‘พริษฐ์’ ย้อน ‘เศรษฐา’ จุดยืนเรื่องรัฐธรรมนูญ-กระจายอำนาจ
เปลี่ยนไปหลังเป็นนายกฯ เตือนอาจถูกจดจำเป็น ‘รัฐบาลเศษส่วน’
ทำได้แค่เสี้ยวเดียวจากคำสัญญา ไม่ยอมให้รัฐเปลี่ยนแปลงตามที่ประชาชนคาดหวัง
วันที่
12 กันยายน 2566 พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ
พรรคก้าวไกล อภิปรายในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา โดยเฉพาะต่อนโยบายทางการเมือง
และการแก้รัฐธรรมนูญ โดยระบุว่าตลอดเวลา 120 วัน
ที่ผ่านมานับตั้งแต่วันเลือกตั้ง ตนเชื่อว่าคำถามหนึ่งในใจของประชาชนหลายคน คือคำถามที่ว่าอำนาจสูงสุดในประเทศนี้เป็นของใคร
ซึ่งจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ที่นำมาสู่การจัดตั้งรัฐบาลพิเศษครั้งนี้
ตนขอทำนายว่าแม้เราจะมีรัฐบาลใหม่ที่ไม่ได้นำโดยหัวหน้าคณะรัฐประหารแล้ว
แต่รัฐบาลใหม่นี้จะยังคงไม่ยอมให้อำนาจสูงสุดในประเทศเป็นของประชาชน
เพราะเมื่อเปิดอ่านคำแถลงนโยบายของรัฐบาลและวิเคราะห์ทั้งคำพูดที่อยู่ในเอกสารและที่ตกหล่นขาดหายไป
จะเห็นได้ชัดถึงอาการที่ตนขอเรียกว่า “รัฐที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง”
ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญที่ดูแล้วรัฐบาลคงจะไม่ยอมให้ประชาชนทั่วประเทศมีอำนาจขีดเขียนขึ้นมาใหม่ทั้งฉบับ
หรือรัฐราชการที่คงไม่ยอมให้เกิดการกระจายอำนาจมาสู่ประชาชนในแต่ละพื้นที่
พริษฐ์กล่าวต่อไป
ว่าสำหรับเรื่องรัฐธรรมนูญ พรรคก้าวไกลยืนยันมาตลอดว่ารัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มีปัญหาทั้งที่มา
กระบวนการ และเนื้อหา ที่ขาดความชอบธรรมทางประชาธิปไตย
โดยความจริงทุกฝ่ายเคยได้ข้อสรุปร่วมกันมาแล้วว่าประเทศนี้ควรต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
- หากย้อนไปเมื่อเดือน พ.ย. 2563 พวกเราทุกฝ่ายในรัฐสภาแห่งนี้ได้ร่วมกันลงมติกันอย่างท่วมท้น
ด้วยคะแนนเห็นชอบถึง 88% ของสมาชิกรัฐสภา
เพื่อรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ดังนั้น เป้าหมายของรัฐบาลนี้
จึงไม่ควรเป็นอะไรที่ซับซ้อนไปกว่าการเดินหน้าสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
ที่มีที่มา กระบวนการ และเนื้อหา ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย
แต่หากนำเอานโยบายแก้รัฐธรรมนูญที่นายเศรษฐาและพรรคเพื่อไทยได้เคยหาเสียงไว้
อ้างอิงจากเอกสารที่พรรคเพื่อไทยส่งให้ กกต. ก่อนเลือกตั้ง
มาเทียบกับนโยบายแก้รัฐธรรมนูญของรัฐบาล ที่ปรากฎอยู่ทั้งหมด 7 บรรทัด
94 คำ ในเอกสารคำแถลงนโยบาย
จะเห็นได้ว่าจุดยืนและนโยบายของนายเศรษฐาและนายกรัฐมนตรีเศรษฐา
ต่างกันราวฟ้ากับเหวในอย่างน้อยใน 4 คำถาม คือ
1)
รัฐบาลจะสนับสนุนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
เพราะเมื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรีเศรษฐาแล้ว ท่านบอกแต่เพียงว่าจะ “หารือแนวทาง”
ในการจัดทำรัฐธรรมนูญเท่านั้น ดังนั้น ตนจึงต้องทวงถามนายกรัฐมนตรีตรงๆ
ว่าจะยังสนับสนุนให้มีการจัดทำรัฐธณรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ หรือเมื่อท่านได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญ
2560 ที่ทำให้ท่านได้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้
จุดยืนของท่านเลยเปลี่ยนแปลงไป?
