‘พริษฐ์’ หวั่นตั้ง กก.ศึกษาประชามติรัฐธรรมนูญ เปิดช่อง
ยื้อเวลา-ย้อนหลักการ-ยอมต่ออำนาจเดิม ชี้ เรื่องนี้ถูกถกเถียงพิจารณามานานแล้ว
เหลือเพียง ครม.ตัดสินใจ แนะรัฐบาลแจงให้ชัด
วันที่
14 กันยายน 2566 พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ
พรรคก้าวไกล กล่าวถึงข้อกังวลต่อกรณีเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี
มีข้อสั่งการมอบหมายให้ ภูมิธรรม เวชยชัย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
เป็นผู้รับผิดชอบแต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ
พริษฐ์กล่าวว่า
ในการประชุม ครม. นัดแรก ของรัฐบาลเศรษฐา ประเด็นเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
เป็นหนึ่งในประเด็นที่สังคมจับตามอง เนื่องจากพรรคเพื่อไทยเคยออกแถลงการณ์เพียง 43 วันก่อนหน้านี้
(2 ส.ค.) ในวันที่พรรคเพื่อไทยฉีก MOU กับพรรคก้าวไกลและพันธมิตร
8 พรรค เพื่อจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่มีก้าวไกล
ว่าในรัฐบาลเพื่อไทยที่ไม่มีก้าวไกล จะมี “มติ ครม.ในการประชุมครั้งแรก
ให้มีการทำประชามติ และจัดตั้ง สสร.
ให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริงในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ”
แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาจากการประชุม
ครม. เมื่อวานกลับเป็นเพียง “ข้อสั่งการจากนายกรัฐมนตรี” (ไม่ใช่ มติ ครม.)
ที่มอบหมายให้คุณภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์
เป็นผู้รับผิดชอบแต่งตั้ง “คณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ
โดยยึดตามแนวทางของศาลรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ
โดยจะใช้เวทีรัฐสภาในการหารือรูปแบบแนวทางในการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการทำประชามติเพื่อให้ประชาชนทุกภาคส่วนร่วมออกแบบกฎกติกาที่เป็นประชาธิปไตยร่วมกัน”
พริษฐ์กล่าวว่า
ในบางกรณี
ประชาชนบางส่วนอาจจจะพอยอมรับได้ที่ผู้นำรัฐบาลมีการย้อนศรจากสิ่งที่เคยได้พูดไว้
หากเป็นไปเพื่อให้รัฐบาลได้มีเวลาศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมให้รอบคอบก่อนดำเนินการ
(แม้อาจยังคงตั้งข้อสงสัยได้ ว่าแล้วทำไมถึงไม่ศึกษาให้ครบถ้วนก่อนประกาศกับประชาชน)
แต่สำหรับกรณีเรื่องรัฐธรรมนูญ
ตนไม่คิดว่าเหตุผลนี้เป็นเหตุผลที่สามารถมาใช้รองรับได้
ในเชิงข้อเท็จจริง
แนวทางเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย สสร. และการทำประชามติ
ล้วนเป็นประเด็นที่ถูกพิจารณาและถกเถียงกันมาโดยละเอียดมาอย่างต่อเนื่อง
ผ่านกระบวนการที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม
จนเคยได้ข้อสรุปที่ทุกฝ่ายทางการเมืองเห็นตรงกันมาแล้ว
1)
ในส่วนของข้อสรุปเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดย สสร.
-
ธ.ค. 2562 : สภาผู้แทนราษฎรมีการตั้ง
“คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์
และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560” ที่มีตัวแทนจากทุกพรรคการเมืองในสภาฯ
ณ เวลานั้น และมีคุณพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค (รมว. พลังงาน
และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ) เป็นประธานฯ
-
ธ.ค. 2562 - ส.ค. 2563 : คณะกรรมาธิการดังกล่าวได้ใช้เวลากว่า 8 เดือน
ในการศึกษาทุกมาตราของรัฐธรรมนูญ 2560 โดยละเอียด มีรายงาน 600+
หน้า
พร้อมกับมีการตั้งคณะอนุกรรมาธิการที่มีหน้าที่ในการรับฟังความจากประชาชนตลอดกระบวนการ
โดยหนึ่งข้อสรุปสำคัญที่คณะกรรมาธิการส่วนใหญ่เห็นชอบตรงกันคือการ
“ให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่” โดย “สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากประชาชน”
-
พ.ย. 2563 : ข้อสรุปดังกล่าวจึงถูกแปรมาเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอต่อการพิจารณาของรัฐสภา
เพื่อนำไปสู่การมี สสร. มาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยทั้ง 2 ร่างที่ถูกเสนอ
(1 ร่างนำโดย สส. พลังประชารัฐ / 1 ร่างนำโดย
สส. พรรคเพื่อไทย) ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาในการพิจารณาวาระที่ 1 จากทุกฝ่าย (สส. + สว.) ด้วยคะแนน 88% และ 79%
ตามลำดับ
และได้ถูกพิจารณาเพิ่มเติมในชั้นกรรมาธิการที่มีตัวแทนจากทั้ง สส. และ สว.
