“หมอหวาย”
ชี้! ถ้ารัฐบาลต้องการให้ประชาชนมีลูกมาก ก็ต้องลงทุนเยอะ
วานนี้
(12 กันยายน 2566) จากกรณีที่นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวในที่ประชุมร่วมรัฐสภาถึงนโยบายของรัฐบาลในการผลักดันการเพิ่มประชากรเป็นวาระชาติ
และยังระบุด้วยว่า คนยุคนี้ทัศนะบิดเบี้ยว แต่งงานปุ๊บ บังคับสามีทำหมัน นั้น
ต่อมา
นพ.สลักธรรม โตจิราการ ได้โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็นต่อประเด็นดังกล่าว ความว่า
กรณีอาจารย์ชลน่านกังวลเรื่องว่าคนไม่อยากมีลูกจนต้องไปทำหมัน
ผมว่าปัญหาอยู่ที่พอมีลูกซัก 1 คนในไทย
หากต้องการเลี้ยงให้ดีมีต้นทุนสูงมาก ถ้าอยากให้คนมีลูกเพิ่มขึ้น
รัฐบาลจะกล้าลงทุนเพื่อให้คนมีลูกมากขึ้นไหม ยกตัวอย่างเช่น
1)
เพิ่มค่าแรงและเงินเดือน คนจะได้มีเงินมาเลี้ยงลูกได้มากขึ้น
มีเงินมาซื้อสิ่งของต่าง ๆ เช่นหนังสือเด็ก ผ้าอ้อม ชุดเด็กได้มากขึ้น
มีเงินสำรองตอนหยุดทำงานเลี้ยงลูกได้มากขึ้น
2)
ให้แม่และ/หรือพ่อทั้งในภาครัฐและเอกชนหยุดงานแบบมีเงินเดือนได้ 1
ปี คือจนลูกเข้าเนอเซอรี่ได้อย่างสบายใจ
ไม่ต้องส่งไปต่างจังหวัดให้ปู่ย่าตายายที่ไม่แข็งแรงแล้วเป็นคนเลี้ยง
และกรณีเอกชนควรมีสิทธิ์เอาเงินเดือนที่จ่ายให้พนักงานมาหักภาษีได้
3)
เพิ่มเงินเดือนให้ครูโรงเรียนรัฐ ตั้งแต่เนอเซอรี่ไปจนถึงอาจารย์มหาวิทยาลัยเป็น
4-5 เท่าของที่เป็นตอนนี้
พร้อมกับลดงานเอกสารให้เหลือน้อยที่สุด แต่ต้องมีเกณฑ์การสอบเข้าที่เข้มงวดกว่านี้
4)
ค่าเล่าเรียนถ้าเรียนโรงเรียนรัฐให้ฟรีหมด
ชุดนักเรียนไม่ต้องบังคับใส่ทุกวัน รัฐจะได้ไม่ต้องเสียเงินอุดหนุนชุดนักเรียน
ถ้าจะมีจริง ๆ ก็อุดหนุนชุดเดียวต่อเทอมให้เด็กเอาไว้ใส่เฉพาะงานสำคัญของโรงเรียน
5)
จัดให้มีอาหารเช้าและกลางวันฟรีทุกวัน เอาแบบงบรายหัวเพียงพอจริง ๆ เช่นวันละ
100 บาทและปรับตามสภาพเศรษฐกิจ ไม่ใช่ให้แค่วันละ 20 บาทต่อคน
แน่นอนครับทั้งหมดนี้แพงมาก
จึงต้องขึ้นกับรัฐว่าจะอยากให้ประชาชนมีลูกมากแค่ไหน
ถ้าต้องการให้ประชาชนมีลูกมากก็ต้องลงทุนเยอะ
ถ้าคิดว่าสู้ราคาไม่ไหวก็ต้องยอมรับสภาพว่าอัตราการเจริญพันธุ์ของประชากรก็จะไม่ดีนักครับ
(ปล.มีผู้ที่แชร์ไปแสดงความเห็นเพิ่มเติมเรื่องการชดเชยรายได้ให้ผู้มีบุตรที่ประกอบอาชีพอิสระ
ก็น่าสนใจครับ)