วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

นายกฯ ยัน "ทักษิณ" ครอบงำพรรคไม่ได้ แค่ลูกสาวรับคำปรึกษาไว้พิจารณา ชม "อนุทิน" ยกหูปรึกษาเมื่อไหร่ก็ได้คำตอบ ส่วนมหาดไทยไม่ดีจริงหรือไม่ให้ถามพ่อ เพราะตนไม่ได้พูด ชี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ปม ปรับ ครม.

 


นายกฯ ยัน "ทักษิณ" ครอบงำพรรคไม่ได้ แค่ลูกสาวรับคำปรึกษาไว้พิจารณา ชม "อนุทิน" ยกหูปรึกษาเมื่อไหร่ก็ได้คำตอบ ส่วนมหาดไทยไม่ดีจริงหรือไม่ให้ถามพ่อ เพราะตนไม่ได้พูด ชี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ปม ปรับ ครม.


วันนี้ (31 พ.ค. 68) เวลา 17.03 น. ที่อาคารรัฐสภา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเดินทางกลับ ภายหลังร่วมลงมติร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 โดยผู้สื่อข่าวถามว่า หลักการพิจารณางบประมาณ ปี 69 จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า วันนี้ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไร สมมุติว่าถ้าจะต้องปรับจริงๆ ในส่วนของพรรคเพื่อไทย ตนก็จะคุยเองอยู่แล้ว เพราะที่ผ่านมามีกระแสข่าวออกไปมาก ทำให้รัฐมนตรีหลายท่าน รู้สึกหวั่นไหว ท้อใจ ซึ่งตนไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ขณะนี้ก็ได้พยายามสื่อสารทำความเข้าใจในพรรคเพื่อไทยอยู่


ผู้สื่อข่าวถามว่าการให้สัมภาษณ์ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะทำให้บั่นทอนจิตใจพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ น.ส.แพทองธาร ตอบว่า “ไม่นะคะ เมื่อสักครู่นี้นั่งอยู่อยู่ข้างๆ หลายพรรค ไม่มีใครถามไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้เลย”

 

ส่วนกรณีที่พูดว่ากระทรวงมหาดไทยทำงานไม่ดีจริงหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า อันนั้นเป็นความคิดเห็นของนายทักษิณ ส่วนตนยังไม่ได้ประเมินอะไรแบบนั้น ก็ต้องรอดู ส่วนได้พูดคุยกับนายทักษิณว่าทำไมพูดแบบนั้น ก็ได้คุยกันอยู่ทุกวัน ถ้าเมื่อสักครู่นี้ถ่ายรูปโทรศัพท์ไปได้ก็จะเห็นว่าคุยกับคุณพ่อ


ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าอาจจะเป็นการจะเป็นการครอบงำพรรคหรือไม่ ในการพูดลักษณะแบบนี้ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า จะครอบงำอย่างไร จริงๆ แล้ว คนที่รู้สึกหรือกระทบคำพูดของนายทักษิณก็คงไม่ใช่แค่ในพรรคเพื่อไทย คนที่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งการเมืองเลยก็รู้สึกกระทบ อันนั้นถือว่าครอบงำคนอื่นด้วยหรือไม่ ซึ่งก็ต้องแล้วแต่ว่าใครจะรู้สึกอย่างไรเป็นเรื่องของบุคคล ว่าเราจะให้เขาครอบงำหรือไม่ เราจะรู้สึกอย่างไร 


“ดิฉันคิดว่าจริงๆ มันครอบงำไม่ได้ แล้วแต่ว่าเราจะให้ครอบงำเองหรือเปล่า ไม่ใช่แค่ตัวท่านทักษิณ แต่เป็นใครก็ได้” น.ส.แพทองธาร กล่าว


ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวถามถึงการทำงานของนายอนุทิน ชาญวีรกุลรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เวลายกหูหาท่านก็ให้คำตอบ ติดต่อกันได้ทุกครั้ง ซึ่งในกระทรวงมหาดไทย และทุกกระทรวงก็มีเรื่องที่ทำได้ และไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็เดี๋ยวมาตอบกันอีกที


ส่วนมีความสำคัญแค่ไหนที่พรรคเพื่อไทยจะนำกระทรวงมหาดไทยกลับมาดูแล น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า “ประเด็นคือดิฉันยังไม่ได้พูด ถ้าอันนี้จะลงลึกยังไงให้ถามท่านทักษิณ เพราะดิฉันไม่ได้เป็นคนให้สัมภาษณ์”


น.ส.แพทองธาร ย้ำว่า ในวันนี้ และตอนนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยน ถ้าเปลี่ยนเมื่อใดเดี๋ยวจะมารายงานบอก ส่วนในอนาคตจะมีโอกาสสลับกระทรวงกันได้หรือไม่นั้น ทุกอย่างเป็นไปได้ พูดมาแล้วตั้งแต่ตอนเลือกตั้ง ตนพูดคำเดิม ทุกอย่างสามารถเป็นไปได้ อาจจะไม่ได้เป็นเหมือนที่เราวาดหวัง ซึ่งก็เป็นแบบนั้นทุกครั้ง เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็เช่นกันอะไรก็เกิดขึ้นได้


น.ส.แพทองธาร ย้ำอีกว่า ขณะนี้ความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาลยังเหมือนเดิม เมื่อสักครู่ยังได้ส่งไปในกลุ่มไลน์ ครม. เพื่อขอบคุณทุกแรงโหวตในงบประมาณ ทุกคนจะได้ทำงานต่อ นโยบายอะไรที่วางไว้จะได้ทำได้อย่างเต็มที่ 


ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ส่วนการอภิปรายของพรรคภูมิใจไทยที่วันนี้มีท่าทีที่วันนี้มีท่าที ที่เหมือนจะขัดกับรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องของการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต น.ส.แพทองธาร ตอบกลับว่า “ที่จะให้แจก 20,000 ใช่ไหม ก็ดูไม่ได้ขัดซะทีเดียวนะคะ แต่เขาบอกให้เพิ่มขึ้น แต่จริงๆ คืองบมันไม่พอ เพราะต้องนำไปใช้ในส่วนอื่นก่อน”


น.ส.แพทองธาร ทิ้งท้ายว่า “คุณทักษิณครอบงำไม่ได้อยู่แล้วค่ะ คุณทักษิณให้คำปรึกษา ลูกสาวคุณทักษิณรับไว้พิจารณา”


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #แพทองธารชินวัตร #งบ69

“ศิริกัญญา” ชี้ปัญหางบ 69 จัดเหมือนเดิมทั้งที่วิกฤตจ่อรออยู่ตรงหน้า อัดรัฐอ้างรื้อไม่ทันทั้งที่ปีก่อนเคยนั่งรื้อหาเงินมาแจกเงินหมื่นยังทำได้ ยื่นข้อเสนอช่วยหั่นงบในชั้น กมธ. เชื่อประหยัดงบได้ 30,000 ล้านอย่างต่ำ เปลี่ยนเป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจ-รับมือวิกฤตได้

 


“ศิริกัญญา” ชี้ปัญหางบ 69 จัดเหมือนเดิมทั้งที่วิกฤตจ่อรออยู่ตรงหน้า อัดรัฐอ้างรื้อไม่ทันทั้งที่ปีก่อนเคยนั่งรื้อหาเงินมาแจกเงินหมื่นยังทำได้ ยื่นข้อเสนอช่วยหั่นงบในชั้น กมธ. เชื่อประหยัดงบได้ 30,000 ล้านอย่างต่ำ เปลี่ยนเป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจ-รับมือวิกฤตได้


วันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้เป็นผู้อภิปรายสรุปภาพรวมของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ พร้อมให้คำเสนอแนะต่อรัฐบาลในการจัดทำงบประมาณในวาระต่อไป


โดยศิริกัญญาระบุว่าปัญหาเศรษฐกิจตอนนี้มีมากมาย ทั้งปัญหาของเกษตรกร ราคาสินค้า หนี้ครัวเรือน รวมทั้งสงครามการค้า ที่ตอนนี้แม้ดูเหมือนจะคลี่คลายลงไปแล้ว แต่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกายังมีเครื่องมืออีกมากที่จะทำให้สามารถขึ้นภาษีได้อยู่ ความไม่แน่นอนยังมีสูงมาก สงครามการค้าไม่จบง่ายๆ แน่ๆ เหตุการณ์เลวร้ายที่สุดคือเศรษฐกิจอาจจะโตแค่ 1.3% ในปีนี้ และปีหน้าอาจจะเหลือแค่ 1% หรือแม้หากสงครามการค้าจบได้ด้วยดีก็ใช่ว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น 


งบประมาณปี 2569 รัฐบาลบอกว่าจัดใหม่ไม่ทัน ทั้งที่เราพร่ำเพียรบอกรัฐบาลว่าให้เอากลับไปจัดสรรใหม่ก่อน ถ้าต้องส่งมาล่าช้า 1-2 สัปดาห์ก็ไม่เป็นปัญหา กรรมาธิการเร่งระยะเวลาให้พิจารณาได้ แต่รัฐบาลก็ไม่ทำ เตือนไปตั้งแต่เดือนเมษายน ที่ยังเอากลับไปแก้ใหม่ได้แน่ๆ แล้วรัฐบาลก็มาอ้างว่านี่คือความฉลาดของรัฐบาลและความถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งที่ปี 2567 เคยมีการรื้องบประมาณไปสองรอบ ปี 2568 ก็รื้ออีกสองรอบ เพื่อหาเงินมาทำดิจิทัลวอลเล็ตได้ แต่ปีนี้วิกฤตมารอตรงหน้าแล้ว มีเวลา แต่รัฐบาลก็ไม่ทำ พอมาถึงสภาก็แทบจะแก้อะไรและเพิ่มโครงการใหม่ไม่ได้แล้ว


ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่ารัฐบาลอ้างว่างบประมาณนี้เป็นการจัดยืดหยุ่นแบบกระจาย แต่เมื่อลงไปดูในรายละเอียดจะเห็นว่างบประมาณที่ยืดหยุ่นได้มากที่สุดอย่างงบกลาง ที่มีรายการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ ปีนี้น้อยลงจากปี 2568 ที่เคยอยู่ที่ 1.87 แสนล้านบาท เหลือ 25,000 ล้านบาท แต่ไม่เข้าใจว่าจะเป็นการยืดหยุ่นได้อย่างไรถ้าไม่ได้มีโครงการรองรับ คิดได้อย่างเดียวคือจะปล่อยผีให้หน่วยงานโยกงบประมาณไปทำอย่างอื่นได้ง่ายๆ ใช่หรือไม่


และเมื่อลงไปดูในเอกสารงบประมาณฉบับประชาชน ก็พบว่ามีโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเติมเงิน 10,000 บาท มาแน่แต่มีเงินแจกแค่ 25,000 ล้านบาท ใครจะเป็นผู้ได้รับก็ต้องมาลุ้นกัน ว่าจะเป็นกลุ่มเยาวชน คนทำงาน หรือคนใกล้เกษียณ ที่จะได้เงินตรงนี้ไป ส่วนที่เหลือเป็นงบธงฟ้าราคาประหยัดและการจัดกิจกรรมโอท็อป เป็นต้น


ต่อมาคือกองทุน FTA ที่เอาไว้ช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีการค้า ที่ควรจะเตรียมเอามาช่วยเหลือเกษตรกรที่ปลูกพืชที่รัฐบาลเตรียมเอาไปขึ้นโต๊ะเจรจากับสหรัฐอเมริกา ก็ไม่ได้มีการเตรียมงบประมาณไว้แม้แต่บาทเดียว หรือกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศที่จะอุดหนุนงบประมาณให้ผู้ประกอบการไปหาตลาดใหม่ๆ ก็ได้งบประมาณเพิ่มมาแค่ 5 ล้านบาท


ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่าแม้รัฐบาลบอกว่ามีการเตรียมงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจไว้แล้ว 1.57 แสนล้านบาท แต่เมื่อลงไปดูที่กระทรวงมหาดไทยก็จะพบว่ามีการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 10,000 โครงการ เป็นโครงการตู้น้ำดื่มสะอาดตู้ละ 250,000 บาท และยังมีงบประมาณที่กระจุกอยู่ในหน่วยงานส่วนกลางและจังหวัดต่างๆ ที่ขอเยอะที่สุดคือสำนักปลัดกระทรวงมหาดไทย สร้าง 1 อำเภอ 1 ศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติด 278 แห่ง 5,484 ล้านบาท เท่ากับงบประมาณบูรณาการยาเสพติดของปี 2569 ซึ่งตนไม่ติดใจที่จะต้องมีศูนย์บำบัด แต่จะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างไร


งบประมาณที่ลงรายจังหวัดยิ่งตลกใหญ่ เช่น เชียงราย ที่ได้งบประมาณไป 1 พันกว่าล้านบาท เป็นงบประมาณเอไอไปแล้วถึง 867 ล้านบาท โดยผู้ขอคือพลังงานจังหวัดเชียงราย ของบประมาณเอไอจัดการการจราจร จัดการภัยพิบัติ จัดการภัยคุกคาม ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับภารกิจของพลังงานจังหวัดเลย หรือจะเป็นกรณีของ พม. นครราชสีมา ของบประมาณแพทย์แผนไทย นับคาร์บ ตรวจน้ำตาลนักเรียน หรือกรณีที่บึงกาฬ ของบประมาณสร้างตึกพร้อมซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ทำเอไอฮับมูลค่า 200 ล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจแบบนี้ไม่ใช่สัจนิยมเชิงโครงสร้างแล้ว แต่เป็นสัจนิยมมหัศจรรย์ จัดงบประมาณอะไรไม่รู้มากระตุ้นเศรษฐกิจ


