‘เซีย’ ผิดหวังนโยบายแรงงานรัฐบาลเศรษฐา 1 ไม่เหมือนตอนหาเสียง
เรียกร้องนายกฯ ใช้ความกล้าหาญ ทำตามสัญญาที่ให้กับประชาชน
ไม่เช่นนั้นคงถูกต่อว่าโกหก-หลอกลวงแรงงานทั่วประเทศ
วันที่
12 กันยายน 2566 เซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ
พรรคก้าวไกล ร่วมอภิปรายในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา โดยอภิปรายนโยบายแรงงาน
ระบุว่า รู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง
ที่การแถลงนโยบายของรัฐบาลไม่มีนโยบายด้านแรงงานเหมือนตอนหาเสียง ทั้งที่ตอนหาเสียงพรรคเพื่อไทยมีนโยบายด้านแรงงานที่ชัดเจนที่สุดพรรคหนึ่ง
ในฐานะที่ตนเป็นผู้ใช้แรงงานมากว่า
30 ปี ต้องพูดถึงนโยบายด้านแรงงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน แบ่งปัญหาเป็น 3
ประเด็น คือ (1) ค่าจ้างไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ
ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ค่าแรง 300 กว่าบาทในปัจจุบัน
ปรับขึ้นไม่ทันค่าครองชีพที่พวกเราต้องแบกรับ
ทั้งที่ค่าแรงขั้นต่ำควรเป็นรายได้ที่คนทำงานสามารถใช้ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้
ไม่ใช่เพื่อให้มีชีวิตอยู่แบบไพร่ทาสไปวัน ๆ
นอกจากนั้น
กฎหมายคุ้มครองแรงงานที่บังคับใช้อยู่ล้าสมัยมาก ร่างตั้งแต่ปี 2541 ขณะที่ปัจจุบันอุตสาหกรรมของโลกมีการแข่งขันอย่างเข้มข้น
กระบวนการผลิตไม่เหมือนเดิม มีการจ้างงานรูปแบบใหม่ ๆ ที่สามารถหลบเลี่ยงกฎหมายแรงงานเต็มไปหมด
เช่น คนงานบนแพลตฟอร์มที่สถานะความเป็นแรงงานไม่ชัดเจน
แรงงานอิสระที่รับงานผ่านผู้จ้างงานหลายรายไม่ซ้ำหน้า
คนงานจ้างเหมาบริการภาครัฐ-ภาคเอกชน ที่ไม่ได้รับการคุ้มครองใดๆ จากกฎหมายแรงงาน
รวมถึงประเด็นต่าง
ๆ ในกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ยังล้าหลังไม่ทันโลก เช่น วันลาคลอดที่น้อยนิด
ขัดแย้งกับสังคมสูงวัยที่ต้องการเร่งอัตราเกิด
เวลาการทำงานที่มากเกินไปจนคนทำงานไม่มีวันหยุดพักผ่อนเพียงพอ
เหล่านี้คือปัญหาที่รัฐบาลต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน
เซียกล่าวต่อว่า
ประเด็น (2)
แรงงานไม่มีอำนาจต่อรอง
ทุกสิ้นปีมักมีข่าวปรากฎว่าโรงงานโน้นได้โบนัส โรงงานนั้นปรับขึ้นเงินเดือน
ของพวกนี้ล้วนมาจากอำนาจในการรวมตัวเพื่อเจรจาต่อรอง แต่บริษัทกลุ่มนี้ก็มีไม่มากนัก
เพราะที่ผ่านมากฎหมายของประเทศไทยลิดรอนสิทธิ์ ไม่ให้มีเสรีภาพในการรวมตัว
ไม่ให้คนทำงานโงหัวส่งเสียงต่อรอง
แรงงานไทยปัจจุบันรวมตัวเป็นสหภาพแรงงานได้เพียง
1.5% เท่านั้น เช่น สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง
สมาชิก 140,278 คน สหภาพแรงงานเอกชน 1,427 แห่ง สมาชิก 411,507 คน ถือว่าน้อยมาก
เพราะไทยไม่ยอมรับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและเจรจาต่อรองขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ
ฉบับที่ 87 และ 98
แม้มีการเสนอจากองค์กรสิทธิมนุษยชนและขบวนการแรงงานมานับสิบปี
แต่รัฐยังไม่ให้การรับรอง ส่งผลกระทบต่ออำนาจของคนทำงานและเศรษฐกิจไทยโดยรวม เช่น 25 ตุลาคม
2562 สหรัฐอเมริกาลงนามในคำประกาศระงับการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร
(GSP) สินค้าส่งออกบางประเภทจากไทย มูลค่ารวมราว 1,300
ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3 หมื่นล้านบาท
โดยยกปัญหาของไทยเกี่ยวกับสิทธิแรงงานเรื่องการรวมตัว
ประเด็น
(3) สวัสดิการประกันสังคม ไม่ตอบโจทย์ผู้ประกันตน เดือนมิถุนายนปีนี้
สำนักงานประกันสังคมมีสมาชิกทั้งหมด 24,465,609 คน
มีเงินในกองทุนมากถึง 2,445,679 ล้านบาท
เป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และยังมีเงินที่รัฐบาลค้างจ่ายอีกประมาณ 7
หมื่นล้านบาท จึงต้องสอบถามไปยังนายกฯ และรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน
ว่าบอร์ดประกันสังคมชุดปัจจุบันเป็นมรดกจากคำสั่ง คสช.
