วันศุกร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2566

‘พริษฐ์’ หวั่น เป็นการยื้อเวลา ตั้งคณะกรรมการศึกษาประชามติรัฐธรรมนูญ แม้รัฐบาลยืนยันกรอบเวลาทำงานไม่เกิน 3-4 เดือน แต่ยังขาดความชัดเจนใน 3 ประเด็น องค์ประกอบ-ขอบเขต-คำถามประชามติ


พริษฐ์’ หวั่น เป็นการยื้อเวลา ตั้งคณะกรรมการศึกษาประชามติรัฐธรรมนูญ แม้รัฐบาลยืนยันกรอบเวลาทำงานไม่เกิน 3-4 เดือน แต่ยังขาดความชัดเจนใน 3 ประเด็น องค์ประกอบ-ขอบเขต-คำถามประชามติ

 

วันที่ 21 กันยายน 2566 พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แสดงความเห็นกรณีที่ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรอบเวลาในการทำงานของคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติว่าจะไม่เกิน 3-4 เดือน และยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาเพื่อประวิงเวลา

 

พริษฐ์ย้ำว่า พรรคก้าวไกลยังคงยืนยันอีกครั้งว่าไม่เห็นความจำเป็นในการตั้งคณะกรรมการศึกษาด้วย 2 เหตุผล

 

เหตุผลแรก ปัญหาการแก้ไขและจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นประเด็นที่ถูกศึกษาอย่างต่อเนื่องหลายปี ผ่านกระบวนการที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมมาตลอด โดยสภาผู้แทนราษฎรได้เคยมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาปัญหาของรัฐธรรมนูญ 2560 ตั้งแต่ปี 2562 จนกลายมาเป็นการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในปี 2563-64 เพื่อเดินหน้าสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยกลไกของ สสร. ซึ่งได้รับความเห็นชอบในวาระที่ 1 และได้มีมติยืนยันว่า สสร. ควรมาจากการเลือกตั้งในวาระที่ 2 ก่อนที่บางฝ่ายจะหยิบยกคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 มาใช้เป็นเหตุผลในการปัดตกร่างดังกล่าวในวาระที่ 3 และเสนอให้มีการจัดประชามติก่อน โดยในปี 2565 ญัตติในการเดินหน้าจัดทำประชามติเพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชน ว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดย สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง เคยได้รับความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์จากทุกพรรคการเมือง

 

ส่วนเหตุผลที่สอง กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีหลายขั้นตอนที่ต้องอาศัยเวลาพอควร หากนับไปถึงวันที่มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประชาชนอาจต้องเข้าคูหาทั้งหมด 4 ครั้ง มีการทำประชามติ 3 ครั้ง และเลือกตั้ง สสร. อีก 1 ครั้ง พิจารณาแล้วอาจใช้เวลา 2 ปีขึ้นไป ดังนั้น ยิ่งติดกระดุมเม็ดแรกเรื่องการจัดทำประชามติครั้งที่ 1 เร็วเท่าไร จะเป็นการลดความเสี่ยง เพื่อให้เรามีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ บังคับใช้ทันการเลือกตั้งครั้งต่อไป

 

พริษฐ์กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อมีแนวทางการจัดตั้งคณะกรรมการชุดนี้แล้ว ตนคิดว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่มีความชัดเจนขึ้นเรื่องกรอบเวลา โดยเฉพาะที่รัฐบาลให้สัญญาว่า คณะกรรมการชุดนี้จะมีกรอบระยะเวลา 3-4 เดือนจึงมีข้อสรุป ถึงอย่างนั้น ตนยังต้องการเห็นความชัดเจนในอีก 3 ประเด็นเกี่ยวกับคณะกรรมการฯ ที่จะถูกตั้งขึ้น

 

ประเด็นที่ 1 คือ ความชัดเจนขององค์ประกอบคณะกรรมการ จะทำอย่างไรให้มีตัวแทนจากทุกชุดความคิดและทุกภาคส่วน เพื่อให้มีการรับฟังอย่างรอบด้านและเป็นไปตามสัดส่วนของความเห็นที่มีอยู่ในสังคมจริงๆ

 

ประเด็นที่ 2 คือ ขอบเขตการทำงานของคณะกรรมการฯ จะเป็นอย่างไร โดยพรรคก้าวไกลคาดหวังว่าคณะกรรมการชุดนี้ จะต้องหารือแนวทางภายใต้หลักการของการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ โดย สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง โดยไม่ไปย้อนหลักการดังกล่าวซึ่งเคยเป็นข้อสรุปร่วมกันมาแล้ว

 

ประเด็นที่ 3 คือ กรอบของคำถามที่จะใช้ในการจัดทำประชามติ ซึ่งต้องไม่เพียงแต่กระชับและตรงไปตรงมา แต่ควรเป็นคำถามที่ยืนยันหลักการของการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ โดย สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง โดยที่ไม่เป็นคำถามที่แคบเกินไป (เช่น เป็นคำถามที่ระบุรายละเอียดเรื่องระยะเวลาทำงานของ สสร. หรือจำนวน สสร. ที่อาจยังมีความเห็นต่าง) และไม่เป็นคำถามที่กว้างเกินไป (เช่น เป็นคำถามที่ไม่ยืนยันว่า สสร. ต้องมาจากการเลือกตั้ง จนเปิดช่องให้มี สสร. ที่มาจากการแต่งตั้ง)

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ประชามติรธน #ก้าวไกล