วันพุธที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2566

“หมอหวาย” ชี้! ถ้ารัฐบาลต้องการให้ประชาชนมีลูกมาก ก็ต้องลงทุนเยอะ

 


“หมอหวาย” ชี้! ถ้ารัฐบาลต้องการให้ประชาชนมีลูกมาก ก็ต้องลงทุนเยอะ


วานนี้ (12 กันยายน 2566) จากกรณีที่นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวในที่ประชุมร่วมรัฐสภาถึงนโยบายของรัฐบาลในการผลักดันการเพิ่มประชากรเป็นวาระชาติ และยังระบุด้วยว่า คนยุคนี้ทัศนะบิดเบี้ยว แต่งงานปุ๊บ บังคับสามีทำหมัน นั้น


ต่อมา นพ.สลักธรรม โตจิราการ ได้โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็นต่อประเด็นดังกล่าว ความว่า


กรณีอาจารย์ชลน่านกังวลเรื่องว่าคนไม่อยากมีลูกจนต้องไปทำหมัน ผมว่าปัญหาอยู่ที่พอมีลูกซัก 1 คนในไทย หากต้องการเลี้ยงให้ดีมีต้นทุนสูงมาก ถ้าอยากให้คนมีลูกเพิ่มขึ้น รัฐบาลจะกล้าลงทุนเพื่อให้คนมีลูกมากขึ้นไหม ยกตัวอย่างเช่น


1) เพิ่มค่าแรงและเงินเดือน คนจะได้มีเงินมาเลี้ยงลูกได้มากขึ้น มีเงินมาซื้อสิ่งของต่าง ๆ เช่นหนังสือเด็ก ผ้าอ้อม ชุดเด็กได้มากขึ้น มีเงินสำรองตอนหยุดทำงานเลี้ยงลูกได้มากขึ้น

2) ให้แม่และ/หรือพ่อทั้งในภาครัฐและเอกชนหยุดงานแบบมีเงินเดือนได้ 1 ปี คือจนลูกเข้าเนอเซอรี่ได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องส่งไปต่างจังหวัดให้ปู่ย่าตายายที่ไม่แข็งแรงแล้วเป็นคนเลี้ยง และกรณีเอกชนควรมีสิทธิ์เอาเงินเดือนที่จ่ายให้พนักงานมาหักภาษีได้


3) เพิ่มเงินเดือนให้ครูโรงเรียนรัฐ ตั้งแต่เนอเซอรี่ไปจนถึงอาจารย์มหาวิทยาลัยเป็น 4-5 เท่าของที่เป็นตอนนี้ พร้อมกับลดงานเอกสารให้เหลือน้อยที่สุด แต่ต้องมีเกณฑ์การสอบเข้าที่เข้มงวดกว่านี้


4) ค่าเล่าเรียนถ้าเรียนโรงเรียนรัฐให้ฟรีหมด ชุดนักเรียนไม่ต้องบังคับใส่ทุกวัน รัฐจะได้ไม่ต้องเสียเงินอุดหนุนชุดนักเรียน ถ้าจะมีจริง ๆ ก็อุดหนุนชุดเดียวต่อเทอมให้เด็กเอาไว้ใส่เฉพาะงานสำคัญของโรงเรียน


5) จัดให้มีอาหารเช้าและกลางวันฟรีทุกวัน เอาแบบงบรายหัวเพียงพอจริง ๆ เช่นวันละ 100 บาทและปรับตามสภาพเศรษฐกิจ ไม่ใช่ให้แค่วันละ 20 บาทต่อคน


แน่นอนครับทั้งหมดนี้แพงมาก จึงต้องขึ้นกับรัฐว่าจะอยากให้ประชาชนมีลูกมากแค่ไหน ถ้าต้องการให้ประชาชนมีลูกมากก็ต้องลงทุนเยอะ ถ้าคิดว่าสู้ราคาไม่ไหวก็ต้องยอมรับสภาพว่าอัตราการเจริญพันธุ์ของประชากรก็จะไม่ดีนักครับ


(ปล.มีผู้ที่แชร์ไปแสดงความเห็นเพิ่มเติมเรื่องการชดเชยรายได้ให้ผู้มีบุตรที่ประกอบอาชีพอิสระ ก็น่าสนใจครับ)


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ประชุมสภา #รัฐบาลเศรษฐา1