2)
รัฐบาลจะให้ใครจะมาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
สมัยเป็นนายเศรษฐาท่านยืนยันชัดเจนว่าจะให้สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)
ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมาจัดทำ แต่พอมาช่วงหลังๆ
ท่านกลับเริ่มเงียบต่อคำถามที่สังคมมีต่อรูปแบบของ สสร.
ทำให้ตนเริ่มกังวลว่าท่านจะกลับลำจากรูปแบบ สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
มาเป็นรูปแบบ สสร. ที่มีส่วนผสมของการแต่งตั้ง
เพื่อเปิดช่องให้เครือข่ายอำนาจเดิมที่สนับสนุนรัฐบาลนี้และรัฐบาลก่อนหน้า
เข้ามาแทรกแซง ควบคุม และล็อกสเปก สสร. หรือไม่
ซึ่งก็จะนำไปสู่การล็อกสเปกเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้ไม่มีอะไรที่ก้าวหน้ากว่าหรือแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันด้วย
และเมื่อมาถึงวันนี้
ตนก็เริ่มกังวลมากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว เพราะในคำแถลงนโยบายของรัฐบาล
ไม่มีการเขียนคำว่า “สสร.” ให้ปรากฎแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้น
ตนจึงต้องทวงถามว่าตกลงนายกรัฐมนตรีจะยังให้มี สสร.
มาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อยู่หรือไม่ หรือจะปล่อยให้อำนาจในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตกเป็นของรัฐสภาแห่งนี้
ที่หนึ่งในสามประกอบไปด้วย สว. จากการแต่งตั้ง
ที่มีผลงานในการขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญแทบทุกครั้งตลอด 4 ปีที่ผ่านมา?
3)
รัฐบาลจะล็อกเนื้อหาอะไรบ้างในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สมัยเป็นนายเศรษฐา
ท่านพร้อมจะให้เกียรติประชาชนและเปิดกว้างต่อทุกความฝัน ด้วยการให้อำนาจ สสร.
ไปถกเถียงและพิจารณาเนื้อหาใหม่ทั้งฉบับ โดยมีเงื่อนไขข้อเดียวที่ล็อกไว้
คือรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ซึ่งแม้ท่านไม่เขียนไว้ ก็จะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วตามมาตรา 255 ของรัฐธรรมนูญ 2560
แต่พอมาเป็นนายกฯ
เศรษฐา ท่านกลับไปเพิ่มเงื่อนไข จากเดิมที่ท่านล็อกแค่เรื่องรูปแบบการปกครอง ตอนนี้ท่านล็อกให้ไม่มีการแก้อะไรสักคำในหมวด
1 (บททั่วไป) และหมวด 2 (พระมหากษัตริย์)
วันนี้เราคงไม่มีเวลาถกกันในรายละเอียดว่า
19 มาตราในหมวดพระมหากษัตริย์
มีส่วนไหนบ้างที่อาจปรับปรุงให้ดีขึ้นได้โดยไม่กระทบรูปแบบการปกครอง