-
ก.พ. 2564 : ในการพิจารณาในวาระ 2 รัฐสภาได้ลงมติร่วมกันเพื่อเห็นชอบให้ สสร. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด
-
มี.ค. 2564 : แต่พอเข้าสู่การพิจารณาในวาระ 3
สส. บางพรรคในขั้วรัฐบาล ณ เวลานั้น และ สว.
ได้ร่วมกันปัดตกและไม่ลงคะแนนเสียงให้กับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว
โดยส่วนใหญ่ไม่ได้ให้เหตุผลว่าเพราะไม่เห็นด้วยกับการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
แต่เป็นการอ้างว่าพวกเขาตีความคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 ว่าจำเป็นจะต้องทำประชามติเพื่อถามประชาชนว่าเห็นด้วยให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
ก่อนจะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะนำไปสู่ สสร.
เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตั้งแต่วาระที่ 1
2)
ในส่วนของข้อสรุปเรื่องการทำประชามติ
เพื่อริเริ่มการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
-
ก.ย. 2565 : หลังจากการอ้างคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
4/2564 เพื่อมาปัดตกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร. ในปี 2564
พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย จึงตัดสินใจเสนอญัตติในสภาฯ
โดยอาศัยกลไก พ.ร.บ. ประชามติ 2564 มาตรา 9(4) เพื่อให้มีการจัดประชามติดังกล่าว
เพื่อนับหนึ่งการเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็ว
(โดยมีข้อเสนอพ่วงให้จัดประชามติวันเดียวกับวันเลือกตั้งเพื่อประหยัดงบประมาณ)
-
แม้พรรคก้าวไกลยืนยันว่าการจัดประชามติดังกล่าวไม่ได้มีความจำเป็นในเชิงกฎหมาย
แต่ในเชิงการเมือง
หนทางเดียวที่จะรับประกันว่าข้อเสนอเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย สสร.
จะเป็นข้อเสนอที่ สว. ไม่กล้าปัดตกในรัฐสภา
ก็ต่อเมื่อเรามีผลประชามติมายืนยันว่าข้อเสนอดังกล่าวเป็นข้อเสนอพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ต้องการ
-
พ.ย. 2565 : ญัตติให้จัดประชามติดังกล่าว
ได้รับความเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์จากสภาผู้แทนราษฎร (เห็นด้วย 324 ราย / ไม่เห็นด้วย 0 ราย / งดออกเสียง 1 ราย) ซึ่งได้รับความเห็นชอบจาก สส. จากทุกพรรคหลักที่เข้าประชุม ณ วันนั้น
และร่วมรัฐบาล ณ เวลานี้ (เพื่อไทย / พลังประชารัฐ / ภูมิใจไทย)
-
ก.พ. 2566 : ญัตติดังกล่าวถูกปัดตกในชั้นวุฒิสภา
โดยเหตุผลส่วนหนึ่งที่หยิบยกมาคือข้อกังวลในเชิงปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดประชามติในวันเดียวกับวันเลือกตั้ง
-
วันนี้ : ครม. มีอำนาจผ่าน พ.ร.บ. ประชามติ 2564 มาตรา 9(2) ที่จะออกมติให้จัดประชามติได้โดยไม่ต้องอาศัยเสียงของ
สว. และนับหนึ่งสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย สสร.
ซึ่งเป็นแนวทางที่ทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยเคยหาเสียงไว้ก่อนเลือกตั้ง
เคยเห็นตรงกันในคณะทำงาน 8 พรรค
(สมัยที่จะยังตั้งรัฐบาลด้วยกัน)
และถูกย้ำโดยพรรคเพื่อไทยอีกครั้งหลังเลือกตั้งในวันที่พรรคเพื่อไทยแยกทางกับพรรคก้าวไกลเพื่อไปจัดตั้งรัฐบาลปัจจุบัน
พริษฐ์กล่าวว่า
ที่จำเป็นต้องย้อนรายละเอียดทั้งหมด
ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าเรื่องนี้ถูกพิจารณาถกเถียงกันมายาวนานหลายปีโดยทุกฝ่ายทางการเมืองมีส่วนร่วมมาโดยตลอด
-
ตอนนี้เหลือเพียงการตัดสินใจของ ครม. ว่าจะเดินหน้าต่ออย่างไร
ดังนั้น
ผมจึงมีความกังวล
ว่าการตั้งคณะกรรมการศึกษาขึ้นมาอีกชุดจะไม่ได้นำไปสู่การที่เราได้รับทราบมุมมองอะไรที่เพิ่มเติมอย่างมีนัยสำคัญจากที่เคยถูกแสดงมาหมดแล้ว
แต่อาจมีวัตถุประสงค์ของการ “ยื้อเวลา-ย้อนหลักการ-ยอมต่ออำนาจเดิม”
โดยหากรัฐบาลต้องการยืนยันว่าข้อกังวลผมไม่เป็นจริง ผมมีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล
ว่าสามารถชี้แจงรายละเอียดอะไรเพิ่มเติมได้บ้างเพื่อคลายข้อกังวลดังกล่าวที่ผมมี
(และประชาชนบางส่วนอาจมีเช่นกัน)
1.