นอกจากนี้ยังมีงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจอีกก้อนหนึ่ง คือกองทุนหมู่บ้าน SML งบประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งมีข่าวปรากฏว่าขณะนี้กำลังการจัดตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อเตรียมรับงานกันแล้ว ถ้าไม่เตรียมป้องกันการทุจริต ก็เตรียมพบกับการหักหัวคิว 30% ได้เลย เมื่อดูของที่ซื้อก็คือตู้กดน้ำดื่ม โต๊ะ เต๊นท์ ฯลฯ ที่ไม่ได้ตรงกับวัตถุประสงค์ของ SML เลย


ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่างบประมาณปี 2569 ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย เช่น งบประมาณด้านการเกษตร ที่จัดงบประมาณแบบเดิม โครงการย้อนยุคไป 10 ปีที่แล้วก็ยังตั้งมาเหมือนเดิม ไม่มีการเตรียมแผนล่วงหน้าเรื่องราคาตกหรือสินค้าล้นตลาด พอราคาตกก็ไปใช้งบกลางไม่ก็กู้ ธ.ก.ส. พอตั้งงบประมาณก็มีแต่งบประมาณใช้หนี้ ยิ่งงบประมาณสวัสดิการยิ่งเป็นเรื่องตลกร้าย รัฐบาลโฆษณาใหญ่โตว่าคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเพิ่มงบประมาณสวัสดิการให้เด็ก คนแก่ คนพิการ ขนาดหน่วยงานยังส่งคำของบประมาณเพิ่มเติมแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ เพราะมติคณะรัฐมนตรีก่อนหน้าเป็นแค่มติรับทราบ ทำให้สำนักงบประมาณอนุมัติให้ไม่ได้


งบประมาณสิ่งแวดล้อมก็ไม่ได้มีการเตรียมการอะไร มีแต่วนเวียนชดเชยกันเรื่อยไป งบประมาณในอนาคตไม่เพียงพอแน่ๆ ถ้าไม่มีงบประมาณด้านการเตรียมการป้องกันแล้วใช้วิธีการชดเชยเยียวยากันไปแบบนี้ แต่ในงบกลางปี 2568 รัฐบาลก็มาจัดงบกลางกระตุ้นเศรษฐกิจเพียงแค่หวังผลทางการเมือง จัดงบประมาณแก้ภัยแล้งแบบพื้นที่แล้งไม่ได้ พื้นที่ได้ไม่แล้ง และอีกไม่กี่เดือนน้ำก็จะท่วมแล้ว 


ที่รับไม่ได้ที่สุดคืองบประมาณรายจ่ายประจำ ที่รัฐบาลบอกว่าต่ำสุดในรอบ 18 ปี แต่นั่นก็เพราะรัฐบาลตัดงบประมาณรายจ่ายประจำลงแบบให้ไม่ครบ งบประมาณชำระดอกเบี้ยขาดไป 65,000 ล้านบาท งบประมาณบำนาญขาดไปถึง 51,000 ล้านบาท งบประมาณค่ารักษาพยาบาลก็ตั้งไว้ไม่พอ แค่ 90,000 ล้านบาทจากปกติ 1 แสนล้านบาท แล้วยังมีกองทุนประชารัฐที่ปกติใช้ปีละ 50,000 ล้านบาท ปีนี้ให้แค่ 30,000 ล้านบาท แล้วรัฐบาลก็มาดีใจทั้งที่ตั้งงบประมาณขาดไป 1.5 แสนล้านบาท


ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่าตนเคยพูดไว้ตั้งแต่ปี 2567 ว่าวิธีการแบบนี้ทำกันมาหลายปีแล้ว ตัดรายจ่ายประจำให้น้อยให้ดูดีแล้วมาอ้างว่ารายจ่ายประจำลดลงแล้ว สุดท้ายเมื่อปี 2567 มีปัญหาเงินไม่พอชำระดอกเบี้ย จ่ายบำนาญข้าราชการ ค่ารักษาพยาบาล งบกลางก็หมดเพราะเอาไปใช้กับดิจิทัลวอลเล็ต ต้องไปเอาเงินคงคลังออกมาใช้ จ่ายบำนาญ 42,000 ล้านบาท จ่ายค่ารักษาพยาบาล 24,000 ล้านบาท จ่ายเงินเดือนข้าราชการ 17,000 ล้านบาท และที่สำคัญคือการชำระดอกเบี้ย 40,000 ล้านบาท 


รวมแล้วใช้เงินคงคลังไปตอนปี 2567 ถึง 1.2 แสนล้านบาท จนปี 2569 ต้องมาตั้งงบประมาณชดเชย 1.2 แสนล้านบาทจาก 3.78 ล้านล้านบาท เป็นการจัดงบประมาณผิดพลาดจนต้องมาใช้เงินคงคลังเยอะขนาดนี้ไม่เคยมีมาก่อน รายการก็เป็นรายการที่รู้อยู่แล้วว่าต้องใช้ แต่ก็ตั้งใจตั้งงบประมาณให้ไม่พอเพื่อให้ตัวเลขรายจ่ายประจำดูดี แล้วค่อยหางบประมาณมาเพิ่มทีหลัง


ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่าในด้านรายจ่ายลงทุนที่เป็นงบประมาณก้อนใหญ่ประมาณ 5.7 แสนล้านบาท ก็เอาไปลงกับถนนอย่างผิดปกติ ถนนดีก็รื้อทำใหม่ ถนนพังยังไม่ได้ซ่อม ซอยงบประมาณเพื่อหลบไม่ให้ผู้รับเหมาชั้น 1 ได้ขึ้นมาเป็นชั้นพิเศษ งบประมาณด้านจัดการน้ำก็มีการซอยโครงการแบบหลบเลี่ยงการประมูล เพื่อประเคนให้ สส. พรรคตัวเอง การก่อสร้างอาคารราชการก็มีทั้งถูกทิ้งร้าง ทิ้งงาน และทิ้งงบประมาณลงน้ำ มี 2 จังหวัดที่ผู้รับเหมาทิ้งงาน อีกกว่า 16 จังหวัดที่มีปัญหาความล่าช้าในการเบิกจ่าย 


อาคารราชการที่มีปัญหาอื่น อย่างเช่นอาคารราชการศูนย์ราชการมหาดไทย 9,062 ล้านบาท พื้นที่เหลือจนทำให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นมีห้องแต่งตัวให้อธิบดีและรองอธิบดี ส่วนกรมการพัฒนาชุมชนก็มีที่เหลือจนต้องมีการตั้งห้องเกียรติยศ ตึกคมนาคม 3,800 ล้านบาทก็อลังการยิ่งกว่าตึก สตง. ของบประมาณเป็นสองเท่าของตึก สตง. ขนาดใหญ่เท่า 5 สนามฟุตบอล มีห้องต่างๆ มากมาย ทั้งที่ข้าราชการประจำมีแค่ 1,200 คน รวมพนักงานและกำลังคนทั้งหมดก็มีแค่ 56,000 คน


สำหรับรัฐสภาไม่มาก 953 ล้านบาทก็มีส่วนที่ขอไปเกินเลยและไม่จำเป็น สำนักงานอัยการสูงสุดก็สร้างไม่เสร็จ 16 โครงการเลื่อนแล้วเลื่อนอีก ตั้งงบประมาณไปตั้งแต่ปี 2565 ยังไม่ได้เริ่มสร้าง ปีนี้ก็ขอเพิ่มอีก 1,315 ล้านบาท อาคารป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ 1,019 ล้านบาท ก็ตั้งงบประมาณออกแบบแบบซอยให้เหลือ 500,000 บาท ล็อกเลือกได้เองว่าจะให้ใครมาออกแบบ ตึก ป.ป.ช. ที่ใหญ่โตอยู่แล้วก็จะขยายเพิ่มอีก ของบประมาณมา 700 ล้านบาท สร้างอาคารเพิ่มโดยเฉพาะศูนย์ฝึกอบรมที่มีอยู่แล้ว 7 ชั้นจะสร้างเพิ่มอีกเป็น 12 ชั้น มีทั้งสนามบาสเก็ตบอลในร่ม ฟิตเนส และสระว่ายน้ำ และ Thailand Digital Valley 4,000 ล้านบาท ที่สร้างมาหลายปีแล้วก็ยังไม่เสร็จ


ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่าจะเห็นได้ว่างบประมาณมีปัญหา ทั้งจัดมาไม่ตรง ไม่พอ อ้างว่ารื้อไม่ทัน อ้างว่ายืดหยุ่นอยู่แล้ว แต่เราเห็นว่าท่าไม่ดี มีรูรั่ว มีสิ่งที่ไม่จำเป็น เราจึงมาขอช่วยรัฐบาลหาเงินด้วยข้อเสนอเหล่านี้


1) อุดรูรั่วการทุจริต เลิกอุ้มผู้รับเหมาชั้นพิเศษ เปิดให้มีการแข่งขัน เพราะโครงการที่มีผู้รับเหมามีสิทธิเข้าร่วมประมูลมากสามารถประหยัดงบประมาณไปได้ถึง 16.7% ผู้รับเหมาที่จะเป็นชั้นพิเศษไม่ควรพิจารณาจากแค่ว่าเคยทำโครงการขนาดใหญ่แค่ไหนมาก่อน แต่ต้องดูความรู้ความเชี่ยวชาญ ความสามารถ ฝีมือ และประวัติการส่งมอบ 


2) ล้างบางบรรดาขาประจำของแต่ละกรมแต่ละกระทรวง ที่รับจบตั้งแต่ในเสนอราคา ใบกำหนดราคากลาง หาคู่เทียบมาให้ด้วย ประมูลทำกันพอเป็นพิธี เปลี่ยนมาใช้แพล็ตฟอร์มจัดซื้อกลาง เลิกซอยโครงการเหลือโครงการละไม่เกิน 500,000 บาทที่ตั้งใจเพื่อล็อกผู้ชนะ กลับไปใช้ e-bidding เพิ่มการแข่งขัน ให้ราคาถูกลงแบบไม่ล็อกใคร


3) เลิกโครงการที่ส่อทุจริต โครงการที่ไม่จำเป็น โครงการที่ไม่คุ้มค่า ลดงบประมาณโครงการที่จำเป็นแต่ตั้งงบประมาณมาสูงเกิน และเลื่อนงวดงานในโครงการที่มีความสำคัญน้อยกว่า ก็จะประหยัดงบประมาณในแต่ละปีลงไปได้ หากเลิกฮั้วประมูลถนนได้จะได้งบประมาณมาทันที 8,000 ล้านบาท เลื่อนงวดงานและลดขนาดตึกต่างๆ ที่ใหญ่โตเกินความจำเป็นจะลดงบประมาณได้อีก 10,000 ล้านบาท ลดการจัดอิเวนต์ซ้ำซ้อนจะลดงบประมาณได้ 2,000 ล้านบาท ลดส่วนต่างหนังสือเรียนจะลดงบประมาณได้ 1,000 ล้านบาท และเลิก ลด เลื่อนงบประมาณกระทรวงกลาโหม จะลดงบประมาณลงได้อีก 10,000 ล้านบาท เฉพาะส่วนนี้ก็สามารถลดงบประมาณไปได้ถึง 31,000 ล้านบาทแล้ว


ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่าความจริงแล้วยังมีส่วนที่สามารถลดได้มากกว่านี้อีก ซึ่งตนเชื่อว่าหากลงไปดูในรายละเอียดจริงๆ จะสามารถลดงบประมาณลงไปได้ถึง 50,000 - 100,000 ล้านบาทแน่นอน เหมือนที่เคยทำกันมาในปี 2564 ที่สามารถตัดลดงบประมาณลงไปได้ถึง 31,965 ล้านบาทในช่วงภาวะโควิด หรือในปี 2563 ที่ยังไม่มีโควิดก็สามารถตัดลงได้ถึง 16,231 ล้านบาท เป็นปีแรกที่แปรงบประมาณไปชำระหนี้ให้ประกันสังคมได้ถึง 10,000 ล้านบาท รวมถึงในปี 2565 ที่ตัดได้ถึง 16,362 ล้านบาท


ตอนนี้คณะกรรมาธิการในสัดส่วนพรรคฝ่ายค้านพร้อมแล้ว รัฐบาลจะเอาด้วยหรือไม่ในการลดงบประมาณ ถ้าคิดว่าเศรษฐกิจวิกฤตแล้วก็ขอให้ร่วมมือกัน เมื่อตัดแล้วเราสามารถเอาไปทำงบประมาณด้วยวิธีใหม่ จัดลำดับความสำคัญในช่วงที่กำลังจะมีวิกฤตเศรษฐกิจ ต้องมีเงินสำหรับการบรรเทาทุกข์ เยียวยา จัดหาสวัสดิการ กอบกู้เสาหลักเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว SMEs ภาคอุตสาหกรรมที่ยังอ่อนแอ และใช้ในการปรับโครงสร้างในระยะยาวเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ หรือการยกเครื่องภาคการเกษตร การลงทุนเรื่องทักษะ


ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่านอกจากนี้ตนยังมีข้อเสนอการลงทุนอย่างมียุทธศาสตร์ เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้นได้และทำให้อุตสาหกรรมในประเทศโตไปได้ด้วยกัน เงินที่ได้เพิ่มถ้าเอามาทำ matching fund กับท้องถิ่น จะไม่ได้แค่ตู้น้ำดื่มแต่จะได้ระบบประปาดื่มได้ในระดับหมู่บ้าน ได้เตาเผาไร้มลพิษแทนที่เตาเผาพังไว ถ้านโยบายชัด อุปสงค์มี เอกชนรู้แล้วว่ารัฐเอาจริง กำหนดให้ต้องใช้ชิ้นส่วนในประเทศ นี่จะกลายเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เหนี่ยวนำการลงทุนภาคเอกชน สามารถทำแบบนี้กับได้อีกหลายสาธารณูปโภคที่ทำให้คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้นได้ ทั้งน้ำประปา รถเมล์ไฟฟ้า ระบบบำบัดน้ำเสีย หลังคาโซลาร์เซลล์ ขอเพียงรัฐบาลกำหนดนโยบายมาว่าเอาจริงและจะไม่ล้มเลิกกลางคัน


เมื่อครั้งการพิจารณางบประมาณปี 2564 ตนเคยวิจารณ์รัฐบาลในขณะนั้นว่าจัดงบประมาณมาไม่ได้ตอบโจทย์ประเทศที่กำลังจะเผชิญกับวิกกฤตโควิดเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกในวันนี้ไม่ต่างกัน งบประมาณจำเป็นต้องถูกรื้อหมดจริงๆ เราจึงอยากมีส่วนร่วมในการปรับปรุงงบประมาณให้ดีขึ้น ช่วยรัฐบาลหางบประมาณเพิ่มมาพยุงประเทศและเศรษฐกิจไม่ให้พังไปมากกว่านี้ แต่รัฐบาลก็ดูไม่ค่อยอยากให้ช่วย ยังอยากอยู่กับงบประมาณแบบนี้ต่อไป ยืนยันว่าเป็นงบประมาณที่ชาญฉลาด ยืดหยุ่น ถูกต้องแล้ว


ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เข้าห้องกรรมาธิการไปก็คงตัดอะไรไม่ได้มาก เปลี่ยนอะไรไม่ได้เยอะ แต่ในฐานะฝ่ายค้านเราก็จะเดินหน้าทำหน้าที่ของเราต่อไป กรรมาธิการและอนุกรรมาธิการในสัดส่วนฝ่ายค้านจะตรวจสอบงบประมาณให้เต็มที่ พยายามลด เลิก เลื่อนโครงการต่างๆ ที่ไม่มีความจำเป็น ส่อทุจริต หรือไม่สำคัญที่สุดในเวลานี้ ถึงแม้รัฐบาลจะไม่เอาด้วยแต่เราก็จะทำงานอย่างสมศักดิ์ศรีของฝ่ายค้านอย่างถึงที่สุด


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #งบ69

พรรคประชาชนเตรียมยื่นศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาพฤติกรรมรองประธานสภาฯ 'พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน' ผิดมาตรา 144 ปมชงโครงการ-โยกงบ-จัดกิจกรรมที่คาบเกี่ยวกับพื้นที่ตนเอง


พรรคประชาชนเตรียมยื่นศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาพฤติกรรมรองประธานสภาฯ 'พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน' ผิดมาตรา 144 ปมชงโครงการ-โยกงบ-จัดกิจกรรมที่คาบเกี่ยวกับพื้นที่ตนเอง


จากการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ของ ภัณฑิล น่วมเจิม สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 เปิดเผยถึงพฤติกรรมของรองประธานสภาผู้แทนราษฎรที่มอบหมายที่ปรึกษาของตัวเองเขียนโครงการของบอบรมสัมมนาของสภาฯ โดยการจัดกิจกรรมของโครงการกลับไปกระจุกในจังหวัดของตัวเอง และได้มีการโยกงบประมาณดังกล่าวไปใช้ในโครงการอื่น ซึ่งการกระทำดังกล่าวเสี่ยงจะขัดต่อกฎหมาย


เพื่อตรวจสอบกรณีดังกล่าว พรรคประชาชนจะดำเนินการรวบรวมรายชื่อ สส. เพื่อเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสาม เพื่อพิจารณาวินิจฉัยกรณีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ที่นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง อาจมีส่วนในการใช้งบประมาณรายจ่ายไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม โดยการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ซึ่งเข้าข่ายการกระทำที่ถูกห้ามไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง โดยหากมีความจำเป็น อาจมีการพิจารณาดำเนินการตรวจสอบผ่านกลไกของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อีกช่องทางหนึ่ง

 

#UDDnewe #ยูดีดีนิวส์

วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

จม.จากเรือนจำ “อานนท์” เขียนถึงลูก โทษจากม.112 ของพ่อเพิ่มจาก 22 ปี เป็น 24 ปี กอดของลูก รอยยิ้มลุงป้าน้าอาในห้องพิจารณา ยังคงเพิ่มพลังใจยิ่งในวันที่ยากลำบากนี้ “น้ำตา” ที่ไหลออกมาข้างนอกจะมีรสชาติเค็ม แต่น้ำตาที่ไหลเข้าไปข้างในกลับมีรสขมและขื่น”

 


จม.จากเรือนจำ “อานนท์” เขียนถึงลูก โทษจากม.112 ของพ่อเพิ่มจาก 22 ปี เป็น 24 ปี กอดของลูก รอยยิ้มลุงป้าน้าอาในห้องพิจารณา ยังคงเพิ่มพลังใจยิ่งในวันที่ยากลำบากนี้ “น้ำตา” ที่ไหลออกมาข้างนอกจะมีรสชาติเค็ม แต่น้ำตาที่ไหลเข้าไปข้างในกลับมีรสขมและขื่น”


วันนี้ (30 พ.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก "อานนท์ นำภา" โพสข้อความระบุถึงจดหมายฉบับวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 มีใจความว่า


“ได้กอดลูก เป็นสุขอย่างยิ่ง”


วันก่อนที่ไปฟังคำพิพากษาที่ศาลอาญา เจ้าขาลวิ่งถลามากอดพ่อ ให้พ่ออุ้ม เอารถของเล่นคันใหม่มาอวด พูดเป็นประโยคยาวๆได้แล้ว พูดไป หัวเราะไป เป็นเสียงหัวเราะที่ไพเราะยิ่ง


30 พฤษภาคม 2568 ถึงปราณและขาล ลูกรักทั้งสอง


โทษทัณฑ์จากม.112 ของพ่อเพิ่มจาก 22 ปี เป็น 24 ปี เป็นเรื่องที่คาดหมายได้ไม่ยาก ในจังหวะที่บ้านเมืองป่วยไข้เช่นนั้น หากแต่ความจริงที่พวกเราเผชิญยังมีความยากลำบาก มีความท้าทายอีกมากมายที่ต้องเผชิญ รอยิ้มของลูกในห้องพิจารณา รอยยิ้มและกำลังใจของบรรดาลุงป้าน้าอาที่มาให้กำลังใจ ยังคงเพิ่มพลังใจยิ่งในวันที่ยากลำบากนี้


“น้ำตา” ที่ไหลออกมาข้างนอกจะมีรสชาติเค็ม แต่น้ำตาที่ไหลเข้าไปข้างในกลับมีรสขมและขื่น ในวันที่พวกเราเห็นพ้องต้องการในการก้าวเดิน ไม่อาจมีน้ำตาที่ไหลออกมาแต่ธรรมชาติของมนุษย์นั้นยากที่จะปฎิเสธความอัดอั้นตันใจ ความคับแค้นใจ ทำให้รสชาติของความขมขื่นลายเป็นพลังอีกประการที่คอยย้ำจุดยืนของพ่อ


ส่งกำลังใจให้เพื่อนข้างนอก จงเข้มแข็ง เปี่ยมพลังในทุกๆย่างก้าว


จนกว่าเราจะพบกันอีก

อานนท์ นำภา


สำหรับอานนท์ นำภา ขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ภายหลังศาลอาญาพิพากษาจำคุก ไม่รอลงอาญา ในคดี #มาตรา112 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 เหตุจากการขึ้นปราศรัยใน #ม็อบ14ตุลา63


และล่าสุดเมื่อวันที่ 28 พ.ค. ที่ผ่านมา ศาลอาญาพิพากษาว่า อานนท์มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ ในข้อหาตามมาตรา 112 ลงโทษจำคุก 3 ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี และลงโทษปรับเป็นพินัยตาม พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ จำนวน 100 บาท จากเหตุขึ้นปราศรัยหน้า สน.บางเขน เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 63


โดยคดีนี้นับเป็นคดีมาตรา 112 คดีที่ 8 ของอานนท์ที่มีคำพิพากษา โดยปัจจุบันอานนท์มีโทษจำคุกรวมในทุกคดีสูงถึง 22 ปี 25 เดือน 20 วัน แต่ทุกคดียังอยู่ระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษา ยังไม่สิ้นสุดลง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อานนท์นำภา #มาตรา112

แรงงานยานภัณฑ์-แนวร่วมอีก 3 บริษัทที่ถูกเลิกจ้าง ช่วยตักตะไคร่น้ำ หน้าศาลาแก้วอาคารรัฐสภา จี้นำงบปรับปรุงสภา​มาเยียวยาแรงงาน หลังเรียกร้องกระทรวงแรงงานหลายครั้ง ปักหลักฝั่งตรงข้ามทำเนียบนานนับเดือนไม่คืบ

 


แรงงานยานภัณฑ์-แนวร่วมอีก 3 บริษัทที่ถูกเลิกจ้าง ช่วยตักตะไคร่น้ำ หน้าศาลาแก้วอาคารรัฐสภา จี้นำงบปรับปรุงสภา​มาเยียวยาแรงงาน หลังเรียกร้องกระทรวงแรงงานหลายครั้ง ปักหลักฝั่งตรงข้ามทำเนียบนานนับเดือนไม่คืบ


วันนี้ (30 พ.ค. 68) เวลา 10.30 น. ตัวแทนกลุ่มแรงงานยานภัณฑ์และแนวร่วมทวงเงินค่าชดเชยอีก 3 บริษัท (บอดี้แฟชั่นฯ, แอลฟ่าสปินนิ่ง, เอเอ็มซีสปินนิ่ง) เดินทางมายื่นหนังสือที่รัฐสภาถึง นายภัณฑิล น่วมเจิม, นายสหัสวัต คุ้มคง, นายเซีย จำปาทอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรค ปชน. รวมถึง สส. ทั้งหมด โดยมีนายจรัส คุ้มไข่น้ำ สส. ปชน. อีกคนเข้าร่วมด้วย โดยทางกลุ่มแรงงานได้เรียกร้องให้มีการแบ่งเงินงบประมาณแผ่นดินมาใช้ดูแลแรงงานที่ถูกเลิกจ้างลอยแพไม่ได้รับเงินค่าชดเชยตามกฎหมาย และได้ผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจที่ยากลำบากต่อการดำรงชีพ ภายหลังที่มีข่าวจากการอภิปราย พ.ร.บ. งบประมาณ 2569 ถึงการใช้งบประมาณถึง 8,000 ล้านบาทในการปรับปรุงอาคารรัฐสภาในหลายจุด อาทิเช่น โรงภาพยนต์ ฉากด้านหลังเก้าอี้ของประธานสภา เรือนกระจกภายนอกอาคาร และลานจอดรถใต้ดิน เป็นต้น


ต่อมาสำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร รายงานทางเพจเฟซบุ๊กว่า นายเซีย จำปาทอง กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า ที่ผ่านมาพี่น้องแรงงานได้มายื่นหนังสือที่สภาหลายครั้ง กรณีที่ถูกเลิกจ้าง นายจ้างปิดกิจการไปแล้วแต่ไม่ได้จ่ายเงินค่าชดเชยให้ลูกจ้าง ซึ่งได้ประสานงานกับคณะ กมธ.การแรงงาน และ สส.พรรคประชาชน ได้รับทราบข้อมูลมาในระดับหนึ่ง ในวันนี้พี่น้องแรงงานเดินทางมายื่นหนังสืออีกครั้งเพื่อขอให้มีการจัดสรรเงินงบประมาณ ปี 2569 มาช่วยเหลือเยียวยา เพราะพี่น้องแรงงานได้รับความเดือดร้อนมาเป็นเวลานานแล้วแต่ยังไม่ได้รับเงินค่าจ้าง จึงขอให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณมาดูแลช่วยเหลือเยียวยาพี่น้องแรงงาน ทั้งนี้ ตนยินดีรับเรื่องและนำปัญหาของพี่น้องแรงงานไปผลักดันต่อเพื่อหาช่องทางในการช่วยเหลือเยียวยา และขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านผ่านพ้นวิกฤตนี้และให้ได้รับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว


นายภัณฑิล น่วมเจิม กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้รับการติดต่อจากพี่น้องแรงงานที่ถูกเลิกจ้างซึ่งได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก ซึ่งงบประมาณของเรามีงบกลางมากที่สุด มีงบให้หน่วยงานต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก แต่ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนต้องได้รับการจัดลำดับความสำคัญในการแก้ไข และในการอภิปรายงบประมาณจะต้องมีงบประมาณที่นำมาแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนด้วย


โดยผู้ใช้แรงงานกลุ่มนี้ได้ปักหลักประท้วงบริเวณข้างทำเนียบรัฐบาลมานานกว่า 3 เดือนแล้ว (หากรวมกับช่วงที่ปักหลักหน้าโรงงานยานภัณฑ์อีก 2 เดือนก็เป็นเวลาทั้งหมดราว 5 เดือน) เพื่อเรียกร้องให้ ครม. อนุมัติงบกลางจำนวน 466 ล้านบาทตามหนังสือด่วนที่สุดของกระทรวงแรงงาน จัดทำโดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ลงนามโดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว. แรงงาน ตั้งแต่วันที่ 11 ก.พ. 68 ทั้งนี้ทาง ครม. ยังไม่ได้อนุมัติงบประมาณตามนี้เพื่อเยียวยาผู้ใช้แรงงานที่ถูกนายจ้างละเมิดสิทธิตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน 2541 หลายข้อ ทำให้เกิดความเดือดร้อนจากปัญหาค่าครองชีพ หนี้สิน และสภาวะว่างงาน เนื่องจากอาชีพส่วนใหญ่จะเน้นรับแต่ผู้สมัครที่มีอายุน้อย


โดยหนังสือที่ยื่นต่อ สส. ในวันนี้มีเนื้อหาดังต่อไปนี้:


เรียน สส. ภัณฑิล น่วมเจิม, สส. สหัสวัต คุ้มคง, สส. เซีย จำปาทอง และ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกท่าน


เรื่อง ขอให้งบประมาณแผ่นดินได้ถูกจัดสรรเพื่อการแก้ไขปัญหาและความทุกข์ร้อนของประชาชนผู้เป็นเจ้าของเงินภาษี โดยเฉพาะ แรงงานที่ถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้เงินค่าชดเชยตามกฎหมาย ซึ่งปักหลักประท้วงข้างทำเนียบฯ มากว่า 5 เดือนแล้ว


บริษัทยานภัณ​ฑ์ จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2495 ด้วยทุนจดทะเบียน 2.5 ล้านบาท ดำเนินการผลิตชิ้นส่วนอะไหล่สำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่จนประสบความสำเร็จอย่างกว้างขวาง ต่อมาบริษัทยานภัณฑ์ได้ขยายสาขาการผลิตไปสู่ชิ้นส่วนรถยนต์ประเภทต่าง ๆ เพื่อจำหน่ายทั่วประเทศ ปี 2547 และซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อขยายการผลิตพร้อมเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 1,600 ล้านบาท แต่ทว่าในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา บริษัทได้ทำการปิดกิจการและเลิกจ้างลอยแพพนักงานกว่า 800 ชีวิต โดยไม่มีการจ่ายเงินค่าชดเชยการเลิกจ้างหรือเงินค่าทดแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ซึ่งล้วนเป็นหน้าที่ของนายจ้างตามกฎหมาย พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ในการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคมส่วนรวม 


เงินค่าชดเชยการเลิกจ้างควรจะเป็นหลักประกันความมั่นคงของผู้ใช้แรงงาน แต่สุดท้ายแล้วพนักงานยานภัณฑ์กลับต้องปักหลักประท้วงที่ข้างถนนด้านหน้าโรงงานของตัวเอง มาตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2567 และต่อมาก็ได้ย้ายมาปักหลักที่บริเวณสำนักงาน ก.พ.ร. เก่า ข้างทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2568 มาจนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลาทั้งหมดกว่า 5 เดือนแล้ว ที่ผู้เดือดร้อนได้เคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรมอยู่ข้างถนนด้วยแรงสนับสนุนจากเพื่อน ๆ จากหลายกลุ่มและองค์กร


หลายครั้งหลายครา กลุ่มพนักงานได้เรียกร้องให้รัฐบาลใช้งบกลางเพื่อเร่งเยียวยาปัญหาฉุกเฉินของแนวร่วมคนงาน 4 กลุ่ม คนงานแอลฟ่าสปินนิ่ง เอเอ็มซีสปินนิ่ง บอดี้แฟชั่นฯ และยานภัณฑ์ รวมแล้วไม่เกินสามพันคน ใช้เงินทั้งหมดราว 466 ล้านบาท อ้างอิงจากข้อมูลของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานและ พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ทั้งนี้ ทางกลุ่มคนงานยืนยันว่าไม่ได้เป็นการขอเงินเปล่า ๆ หากคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบกลางมาให้กับคนงานแล้ว ทรัพย์สินของนายจ้างที่ถูกกรมบังคับคดียึดเอาไว้ก็จะถูกยกให้เป็นของรัฐบาล ซึ่งทางรัฐบาลสามารถเอาคืนคลังต่อไปได้ในภายหลัง


ข้อเสนองบกลางดังนี้ ได้ถูกสานต่อโดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งได้ลงนามรับรองเรื่องการของบไปแล้วเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 และเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 ภายหลังการติดตามทวงถามอย่างต่อเนื่อง ตัวแทนคนงานได้รับทราบจากทางสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีว่าการขอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาจาก 8 หน่วยงาน คือ กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงสาธารณสุข, สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, กระทรวงการคลัง, กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงอุตสาหกรรม, และสำนักงบประมาณ นั้นได้รับหนังสือความเห็นตอบกลับมาอย่างครบถ้วนแล้ว และพร้อมสำหรับการทำสรุปข้อมูลเพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเป็นการต่อไป


ทว่าจนถึงเวลานี้ทางคณะรัฐมนตรียังไม่มีการพิจารณาวาระการอนุมัติงบเพื่อช่วยเหลือกลุ่มพนักงานซึ่งได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาข้างต้น ด้วยภาระหนี้สินและค่าครองชีพของพนักงานหลายคนที่กำลังทยอยเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นค่าเทอมบุตร เงินผ่อนรถยนต์ เงินผ่อนบ้าน หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ซึ่งมีแต่จะกดทับซ้ำเติมในความล่าช้าของรัฐบาล


หากในกรอบงบประมาณปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท เงินภาษีประชาชนถึง 8,000 ล้านบาทสามารถถูกใช้ไปกับกรณีการเสริมเกียรติ์และปรับปรุงอาคารรัฐสภา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโรงหนัง 4D การปรับปรุงศาลาแก้ว การปรับปรุงฉากด้านหลังประธานสภา หรือ การสร้างโรงจอดรถใต้อาคารรัฐสภา และ สิ่งฟุ่มเฟือยอื่น ๆ หลายอย่าง สมาชิกผู้แทนราษฎรทุกท่านก็อาจแบ่งปันงบประมาณเหล่านี้มาเป็นเงินเยียวยาประชาชนที่กำลังตกทุกข์ได้ยากจากการกระทำของนายจ้างที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และจากสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีพ ได้เช่นกัน เงินที่ท่านอาจมองว่าไม่มาก สามารถช่วยชีวิตของพวกเราได้จำนวนหลายหมื่นหรือหลายแสนคน หากท่านมีความตั้งใจที่จะลงมือช่วย


จึงเรียนมาเพื่อขอความเห็นใจคนที่ทำงานจ่ายภาษีหล่อเลี้ยงรัฐบาลและรัฐสภาแห่งนี้มาทั้งชีวิต และ ขอให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกท่าน ทำหน้าที่ด้วยหมุดหมายในการแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชนเป็นที่ตั้ง


ด้วยความเคารพ


ตัวแทนกลุ่มพนักงานยานภัณฑ์ และแรงงานผู้ได้รับความเดือดร้อน



#UDDnews #ยูดีดีนิวส์  #ยานภัณฑ์ #งบประมาณ2569 #งบ69




[ถอดเทป] อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : สัมมนาวิชาการ "จากตากใบถึงราชประสงค์ : ความยุติธรรมที่ล่าช้าคือความอยุติธรรม"

 


[ถอดเทป] อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : สัมมนาวิชาการ "จากตากใบถึงราชประสงค์ : ความยุติธรรมที่ล่าช้าคือความอยุติธรรม"

 

ในงาน “จากตากใบถึงราชประสงค์ : ความยุติธรรมที่ไม่ควรมีวันหมดอายุ"

 

จัดโดยคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชน

 

ณ ห้องประชุมสัมมนา B1 – 2 ชั้น B1 อาคารสัปปายะสภาสถาน แยกเกียกกาย

 

สวัสดีค่ะ ดิฉันก็ต้องขอขอบพระคุณคณะกรรมาธิการฯ ที่จัดงานวันนี้ขึ้น แต่ว่าจะฉุกละหุกสำหรับพวกเรานิดหน่อยเพราะว่าตอนเย็นเรามีงานที่ราชประสงค์ ก็ขอเชิญชวนทุกท่านที่นี่นะคะ รวมทั้งผู้ชมทางบ้านด้วย

 

วันนี้ดิฉันก็มีความยินดีที่ว่าชื่องาน “จากตากใบถึงราชประสงค์ : ความยุติธรรมที่ล่าช้าคือความอยุติธรรม” เป็นชื่อที่ตั้งได้ดีมาก และเมื่อรู้วัตถุประสงค์ว่าจะดำเนินการในการที่จะมีกฎหมายที่ไม่ต้องคำนึงถึงอายุความ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับประชาชน สำหรับประเทศ เพราะฉะนั้นดิฉันก็ยินดีที่มีการจัดงานวันนี้ขึ้น

 

ดิฉันจะพูดแทนญาติที่ไม่ได้มาในวันนี้ทั้งหมด คือญาติในวันที่ 10 เมษา เป็นญาติของผู้ชุมนุม แต่วันที่ 13-19 พฤษภา ส่วนใหญ่จะเป็นญาติของประชาชนทั่วไป ซึ่งเดี๋ยวดิฉันจะได้เล่าให้ฟัง แล้วก็มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ดิฉันอยากให้หลายคน (วันนี้มีติดมากับทีมงานจำนวนหนึ่ง) เป็นหนังสือของทหารเขียนเองด้วยความภาคภูมิใจในการกระชับพื้นที่ เขียน 2 บทเลยนะ ยุทธการกระชับวงล้อมและหัวข้อว่าด้วย IO ในสงครามครั้งนั้นเขาเรียกว่าสงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบ ใช้อาวุธและเครื่องมือทุกอย่าง กระทั่งรถเกราะ สไนเปอร์ อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เพราะฉะนั้นเป็นความภาคภูมิใจ เขาเขียนเอาไว้เพื่อที่ว่าจะได้เป็นตำราว่าเจ้าหน้าที่รัฐปราบประชาชนแล้วได้ผลอย่างไร น่าอดสูมากสำหรับดิฉัน แล้วก็มีนายพลทหาร พลเอก อดุล อุบล ก็ได้พูดเอาไว้ว่าคือเรียกปฏิบัติการนี้ว่า “รุมยิงนกในกรง” ก็คือนกมันถูกปิดล้อมหมดแล้ว กระชับพื้นที่แล้ว แล้วมารุมยิงเอาดื้อ ๆ นั่นแหละ และส่วนมากที่เสียชีวิตเป็นประชาชนรอบนอก เช่น ราชปรารภ, ดินแดง, พระราม 4, บ่อนไก่ ต่าง ๆ เหล่านี้เป็นต้น ก็อาจจะไปดาวน์โหลดได้ แต่ว่าดิฉันจะมอบไว้ให้จำนวนหนึ่ง (วารสารเสนาธิปัตย์ ปีที่ 59 ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม 2553)

 

ขอพูดแทนญาติที่ไม่ได้มานะคะ หลายคนอาจจะบอกว่า เฮ้ย! ได้เงินไปแล้ว 7 ล้านกว่า ยังจะมาทวงอะไร? ดิฉันว่าก็ไปถามคนที่พูดนั่นแหละ ลองเอาพ่อแม่ตัวเองหรือลูกตัวเองตายแลกกับเงิน 7 ล้าน เอามั้ย? มันเป็นคำพูดของคนที่ไม่ต้องการรับผิดชอบ เอาเงินฟาดหัว! แต่นี่มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีของประชาชนของประเทศ เขาไม่ควรจะถูกเหยียบย่ำเกียรติยศศักดิ์ศรีถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้นอันนี้ก็พูดแทนเขาว่า แน่นอนเขาได้รับเงินไปจำนวนหนึ่ง แต่ว่าคนส่วนใหญ่ ประชาชนที่เสียชีวิตนั้นเป็นมวลชนชั้นล่าง เป็นคนจนเมือง และก็เป็นคนจนในชนบท

 

ลักษณะพิเศษของคนเสื้อแดงก็คือ คนส่วนมากเป็นมวลชนกลาง-ล่าง เป็นมวลชนพื้นฐาน เป็นคนจนเมืองกับคนจนในชนบท เพราะฉะนั้น “เงิน” เขาก็ต้องไปแจกลูก แจกหลาน แจกญาติ อะไรต่าง ๆ แล้ววิกฤตเศรษฐกิจที่มีอยู่ตลอด คือทุกวันนี้ก็ยังลำบาก แต่ว่าสิ่งที่ยิ่งกว่าเงินก็คือเกียรติยศศักดิ์ศรีว่า เขาตายในฐานะประชาชนผู้รักประชาธิปไตย สู้กับเผด็จการ ไม่ใช่ควายแดง ไม่ใช่ควายที่อยู่ในคอก อันนี้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องกู้เกียรติยศของเขา ดิฉันก็พูดแทนระดับหนึ่งนะคะว่าเขาส่วนหนึ่งก็ป่วย แล้วก็วันนี้ก็เป็นวันจัดงาน ก็มีการจัดงานกันหลายที่ จึงมาไม่ได้ ทีนี้เราเข้าสู่ประเด็นปัญหาเลยดีมั้ย?