แต่ตนคิดว่านายกรัฐมนตรีกำลังกังวลเกินเหตุ เพราะการแก้ไขข้อความในหมวด 1 และหมวด 2 ไม่ได้เท่ากับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง
และทุกครั้งที่มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ทั้งในปี 2540, 2550 และ 2560 เนื้อหาในหมวด 1 และหมวด
2 ก็ถูกปรับปรุงแก้ไขมาโดยตลอด
แต่สิ่งที่อันตรายกว่านั้น
คือความกังวลเกินเหตุของนายกรัฐมนตรี
อาจหวนกลับมามากระทบระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเสียเอง
เพราะหากมีประชาชนอยากปรับปรุงเนื้อหาบางส่วนในหมวดพระมหากษัตริย์
โดยที่ไม่กระทบรูปแบบการปกครอง การล็อกไม่ให้แม้แต่จะพูดถึงได้ด้วยเหตุและผล
ในพื้นที่ที่ควรปลอดภัยอย่าง สสร. อาจจะยิ่งทำให้คำถามในใจของเขาดังขึ้น
ว่าตกลงอำนาจสูงสุดในประเทศนี้เป็นของใคร
หรือหากวันหนึ่งในระหว่างที่
สสร. กำลังร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คนที่อยากแก้ไขเนื้อหาในหมวด 1 และ 2
กลับไม่ใช่ประชาชนทั่วไป นายกรัฐมนตรีจะทำอย่างไร
จะยืนยันอย่างแข็งขันกลับไปกับบุคคลท่านนั้นว่าแก้ไขไม่ได้
หรือจะยอมทำตามความประสงค์ของบุคคลดังกล่าว โดยอาศัยกระบวนการนอกรัฐธรรมนูญ
เหมือนกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ เคยถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560
หลังจากผ่านประชามติปี 2559 ไปแล้ว
จนทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ที่กระทบไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาจนถึงทุกวันนี้
4)
รัฐบาลจะเริ่มดำเนินการการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร สมัยเป็นนายเศรษฐา
พรรคเพื่อไทยเคยแถลงไว้อย่างชัดเจน ว่าในการประชุม ครม. นัดแรก
จะมีการออกมติให้มีการเดินหน้าจัดทำประชามติ
เพื่อนับหนึ่งการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทันที แต่พอมาเป็นนายกรัฐมนตรีเศรษฐา
แม้จะบอกว่าเรื่องรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องเร่งด่วน
แต่ในเอกสารกลับไม่มีความชัดเจนว่าท่านจะดำเนินการอย่างไร นอกจากข้อความว่าท่านจะ
“หารือแนวทางในการทำประชามติ”
“ท่านยืนยันได้ไหมครับ ในการประชุม ครม.
นัดแรกที่จะเกิดขึ้นในเช้าวันพรุ่งนี้
พวกท่านจะมีมติออกมาเพื่อให้เดินหน้าในการจัดทำประชามติ
และนับหนึ่งสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
และท่านยืนยันได้ไหมว่าคำถามที่ท่านจะใช้ในประชามติ
จะเป็นคำถามที่ยืนยันหลักการเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ และ สสร.
ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน” พริษฐ์กล่าว
พริษฐ์ยังกล่าวต่อไป
ว่าหากกล่าวโดยสรุปเรื่องนโยบายรัฐธรรมนูญ ในขณะที่นโยบายของนายเศรษฐา
ทั้งชัดเจนและตรงจุด
แต่นโยบายของนายกรัฐมนตรีเศรษฐากลับหาความชัดเจนไม่ได้แม้แต่เรื่องเดียว
แต่ในเมื่อท่านไม่ลุกขึ้นมายืนยันจุดยืนเดิมที่นายเศรษฐาเคยประกาศไว้ ตนก็ขออนุญาตไม่เชื่อว่านายกรัฐมนตรีเศรษฐาจะนำพาเราไปสู่เป้าหมายของการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยได้
ไม่น่าเชื่อว่าการเติม
“ก.ไก่” แค่ตัวเดียวจาก “นายเศรษฐา” เป็น “นายกฯเศรษฐา”
จะทำให้จุดยืนท่านเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ซึ่งสำหรับตนแล้ว “ก.” ที่เพิ่มขึ้นมานี้
ย่อมาจากคำว่า “กลัว” และ คำว่า “เกรงใจ”
ที่อธิบายถึงความรู้สึกที่ท่านมีต่อพรรคร่วมและเครือข่ายที่ทำให้ท่านได้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้
จนไม่กล้าผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชนตามที่เคยได้ให้สัจจะไว้
พริษฐ์อภิปรายต่อไป
ในประเด็นเรื่องรัฐราชการรวมศูนย์และการกระจายอำนาจ
โดยระบุว่าหากไปดูเอกสารนโยบายรัฐบาลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจ
จะเห็นว่านอกจากคำพูดกว้างๆ
ที่ไม่สัญญาอะไรที่เป็นรูปธรรมหรือเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว
สิ่งเดียวที่ดูจะจับต้องได้คือคำยืนยันว่าท่านจะเดินหน้านโยบายที่เรียกว่า “ผู้ว่า
CEO”
หาก
“ผู้ว่า CEO”
นี้คือการรื้อฟื้นแนวคิดจากสมัยรัฐบาลเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
ตนก็ต้องตั้งคำถามว่ารัฐบาลนี้จะจริงจังและจริงใจแค่ไหนในการผลักดันวาระการกระจายอำนาจ
เพราะในมุมหนึ่งผู้ว่า CEO เป็นแนวคิดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจหรือการทำให้ประชาชนอยู่ในสมการของการคัดเลือกหรือตรวจสอบผู้ว่าราชการจังหวัดได้เลย
และหากมองโลกในแง่ร้าย นโยบายผู้ว่า CEO นี้
กลับถูกหยิบยกมาเป็นเหตุผลและข้ออ้างในการเพิ่มความชอบธรรมให้มีการรวมศูนย์อำนาจที่ส่วนกลางมากกว่าเดิม
หัวใจของการกระจายอำนาจคือการทำให้ประชาชนในทุกพื้นที่มีอำนาจและทรัพยากรเพียงพอในการกำหนดอนาคตตนเอง
ที่อาจแบ่งออกได้เป็น 3
องค์ประกอบหลักๆ ซึ่งนโยบายผู้ว่า CEO ไม่ได้ตอบโจทย์สักข้อ
อันได้แก่
1)
หลักการที่ว่าผู้บริหารสูงสุดในแต่ละพื้นที่ควรมาจากการเลือกตั้งของประชาชนในพื้นที่
เพราะต้องยอมรับว่าปัจจุบันผู้บริหารสูงสุดของแต่ละจังหวัดในประเทศไทยยังไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
เพราะแม้ประชาชนจะมีสิทธิในการเลือกตั้งนายก อบจ. แต่ผู้บริหารสูงสุดในแต่ละจังหวัด
กลับยังเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการแต่งตั้งจากส่วนกลาง
