‘โรม’ ชี้ นโยบายปราบทุจริตคอร์รัปชัน เป็นบทพิสูจน์การทำงานรัฐบาลเศรษฐา
จี้ถาม ‘เศรษฐา’ แก้ปัญหาระบบอุปถัมภ์ของตำรวจอย่างไร หวังรัฐบาลนี้
ตำรวจน้ำดีมีที่ยืน ปลอดตั๋วช้าง-ตั๋วแมมมอธ
วันที่
12 กันยายน 2566 รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ
พรรคก้าวไกล อภิปรายในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา
ถึงนโยบายการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน โดยระบุว่า หลังจากได้ฟังนโยบายของนายกฯ
เศรษฐาที่แถลงต่อรัฐสภา
พบว่านโยบายของท่านมีการกล่าวถึงปัญหาของประเทศชาติไว้หลากหลาย แต่ละปัญหาล้วนเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่
แต่เมื่อกลับมาพิจารณาถึงวิธีการที่ท่านได้นำเสนอเพื่อแก้ปัญหาที่ใหญ่ยิ่งเทียมฟ้านั้น
กลับขาดความชัดเจน ว่าตกลงท่านต้องการทำอะไร
ตนเข้าใจว่าการตั้งรัฐบาลของนายกฯ
มีหลายกลุ่มหลายขั้ว จะทำอะไรก็ต้องเกรงใจ
นโยบายที่ออกมาจึงเป็นนโยบายที่เกรงใจพวกพ้อง
ไม่สามารถใช้นโยบายเดิมที่ดุดันไม่ต้องเกรงใจใครเหมือนตอนหาเสียง
วันนี้พรรคแกนนำจึงไม่ต่างอะไรกับพรรคการเมืองที่ไม่เหลือนโยบาย แล้วแต่ว่าพรรคร่วมจะจูงจมูกไปทางใด
สุดท้าย รัฐบาลนี้จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงเพื่อความผาสุกของประชาชน
หรือความผาสุกของคนในระบอบประยุทธ์กันแน่ เป็นคำถามสำคัญที่ต้องรอการพิสูจน์
ที่ผ่านมามีการทุจริตคอร์รัปชันภายในระบบราชการอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อย
ๆ เช่น เรื่องตั๋วช้าง ซึ่งเป็นความท้าทายของระบบคุณธรรมในระบบราชการ
เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ตำรวจต้องทุจริต เพื่อหาเงินมาซื้อตำแหน่ง
ไม่ว่าจะทำโดยการตั้งด่านรีดไถ หรือการขู่เข็ญให้ประชาชนจ่ายส่วยสินบน
รวมทั้งสร้างเครือข่ายอำนาจนิยมที่ทำให้ตำรวจต้องอยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ของผู้มีอำนาจ
ถามกันอย่างตรงไปตรงมา
ตกลงว่าในยุคของนายกฯ เศรษฐา จะแก้ปัญหาระบบอุปถัมภ์ของตำรวจอย่างไร
จะยังมีตั๋วช้างอีกหรือไม่ หรือนอกจากกรณีตั๋วตำรวจที่เป็นปัญหา ยังมีกรณีตำรวจราบ
ที่เป็นช่องทางให้มีการแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจให้ย้ายข้ามหน่วยงาน
ไปในที่ที่เขาไม่รู้จักและไม่อยากจะไป
ใครที่ไม่ยอมรับกระบวนการแบบนี้จะถูกสั่งธำรงวินัยนานถึง 9 เดือน
นี่คือความเน่าเฟะของระบบอุปถัมภ์ที่ไม่ได้รับการเหลียวแลจากผู้มีอำนาจในรัฐบาลมาเป็นเวลานาน
กรณีการทุจริตในกองบินตำรวจ
จนสร้างหนี้ให้กับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติเกือบ 1 พันล้านบาท ปรากฎว่า
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี
ได้มีการอนุมัติงบกลางไปใช้หนี้ดังกล่าว ขัดต่อกฎหมาย
สร้างความเสียหายต่อภาษีของประชาชนและประเทศชาติ ท่านนายกฯ เศรษฐา
จะมีนโยบายจัดการกับการทุจริตเหล่านี้อย่างไร ท่านนายกฯ จะมีความกล้าหาญเพียงพอกับการดำเนินคดีกับคนอย่าง
พล.อ.ประยุทธ์หรือไม่ หรือท่านจะเกรงอกเกรงใจพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคจนไม่กล้าทำอะไร
หรือเรื่องการค้ามนุษย์
ที่ส่งผลให้ตำรวจดีๆ ยศพลตำรวจตรี ผู้มีผลงานปราบปรามเครือข่ายการค้ามนุษย์
กลับต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ ประสบวิบากกรรมภายหลังจับนายทหารยศ พล.ท.