ยื้อเวลา
-
ข้อกังวล: ในเมื่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย สสร.
อาจต้องอาศัยกระบวนการที่ประชาชนต้องเข้าคูหาถึง 4 ครั้ง
(ประชามติ #1 + ประชามติ #2 + เลือกตั้ง
สสร. + ประชามติ #3) ซึ่งอาจใช้เวลารวมกันถึง 2-3 ปีขึ้นไป กว่าจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และ พรป. ฉบับใหม่ บังคับใช้
การติดกระดุมเม็ดแรกผ่านการจัดทำประชามติ #1 โดยเร็ว
จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน
เพื่อลดความเสี่ยงที่รัฐบาลจะไม่สามารถดำเนินการให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้เสร็จก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป
-
ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล (เพื่อคลายข้อกังวล):
รัฐบาลควรชี้แจงถึงกรอบระยะเวลาการทำงานของคณะกรรมการศึกษานี้
ว่าจะได้ข้อสรุปภายในเมื่อไหร่
2.
ย้อนหลักการ
-
ข้อกังวล: คณะกรรมการศึกษาชุดนี้
อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือและข้ออ้างในการย้อนหลักการสำคัญที่เคยได้ข้อสรุปร่วมกันมาก่อนแล้ว
ไม่ว่าจะเป็น (1) จุดยืนเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
(ที่ไม่ใช่แค่แก้ไขรายมาตรา) และ (2) จุดยืนเรื่องการจัดทำฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่ควรมาจากการเลือกตั้ง
(ที่ไม่ใช่การจัดทำโดย สสร. ที่มีส่วนผสมของการแต่งตั้ง หรือโดยรัฐสภาเองที่ ⅓
ประกอบไปด้วย สว. แต่งตั้ง)
-
ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล (เพื่อคลายข้อกังวล): รัฐบาลควรระบุให้ชัดถึง
“กรอบ” (scope) การทำงานของคณะกรรมการศึกษา
ว่าจะเป็นเพียงการศึกษาในประเด็นรายละเอียดและการนำเสนอทางเลือกต่างๆ ที่ไม่ขัดต่อ
2 หลักการสำคัญที่เคยได้ข้อสรุปร่วมกันไปแล้ว (ร่างฉบับใหม่
& โดย สสร.เลือกตั้ง)
3.
ยอมต่ออำนาจเดิม
-
ข้อกังวล: การตั้งคณะกรรมการศึกษาชุดนี้
อาจเป็นการเปิดช่องให้เครือข่ายอำนาจเดิมที่มีผลงานในการขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เข้ามาแทรกแซงและสกัดกั้นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย
- ข้อสังเกตที่น่ากังวลคือการออกมารับลูกโดย สว. ท่านหนึ่งที่เห็นชอบกับแนวทางการตั้งคณะกรรมการศึกษาของรัฐบาล
และพยายามชี้นำไม่ให้องค์ประกอบของคณะกรรมการดังกล่าวมีสัดส่วนของ
“กลุ่มที่เห็นต่าง”
ซึ่งอาจสอดคล้องกับคำเตือนที่ผมได้อภิปรายในรัฐสภาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
ว่าอาจมีความพยายามของกลุ่มอำนาจเดิม ที่จะ “ล็อกสเปก” รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
(หากมีการจัดทำใหม่) ผ่านการล็อกสเปกตั้งแต่คนที่จะมาจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่
หรือแม้กระทั่งย้อนมาถึงการล็อกสเปก “คณะกรรมการศึกษาฯ” ชุดนี้
-
ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล (เพื่อคลายข้อกังวล):
รัฐบาลควรระบุให้ชัดถึงองค์ประกอบและกระบวนการทำงานของคณะกรรมการศึกษาชุดนี้
เพื่อให้ความมั่นใจว่าความเห็นที่ถูกรับฟังจะเป็นความเห็นที่รอบด้านและเป็นไปตามสัดส่วนของความเห็นที่มีอยู่ในสังคมจริงๆ
พรรคก้าวไกลยังคงยืนยันว่า
หากไม่อยากให้มีการยื้อเวลา ย้อนหลักการ หรือยอมต่ออำนาเดิม
ทางออกที่เรียบง่ายที่สุดคือการที่ ครม.
ออกมติให้เดินหน้าจัดทำประชามติเพื่อสอบถามประชาชนว่าเห็นด้วยหรือไม่กับหลักการของการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย
สสร. เลือกตั้ง เพราะหากประชาชนทั่วประเทศเห็นชอบอย่างท่วมท้น
ผลประชามติและเจตจำนงของประชาชนจะเป็นอาวุธที่สำคัญและชอบธรรมที่สุด
ในการฝ่าฟันแรงเสียดทานจากเครือข่ายอำนาจเดิมและเดินหน้าสู่การมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย