จำคุก
2 เดือน ปรับ 2 พัน “เพนกวินกับพวก” รวม 12 คน โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี
กรณีชุมนุมเยาวชนปลดแอก เมื่อ 18 ก.ค. 63
วันที่
12 มิถุนายน 2566 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้อง
ยื่นฟ้องนายพริษฐ์ หรือเพนกวิน กับพวก รวม 12 ราย
กรณีกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองในนามกลุ่มเยาวชนปลดแอก
จัดกิจกรรมชุมนุมทางการเมืองในวันที่ 18 กรกฎาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป
บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยใช้หัวข้อเรื่อง
“ใครไม่ทนให้ไปกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย” ต่อมา
พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสิบสอง เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1688/2564 และคดีหมายเลขดำที่ 2763/2564
คดีสองสำนวนนี้ศาลรวมการพิจารณา
จำเลยทั้งสิบสองประกอบด้วย
นายพริษ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน, นายภาณุพงศ์ จาดนอก, นายอานนท์ นำภา, นางสาวจุฑาทิพย์
ศิริขันธ์, นายกรกช แสงเย็นพันธ์, นางสาวสุวรรณา
ตาลเหล็ก, นายธนายุทธ ณ อยุธยา, นายบารมี ชัยรัตน์, นายทศพรหรือ ทศ สินสมบุญ, นายเดชาธร
บ่ารุงเมือง, นายธานี สะสม และนางสาวเนตรนภา อ่านาจส่งเสริม โดยจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ศาลอาญาพิจารณาแล้ว
การที่จำเลยทั้งสิบสองเข้าร่วมกิจกรรมชุมนุมลงมาบนถนนราชดำเนินกลางในลักษณะเดินลงมาบนพื้นผิวจราจรเต็มพื้นที่บนถนนราชดำเนินกลางบริเวณวงเวียนอนุสาวรีย์และติดตั้งเวทีบนถนนราชดำเนินกลางบริเวณขอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย และมีการใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจำเลยที่ 1-8, 10, 11 ได้สลับกันขึ้นพูดปราศรัยบนเวที
โดยไม่ได้คํานึงว่าจะเป็นการฝ่าฝืนพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
และกฎหมายใด ๆ อันเป็นการแสดงให้ปรากฏต่อประชาชน ด้วยวาจาหนังสือ
หรือวิธีการอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำ ในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ
หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน
แต่ลักษณะการกระทำยังไม่ส่อเจตนาว่าเป็นการทำถึงขนาดเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร
ศาลพิพากษาว่า
จำเลยทั้งสิบสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง
พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522
การกระทำของจำเลยทั้งสิบสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานตั้ง วาง หรือกองวัตถุใดบนถนน
อันเป็นการกีดขวางการจราจร และกีดขวางทางสาธารณะ
เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง
พ.ศ. 2535 มาตรา 19, 57 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด
ปรับจำเลยทั้งสิบสองคนละ 1,000 บาท
ฐานมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นกระทำให้เกิดการวุ่นวายในบ้านเมือง
กับฐานกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน
เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา
เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน รวมจำคุกจำเลยทั้งสิบสองคนละ 2 เดือน และปรับคนละ 2,000 บาท
ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสิบสองเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นควรให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี และชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
ยกฟ้องความผิดฐานฝ่าฝืนข้อกำหนดฯ
และฐานใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตเพราะช่วงเวลาเกิดเหตุเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อโคโรนา
19 จึงสามารถจัดกิจกรรมการชุมนุมได้เพียงแต่ข้อกำหนดฯ บังคับให้ผู้จัดการชุมนุมต้องมีมาตรการป้องกันโรคเท่านั้น
และการขออนุญาตใช้เครื่องขยายเสียงเป็นหน้าที่ของผู้จัดการชุมนุมเท่านั้น
พยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสิบสองเป็นผู้จัดการชุมนุม
จึงไม่มีความผิดฐานฝ่าฝืนข้อกำหนดฯและไม่มีความผิดฐานใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต
ส่วนความผิดฐานทำร้ายร่างกายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย
ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏชัดว่าจำเลยคนใดเป็นผู้กระแทกแผงเหล็กใส่ผู้เสียหาย
จึงลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานนี้ไม่ได้ ในส่วนของจำเลยที่ 9
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังว่าข้อความตามป้ายที่จำเลยที่ 9
ถ่ายภาพโพสต์ลงในเฟซบุ๊กยังไม่ถึงขนาดที่จะส่อเจตนาเพื่อก่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร
จำเลยที่ 9 จึงไม่มีความผิดตาม
พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