ขอสไลด์ที่ 1 เลยนะคะ เรามาเริ่มต้นเพื่อมีความเชื่อมโยงอย่างที่ท่านได้พูดกัน ปัญหาของ “ตากใบ” กับปัญหา “คนเสื้อแดง” มีความร่วมกัน และแม้กระทั่งเยาวชนที่ขณะนี้เหมือนถูกจับนกใส่กรง คนเสื้อแดงก็คือเป็นนกที่ถูกรุมยิง เป็นนกในกรงแล้วนะ ถูกล้อมแล้ว แล้วก็ใช้พลซุ่มยิงบ้าง ยิงตรงบ้าง แต่ส่วนใหญ่ถูกกระสุนจากอกขึ้นไปถึงหัว ยิงหัวมากที่สุด เพราะฉะนั้นเรามาพูดถึงสาเหตุ จุดร่วมกันคืออะไร จุดร่วมกันก็คือปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ ถามว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้น ทำไมเราจะอยู่กันดี ๆ ไม่ต้องมาฆ่ากัน ทำไมเจ้าหน้าที่รัฐมาทำอย่างนี้ จุดร่วมกันของเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นตากใบ ไม่ว่าจะเป็นถีบลงเขาเผาลงถัง ตากใบมีปัญหาชนชาติเข้ามาประกอบด้วย แต่เหนือกว่าปัญหาชนชาติคือปัญหาชนชั้นผู้ปกครองที่กระทำกับผู้ถูกปกครอง

 

เพราะฉะนั้น ปัญหามันอยู่ที่ว่าคนเห็นต่างในประเทศนี้ ถ้ามีการขับเคลื่อนซึ่งจะทำให้มีปัญหาต่อความมั่นคงของชนชั้นนำผู้ปกครองตัวจริงแล้ว (ดิฉันเน้นคำว่าตัวจริงด้วยนะ) เขาถือว่าเป็นภยันตราย เมื่อถือว่าเป็นภยันตรายก็จะต้องมีการจัดการโดยรูปแบบต่าง ๆ ปัจจุบันอาจจะเป็นการใช้กฎหมาย แต่ว่าในอดีตอย่างคนเสื้อแดงใช้อาวุธเลย ดิฉันมีแกนนำเสื้อแดงที่เป็นคนสามจังหวัดภาคใต้ ดิฉันเองเคยไปขึ้นเวทีที่เจาะไอร้องแล้วด้วยนะ ตอนนั้นคุณทวี สอดส่อง เป็นเลขา ศอ.บต. อยู่ ตอนแรกบอกว่าไปได้ พอตอนหลังบอกไปไม่ได้ ดิฉันบอก รับปากประชาชนแล้วดิฉันไม่ผิดคำพูด นายกฯ อาจจะผิดคำพูดได้ แต่ประธานนปช.ผิดคำพูดกับคนเสื้อแดงไม่ได้ ก็เลยไปยืนพูดบนเวทีเจาะไอร้องเลย ฝ่ายความมั่นคงก็ตกใจกันใหญ่ เขาก็กลัวกัน แต่ว่าไม่มีปัญหา ก็เป็นการร้องรำทำเพลง ก็สนุกสนานอย่างดี

 

แกนนำเสื้อแดงเขาไปพูดกับประชาชนว่า พี่น้อง คนบ้านเราเขาจะฆ่าเขาจะยิงกันเขาแอบกันนะ แต่คนเสื้อแดงยิงกันกลางถนนเปิดหน้าเลย ตามถนน บนรางรถไฟฟ้า หรือว่าเป็นพลซุ่มยิง แล้วก็เดินหน้าเลย มันยิ่งกว่าในสามจังหวัดชายแดนใต้อีก แล้วในกรณีถีบลงเขาเผาลงถังก็เช่นกัน ดังนั้นจุดร่วมกันของทั้งหมด รวมทั้งปัญหาเยาวชนของปัจจุบันซึ่งอาจจะไม่ได้ใช้อาวุธ แต่ว่าใช้กฎหมายเป็นอาวุธ จับนกเข้ากรง ไม่ได้ยิงนกในกรง เพราะฉะนั้นเหนือสิ่งอื่นใดก็คือว่า การขับเคลื่อนที่ทำให้ความมั่นคงของเจ้าของอำนาจรัฐจริงซึ่งเป็นชนชั้นนำต้องกระทบกระเทือน บวกกับปัญหาชนชาติด้วย อันนั้น 2 ชั้น ถ้าสามจังหวัดนี้ 2 ชั้น แต่ถ้าทั่วประเทศนี่ก็เฉพาะอันนี้เป็นเรื่องใหญ่

 

นี่คือสาเหตุของปัญหา ก็คือ คนที่เห็นต่างไม่มีสิทธิเสรีภาพ และประเทศนี้ไม่มีความเท่าเทียม สิทธิเสรีภาพอาจจะเขียนในรัฐธรรมนูญเขียนให้มากขึ้นได้ แต่ความเท่าเทียมไม่เคยมีในประเทศไทยจนถึงบัดนี้ เมื่อความเท่าเทียมไม่เคยมีในประเทศไทยจนถึงบัดนี้ เพราะฉะนั้น ความเท่าเทียมทางกฎหมายมันก็เป็นไปไม่ได้ แล้วอีกอย่างหนึ่ง การทำรัฐประหารในประเทศนี้ได้การรับรองโดยใคร? โดย “ตุลาการ” ว่าได้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ ดังนั้น อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ยามที่มีการทำรัฐประหาร ยกตัวอย่างใน 2 ทศวรรษหลัง และโดยเฉพาะตอนสุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นคดีตากใบ คดีคนเสื้อแดงถูกแช่แข็งหมด แล้วคดีที่ว่าเราฟ้องร้อง/ผู้เสียหายฟ้องร้อง ถูกแช่แข็ง เดี๋ยวดิฉันจะบอกว่าถูกแช่แข็งขนาดไหน แต่ว่ามีการจับชายชุดดำมาโชว์ ซึ่งกลายเป็นเรื่องเท็จทั้งหมด ผ่านมาบัดนี้ 15 ปี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันแสดงให้เห็นว่าเราไม่มีชายชุดดำ เราไม่ใช่พวกเผาบ้านเผาเมือง กระทั่งไม่ใช่พวกล้มเจ้าด้วย เพราะว่าผังล้มเจ้าก็เป็นเรื่องโกหกเหลวไหลทั้งสิ้น เขายอมรับ แต่มันเป็นปฏิบัติการ IO ที่เขาต้องทำ คือทั้งหมดนี้เพื่อความมั่นคง

 

ก็เลยอยากจะพูดว่า ถ้าเราพูดถึงความยุติธรรม ความยุติธรรมของเราหมายถึงความยุติธรรมของประชาชน ไม่ใช่ความยุติธรรมของผู้ปกครอง และเมื่อเราไม่ได้อยู่ในระบอบประชาธิปไตยจริง ดังนั้น เราจะสามารถมีความยุติธรรมได้เท่าที่เขาอนุญาต หรือมิฉะนั้นก็หนีไปดื้อ ๆ แบบกรณีตากใบ ก็ต้องรู้เห็นเป็นใจด้วยกันถึงหนีไปได้ และไม่เคยทำให้ประชาชนรับรู้ว่าสามารถฟ้องร้องได้ จนกระทั่งตากใบหมดอายุความ แต่ทั้งหมดมันมาจากทฤษฎีความมั่นคงของชนชั้นนำเท่านั้น แทนที่จะคิดว่าความเห็นต่างมันจะพัฒนา ดิฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์นะ ดิฉันเชื่อทฤษฎีของชาลส์ ดาร์วิน สัตว์โลกที่ดำรงอยู่ต้องเป็นสัตว์โลกที่ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ ถ้าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงแล้วคุณไม่ยอมปรับตัว (ดิฉันพูดถึงพวกที่พิทักษ์ความมั่นคง) ถ้าพวกคุณไม่ยอมปรับตัว อย่างไดโนเสาร์ก็ยังกลายเป็นจิ้งจกหรืออะไรได้เหมือนกัน อันนี้ฝากไว้

 

สรุปว่าความยุติธรรมก็เป็นเรื่องของผู้ปกครองที่อนุญาต แล้วสำหรับเรามันก็เป็นหัวอกเดียวกัน ก็คือประชาชนทั้งที่นี่ ทั้งที่เสียชีวิต และที่ฟังอยู่ทางบ้าน ในฐานะผู้ถูกปกครอง พึงสังวรไว้ด้วยว่าคุณจะได้ความยุติธรรมเท่าที่เขาอนุญาตเท่านั้น



ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามสไลด์นี้ อันนี้ที่เรารวบรวมที่มีหลักฐาน จริง ๆ เสียชีวิต 99 ราย แต่ที่เรารวบรวมได้ 95 ราย สิ่งหนึ่งซึ่งดิฉันอยากจะเรียนไว้ก็คือ การตายที่ผิดปกติ ป.วิอาญา มาตรา 150 วรรค 3 จะต้องชันสูตรพลิกศพโดยมีทั้งอัยการ มีทั้งฝ่ายปกครอง มีทั้งหมอ แล้วก็มีทั้งพนักงานสอบสวน อันนี้เป็นการตายที่ผิดปกติ ถามว่า 99 ศพ 95 ศพ ตายผิดปกติทั้งหมด ใช่หรือเปล่า? มันไม่ได้ป่วยตาย มันก็เป็นการตายที่ผิดปกติทั้งหมด ดังนั้นหมายความว่าทุกศพต้องทำการชันสูตรไต่สวนโดยมี 4 ฝ่าย ปรากฏว่าทำไปจริง ๆ 32 ราย แล้วอัยการก็ต้องเอาส่งศาล ดิฉันไม่แน่ใจว่าตากใบเขามีการชันสูตรพลิกศพไต่สวนฟ้องร้องหรือเปล่า? จุดปฐมบทมันต้องเป็นอย่างนี้ (ดูสไลด์ประกอบ)



อันนี้กำลังลำดับให้เห็นว่าก่อนหน้ารัฐประหารคดีมันคืบคลานมา ก็คือเราสามารถทำชันสูตรไต่สวนพลิกศพไปได้ 32 ราย แล้วในขณะเดียวกันก็เริ่มฟ้องร้อง ฟ้องร้องจาก 32 รายก็เลือกขึ้นศาล เพราะไต่สวนชันสูตรพลิกศพศาลบอกตรง ๆ เลยว่ากระสุนมาจากฝั่งทหาร 17 ราย แล้วก็ไม่รู้ว่ามาจากไหน มีบางอันก็บอกว่ามาจากฝั่งทหาร ที่จริงรู้ตัว กับไม่รู้ตัว ที่น่าสังเกตก็คือชันสูตรไต่สวนพลิกศพ พอหลังจากการทำรัฐประหาร ตายที่เดียวกันนะ เวลาเดียวกันนะ หลังรัฐประหารไม่รู้กระสุนมาจากไหน กลายเป็นอย่างนั้น นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น (ดูสไลด์ประกอบ)

 

ปรากฏว่ามันน่าแปลก ดีเอสไอ ปรากฎว่าพอหลังรัฐประหารหยุดหมด ดิฉันเข้าใจ แล้วกองคดีเสื้อแดงก็ถูกยุบ แล้วก็อธิบดีดีเอสไอขณะนั้นถูกฟ้องติดคุกเพิ่งออกมามั้ง คุณธาริต เพ็งดิษฐ์ และคุณธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นคนบอกชัดเจนเลยว่าเขาคือพยานที่จะบอกว่าการทำรัฐประหาร 57 เพื่อกลบและหยุดยั้งคดีคนเสื้อแดงซึ่งมันกำลังจะไต่ไปถึงตัวผู้สั่งการและผู้ปฏิบัติ เหมือนกับ 6ตุลา19 พอเอาคดีขึ้นศาล 6ตุลา19 นะ พอขึ้นศาลคนมาเต็มไปหมด แล้วปรากฏว่าพอมันเริ่มมาให้การ เริ่มเข้าถึงตัว ก็ใช้การนิรโทษฯ เพราะฉะนั้น 6ตุลา19 ก็ได้แต่รำลึก แต่เอาผิดไม่ได้ 14ตุลา16, 6ตุลา19, พฤษภา35, นิรโทษฯ สองฝ่ายหมด แต่ในคดีสามจังหวัดภาคใต้ คดีตากใบ หรือว่าคดีคนเสื้อแดง ไม่มีการนิรโทษฯ กะว่าเอาตายแน่ ไม่จำเป็นต้องนิรโทษฯ

 

แต่ว่าพอมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งปี 54 คือคนเสื้อแดงเปลี่ยนจากการถูกกระทำด้วยอาวุธ ก็เข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง ดังนั้นพรรคเพื่อไทยตอนนั้นก็ได้คะแนนถล่มทลาย เพราะว่ามันก็เป็นการต่อสู้อีกวิธีหนึ่งเหมือนกันในเวลานั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าในช่วงเวลาปี 54 คดีมันคืบมาเป็นลำดับดังที่ดิฉันได้บอกว่ามีคำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพ 32 ราย แล้วก็ไม่ได้ชันสูตรพลิกศพ 63 ราย อันนี้อาจจะต่างจากดีเอสไอนิดหน่อย แต่ดิฉันอยากจะเรียนว่า กระทั่งทหารที่ตายตรงถนนดินสอ 5 ศพ ไม่อยากรู้เหรอว่าใครฆ่า? ไม่ทำ! ไต่สวนชันสูตรพลิกศพก็ไม่ทำ หรือว่ากลัวอะไร? เรามีรางวัลให้เลยนะ ถ้าสามารถหาตัวคน เพราะตอนนั้นก็มีการ IO เอาเรื่องชายชุดดำ

 

แต่จากการชันสูตรพลิกศพในวันที่ 10เมษา ดิฉันอยากจะเรียนว่า พอดีมีลูกชายที่เป็นหมอเข้าไปร่วมอยู่ด้วย คนที่เสียชีวิตทั้งหมดที่อ้างว่ามีชายชุดดำถืออาก้านะ แล้วทำท่ายิงกราด แล้วเห็นเป็นสาดกระสุน ไม่มีใครตายด้วยกระสุนอาก้าสักรายนะ มีแต่ตายด้วยกระสุนนาโต้ ก็คือ 5x6 มิลลิเมตร ก็เป็นปืน M16 ทั้งหมดและทราโว่ แล้วตอนแรกรัฐบาลก็บอกว่าทหารน่าจะตายด้วย M79 เพราะว่าคนเสื้อแดงคงยิง เพราะมันยิงโด่ง แต่สุดท้ายที่สุดก็รู้ว่ามันคือ M67 ระเบิดขว้าง ถ้าขว้าง ถามว่ามันจะไปได้กี่เมตร? เพราะฉะนั้นต้องอยู่ในรัศมีประมาณ 20 ไม่เกิน 30 เมตร แต่ปรากฏว่าเขาไม่ได้ทำชันสูตรพลิกศพ (คนเสื้อแดงไม่สามารถเข้าใกล้ขนาดนั้น)

 

สไลด์นี้ของดีเอสไอ ใครอยู่ดีเอสไอ ฟ้องหน่อยว่า กองคดีความมั่นคงนะ รายงานว่ามีการไต่สวนชันสูตรพลิกศพ 31 ศพ แต่ว่า 31 ศพ ของดีเอสไอรายงานว่ากระสุนมาจากทหารทั้งหมดนะ (ข้อมูลผิด) อาจารย์ธิดามองแล้วก็ยิ้มนะ ที่จริงไม่ใช่ แต่ขนาดว่าวิถีกระสุนมาจากทหารทั้งหมดนะ ก็ยังมีการยกฟ้อง อันที่ว่ามีการไต่สวนไปแล้วนะ

 

สรุปก็คือว่า ถ้าอำนาจรัฐที่เมินเฉยหลังจากการทำรัฐประหาร อาจารย์ก็จะยืนยันเช่นเดียวกับคุณธาริตว่า การทำรัฐประหารปี 57 นั้น ส่วนหนึ่งที่สำคัญก็คือคดีเริ่มเข้าถึงตัว แล้วตัวอาจารย์เองก็ไปต่างประเทศ ไปศาลอาญาระหว่างประเทศตั้งแต่ปี 2555 แล้วอัยการสูงสุด คุณฟาตู เบนซูดา ก็มาเมืองไทยใน 1 พฤศจิกายน มาขอร้องให้พรรคเพื่อไทยตอนนั้น อนุญาตให้เขาเข้ามาสืบสวนสอบสวน คือศาลอาญาระหว่างประเทศ กว่าจะให้เขายอมรับไม่ใช่ง่ายนะ เพราะว่าเราเสียชีวิตประมาณ 100 ศพ แต่คดีอื่น ๆ เขาเสียชีวิตเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ แต่เราก็พยายามจะบอกว่านี่มันคือเหตุการณ์ที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก มันเหมือนฆาตกรต่อเนื่อง แล้วมันจะทำให้ประเทศนี้เสียหายมาก คือคุณทำซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยความย่ามใจว่าคุณทำแล้วพ้นผิดลอยนวล ถ้าทำแล้วพ้นผิดลอยนวลเขาก็ทำอีก นี่ไม่อีกกี่วันลองแดง/น้ำเงินทะเลาะกันมากก็ใครจะไปรู้ อาจจะมีรัฐประหารมาอีกก็ได้ เพราะว่าคดีต่าง ๆ พ้นผิดลอยนวลได้

 

รายงานที่เขาทำมา เราจะเห็นว่าข้อนี้ผิดแล้ว ฝากไปบอกดีเอสไอด้วยนะว่า ที่ว่าทั้งหมดผลไต่สวนชันสูตรพลิกศพ กระสุนตายจากฝั่งทหาร ไม่ใช่หรอก เรามีหนังสือที่เราเคยแจกบ้าง ขายบ้าง อันนี้มีรายละเอียดทั้งหมดที่เราทำเอาไว้ ดีเอสไอไปดูได้ กองงานความมั่นคงรายงานผิด แล้วที่สำคัญก็คือพอหลังรัฐประหาร “งด” การสอบสวนสืบสวนทั้งหมด อัยการด้วย ดังนั้นเราเจอกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ต้นจนปลาย ต้นก็คือ ตำรวจกับดีเอสไอ ฟรีซไม่สอบสวนสืบสวนต่อ ทั้งหมด 65 กรณี (25+40 ศพ รวมเป็น 65) อัยการให้งดการสอบสวน ให้สืบสวนในอายุความ นี่ไงเราเหลือ 5 ปี ตากใบหมดแล้ว นี่คือสิ่งที่เกิดร่วมกัน เขาพูดได้ยังไงว่าให้สืบสวนในอายุความ แปลว่าอะไร? ก็ชะลอมันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมันหมดอายุความแบบตากใบ ถ้ามีปัญหาจริง ๆ ก็หนีไปสักพักแล้วกลับมา นี่คือสิ่งที่เขาฟรีซในชั้นต้น งดการสอบสวน ให้สืบสวนในอายุความ เจ็บปวดมากคำนี้ หยุดไปเฉย ๆ อย่างนั้นแหละ

 

แล้วไม่หนำซ้ำก็คือว่า กล้ามาก! คดีการตายที่ “สี่แยกคอกวัว” สี่แยกคอกวัวนั้นมันยิงหัวทั้งนั้นเลย ถามว่าใครจะมายิง พยายามจะสร่างละครชายชุดดำ ดังที่ดิฉันบอกแล้วว่าไม่มีคนไหนตายด้วยกระสุนอาก้า เพราะว่าในการชันสูตรคุณรู้ แผลกระสุนอาก้ากับแผลกระสุน M16 นาโต้คนละอย่างกัน มันไม่เหมือนกัน อย่างงั้นชายชุดดำก็ไปเดินโก้ ๆ ซิ ถืออาก้าเฉย ๆ แล้วไม่ยิงใครตายเลยสักคน แล้วเขาไปคาดเอาว่าสี่แยกคอกวัวจะตาย พยายามตั้งธง IO ว่า “ตายด้วยชายชุดดำ” แล้วในที่สุดทำยังไงรู้มั้ยคะ “สั่งไม่ฟ้อง” ที่สี่แยกคอกวัวและถนนดินสอ อัยการก็มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ทั้งอัยการ ทั้งดีเอสไอ เป็นไปได้ยังไง ไม่รู้ว่าความรู้สึกเขาเป็นแบบไหน พี่น้องที่ตายในวันที่ 10เมษา ประมาณ 26-27 ศพ เป็นทหาร 5 นาย ที่เหลือเป็นผู้ชุมนุม และโดยส่วนมากเป็นคนที่เดินทางมาจากราชประสงค์ แล้วก็ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ถือธงก็ถูกยิง

 

คือในสงครามเป็นการรบระหว่างประเทศ คุณยังไม่สามารถยิงคนที่ไม่มีอาวุธได้ ถูกมั้ยคะ? ไม่ได้ อันนี้มันผิดเลย ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ “สนธิสัญญาเจนีวา”  แต่ในประเทศไทย ทำได้!!! ฆ่าคนที่ไม่มีอาวุธก็ทำได้ เขียนผังล้มเจ้าปลอม ๆ ก็ได้ ทำได้ทุกอย่าง ทีนี้สั่งไม่ฟ้อง คดีศพอื่น ๆ เอาไว้สอบสวนสืบสวนในอายุความ เมื่อกี้ในคำถามก็มีว่าการที่เราจัดการคดีความเราเริ่มต้นตั้งแต่ตำรวจ ดีเอสไอ แล้วทยอยส่งให้มีคำสั่งฟ้อง แล้วเลือกเอาคดี นายพัน คำกองกับนายสมร ไหมทอง ซึ่งตายที่ตรงราชปรารภ “สมร ไหมทอง” เป็นคนขับรถ แล้วนายพัน คำกอง ก็ถูกยิง คือไม่ได้อยู่ในที่ชุมนุมก็ถูกยิง คดีนี้ส่งฟ้องร้องศาลโดยมีผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วม (ดูสไลด์ประกอบ)



ส่วนในกรณีแยกคอกวัวเมื่อกี้ที่เราพูดไปแล้วว่า อัยการ-ดีเอสไอ สั่งไม่ฟ้องตอนปลายของกระบวนการยุติธรรม ในกรณีที่เราส่งฟ้องคดี พัน คำกอง - สมร ไหมทอง ปรากฏว่าศาลมีคำสั่งว่า ทหารไปศาลทหาร นักการเมืองไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง แล้วเป็นครั้งแรกที่อธิบดีศาลอาญามีคำโต้แย้ง แต่ว่าเรามาทบทวนตรงนี้หน่อยก็ได้ว่า คดี 6 ศพวัดปทุมฯ พวกเขาส่งอัยการทหาร ถามว่าเขาส่งเพราะอะไร? ก็เพราะว่าเมื่อเราส่งฟ้องแล้ว ศาลอาญามีคำพิพากษา อันนี้ให้เข้าใจตรงกันด้วยว่าหลังรัฐประหารนะคะ หลังรัฐประหารนะคะ ให้ส่งเจ้าหน้าที่ทหารไปอัยการทหาร อัยการทหารสั่งไม่ฟ้อง แต่แยกคอกวัวก็สั่งไม่ฟ้องเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่ชัดเจนว่าทหารยิงประชาชน อันนี้อัยการพลเรือนนะ เพราะฉะนั้น เราถูกกระทำตั้งแต่ต้นจนปลาย (ดูสไลด์ประกอบ)

 

กรณีทหารเสียชีวิตที่ถนนดินสอ อันนี้มาฟ้องหลังรัฐประหาร ฟ้องประชาชนที่ถูกอุปโลกเป็นชายชุดดำ คือพอหลังรัฐประหารคดีที่เราฟ้องทางเจ้าหน้าที่ ฟ้องนักการเมืองนะ ถูกฟรีซหมด แต่กลายเป็นว่ามีคดีชายชุดดำ สารพัดคดีทั้ง 112 ทั้งสหพันธรัฐ อะไรต่าง ๆ นะมากันเต็มเลย ทีนี้ที่ถนนดินสอมีการแสดง คือความที่ว่าอยากจะฟ้องชายชุดดำ ก็เอาคนมาแต่งตัวแถมผูกริบบิ้นด้วย ตอนนั้นคุณสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง (รอง ผบ.ตร. ขณะนั้น) คือคนเสื้อแดงมันชาวบ้าน การ์ดเขาก็แต่งตัวธรรมดาแหละ ไม่มีเสื้ออย่างหรูแล้วผูกริบบิ้น ผูกริบบิ้นนั้นมันพวกทหารผูก ประชาชนไม่ผูกหรอก จะเอาริบบิ้นมาผูกทำไร เสื้ออะไรก็ใส่กันไปตามมีตามเกิด นี่การ์ดนะ แล้วการ์ดเขามาดูแลความเรียบร้อย ความเชื่อของฝ่ายความมั่นคงที่แพร่หลายทั่วไปและในที่ประชุมบอกว่ากองกำลังคนเสื้อแดงมีกองกำลังอาวุธ 500 คน แล้วมี เสธ.แดง (พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล) เป็นผู้นำฝ่ายทหาร ดังนั้นพอคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประชุมวันที่ 12 พ.ค. ปั๊บ วันที่ 13 พ.ค. เสธ.แดงถูกยิงหัวเลย และหลังจากนั้น 14, 15, 16, 17, 18, 19 ก็ยิงประชาชนมาตามลำดับ ทีนี้ของ 6 ศพวัดปทุมฯ พวกเขาส่งอัยการทหาร อัยการทหารสั่งไม่ฟ้อง ส่วนกรณีสั่งฟ้องศาลอีกคดีก็คือถนนดินสอ กะว่าเอาชายชุดดำพวกนั้นมา ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ชันสูตรพลิกศพด้วยนะ ก็ฟ้องได้เหมือนกันหลังรัฐประหาร ศาลยกฟ้อง เดี๋ยวนี้ยังไม่มีจับไม่ได้ชายชุดดำสักคน แต่เป็นปฏิบัติการ IO มา 10 กว่าปีแล้ว

