8
องค์กรสิทธิฯและประชาธิปไตย ขานรับ 3 ข้อ
ห่วงตะวัน-แบม-สิทธิโชค ให้รักษาชีวิต เดินเท้ายื่นปธ.ศาลฎีกา จี้
ให้ประกันผตห.การเมือง เพื่อคลี่คลายสถานการณ์
วันนี้ (2 ก.พ. 66) เวลา 11.00 น.
องค์กรประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน นำโดย มูลนิธิผสานวัฒนธรรม, สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.), สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน,
มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา, คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย
(ครป.), ศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อสังคมนิยมประชาธิปไตย (YPD),
สถาบันสังคมประชาธิปไตย และคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 จัดเสวนา “คำขานรับข้อเสนอตะวัน-แบม แนวทางการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมไทย”
ที่หอประชุมอนุสรณ์สถาน 14
จากนั้น
12.40 น. ได้ตั้งขบวนบริเวณแยกคอกวัวก่อน
ที่จะเดินเท้าไปยื่นจดหมายปิดผนึกถึงประธานศาลฎีกา
เพื่อขอให้ประธานศาลฎีกาเร่งดำเนินการตรวจสอบและแก้ไขคำสั่งเกี่ยวกับการปล่อยตัวชั่วคราว
การกำหนดหลักประกันและเงื่อนไข การถอนประกันตัว
นักกิจกรรมทางการเมืองอย่างเร่งด่วน
เวลา
13.20 น. ขบวนได้เดินทางถึงที่หน้าสำนักประธานศาลฎีกา โดย น.ส.ประกายดาว
พฤกษาเกษมสุข ผู้จัดการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม
เป็นตัวแทนอ่านข้อเรียกร้องต่อกระบวนการยุติธรรม ให้ปฏิบัติหน้าที่ตามหลักกฎหมาย
และคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และอุดมการณ์ของผู้พิพากษา มีรายละเอียดว่า
ตลอดระยะเวลาของการใช้สรีภาพในการชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมา
ประชาชนจำนวนมากต้องตกเป็นผู้ต้องหาและจำเลยในกระบวนการยุติธรรมอันเนื่องมาจากความเห็นต่างทางการเมือง
อาจกล่าวได้ว่า
เป็นกลไกเพื่อสนองนโยบายรัฐในการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของประชาชนฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลอย่างเต็มรูปแบบ
โดยเฉพาะในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 การปล่อยตัวชั่วคราว
ถูกใช้เป็นกลไกสำคัญในการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
ผ่านการไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ห้ามไปกระทำการในลักษณะเดียวกันกับคดีเดิมอีก
การกำหนดเวลาห้ามออกนอกเคหสถานในบางช่วงเวลาร่วมกับการใส่กำไล EM การอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยให้ใส่กำไลติดตามตัว (EM) ร่วมกับคำสั่งห้ามออกนอกเคหสถานตลอด 24 ชั่วโมง
เป็นเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวที่เข้มงวดกว่าอาชญากรที่ก่ออาชญากรรม
และการมีคำสั่งถอนประกันได้โดยง่ายเหล่านี้
ถือเป็นการละเมิดสิทธิในกระบวนการ
ถูกปฏิบัติโดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และไร้ซึ่งมนุษยธรรม ทั้งนี้
ยังสะท้อนถึงความพยายามในการเข้ามามีบทบาทรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเสียเอง
ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่โดยตรง เพราะมีองค์กรอื่นทำหน้าที่อยู่แล้ว
กระบวนการยุติธรรมมีหน้าที่รักษาและดำรงความยุติธรรมในสังคมอย่างเป็นอิสระ
โดยอาศัยหลักกฎหมายเพื่อเป็นหลักประกันว่าประชาชนทุกคนจะได้รับความยุติธรรมแม้จะมีข้อพิพาทกับรัฐ
หรือเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐก็ตาม
แต่ปรากฏว่ากรณีที่ไม่ใช่คดีการเมือง
เช่นกรณีของ พ.ต.อ.หญิงวัทนารีย์ กรณ์ชายานันท์ จำเลยที่ 8 ภรรยานายตู้ห่าวชาวจีน
ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมีพยานหลักฐานว่ามีพฤติการณ์ข่มขู่พยาน
เป็นการผิดเงื่อนไขการประกันของศาล แต่กลับไม่ถอนประกัน
โดยอ้างว่ามีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวไปแล้ว
แต่พนักงานสอบสวนมายื่นเอกสารแบบกระชั้นชิด
ทำให้การยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการประกันตัว พ.ต.อ.หญิงวัทนารีย์ ดังกล่าว
จึงเป็นเพียงคำร้องที่ประกอบการพิจารณา กรณีที่แตกต่างกันดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความลักลั่นและปัญหาการปล่อยชั่วคราวสำหรับผู้ต้องหาและจำเลยในคดีการเมือง
การถูกปฏิบัติโดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และไร้ซึ่งมนุษยธรรมโดยกระบวนการกล่าว
นำมาสู่การอดอาหารและน้ำของตะวันและแบมเพื่อทวงถามหาความยุติธรรม
และเรียกร้องให้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม
จนร่างกายของทั้งสองเข้าขั้นวิกฤตและสุ่มเสี่ยงต่อชีวิตอย่างมาก
สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะพิจารณาทบทวนบทบาทในการใช้ดุลยพินิจในการปล่อยชั่วคราวให้เป็นไปตามหลักกฎหมาย
คำนึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และคำนึงถึงอุดมการณ์ของผู้พิพากษาตามประมวลจริยธรรม
ในการประสาทความยุติธรรมให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชน
อย่างไม่เลือกปฏิบัติอันเนื่องมาจากความคิดเห็นทางการเมือง
ท่ามกลางปัญหาความขัดแย้ง พิจารณาอรรถคดีไปในทางส่งเสริมความเป็นมนุษย์ให้ดำรงอยู่
พัฒนาและงอกงามขึ้นในสังคม ไม่ใช่พรากศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไปจากประชาชน
หรือกดความเป็นคนให้ต่ำลงเพื่อให้ยอมจำนนต่ออำนาจที่ไม่เป็นธรรม
จากนั้น
นายธนากร พรวชิราภา หัวหน้าส่วนกฎหมายและระเบียบ สำนักงานประธานศาลฎีกา
ในฐานะตัวแทนประธานศาลฎีกา เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือดังกล่าว
โดยไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น รับหนังสือและเดินเข้าไปเลย ซึ่งทาง 8 องค์กรสิทธิฯ
จะเฝ้าติดตามสถานการณ์และมาทวงคำตอบอีกครั้ง