การที่รัฐบาลเลือกจะทำนโยบาย ผู้ว่า CEO จึงเป็นการยืนยันว่าท่านไม่ได้เชื่อว่าผู้บริหารสูงสุดในแต่ละจังหวัด
ควรมาจากการเลือกตั้ง
เพราะแนวคิดเดิมเรื่อง
ผู้ว่า CEO
ไม่ได้เป็นแนวคิด
ที่จะทำให้ผู้บริหารต้องยึดโยงหรือรับผิดรับชอบกับประชาชนในพื้นที่ผ่านคูหาเลือกตั้ง
แต่เป็นเพียงแนวคิดที่จะกระชับอำนาจและปรับรูปแบบการทำงานของผู้ว่าราชการจังหวัดที่ยังคงมาจากการแต่งตั้งเหมือนเดิม
พริษฐ์ยังกล่าวต่อไป
ว่านอกจากนโยบายผู้ว่า CEO
จะไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องการกระจายอำนาจแล้ว ตนต้องถามต่อว่า
นโยบายผู้ว่า CEO นี้ได้มาแทนที่นโยบาย “เลือกตั้งผู้ว่าฯ
ในจังหวัดที่พร้อม” ที่พรรคเพื่อไทยเคยหาเสียงไว้แล้วหรือไม่
ถ้าท่านบอกว่าจะไม่ทำแล้วเพราะจังหวัดไม่พร้อม ตนว่าฟังไม่ขึ้น
เพราะความเป็นจริงวันนี้ประชาชนพร้อมมากแล้วที่จะให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด
แต่นายกรัฐมนตรีเองต่างหากที่ไม่พร้อมจะสู้กับพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อปกป้องนโยบายของพรรคตนเอง
2)
การเพิ่มอำนาจให้ท้องถิ่นในการแก้ไขปัญหาของประชาชนในพื้นที่
แม้ท่านยังคงจะยืนยันให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมาจากการแต่งตั้ง
แต่ท่านพร้อมแค่ไหนที่จะโอนถ่ายอำนาจจากส่วนกลางมาให้ท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
นายกรัฐมนตรีพร้อมหรือไม่
ที่จะลงนามรับรองร่างแก้ไข พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ
ที่พรรคก้าวไกลเสนอและตอนนี้รอเพียงแค่การลงนามของท่าน
ให้ร่างนั้นได้กลับเข้ามาสู่สภาแห่งนี้
เพื่อมาถกกันถึงเรื่องการเพิ่มอำนาจท้องถิ่นในการจัดทำบริการสาธารณะในพื้นที่ และพร้อมหรือไม่ที่จะประกาศเป้าหมายให้ชัดเจน
ว่าจะเร่งถ่ายโอนภารกิจที่ยังติดค้างกับท้องถิ่น เช่น รพ.สต.
ให้สำเร็จหมดภายในเมื่อไหร่
“แต่ถ้าท่านยังไม่พร้อมที่จะยืนยันในรัฐสภาแห่งนี้ว่าท่านจะเพิ่มอำนาจให้กับท้องถิ่น
อย่างน้อยท่านยืนยันได้ไหม ว่าการที่ท่านไปเจิมผู้ว่าฯ ทั่วประเทศด้วยตำแหน่งเท่ๆ
อย่างผู้ว่า CEO จะเป็นเพียงการจัดสรรอำนาจภายในราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
โดยไม่มาลดทอนกระทบความเป็นอิสระขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้งของพี่น้องประชาชน”
พริษฐ์กล่าว
3)
การเพิ่มงบประมาณให้ท้องถิ่นในการแก้ไขปัญหาประชาชนในพื้นที่
แม้รัฐบาลเคยตั้งเป้าหมายตั้งแต่ปี 2542 ว่าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ท้องถิ่นต่อรายได้สุทธิของรัฐบาลให้เป็น
35% ภายในปี 2549 แต่ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา เป้าหมายนี้ก็ถูกลดทอนลงมาอย่างต่อเนื่อง
จนตัวเลขยังค้างอยู่แค่เพียง 29%
ดังนั้น
ท่านพร้อมแค่ไหนที่จะโอนถ่ายงบประมาณจากส่วนกลางมาให้ท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
