ธิดา
ถาวรเศรษฐ :
วิกฤตโควิดในประเทศไทยที่แก้ไขได้ยาก!
อุปสรรคที่สำคัญคือระบบคิดและระบบทำงานของรัฐบาลและข้าราชการไทย
1)
ปกปิดข้อมูลด้านลบ (จนกว่าจะปิดไม่ได้)
โฆษณาข้อมูลด้านบวกในการทำงานของตนเอง จนประชาชนจับได้
อันเป็นที่มาของความไม่เชื่อถือรัฐบาล ไม่เชื่อถือกระทรวงฯ
แสดงออกที่ไม่อยากฉีดวัคซีนที่รัฐบาลยัดเยียดให้ 2 ตัว
ประชาชนไม่อยากเสี่ยงกับวัคซีน 2 ตัวนี้ อยากได้วัคซีนที่ดีกว่านี้
ตามข่าวทั่วไป
ขณะนี้ข้อมูลปกปิดเรื่องการติดโรคในเรือนจำร่วม 3,000 คน เป็นตัวอย่างลักษณะ “ปกปิด”
ที่น่าอับอายมาก การระบาดที่ทำให้ผู้ต้องขังติดเชื้อเป็นจำนวนมากถึงขนาดนี้โดยไม่ยอมเปิดเผยข้อมูล
ดังสุภาษิตว่า “ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวปิดไม่มิด” ราชทัณฑ์เพิ่งออกมายอมรับและเปิดเผยข้อมูลเมื่อวานนี้
2)
การบริหาร รับ-ส่ง ผู้ตรวจพบว่าติดเชื้อไปยังโรงพยาบาลสนามหรือโรงพยาบาลแบบอื่น
ๆ รัฐมีระบบที่ล้มเหลวในการกระตือรือร้น รับ-ส่ง
ข้อมูลกับผู้ป่วย แต่เป็นธรรมดาของความเฉื่อยชาของข้าราชการไทย
ไม่ปรับปรุงเทคโนโลยีรับ-ส่งข่าวสาร ข้อมูลที่ทันสมัยและทันต่อสถานการณ์ที่เลวร้าย
3)
การบริหารการตรวจเชิงรุกน้อยเกินไป เพราะวิธีคิด วิธีทำงาน เป็นเชิงรับ
ไม่ใช่เชิงรุก หวังให้คนป่วยมายังโรงพยาบาลเป็นหลัก
อ้างว่าการตรวจเชิงรุกเป็นความสิ้นเปลือง ไม่พยายามใช้การตรวจเชิงรุกในรูปแบบอื่น
ๆ เช่น การใช้ Rapid
Test ที่มีมาใหม่ ๆ และการตรวจ PCR
ยังช้าไม่ทันกาล ต้องใช้เวลาตั้ง 3 วัน จึงทราบผล ซึ่งนานเกินไปในการตรวจของหน่วยงานรัฐจำนวนมาก “กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้” คนไข้กว่าจะรู้ผล
อาการก็ลุกลามไปมากแล้ว เรือนจำตอนนี้น่าจะติดเชื้อ 100%
แล้ว
4)
การบริหารจัดการเรื่องวัคซีน ทั้งการซื้อ การแจกจ่าย การฉีดวัคซีน
ยังไม่ทันสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ขณะที่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ทั้งตัวเชื้อ COVID
ที่เปลี่ยนไป มีความรุนแรงมากขึ้นกว่าสิบเท่า ก็ยังคิดแบบเดิม ๆ ปฏิบัติไม่ทันกาล
ความคิดประหยัดเงิน ประยัดแรง คิดแบบอนุรักษ์นิยม เน้นเอาวัคซีนไทยประดิษฐ์
คิดราคาถูก (ถูกจริงไหม?) จำนวนไม่เกิน 50% ของผู้ใหญ่
เลยเอามา 60 ล้านโดส ถือว่าโชคดี ถ้าเขาคิดว่าควรฉีด 70%
สงสัยจอง Astrazeneca 100 ล้านโดส (ยิ่งแย่หนักไปอีก)
เมื่อเอา Sinovac มากู้สถานการณ์ไม่มีวัคซีนพลาง ๆ Sinovac ก็ยิ่งมีปัญหาอีก
ปรากฏว่าการวางแผนฉีดยังเหมือนเดิม
เริ่มด้วยด่านหน้า (บุคลาการการแพทย์) ฉีดก่อน คิดแบบยังไม่มีวัคซีนมามากพอ
ตามด้วยคนสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป มีผู้สมัครใจที่อายุ 60 ปีขึ้นไป ลงทะเบียน “หมอพร้อม”
เพียง 10% เท่านั้น
แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เป็นระบาดรุนแรงในชุมชนเมือง ชุมชนแออัด
มากที่สุดคือ กรุงเทพฯและปริมณฑล
คุณต้องวางแผนการฉีดวัคซีนใหม่ในสถานการณ์ใหม่แล้ว
ต้องใช้การฉีดวัคซีนปิดล้อมแหล่งโรคระบาด คลัสเตอร์ใหญ่ ๆ ควบคู่กับการตรวจเชิงรุก
เพื่อแยกคนติดเชื้อออกไปให้เร็วที่สุด
นี่ยังไปอ้อนวอนคนสูงอายุทั่วประเทศอยู่
โอเคก็ดี แต่ไม่ทันกับจุดไฟไหม้!
จะทำอย่างไร?
จะระดมฉีดอย่างไร?
จะได้วัคซีนมามากพอไหม?
ฉีดทันการหรือไม่?
ได้วัคซีนทางเลือกอื่นไหม?
5)
กรณีผู้ป่วยหนักรุนแรงล้นโรงพยาบาล จะเป็นแบบอินเดียไหม?
เตรียมบุคลากรแพทย์ในยามฉุกเฉิน ทั้งการจัดอบรมแพทย์เพิ่มเติม
อบรมแพทย์โรคทรวงอกและแพทย์สำหรับรักษา COVID19 อบรมเร่งด่วนได้ไหม?
-
อบรมพยาบาลและบุคลากรสำหรับผู้ป่วยหนักเพิ่มเติมได้ไหม?
- การแบ่งงานกันทำและการประสานงานระหว่างโรงพยาบาลส่วนต่าง ๆ ไปจนถึงโรงพยาบาลต่างจังหวัด กระทรวงสาธารณสุขจะเพิ่มบทบาทตนเองในการช่วยโรงพยาบาลในกรุงเทพฯและปริมณฑลอย่างไร?
- อสม.และระบบสาธารณสุขในกรุงเทพฯ มีบทบาทไหม? ไม่เห็นทำงานแบบต่างจังหวัดเลย อาจมีอุปสรรค แต่นั่นแหละ การมีโรคระบาดในเมืองใหญ่ในกรุงเทพฯ
***
เป็นบททดสอบการแพทย์ประเทศไทยว่าเก่งจริงอย่างที่อวดอ้าง
ตนเอง
จริงหรือไม่? ***
ไป
ๆ มา ๆ คำสัมภาษณ์ของอธิบดีกรมควบคุมโรคที่บอกว่า ข่าวที่ฉีดวัคซีนในสหรัฐฯ
ให้กับคนชาติอื่น ๆ ฟรีนั้นไม่จริง
แสดงถึงวิธีคิดแบบอนุรักษ์นิยม ชาตินิยม ตามไม่ทันวิธีคิด วิธีทำงาน
ของอารยประเทศ ที่เขาไม่คับแคบ ไม่ประหยัดให้เฉพาะคนในชาติ เพราะสายตาเขายาวกว่า
กว้างไกลกว่า เล็งเห็นผลการฟื้นฟูเศรษฐกิจและประโยชน์ที่จะได้รับเกินค่าการลงทุนวัคซีน
วิธีคิด
ต้องคิดระดับโลกกว้าง
วิธีทำงาน
ต้องทำระดับพื้นที่อย่างทันเวลาและทันโลก
ธิดา
ถาวรเศรษฐ
13
พ.ค. 64
#COVID19 #โควิด19
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์