปกติ 1 แสนล้านบาท แล้วยังมีกองทุนประชารัฐที่ปกติใช้ปีละ 50,000 ล้านบาท ปีนี้ให้แค่ 30,000 ล้านบาท แล้วรัฐบาลก็มาดีใจทั้งที่ตั้งงบประมาณขาดไป 1.5 แสนล้านบาท
ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่าตนเคยพูดไว้ตั้งแต่ปี 2567 ว่าวิธีการแบบนี้ทำกันมาหลายปีแล้ว ตัดรายจ่ายประจำให้น้อยให้ดูดีแล้วมาอ้างว่ารายจ่ายประจำลดลงแล้ว สุดท้ายเมื่อปี 2567 มีปัญหาเงินไม่พอชำระดอกเบี้ย จ่ายบำนาญข้าราชการ ค่ารักษาพยาบาล งบกลางก็หมดเพราะเอาไปใช้กับดิจิทัลวอลเล็ต ต้องไปเอาเงินคงคลังออกมาใช้ จ่ายบำนาญ 42,000 ล้านบาท จ่ายค่ารักษาพยาบาล 24,000 ล้านบาท จ่ายเงินเดือนข้าราชการ 17,000 ล้านบาท และที่สำคัญคือการชำระดอกเบี้ย 40,000 ล้านบาท
รวมแล้วใช้เงินคงคลังไปตอนปี 2567 ถึง 1.2 แสนล้านบาท จนปี 2569 ต้องมาตั้งงบประมาณชดเชย 1.2 แสนล้านบาทจาก 3.78 ล้านล้านบาท เป็นการจัดงบประมาณผิดพลาดจนต้องมาใช้เงินคงคลังเยอะขนาดนี้ไม่เคยมีมาก่อน รายการก็เป็นรายการที่รู้อยู่แล้วว่าต้องใช้ แต่ก็ตั้งใจตั้งงบประมาณให้ไม่พอเพื่อให้ตัวเลขรายจ่ายประจำดูดี แล้วค่อยหางบประมาณมาเพิ่มทีหลัง
ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่าในด้านรายจ่ายลงทุนที่เป็นงบประมาณก้อนใหญ่ประมาณ 5.7 แสนล้านบาท ก็เอาไปลงกับถนนอย่างผิดปกติ ถนนดีก็รื้อทำใหม่ ถนนพังยังไม่ได้ซ่อม ซอยงบประมาณเพื่อหลบไม่ให้ผู้รับเหมาชั้น 1 ได้ขึ้นมาเป็นชั้นพิเศษ งบประมาณด้านจัดการน้ำก็มีการซอยโครงการแบบหลบเลี่ยงการประมูล เพื่อประเคนให้ สส. พรรคตัวเอง การก่อสร้างอาคารราชการก็มีทั้งถูกทิ้งร้าง ทิ้งงาน และทิ้งงบประมาณลงน้ำ มี 2 จังหวัดที่ผู้รับเหมาทิ้งงาน อีกกว่า 16 จังหวัดที่มีปัญหาความล่าช้าในการเบิกจ่าย
อาคารราชการที่มีปัญหาอื่น อย่างเช่นอาคารราชการศูนย์ราชการมหาดไทย 9,062 ล้านบาท พื้นที่เหลือจนทำให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นมีห้องแต่งตัวให้อธิบดีและรองอธิบดี ส่วนกรมการพัฒนาชุมชนก็มีที่เหลือจนต้องมีการตั้งห้องเกียรติยศ ตึกคมนาคม 3,800 ล้านบาทก็อลังการยิ่งกว่าตึก สตง. ของบประมาณเป็นสองเท่าของตึก สตง. ขนาดใหญ่เท่า 5 สนามฟุตบอล มีห้องต่างๆ มากมาย ทั้งที่ข้าราชการประจำมีแค่ 1,200 คน รวมพนักงานและกำลังคนทั้งหมดก็มีแค่ 56,000 คน
สำหรับรัฐสภาไม่มาก 953 ล้านบาทก็มีส่วนที่ขอไปเกินเลยและไม่จำเป็น สำนักงานอัยการสูงสุดก็สร้างไม่เสร็จ 16 โครงการเลื่อนแล้วเลื่อนอีก ตั้งงบประมาณไปตั้งแต่ปี 2565 ยังไม่ได้เริ่มสร้าง ปีนี้ก็ขอเพิ่มอีก 1,315 ล้านบาท อาคารป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ 1,019 ล้านบาท ก็ตั้งงบประมาณออกแบบแบบซอยให้เหลือ 500,000 บาท ล็อกเลือกได้เองว่าจะให้ใครมาออกแบบ ตึก ป.ป.ช. ที่ใหญ่โตอยู่แล้วก็จะขยายเพิ่มอีก ของบประมาณมา 700 ล้านบาท สร้างอาคารเพิ่มโดยเฉพาะศูนย์ฝึกอบรมที่มีอยู่แล้ว 7 ชั้นจะสร้างเพิ่มอีกเป็น 12 ชั้น มีทั้งสนามบาสเก็ตบอลในร่ม ฟิตเนส และสระว่ายน้ำ และ Thailand Digital Valley 4,000 ล้านบาท ที่สร้างมาหลายปีแล้วก็ยังไม่เสร็จ
ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่าจะเห็นได้ว่างบประมาณมีปัญหา ทั้งจัดมาไม่ตรง ไม่พอ อ้างว่ารื้อไม่ทัน อ้างว่ายืดหยุ่นอยู่แล้ว แต่เราเห็นว่าท่าไม่ดี มีรูรั่ว มีสิ่งที่ไม่จำเป็น เราจึงมาขอช่วยรัฐบาลหาเงินด้วยข้อเสนอเหล่านี้
1) อุดรูรั่วการทุจริต เลิกอุ้มผู้รับเหมาชั้นพิเศษ เปิดให้มีการแข่งขัน เพราะโครงการที่มีผู้รับเหมามีสิทธิเข้าร่วมประมูลมากสามารถประหยัดงบประมาณไปได้ถึง 16.7% ผู้รับเหมาที่จะเป็นชั้นพิเศษไม่ควรพิจารณาจากแค่ว่าเคยทำโครงการขนาดใหญ่แค่ไหนมาก่อน แต่ต้องดูความรู้ความเชี่ยวชาญ ความสามารถ ฝีมือ และประวัติการส่งมอบ
2) ล้างบางบรรดาขาประจำของแต่ละกรมแต่ละกระทรวง ที่รับจบตั้งแต่ในเสนอราคา ใบกำหนดราคากลาง หาคู่เทียบมาให้ด้วย ประมูลทำกันพอเป็นพิธี เปลี่ยนมาใช้แพล็ตฟอร์มจัดซื้อกลาง เลิกซอยโครงการเหลือโครงการละไม่เกิน 500,000 บาทที่ตั้งใจเพื่อล็อกผู้ชนะ กลับไปใช้ e-bidding เพิ่มการแข่งขัน ให้ราคาถูกลงแบบไม่ล็อกใคร
3) เลิกโครงการที่ส่อทุจริต โครงการที่ไม่จำเป็น โครงการที่ไม่คุ้มค่า ลดงบประมาณโครงการที่จำเป็นแต่ตั้งงบประมาณมาสูงเกิน และเลื่อนงวดงานในโครงการที่มีความสำคัญน้อยกว่า ก็จะประหยัดงบประมาณในแต่ละปีลงไปได้ หากเลิกฮั้วประมูลถนนได้จะได้งบประมาณมาทันที 8,000 ล้านบาท เลื่อนงวดงานและลดขนาดตึกต่างๆ ที่ใหญ่โตเกินความจำเป็นจะลดงบประมาณได้อีก 10,000 ล้านบาท ลดการจัดอิเวนต์ซ้ำซ้อนจะลดงบประมาณได้ 2,000 ล้านบาท ลดส่วนต่างหนังสือเรียนจะลดงบประมาณได้ 1,000 ล้านบาท และเลิก ลด เลื่อนงบประมาณกระทรวงกลาโหม จะลดงบประมาณลงได้อีก 10,000 ล้านบาท เฉพาะส่วนนี้ก็สามารถลดงบประมาณไปได้ถึง 31,000 ล้านบาทแล้ว
ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่าความจริงแล้วยังมีส่วนที่สามารถลดได้มากกว่านี้อีก ซึ่งตนเชื่อว่าหากลงไปดูในรายละเอียดจริงๆ จะสามารถลดงบประมาณลงไปได้ถึง 50,000 - 100,000 ล้านบาทแน่นอน เหมือนที่เคยทำกันมาในปี 2564 ที่สามารถตัดลดงบประมาณลงไปได้ถึง 31,965 ล้านบาทในช่วงภาวะโควิด หรือในปี 2563 ที่ยังไม่มีโควิดก็สามารถตัดลงได้ถึง 16,231 ล้านบาท เป็นปีแรกที่แปรงบประมาณไปชำระหนี้ให้ประกันสังคมได้ถึง 10,000 ล้านบาท รวมถึงในปี 2565 ที่ตัดได้ถึง 16,362 ล้านบาท