รายได้ที่ท้องถิ่นต้องสูญเสียกว่า 7 หมื่นล้านบาทจากมาตรการลดภาษีที่ดินของรัฐบาลช่วงโควิดจะจ่ายคืนให้ทั้งหมดเมื่อไหร่
นโยบายภาษีบ้านเกิดเมืองนอน
ที่เคยประกาศช่วงเลือกตั้งว่าจะให้ประชาชนมีสิทธิเลือกส่ง 30% ของภาษีที่ต้องจ่ายกลับไปที่ท้องถิ่นตนเองจะเริ่มทำเมื่อไหร่
และท่านจะป้องกันความเหลื่อมล้ำระหว่างท้องถิ่นอย่างไร
เป้าหมายสัดส่วนรายได้ท้องถิ่น 35% ที่เคยถูกตั้งไว้เมื่อ 20
ปีที่แล้ว ท่านจะทำให้สำเร็จภายใต้รัฐบาลชุดนี้หรือไม่
“แม้ท่านยังไม่พร้อมจะยืนยันในรัฐสภาแห่งนี้ว่าจะเพิ่มงบประมาณให้ท้องถิ่น
อย่างน้อยท่านช่วยยืนยันได้ไหมว่างบประมาณที่จะประเคนให้ผู้ว่า CEO ไม่ว่าจะโดยตรงหรือผ่านการเพิ่มงบจังหวัดหรืองบกลุ่มจังหวัด
ท่านจะไม่ไปดึงมาจากกระเป๋าของท้องถิ่นที่ก็มีอยู่น้อยนิดอยู่แล้ว
จนเป็นการลดงบประมาณที่ท้องถิ่นมีในการแก้ไขปัญหาของประชาชนในพื้นที่” พริษฐ์กล่าว
พริษฐ์กล่าวต่อไป
ว่าตนยังจำได้ว่านายกรัฐมนตรีเคยให้สัมภาษณ์ว่าท่านต้องการเป็น
“นายกรัฐมนตรีแห่งการเปลี่ยนแปลง” แต่จากนโยบายเรื่องรัฐธรรมนูญและการกระจายอำนาจ
ตนคิดว่าวันนี้ท่านเป็นได้แค่ “นายกรัฐมนตรีแห่งจุดยืนที่เปลี่ยนแปลงไป”
ทั้งจากคำสัญญาว่าจะ “จัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ” ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่การ
“หารือแนวทางในการจัดทำรัฐธรรมนูญ” จากคำสัญญว่าจะ
“เลือกตั้งผู้ว่าในจังหวัดนำร่อง” ตอนก็นี้เหลือเพียงแค่การ “ฟื้นคืนชีพผู้ว่า CEO”
มาถึงวันนี้
ตนยังเชื่อว่าลึกๆ
ท่านก็ยังอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงตามที่ท่านเคยสัญญาไว้กับประชาชน แต่ ณ
วินาทีที่ท่านเลือก “เทหมดหน้าตัก”
แลกทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
สิ่งที่ท่านได้แถมกลับมาด้วยคือกรงขังและโซ่ตรวนที่มาล้อมตัวท่าน และที่ไม่อนุญาตให้ท่านเปลี่ยนโครงสร้างการเมืองให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน
“ดังนั้น หากท่านยังอยากเป็น ‘นายกฯแห่งการเปลี่ยนแปลง’ ตามที่ท่านใฝ่ฝัน
ผมคิดว่าท่านต้องแสดงความกล้าหาญกว่านี้ในการผลักดันวาระทางการเมืองและประชาธิปไตย
แม้วาระเหล่านั้นอาจจะขัดกับผลประโยชน์ของพรรคร่วมรัฐบาลหรือเครือข่ายอำนาจเดิม
ที่อยู่เบื้องหลังการเข้าสู่อำนาจของท่าน แต่หากหลังจากวันนี้
ท่านยังเลือกที่จะนิ่งเฉย และเดินตามเพียงแค่ถ้อยคำในคำแถลงนโยบายฉบับนี้
ผมเกรงว่าประชาชนจะไม่จดจำรัฐบาลนี้ว่าเป็น ‘รัฐบาลเศรษฐา’
แต่เขาจะจดจำว่ารัฐบาลนี้เป็น ‘รัฐบาลเศษส่วน’
ที่ทำได้เพียงแค่เสี้ยวเดียวจากสิ่งที่ท่านนายกฯ เคยสัญญากับประชาชน
และที่ไม่ยอมให้รัฐมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ตามที่ประชาชนต้องการและถวิลหา”
พริษฐ์กล่าวทิ้งท้าย
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ประชุมสภา