และถูกคุกคามอย่างหนักจากอำนาจมืดที่มองไม่เห็น
จนมาถึงวันนี้
การทุจริตทั้งหลาย ทำให้โครงสร้างตำรวจของเราอ่อนแอ เกิดบรรดาผู้มีอิทธิพลต่างๆ
ดังเช่นเหตุการณ์กรณีกำนันนก ซึ่งมีตำรวจถูกยิงเสียชีวิตโดยที่ตำรวจที่เหลือ 21 คนได้แต่นั่งมองตาปริบๆ
มากไปกว่านั้น
ความอ่อนแอนี้ยังได้ทำให้อาชญากรข้ามชาติเข้ามาเสวยสุขในประเทศของเราได้อย่างปลอดภัย
ยาเสพติดและทุนจีนสีเทาจึงไหลทะลักเข้ามาในประเทศ
เข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการก่ออาชญากรรม
วันนี้ท่านนายกฯ
วาดฝันว่า 5
ปีข้างหน้า
นโยบายเช่นนี้จะทำให้ประเทศมีหลักนิติธรรมที่เข้มแข็งและน่าเชื่อถือ แต่สำหรับตน
เมื่ออ่านนโยบาย
กลับมองไม่เห็นว่าประเทศไทยจะหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ที่กัดกินไปได้อย่างไร
นึกไม่ออกว่าปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันที่กำลังเกิด จะยุติด้วยวิธีการใด อะไรคือขั้นตอนที่เป็นรูปธรรม
ไม่ปรากฎในคำแถลงเลยแม้แต่น้อย
ตนอยากพิสูจน์ความจริงใจในการแก้ปัญหาของนายกฯ
ว่าท่านต้องการจะแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันและยาเสพติดหรือไม่
สมกับที่ท่านได้เขียนลงไปในคำแถลงนโยบายว่า ให้ผู้ผลิตผู้ค้าได้รับโทษทางกฎหมาย
ปราบปรามอย่างจริงจัง และ “ยึดทรัพย์” เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด มันจะเป็นแบบนั้นจริงๆหรือไม่
ด้วยข้อเท็จจริงที่ตนเพิ่งได้รับรายงาน
มาพิสูจน์ให้ประชาชนได้เห็นว่าท่านจะเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามยาเสพติด
ไม่ใช่ลมปากที่พูดแล้วไม่ทำ
“ข้อมูลที่ผมมี เป็นคลิปเสียงของนักการเมืองระดับ สว. 2 คน ได้แก่ สว.ทรงเอ และ สว.พ. พูดคุยกับนักธุรกิจชื่อนายดี้ เมื่อปี 2564
เพื่อวางแผนเคลียร์คดีหลังจากที่เรื่องราวยาเสพติดของ สว. ทรงเอ
มันแดงขึ้นมา” รังสิมันต์กล่าว
เริ่มต้นจากนาย
ออ ทรง เอ เดิมทีเป็นเจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่งในประเทศเพื่อนบ้าน
ได้ใช้โรงแรมนั้นเป็นบ่อนการพนัน และดำเนินธุรกิจไฟฟ้าควบคู่กันไป แต่เมื่อนาย ออ
ทรง เอ ได้รับเลือกเป็น สว.แล้ว การทำธุรกิจของ สว. ทรงเอ
ก็ได้ดำเนินผ่านการใช้นอมินี ซึ่งนอมินีคนล่าสุดคือ ลูกเขยของตัวเอง ก่อนที่ สว.พ.
จะได้สานสัมพันธ์ให้ สว.ทรงเอกับนายดี้รู้จักกัน
นำมาสู่การตัดสินใจขายธุรกิจบ่อนการพนันให้กับนายดี้
ที่มีชื่อเสียงในการทำพนันออนไลน์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
และหลังจากที่ได้รับมอบธุรกิจมาจาก สว.ทรงเอแล้ว ปรากฏว่า นายดี้ถูก บช.ปส.
เข้ามาตรวจสอบตรวจค้น ด้วยความตกใจที่โดนตรวจสอบ ทำให้นายดี้ต้องกลับมาหา สว.ทรงเอ
เพื่อให้ สว.ทรงเอ เข้ามาเคลียร์ปัญหาให้
มาถึงจุดนี้
ธุรกิจบ่อนการพนัน และธุรกิจไฟฟ้านี้ มีความเกี่ยวข้องกับยาเสพติดอย่างไร จากที่
ส.ว. ทรงเอ คุยกับนายดี้ ว่าธุรกิจไฟฟ้านี้
มีขึ้นเพื่อจ่ายไฟฟ้าเข้าไปในบ่อนการพนัน ในอดีต
เมืองท่าขี้เหล็กนั้นไม่มีไฟใช้กันทั้งเมือง จึงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเมียนมา
โดยรัฐบาลของ พล.อ. เต็งเส่ง ให้ สว. ทรงเอ คนนี้เป็นตัวแทนในการขายไฟ
เพื่อให้เอาไฟฟ้ามาใช้ในธุรกิจบ่อนการพนัน
แต่เนื่องจากจะให้เอาไฟมาใช้เฉพาะในบ่อนอย่างเดียว มันคงดูไม่ดี
จึงเป็นที่มาของการจำหน่ายไฟจากฝั่งไทยไปยังฝั่งเมียนมา
เมื่อได้ฟังคลิปเสียง
ตนสะดุดใจกับชื่อบริษัท “หงปัง” คุ้นๆ หรือไม่ ว่ามีความสำคัญอย่างไรกับเรื่องนี้
บริษัทหงปังนี้เอง เป็นบริษัทของนายเหว่ย เซียะ กัง ที่เกี่ยวข้องกับพวกว้าแดง
หนึ่งในขบวนการยาเสพติดระดับโลก ดังนั้นเมื่อนายดี้รับช่วงธุรกิจบ่อนการพนันไปจาก
สว.ทรงเอ จึงไม่แปลกเลยที่จะถูก บช.ปส. ติดตามตัวจนเป็นต้นเหตุของคลิปนี้
ทำให้นอกจากไฟฟ้าของบ้านเราจะถูกนำไปหล่อเลี้ยงบ่อนการพนันแล้ว
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ส่งไฟไปยังขบวนการยาเสพติดผ่านเครือข่ายของ
สว.ทรงเอ ใช่หรือไม่ และยาเสพติดเหล่านี้ก็ถูกส่งกลับมาขายให้กับคนไทย ทำลายชีวิต
และอนาคตของคนไทย เอาเงินจากคนไทยที่ได้จากการขายยา
ส่งกลับไปเมียนมาเพื่อนำมาจ่ายค่าไฟ แล้วนำมาผลิตยาบ้าต่อไป
วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์แบบนี้ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น
นอกจากนี้
ในคลิปเสียงนี้ ยังปรากฎว่ามีการพูดถึงนายตำรวจสำคัญอีก 2 คน
ที่เป็นถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในประเทศ ซึ่งในที่นี้ขอใช้ชื่อย่อ ป.1 และชื่อย่อ ป.2 ซึ่งเป็นระดับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติด้วยกันทั้งคู่
แต่คนละช่วงเวลา ทั้ง 2 คนถูกอ้างถึงเพื่อช่วยเหลือในการวิ่งคดี
และเคลียร์คดียาเสพติด นอกจากนี้ ตนมีภาพหลักฐานว่า สว. ทรงเอ ได้ปรากฎตัว
ในห้องของผู้บัญชาการ บช.ปส. แสดงให้เห็นว่า นี่ไม่ใช่การพูดคุยกันธรรมดา
แต่เป็นการวิ่งคดีกัน โดยมีตำรวจผู้ใหญ่รู้เห็นเป็นใจด้วย
การรู้จักกับบรรดาบิ๊กเนมเหล่านั้น
ใช้เส้นสายที่มีเพื่อวิ่งเต้นคดี มันได้ผลจริงๆ เพราะ
ตั้งหลายเดือนที่มีการปิดสมัยประชุม สว. คนดังคนนี้ก็อยู่รอดปลอดภัย
อาจจะมีการแจ้งข้อหาบางข้อหาไปบ้าง เช่น ฟอกเงิน หรืออาชญากรรมข้ามชาติ
แต่ข้อหาสำคัญอย่างสมคบค้ายากลับไม่ถูกแจ้ง และเมื่อเทียบกับ นายทุนมินลัต คนสนิทของผู้นำเผด็จการทหารในเมียนมาร์
และเป็นเพื่อนคู่ขาของ สว.ทรงเอ ที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้
ที่ต้องใช้ชีวิตในเรือนจำ ช่างแตกต่างกับ สว.ทรงเอ ที่แม้แต่จะออกหมายจับ
ยังไม่สามารถทำได้ เนื่องจากมีการถอนหมายจับตามคำสั่งของอธิบดี
และรองอธิบดีศาลอาญา ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันรองอธิบดีคนนี้จะถูกตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง
แต่ สว. ทรงเอ ก็ยังใช้ชีวิตทรงเอ อย่างปรกติสุขได้ต่อไป
ขณะที่ตำรวจที่พยายามทำคดีนี้กลับถูกสั่งย้ายเพราะการปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา
ขัดกับประโยชน์ของ สว.ทรงเอ
“ทั้งหมดนี้ เพื่อชี้ให้ท่านนายกรัฐมนตรีเห็น
ว่าปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในประเทศไทย มันหยั่งรากลึกและไม่สามารถแก้ปัญหาได้
เพราะว่าเบื้องลึกเบื้องหลังคือเครือข่ายของนักการเมืองบางกลุ่ม
ที่ทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐได้มารู้จักกัน และพัฒนาเป็นเครือข่ายอุปถัมภ์ค้ำจุน
และทอดสะพานไปสู่ผู้นำเผด็จการให้เข้ามาเป็นคู่สัญญากับการไฟฟ้า ผ่านการใช้
สว.ทรงเอ เป็นนอมีนี” รังสิมันต์กล่าว
ขบวนการที่มีเผด็จการเมียนมาหนุนหลังเหล่านี้
ยังมีส่วนพัวพันการไล่ที่ชาวบ้าน เพื่อเอามาให้แก่พวกว้าแดงทางฝั่งเมียนมาอีกด้วย
ดังนั้นความเสียหายนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น
ยังกระทบไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และทั่วโลกในฐานะผู้เสียหายจากขบวนการยาเสพติดที่มีเครือข่ายซึ่ง
สว. ทรงเอ คนนี้รวมอยู่ด้วย
วันนี้ปัญหาธุรกิจผิดกฎหมายในบริเวณชายแดนหนักหนาขึ้นทุกวัน
ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด การฟอกเงิน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์
เงินจำนวนมากที่ขบวนการเหล่านี้ได้รับมาจากเงินของคนไทย ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นสินบน
เพื่อซื้อตำรวจ สร้างเครือข่ายพรรคพวก เพื่อทำลายความยุติธรรมของประเทศของเรา
ตนหวังว่านายกฯ จะใช้อำนาจที่มี เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
อย่าปล่อยทิ้งไว้เหมือนที่ผ่านมา
ดังนั้น
ถ้านายกรัฐมนตรี มีความจริงใจต่อการปราบการทุจริตคอร์รัปชันและยาเสพติด
สิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับแรก คือ การสั่งการ ให้ ป.ป.ง. ทำหน้าที่ของตัวเอง เพราะ
สว. ทรงเอคนนี้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาอาชญากรรมข้ามชาติ และฟอกเงิน ดังนั้น ป.ป.ง.
จะต้องยึดอายัดทรัพย์สินทั้งหมดของ สว. ทรงเอ รวมไปถึง
ที่ทำการพรรคร่วมรัฐบาลพรรคหนึ่ง
เพื่อมาตรวจสอบว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดหรือไม่ และได้โปรดสั่ง
ผบ.ตร. ให้ดำเนินส่งเรื่องมาที่สภาเพื่อขอตัว สว. ทรงเอ
ไปแจ้งข้อหาสบคบค้ายาได้แล้ว เพราะตนทราบว่าทางอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งให้แจ้งข้อหาสบคบค้ายาแล้ว
ไม่ทราบว่า ผบ.ตร. จะประวิงเวลาไปทำไม
“ดังนั้น ถ้าท่านอยากฟื้นฟูหลักนิติธรรมของประเทศ
ยึดอาคารหลังดังกล่าวเลยครับ พิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่า
ท่านจะไม่มีทางก้มหัวให้กับอำนาจใด พิสูจน์ให้ประชาชนเห็น
ว่าท่านจะไม่ยอมจำนนต่อผู้มีอิทธิพล
พิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่าท่านจะเอาจริงเอาจังกับการทลายเครือข่ายคอร์รัปชันยาเสพติด
หาไม่แล้ว
ประชาชนจะตราหน้าท่านว่าเป็นแค่เพียงทายาทอสูรสืบทอดวิญญาณร้ายของระบอบการเมืองเดิม
คือทายาทคนต่อไปของ พล.อ.ประยุทธ์” รังสิมันต์กล่าว
รังสิมันต์ระบุอีกว่า
ในแวดวงราชการ เราคงต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ว่าตลอด 1 ทศวรรษที่ผ่านมา
คือความเลวร้ายที่เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน
ข้าราชการน้ำดีที่ทำหน้าที่ตรงไปตรงมา
ยากเหลือเกินที่จะเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
เขาเหล่านี้ดำรงชีพด้วยอัตราเงินเดือนเท่าที่ได้รับจากแผ่นดิน
ยอมกัดฟันก้มหน้าก้มตาทำงาน หวังว่าผู้บังคับบัญชาจะเห็นในความดี แต่สุดท้าย
เพื่อนรอบข้างที่เดินสายทุจริตกลับได้ดิบได้ดี มีเงินเหลือเฟือเหลือใช้
มีชีวิตสุขสบาย แต่ราคาของข้าราชการน้ำดีที่ต้องจ่ายนับวันมันยิ่งมากเหลือเกิน
หลายคนที่รับไม่ไหว ก็ลาออก หลายคนที่โดนกดดันมากๆ สุดท้ายกลายเป็นพวกสีเทาก็มี
และบางคนที่พอจะรักษาความดีไว้ได้ อาจจะต้องสูญเสียชีวิตจากอำนาจมืด
อย่างที่เราพอจะเห็นข่าวในไม่กี่วันมานี้
และตำรวจบางคน อย่าง พล.ต.ต. ปวีณ ตำรวจน้ำดี ผู้สร้างผลงานปราบการค้ามนุษย์
ทลายการค้าทาสยุคใหม่ วันนี้กลายเป็นผู้ลี้ภัย
ต้องทำงานหนักหาเลี้ยงชีพในต่างประเทศ
แทนที่จะได้ใช้ชีวิตหลังเกษียณอยู่กับลูกหลานเฉกเช่นตำรวจที่เกษียณราชการทั่วไป
“ผมคิดว่าท่านนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ซึ่งมาจากพรรคเพื่อไทย
น่าจะเข้าใจความรู้สึกของผู้ลี้ภัยได้ดีที่สุด มันช่างน่าเศร้านะครับ
ที่เราต้องเฝ้ามองประเทศที่เรารักอยู่ข้างนอก
ตำรวจน้ำดีอย่างคุณปวีณก็คงอยากกลับมาที่ประเทศไทยได้ใช้ชีวิตกับคนในครอบครัว
คงไม่ต้องถึงขนาดได้รับสิทธิพิเศษ เหมือนใครบางคนที่ได้รับการลดโทษ
ได้พักในโรงพยาบาลที่มีคุณภาพเหมือนโรงแรมห้าดาว ตำรวจธรรมดาแบบคุณปวีณ
ตำรวจที่ไม่มีตั๋วช้าง ไม่มีตั๋วแมมมอธโครตเทพ VVVIP อย่าง
พ.ต.ท. คนหนึ่งที่ได้รับตั๋วนี้ จึงไม่อาจที่จะได้รับสิทธิพิเศษใดๆ
หากกลับมาประเทศไทย ก็อาจจะถูกลงโทษ ถูกอำนาจมืดเล่นงาน
ขึ้นอยู่กับโชคชะตาฟ้าลิขิต
ผมก็ขอฝากตำรวจน้ำดีอย่างคุณปวีณให้สามารถกลับบ้านได้บ้าง และผมหวังว่าในรัฐบาลนี้
ตำรวจน้ำดีจะมีที่ยืน ไม่เหมือนรัฐบาลที่แล้ว” รังสิมันต์กล่าว
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ตั๋วแมมมอธ #ประชุมสภา