 

เราก็จะเห็นว่าความกลัวประชาชน อาจารย์อยากจะบอกนะ ฝากไปถึงพวกหน่วยงานความมั่นคง ถ้าคนเสื้อแดงอยากจะมีกองกำลัง ไม่มี 500 หรอก น้อยไป ถ้าคิดอยากจะทำให้มันมีปัญหาจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เป็นสันติวิธีจริง ๆ 5 หมื่นหาได้มั้ย? หาได้ แต่ไม่ได้ทำ แล้วเสธ.แดงแกก็ไปเที่ยวเก็บคนไร้บ้านอะไรมาฝึกท่าใช้อาวุธ แกก็ไม่ได้มีกองกำลังอะไรจริงจัง แล้วก็ไม่ได้ขึ้นเวที ไม่ได้อยู่ในฐานะแกนนำ ไม่เกี่ยวเลยว่าเป็นผู้นำฝ่ายทหาร ปรากฏว่ายังชกกันกับหัวหน้าการ์ดเลย เพราะฉะนั้น ความกลัวของฝ่ายความมั่นคงมันจินตนาการเว่อร์เกินกว่าเหตุ ว่าเรามีกองกำลังอาวุธ 500 คน ถ้าอยากจะมีนะ 5 หมื่นก็หาได้ แต่ไม่ได้อยู่ในความคิด ไม่ได้อยู่นแนวทาง ไม่ได้อยู่ในนโยบายของคนเสื้อแดงและนปช. เพราะเราใช้สันติวิธี เพราะฉะนั้น นิยายเรื่องชายชุดดำมันเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น (พิสูจน์ได้จนบัดนี้)

 

ก็ให้รู้ว่า เมื่อเขากลัวแล้วเขาคิดยังไง ใช้งบประมาณร่วม 5 พันล้านตั้งแต่ 10เมษา ถึง 19พฤษภา คือการปราบเสื้อแดงคือการรบ 3 รอบนะ ก่อน 10เมษา รอบหนึ่ง ที่ไทยคม (ลาดหลุมแก้ว) ซึ่งถือว่าเป็นความพ่ายแพ้ ทหารจอดรถยาวไป เสื้อแดงแอบไปปล่อยลมรถทั้งหมด แล้วก็เก็บอาวุธ ก็มีนายทหารใหญ่คนหนึ่ง (ภายหลังได้เป็น ผบ.ทบ.) เขาโชว์ว่าเขายิ่งใหญ่ เก่ง จริง ๆ ขึ้นไปซ่อนอยู่บนหลังคาไทยคม ไม่มีคนเสื้อแดงตามไปเอาเรื่องอะไร แล้วบอกว่าถ้ามาจะสู้จนตัวตายหรืออยู่คนเดียว จริง ๆ ไม่ใช่ ตัวเองหนีขึ้นไปอยู่ข้างบนคนเดียว นี่เป็น ผบ.ทบ. แล้วได้ตำแหน่งยิ่งใหญ่นะ และไม่รู้เกี่ยวข้องกับดีลลับด้วยหรือเปล่า? 



10เมษา ใช้ทหารเท่านี้ (54,000 นาย) อันนี้เป็นครั้งที่สอง คือ 10เมษา ความสูญเสียที่ถนนดินสอ มีทหารบาดเจ็บและตายไป 5 คน รวมทั้ง พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ด้วย ตรงนี้ถ้าถือเป็นการสู้รบ ถือเป็นการพ่ายแพ้นะ เสียไปถือว่ามันเหมือนเกือบ 1 กองพลเลย เพราะว่าสูญเสียผู้นำ แล้วก็สูญเสียทหารไปจำนวนหนึ่ง อันนี้ก็ถือว่าพ่ายแพ้ ดังนั้นจึงเตรียมมารบใหม่ ดังที่ดิฉันบอก แล้วในหนังสือเสนาธิปัตย์ที่ดิฉันโชว์ให้ดู เป็นหนังสือของกรมยุทธศึกษาทหารบก โดย พลเอก สิงห์ศึก สิงห์ไพร แล้วคนที่เขียนเป็นนายทหารยศนายพันหมด มี 2 บท ในนี้เขียนถึงการรบครั้งที่ 3 ครั้งที่ 2 เขาเรียกว่า “ขอคืนพื้นที่” ครั้งที่ 3 เขาเรียกว่า “กระชับพื้นที่” ใช้ภาษาหรูนะ ก็คือเอากรงมาล้อม เอาคอกมาล้อมแล้วก็ซุ่มยิงตามใจชอบ ในนี้เขาบอกว่าเป็นการรบในเมืองเต็มรูปแบบ เป็นสงครามเต็มรูปแบบ การรบครั้งที่สามนั้นมีการประชุมวันที่ 12 พ.ค. วันที่ 13 พ.ค. ยิงหัว เสธ.แดงเลย บอกว่ามีกองกำลังอาวุธ 500 นาย ในเสนาธิปัตย์เขาเขียนว่าที่ประสบความสำเร็จเพราะการเมืองไม่ได้ต้องการยุติการชุมนุมด้วยการเจรจา แต่ต้องการยุติด้วยการทหาร พูดอย่างนี้เลยนะ แล้วเมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็วางแผนกระชับพื้นที่ เพราะฉะนั้นมันก็ยิงส่งเดชไง ประชาชนที่บ่อนไก่ ที่ราชปรารภ ที่พระราม 4 ดังนั้นญาติผู้เสียชีวิตในเดือนพฤษภาคม น้องเฌอก็เสียชีวิต เขาไม่ได้มาเข้าร่วมชุมนุม คือคล้าย ๆ กับว่าเป็นความชอบธรรมว่าไอ้พวกนี้มีกองกำลังอาวุธ 500 คน อย่างนั้นเราก็ยิงหัวคนให้มันใกล้ ๆ 500 ก็ได้ นี่อาจจะเป็นวิธีคิดของเขาอย่างนั้น เพราะเราไม่มีคำตอบเลยว่า เขายิงประชาชนมือเปล่าได้ยังไง??? เด็กก็ยิง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ 6 ศพวัดปทุมฯ ในเวลานั้นแกนนำมอบตัวแล้ว แล้วก็บอกว่านี่เขตอภัยทาน คนก็ไปอยู่เขตอภัยทาน พอดีวันนั้นอาจารย์เข้าไม่ได้ ไม่งั้นก็เข้าไปอยู่เขตอภัยทานด้วย เพราะเขาบอกว่าผู้หญิง คนแก่ ให้เข้าเขตอภัยทาน ก็กลายเป็นพื้นที่ของการฆ่าไปด้วย

 

ดังนั้น นี่ก็คือเรื่องที่ว่าเราอยากจะบอกว่ามันเป็นสงคราม เขาพูดอย่างภาคภูมิใจในหนังสือเล่มนี้ว่าเป็นเอกภาพระหว่างการเมืองกับการทหาร เป๋นสงครามในเมือง ไม่ใช่การปราบจลาจล ดังนั้นเราจึงบอกว่ามันเลยคำว่าสิทธิมนุษยชนนะ ขออภัย ตัดไฟ ตัดน้ำ ตัดเน็ต แต่มันไม่เท่ากับว่ายิงหัวคนเอาดื้อ ๆ แล้วก็มาภาคภูมิใจเอาว่าควรจะเป็นแบบอย่างของประเทศอื่น ๆ นี่เขาเขียนอย่างนี้จริง ๆ นะ อาจารย์ก็ฟังจากเขา แล้วก็เลยเอาพล็อตจากหนังสือเล่มนี้มาทำวิดีโอ ทำออกมาเป็นซีดีใส่ในยูทูป ชื่อ “ยิงนกในกรง” แต่ทำ 3 อัน เพราะสงครามมี 3 รอบ ก่อน 10เมษา, 10เมษา แล้วก็ 13พฤษภา ถึง 19พฤษภาคม

 

แน่นอน เรามีความขัดแย้ง เรามีการสู้รบ (ฆ่าประชาชนมือเปล่า) ถ้าเราไม่นับเรื่องของความเสียหายในการต่อสู้กับ พคท. ความเสียหายในกรณีคนเสื้อแดงต้องถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุด แล้วใช้การรบเต็มรูปแบบ ภาษาของเขานะ อาจารย์ก็มาเป็นคนเขียนสคริปต์ทำเรื่องรุมยิงนกในกรง แต่ขอโทษ จะเอามาฉายในวันครบรอบ 3 ปี มันเกี่ยวข้องไม่รู้ใครในพรรคเพื่อไทย ไม่ยอมให้เปิดกลางราชประสงค์ แต่มันก็อยู่ในยูทูป เราก็ทำหน้าที่ของเราเต็มที่แล้ว



ครั้งที่สามในการปราบปราม เฉพาะครั้งนี้นะ กำลังพล 67,000 นาย บวกตำรวจอีก 25,000 นาย ใช้กระสุนไปร่วม 2 แสนนัด แล้วก็มีสไนเปอร์ ปืนซุ่มยิงดัดแปลง อันนี้เราลอกของเขามาเลยนะ เขาได้ความภาคภูมิใจ ผู้เสียชีวิตทั้งหมด 99 ราย แล้วอย่างที่บอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 10 ราย จริง ๆ ถูกระเบิด 5 ราย นอกนั้นก็ทหารยิงกันเอง จะเป็น ณรงฤทธิ์ สาละ จะเป็นเสธ.แดง แล้วก็ทหารอากาศที่วิ่งผ่านพระราม 4 ก็ใช่เหมือนกัน

 

อยากจะบอกให้รู้ว่าเรื่องของคนเสื้อแดงนั้น เราได้พยายามทำเต็มที่นะ ก็คือมีการดำเนินคดี แต่เราก็พบการต่อต้านท้าทายจากอำนาจรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังรัฐประหาร และดิฉันมีความเชื่ออย่างชัดเจนว่าการทำรัฐประหาร 2557 เพื่อที่จะแก้ปัญหานี้ด้วยเพราะว่าคดีมันกำลังไต่ขึ้นไป และจนกระทั่งคนในดีเอสไอส่วนหนึ่งก็ถูกจัดการ คุณธาริตบอกว่าถูกสั่งให้หยุด ถ้าไม่หยุด กูทำรัฐประหาร แล้วมึงก็คอยดูก็แล้วกัน ประมาณนั้น ก่อนหน้านี้เราก็คิดไม่ถึงว่าเขาลงทุนฆ่าคน แล้วยังลงทุนทำรัฐประหารอีก เพื่อแก้ปัญหาคดีความฆ่าคน หมายความว่าอะไร เพราะเราต่อสู้ไม่เลิก อาจารย์ก็ไป ICC กว่าจะให้เขายอมรับคดีของเราได้ แล้วอัยการสูงสุดเขาก็มาพบเมื่อ 1 พ.ย. 2555 แปลว่าจากปี 2553 เราทำงานตลอดเลย แล้วในที่สุดก็คือรัฐมนตรีต่างประเทศ (ขณะนั้น) ไม่ยอมเซ็นรับรองเขตอำนาจศาล คือเราต้องเข้าใจว่าศาลอาญาระหว่างประเทศอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ กว่าเขาจะทำได้ต้องสืบสวนสอบสวน อย่างตอนนี้ฟิลิปปินส์ที่มีปัญหา ก็คือว่ารัฐบาลต้องยอมให้เขาเข้ามาสืบสวนสอบสวนได้ คุณหมอเหวงก็ยังขู่รัฐมนตรีต่างประเทศตอนนั้นเลย บอกเขาจะทำรัฐประหารแล้ว ให้รีบเซ็น คือพูดภาษาบ้าน ๆ กัน ให้รีบเซ็นซะ เขาก็ไม่ยอมเซ็น แต่ที่เข้าใจก็คือคงไม่อยากให้กระทบกระเทือนทหาร เพราะว่าในการฟ้องแรก ๆ เราฟ้อง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ สุเทพ เทือกสุบรรณ โดยเฉพาะกับอภิสิทธิ์คนเดียว แต่ทาง ICC บอกว่าคนเดียวทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นเลยต้องฟ้องเป็นกระบิไปเลย ฟ้องโดยมีพวก ศอฉ. โดยมีทหารด้วย พอมีทหารด้วยก็อาจจะมีปัญหาสำหรับนักการเมืองที่เกรงใจหรือกลัวทหาร แต่ยังไงเขาก็รัฐประหารอยู่ดี จะเกรงใจยังไง กลัวยังไง เพราะมันขัดกัน อะไรที่กระทบกระเทือนความมั่นคง นี่ก็คือสาเหตุ!!! ถ้ามันก้าวเข้าไปคิดว่าจะกระทบกระเทือนความมั่นคงเขาก็คงต้องปฏิบัติเช่นนี้

 