จะจัดให้มีการเลือกตั้งบอร์ดชุดใหม่ก็เลื่อนแล้วเลื่อนอีก
จัดทำระเบียบเลือกตั้งก็ใช้เวลาถึง 2 ปี
เช่นนี้จะไปแข่งขันกับใครได้ และจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีความชัดเจนใด ๆ
ให้ผู้ประกันตน
การเพิ่มสิทธิประโยชน์ก็น้อยมาก
โดยเฉพาะผู้ประกันตนมาตรา 40
ซึ่งจากสถิติ ก่อนหน้านี้ผู้สมัครฯ ตามมาตรานี้มีน้อย
แต่ยอดพุ่งสูงมากในปี 2563 จากการที่รัฐบาลตั้งเงื่อนไขให้ต้องสมัครเพื่อรับเงินเยียวยา
ดังนั้น แม้การมีประชาชนจำนวนมากอยู่ในระบบประกันสังคม เป็นเรื่องน่ายินดี แต่คนที่เข้าระบบฯ
ส่วนใหญ่ไม่ได้สมัครเพราะเห็นความสำคัญในกองทุน
แต่เข้าเพราะนโยบายอื่นของรัฐแบบชั่วคราว
จึงมีความเสี่ยงสูงว่าในอนาคตจำนวนผู้ประกันตนจะหายไป
ยังไม่นับปัญหาของกองทุน
ที่มีการนำเงินไปลงทุนปรากฎเป็นข่าวเรื่องความไม่โปร่งใส
ปัญหาไปโรงพยาบาลบริการล่าช้า รับยาคุณภาพต่ำ
ไม่สามารถสร้างแรงจูงใจให้แรงงานที่มีการจ้างงานรูปแบบใหม่เข้าเป็นสมาชิกกองทุนได้
จึงฝากไปยังนายกฯ กำชับให้รัฐมนตรีแรงงานเร่งจัดให้มีการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม
พอเสียทีกับมรดก คสช. ผู้ประกันตนต้องมีสิทธิ์เลือกตั้งตัวแทนของตัวเอง
ดูแลผลประโยชน์ให้ได้คุณภาพชีวิตที่ดี สมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตามเจตนารมณ์ของการก่อตั้งกองทุน
“อย่าให้ผู้ประกันตน อยู่กับบอร์ดไม่มี หนี้ไม่จ่าย เงินก็หาย
ไม่ได้สิทธิประโยชน์เพิ่ม ต่อไปอีกเลย” เซียกล่าว
เซียกล่าวด้วยว่า
ขอทวนความจำของนายกฯ เศรษฐา เกี่ยวกับสัญญาของพรรคเพื่อไทยที่ให้กับพี่น้องแรงงาน
ซึ่งระบุในคำแถลงการณ์วันแรงงาน 1 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมาว่า
‘พรรคเพื่อไทย พร้อมรดน้ำที่ราก สร้างรากฐานแรงงานให้มั่นคง’ เช่น
นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ เพิ่มทักษะแรงงาน
ผลักดันการรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ
สิทธิวันลาคลอดและสิทธิแรงงานคู่สมรส เป็นต้น
แต่ในคำแถลงนโยบายรัฐบาลครั้งนี้
มีเพียงนโยบายเงินดิจิทัล 10,000
บาทและการยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรคเท่านั้น
ที่ผ่านมาท่านเองออกแถลงการณ์ต่อว่ารัฐบาลที่แล้วว่าละเลยการดูแลคุณภาพชีวิตแรงงาน
แช่แข็งค่าจ้าง ไม่ให้สิทธิการรวมตัว
วันนี้ท่านอุตส่าห์กระเสือกกระสนดิ้นรนจนได้เป็นรัฐบาล
กลับละเลยไม่สนใจสิทธิพี่น้องแรงงานเช่นเดียวกัน หรือเป็นเพราะศีลเสมอกัน
ถึงจับมือกอดคอหัวร่อตั้งรัฐบาลร่วมกันได้
“อย่าทำเหมือนพรรคการเมืองบางพรรค ที่หาเสียงไว้ตอนปี 2562 ว่าจะปรับค่าจ้าง 425 บาท พอทำไม่ได้มีคนถามมากๆ ก็แอบลบออกจากเพจพรรค
ในวันนี้ผมไม่ขออะไรมาก
ขอเพียงให้ท่านเป็นคนที่รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับพี่น้องผู้ใช้แรงงาน
ดำเนินการตามที่ท่านได้หาเสียงไว้เกี่ยวกับนโยบายด้านแรงงาน” เซียกล่าว
เซียยังกล่าวย้ำถึงนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำว่า
ก่อนเลือกตั้งหลายฝ่ายตั้งคำถามว่าจะทำได้จริงหรือไม่
ทุกคนในพรรคเพื่อไทยต่างประสานเสียงว่าทำได้ เคยทำมาแล้ว 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศ
ถ้าเช่นนั้นวันนี้ใครสั่งท่านให้ถอดเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำออกจากคำแถลงนโยบาย
ตั้งใจทำเอง หรือพรรคร่วมรัฐบาลใดสั่ง หรือกลุ่มทุนผูกขาดขอร้อง
“วันนี้ถ้ารัฐบาลไม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้
ผมจะถือว่าที่ผ่านมาท่านโกหกผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศ
อาจมีพี่น้องแรงงานต่อว่าท่านปลิ้นปล้อนกะล่อนหลอกลวง ก็อย่าถือโทษโกรธเคืองกัน
ขอให้นายกฯ ยกระดับนโยบายด้านแรงงาน เพราะไม่ได้เป็นโครงการที่ใช้งบประมาณมากมาย
ใช้เพียงความกล้าหาญในการปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น
ทั้งหมดนี้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนทำงานให้ดีขึ้น ถ้าทำได้ นายกฯ
ก็จะเป็นคนที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี แรงงานไทยมีชีวิตที่ดีไปพร้อมๆ กัน” เซียระบุ