ตอนนี้คณะกรรมาธิการในสัดส่วนพรรคฝ่ายค้านพร้อมแล้ว รัฐบาลจะเอาด้วยหรือไม่ในการลดงบประมาณ ถ้าคิดว่าเศรษฐกิจวิกฤตแล้วก็ขอให้ร่วมมือกัน เมื่อตัดแล้วเราสามารถเอาไปทำงบประมาณด้วยวิธีใหม่ จัดลำดับความสำคัญในช่วงที่กำลังจะมีวิกฤตเศรษฐกิจ ต้องมีเงินสำหรับการบรรเทาทุกข์ เยียวยา จัดหาสวัสดิการ กอบกู้เสาหลักเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว SMEs ภาคอุตสาหกรรมที่ยังอ่อนแอ และใช้ในการปรับโครงสร้างในระยะยาวเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ หรือการยกเครื่องภาคการเกษตร การลงทุนเรื่องทักษะ
ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่านอกจากนี้ตนยังมีข้อเสนอการลงทุนอย่างมียุทธศาสตร์ เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้นได้และทำให้อุตสาหกรรมในประเทศโตไปได้ด้วยกัน เงินที่ได้เพิ่มถ้าเอามาทำ matching fund กับท้องถิ่น จะไม่ได้แค่ตู้น้ำดื่มแต่จะได้ระบบประปาดื่มได้ในระดับหมู่บ้าน ได้เตาเผาไร้มลพิษแทนที่เตาเผาพังไว ถ้านโยบายชัด อุปสงค์มี เอกชนรู้แล้วว่ารัฐเอาจริง กำหนดให้ต้องใช้ชิ้นส่วนในประเทศ นี่จะกลายเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เหนี่ยวนำการลงทุนภาคเอกชน สามารถทำแบบนี้กับได้อีกหลายสาธารณูปโภคที่ทำให้คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้นได้ ทั้งน้ำประปา รถเมล์ไฟฟ้า ระบบบำบัดน้ำเสีย หลังคาโซลาร์เซลล์ ขอเพียงรัฐบาลกำหนดนโยบายมาว่าเอาจริงและจะไม่ล้มเลิกกลางคัน
เมื่อครั้งการพิจารณางบประมาณปี 2564 ตนเคยวิจารณ์รัฐบาลในขณะนั้นว่าจัดงบประมาณมาไม่ได้ตอบโจทย์ประเทศที่กำลังจะเผชิญกับวิกกฤตโควิดเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกในวันนี้ไม่ต่างกัน งบประมาณจำเป็นต้องถูกรื้อหมดจริงๆ เราจึงอยากมีส่วนร่วมในการปรับปรุงงบประมาณให้ดีขึ้น ช่วยรัฐบาลหางบประมาณเพิ่มมาพยุงประเทศและเศรษฐกิจไม่ให้พังไปมากกว่านี้ แต่รัฐบาลก็ดูไม่ค่อยอยากให้ช่วย ยังอยากอยู่กับงบประมาณแบบนี้ต่อไป ยืนยันว่าเป็นงบประมาณที่ชาญฉลาด ยืดหยุ่น ถูกต้องแล้ว
ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เข้าห้องกรรมาธิการไปก็คงตัดอะไรไม่ได้มาก เปลี่ยนอะไรไม่ได้เยอะ แต่ในฐานะฝ่ายค้านเราก็จะเดินหน้าทำหน้าที่ของเราต่อไป กรรมาธิการและอนุกรรมาธิการในสัดส่วนฝ่ายค้านจะตรวจสอบงบประมาณให้เต็มที่ พยายามลด เลิก เลื่อนโครงการต่างๆ ที่ไม่มีความจำเป็น ส่อทุจริต หรือไม่สำคัญที่สุดในเวลานี้ ถึงแม้รัฐบาลจะไม่เอาด้วยแต่เราก็จะทำงานอย่างสมศักดิ์ศรีของฝ่ายค้านอย่างถึงที่สุด
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #งบ69