เพราะฉะนั้น เหตุแห่งปัญหาเราก็คงเข้าใจตรงกันว่าความยุติธรรมสำหรับประชาชนที่เห็นต่างทางการเมือง มันจะเกิดขึ้นได้เท่าที่เขาอนุญาตเท่านั้น แล้วมันยังเป็นอะไรที่กล้าแข็งอยู่ในสังคมไทย เพราะฉะนั้นมาถึงคนรุ่นหลังก็จะถูกปฏิบัติการอีกแบบหนึ่ง อันนี้ก็เป็นสิ่งที่อยากจะฝากไว้ว่า ถ้าเหตุเป็นอย่างนี้ก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุ แต่สำหรับเรา ถึงอย่างไรก็ตาม เราก็จะใช้วิธี 2 ขา คือเวทีรัฐสภาสำหรับในที่นี่ เราก็จะยินดีทำ ก็คือมาร่วมมือและนำเสนอกฎหมาย เราจะมี พ.ร.บ. ที่เราเตรียมเอาไว้ที่แก้ไขกฎหมาย 1) ทหารทำความผิดอาญาต่อประชาชน ให้ขึ้นศาลพลเรือน ไม่เหมือนอย่างนี้ 2) นักการเมืองทำความผิดอาญาร้ายแรงต่อประชาชน ก็ให้ขึ้นศาลพลเรือน ไม่ใช่ขึ้นศาลนักการเมือง โทษมันต่างกัน “20 ปี กับตาย” กับ “5 ปี” จำคุกนะ ต่างกันแล้ว แล้วอันที่ 3) ที่ทางนี้เสนอ ไม่มีหมดอายุความ เราก็อาจจะทำงานควบคู่โดยการล่ารายชื่อประชาชนสนับสนุนด้วย ก็ขอบคุณมากค่ะ

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #จากตากใบถึงราชประสงค์ #ความยุติธรรมที่ล่าช้าคือความอยุติธรรม #15ปีเมษาพฤษภา53

“วีรนันท์” อัดงบท้องถิ่น 69 ยังไม่ขยับจากสัดส่วน 29% ทำท้องถิ่น 89% เหลืองบลงทุนน้อยกว่า 10 ล้าน แช่แข็งชนบทให้ไม่พัฒนา แนะอัดงบอุดหนุนท้องถิ่นเพิ่ม กระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรงไม่ต้องรอเมกะโปรเจกต์ รอดูท่าทีรัฐบาลพร้อมดัน “ภาษีบ้านเกิดเมืองนอน” หรือไม่

 


วีรนันท์” อัดงบท้องถิ่น 69 ยังไม่ขยับจากสัดส่วน 29% ทำท้องถิ่น 89% เหลืองบลงทุนน้อยกว่า 10 ล้าน แช่แข็งชนบทให้ไม่พัฒนา แนะอัดงบอุดหนุนท้องถิ่นเพิ่ม กระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรงไม่ต้องรอเมกะโปรเจกต์ รอดูท่าทีรัฐบาลพร้อมดัน “ภาษีบ้านเกิดเมืองนอน” หรือไม่

 

วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วีรนันท์ ฮวดศรี สส.ขอนแก่น เขต 1 พรรคประชาชน ได้อภิปรายถึงงบประมาณในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และการกระจายอำนาจ


วีรนันท์เริ่มต้นการอภิปรายโดยระบุว่าทุกคนย่อมเคยได้ยินคําว่า "ถนน อบต." ที่เป็นคํานิยามแบบเหน็บแนม ใช้เรียกถนนที่ไม่ดี ขรุขระ พังบ่อย กว่าจะซ่อมได้แต่ละครั้งต้องรอข้ามปี ซึ่งถนนหนทาง หรือสาธารณูปโภคต่างๆ ในท้องถิ่นจํานวนมากก็เป็นแบบนี้ ไม่ได้เกิดจากแค่การที่ท้องถิ่นไม่มีประสิทธิธิภาพ ทุจริต หรือละเลย แต่ยังมาจากการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลในส่วนกลางที่ไม่กระจายงบประมาณไปให้ท้องถิ่นทั้งประเทศอย่างทั่วถึงและเพียงพอ


ตนขอยกตัวอย่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับงบประมาณน้อยเป็นลําดับต้นๆ ของจังหวัดขอนแก่น คือ อบต.นาฝาย อ.ภูผาม่าน ได้รับงบประมาณปี 2568 เพียงแค่ 29,358,000 บาท เหลือเป็นงบลงทุนแค่ราว 3 ล้านบาทเท่านั้น กับประชากรในพื้นที่ 2,527 คน หรือเท่ากับมีงบลงทุน 1,187 บาทต่อคนต่อปี หากเอา 3 ล้านบาทมาเทียบเคียงกับราคาการสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก สามารถสร้างถนนได้แค่ 800 เมตรเท่านั้น โดยใน ต.นาฝายมี 6 หมู่บ้าน เท่ากับว่าหนึ่งปีจะมีถนนใหม่ได้หมู่บ้านละ 133 เมตรเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว อบต.นาฝาย ยังต้องลงทุนในภารกิจอื่นๆ อีกด้วย


วีรนันท์กล่าวต่อไปว่า จ.ขอนแก่นไม่ได้มีแค่ อบต.นาฝายเพียงแห่งเดียว แต่ยังมี อปท. อีก 213 แห่งจากทั้งหมด 225 แห่งที่มีงบลงทุนต่ํากว่า 10 ล้านบาท และหากดูทั้งประเทศ ในปี 2567 อปท. ทั้งหมด 7,850 แห่งมีถึง 6,990 แห่งที่เหลืองบลงทุนไม่ถึง 10 ล้านบาท คิดเป็น 89% ของท้องถิ่นทั้งประเทศ


ด้วยการจัดสรรงบประมาณให้ท้องถิ่นแบบนี้ที่ทําให้ถนนพัง น้ําประปาขุ่น น้ําเน่าเสีย ขยะตกค้างในชุมชน กลายเป็นเรื่องปกติที่คนในชนบทเคยชินไปแล้ว เพราะท้องถิ่นที่อยู่ใกล้ชิดปัญหาที่สุดกลับไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ และการจัดสรรงบประมาณในปีนี้ก็ไม่ต่างไปจากปีก่อนๆ ที่สัดส่วนรายได้ท้องถิ่นต่อรายได้รัฐบาลยังคงอยู่ที่เฉลี่ย 29% ที่พรรคเพื่อไทยเคยบอกว่าจะจัดสรรงบให้ท้องถิ่น 35% ภายใน 2 ปี แต่ตอนนี้เอาให้ได้ 30% ก่อนก็ยังไม่ถึง


วีรนันท์กล่าวต่อไปว่าท้องถิ่นมีรายได้จาก 3 ทางคือ 1) รายได้ที่ท้องถิ่นจัดเก็บเองจากประชาชนโดยตรง เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างหรือภาษีป้าย 2) รายได้ที่รัฐจัดเก็บให้ เช่น การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม การจัดเก็บภาษีสรรพสามิต 3) รายได้ที่รัฐบาลอุดหนุนผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจําปี ซึ่งที่ผ่านมาท้องถิ่นจัดเก็บรายเองได้น้อยอยู่แล้ว เฉลี่ยอยู่ที่ 10.3% ของรายได้รวมของท้องถิ่น


แต่ที่ผ่านมา รัฐบาลเคยลดภาษีที่ดินลงถึง 90% โดยให้เหตุผลว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทําให้ท้องถิ่นมีรายได้จัดเก็บเองน้อยลงไปอีก เงินชดเชยที่รัฐบาลจะคืนให้ท้องถิ่นทดแทนรายได้ที่หายไปจากภาษีที่ดิน รัฐบาลก็ยังจ่ายคืนไม่ครบ ค้างมาตั้งแต่การลดภาษีที่ดินในช่วงโควิดจนวันนี้ยังค้างอยู่ที่ 36,634 ล้านบาท ส่วนรายได้ที่รัฐจัดเก็บหรือจัดสรรให้ อย่างภาษีมูลค่าเพิ่มภาษีสรรพสามิต ในภาพรวมมีสัดส่วนเฉลี่ยอยู่ที่ 43.2% แต่ท้องถิ่นขนาดเล็กก็ยังได้ส่วนนี้น้อยอยู่ดี


วีรนันท์กล่าวต่อว่าส่วนเงินอุดหนุนจากส่วนกลาง ซึ่งเป็นความหวังของท้องถิ่น โดยเฉพาะท้องถิ่นขนาดเล็ก ก็พบว่าเป็นงบฝากจ่ายสูงถึง 45% คืองบประมาณที่ท้องถิ่นไม่มีอิสระในการตัดสินใจ แค่รับมาและจ่ายไปตามนโยบายที่ส่วนกลางกําหนดมา ไม่ว่าจะเป็นเบี้ยผู้สูงอายุ เบี้ยผู้พิการ ค่าอาหารกลางวันเด็กนักเรียน และเบี้ยอื่นๆ


ข้อเสนอของตนและพรรคประชาชน คือจัดสรรงบประมาณให้ท้องถิ่นมีงบลงทุน 10 ล้านบาทขึ้นไปทุกแห่ง ซึ่งหากจะเพิ่มเงินให้ท้องถิ่นทั้ง 6,990 แห่งที่งบลงทุนไม่ถึง 10 ล้านบาท ให้มีงบลงทุนขั้นต่ํา 10 ล้านบาท ต้องใช้เงินเพิ่มขึ้น 4.14 หมื่นล้านบาท เงินจำนวนนี้หากนําทั้งหมดไปบําบัดน้ําเสียจะสามารถบําบัดน้ําเสียได้ 11 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน สามารถจัดเก็บขยะได้ 27 ล้านตันต่อปี หรือนําไปจัดทําบ้านพักคนชราจะดูแลผู้สูงอายุได้ประมาณ 1,720,000 คนต่อปี หากนําไปพัฒนาศูนย์เด็กปฐมวัยจะสามารถดูแลเด็กได้ประมาณ 370,000 คนต่อปี ซ่อมถนนได้ 114,065 กิโลเมตรต่อปี ซึ่งพรรคประชาชนมีข้อเสนอในการหางบมาเพิ่มให้ท้องถิ่น 4.14 หมื่นล้านบาท กล่าวคือ


1) เพิ่มงบอุดหนุนทั่วไปแบบไม่มีเงื่อนไขให้ท้องถิ่นโดยตรงไปเลย เปลี่ยนมากระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนภาครัฐ โดยใช้กลไกท้องถิ่นที่อยู่ใกล้ชิดประชาชน ให้เงินกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ อย่างทั่วถึง กระตุ้นเศรษฐกิจได้โดยตรงทันที


2) เพิ่มรายได้ท้องถิ่นผ่านเครื่องมือที่รัฐบาลมีอยู่แล้ว คือกฎหมายภาษีบ้านเกิดเมืองนอนของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งตนและสมาชิกหลายคนก็เห็นด้วยในหลักการ ที่จะให้ท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มจากช่องทางนี้ เนื้อหาสาระคือการให้ประชาชนและบริษัทห้างร้านสามารถอุดหนุนภาษีเงินได้ของตัวเอง 20% ให้กับท้องถิ่นแห่งเดียวหรือหลายแห่งก็ได้ แต่กฎหมายนี้เป็นร่างเกี่ยวกับการเงิน นายกรัฐมนตรีจะเซ็นรับรองให้ผ่านและเร่งรีบเซ็นรับรองเหมือนร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์หรือไม่


3) ตัดลดงบประมาณจังหวัดกลุ่มจังหวัดที่ทับซ้อนกับท้องถิ่น ไม่ใช่ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทําภารกิจที่ทับซ้อนกับท้องถิ่น แต่เมื่อมาดูงบจังหวัดและกลุ่มจังหวัดปีนี้กลับเพิ่มขึ้นทั้ง 76 จังหวัด มีงบปรับปรุงสร้างถนน ไฟฟ้าไปทั้งหมด 1.3 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 52% และเป็นงบเขื่อนป้องกันตลิ่ง ขุดสระปรับปรุงแหล่งน้ําอีก 4.6 พันล้านบาท คิดเป็นอีก 21% รวมกันแล้วเกินครึ่งของงบจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ตนจึงเสนอให้ตัดลดงบประมาณที่ทับซ้อนเหล่านี้ มาเป็นงบลงทุนให้กับท้องถิ่นแทน


4) ที่รัฐบาลสามารถทําได้เลย คือจ่ายเงินชดเชยภาษีที่ดินที่รัฐบาลยังค้างอยู่ให้กับท้องถิ่น เพื่อให้ท้องถิ่นสามารถพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น เงินก้อนนี้ไม่ควรถูกดึงไปจากท้องถิ่นตั้งแต่แรก


5) ปัจจุบันท้องถิ่นทั่วประเทศมีเงินสะสมรวมกันอยู่ราว 3 แสนล้านบาท รัฐบาลควรผลักดันให้ท้องถิ่นนํา เงินสะสมเหล่านี้มาใช้ลงทุนเพื่อจัดทําบริการสาธารณะ โดยอาจจัดสรรงบประมาณอุดหนุนเฉพาะกิจสมทบให้อีกคนละครึ่ง หรือหาวิธีอื่นที่จะทําให้ท้องถิ่นนําเงินออกมาลงทุน โดยเฉพาะในท้องถิ่นขนาดเล็ก ที่มีงบน้อย จะเกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้คนได้มาก รวมไปถึงเกิดการลงทุน เกิดการจ้างงานตามชุมชนต่างๆ มากมาย พายุหมุนทางเศรษฐกิจจะหมุนไปทั่วประเทศ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #งบ69 #ปีงบประมาณ

[ถอดเทป] อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : ข้างหลังภาพ "สนธิ-จตุพร"