วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2568

“นายกฯ” รับควบ รมว.วัฒนธรรม หวังผลักดัน "ซอฟต์พาวเวอร์" ยอมรับมีความกังวลหากศาล รธน.สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ หวั่นงานสะดุด

 


“นายกฯ” รับควบ รมว.วัฒนธรรม หวังผลักดัน "ซอฟต์พาวเวอร์" ยอมรับมีความกังวลหากศาล รธน.สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ หวั่นงานสะดุด 


วันที่ 30 มิ.ย. 68 เมื่อเวลา 15.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีกระแสข่าวว่านายกฯ จะนั่งเก้าอี้รมว.วัฒนธรรม (วธ.) ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรว่า คะ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ แต่ที่จะดูกระทรวงวัฒนธรรมด้วย เพราะเป็นของซอฟต์พาวเวอร์ อยากให้รู้ว่าจริง ๆ แล้วกระทรวงวัฒนธรรมไม่ใช่กระทรวงที่เป็นเกรดบี เกรดซี หรือเกรดอะไรก็ตาม แต่เป็นกระทรวงที่สำคัญมาก ๆ ที่สามารถแนะนำวัฒนธรรมของไทยได้จริง ๆ  และส่งออกซอฟต์พาวเวอร์ของเราได้จริง 


เมื่อถามว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกังวลเรื่องที่มีผู้ร้องศาลรัฐธรรมนูญปมคลิปเสียงสนทนากับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา หรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ไม่เกี่ยวเป็นอะไรที่ต้องไปเน้นเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ไปด้วยก็ถือว่าคะ ควบกระทรวงวัฒนธรรมด้วย


เมื่อถามว่า จะไปมุ่งเน้นอะไรที่กระทรวงวัฒนธรรมเป็นพิเศษ น.ส.แพทองธาร ตอบว่า จะไปดูเรื่องขั้นตอนต่าง ๆ ว่า มีอะไรที่เราสามารถผลักดันเพิ่มเติมได้ เพราะความจริงวัฒนธรรมของไทยเข้มข้นมาก และน่าผลักดันอีกเยอะ จริง ๆ ก็ควบคู่ไปกับการท่องเที่ยวและกีฬาไปด้วย


เมื่อถามว่า ในส่วนของกระทรวงกลาโหมวางใครให้เป็นรมว.กลาโหม น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เดี๋ยวรอดู เมื่อถามอีกว่ารมว. กลาโหมมีการแต่งตั้งใหม่หรือไม่ น.ส.แพทองธาร ตอบว่า ขณะนี้ทุกอย่างอยู่ในขั้นตอน รอให้จบก่อนแล้วจะได้เห็นชื่อทั้งหมด


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นายกแพทองธาร

15 องค์กรภาคประชาชน ออกแถลงการณ์เรียกร้องนายกรัฐมนตรีลาออกรับผิดชอบทางการเมือง คัดค้านอำนาจนอกระบบ ไม่เอารัฐประหาร

 


15 องค์กรภาคประชาชน ออกแถลงการณ์เรียกร้องนายกรัฐมนตรีลาออกรับผิดชอบทางการเมือง คัดค้านอำนาจนอกระบบ ไม่เอารัฐประหาร 


เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2568 เครือข่ายองค์กรประชาธิปไตยและเครือข่ายภาคประชาชน 15 องค์กร ออกแถลงการณ์ระบุว่า สืบเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างตระกูลชินวัตร ผู้นำรัฐบาลไทย และตระกูลฮุนเซน ผู้นำกัมพูชา ทั้งตามที่การเจรจาลับของนายกรัฐมนตรีไทยกับอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาถูกเปิดเผยขึ้น และที่ยังไม่มีการเปิดเผย และเกิดปัญหาความชอบธรรมทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีที่ขาดความไว้วางใจจากประชาชน ในวิกฤตการณ์ปัจจุบันที่ผูกพันกับผลประโยชน์ประเทศชาติ


เครือข่ายองค์กรประชาธิปไตยและเครือข่ายภาคประชาชน ตามรายชื่อด้านท้ายนี้ ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบตามหลักการประชาธิปไตยและวัฒนธรรมการเมืองในประเทศอารยะ โดยมีข้อเรียกร้อง


1. ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง เนื่องจากเป็นความผิดเฉพาะบุคคล เพื่อรับผิดชอบการกระทำของตนเอง สร้างมาตรฐานความรับผิดทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นทางออกที่ดีที่สุดและเปิดให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย


2. ขอคัดค้านอำนาจนอกระบบทุกรูปแบบในการแก้ไขปัญหา รวมทั้งการรัฐประหารโดยผู้นำกองทัพหรือกลุ่มบุคคลใดๆ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจะนำไปสู่ความล้มเหลวซ้ำซากของประเทศไทย และขาดเสถียรภาพทางการเมืองที่จะสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาคมโลก


3. ขอเรียกร้องให้รัฐบาลและรัฐสภา ดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ที่เป็นปัญหาและอุปสรรคในการแก้ปัญหาทางการเมืองโดยทันที เพื่อนำไปสู่การการเปลี่ยนแปลงตามครรลองประชาธิปไตย และการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยโดยประชาชน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้อย่างสง่างาม


เชื่อมั่นในประชาธิปไตย และสิทธิเสรีภาพของประชาชน


คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.)

เครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น (คปต.)

เครือข่ายศิลปินเพื่อประชาธิปไตย

เครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ

เครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ

เครือข่ายสังคมนิยมประชาธิปไตย

มูลนิธิสันติภาพและวัฒนธรรม

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF)

มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.)

สถาบันจิตร ภูมิศักดิ์

สถาบันสังคมประชาธิปไตย

สมาพันธ์คนงานรถไฟไทย

สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.)

สมาคมเครือข่ายช่วยเหลือทางกฎหมายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEALaw)

องค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (P-Net)


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ไม่เอารัฐประหาร #คัดค้านอำนาจนอกระบบ

‘เลขาฯ พรรคประชาชน’ แจ้งสมาชิกพรรคแนวปฏิบัติ และอุดมการณ์ ห้ามข้ามเส้นประชาธิปไตยหนุนรัฐประหาร ย้ำจุดยืนพรรคใช้กลไกรัฐสภาแก้ปัญหาประเทศ-ยุบสภาคืนอำนาจตัดสินใจให้ประชาชน

 


เลขาฯ พรรคประชาชน’ แจ้งสมาชิกพรรคแนวปฏิบัติ และอุดมการณ์ ห้ามข้ามเส้นประชาธิปไตยหนุนรัฐประหาร ย้ำจุดยืนพรรคใช้กลไกรัฐสภาแก้ปัญหาประเทศ-ยุบสภาคืนอำนาจตัดสินใจให้ประชาชน


เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เฟซบุ๊กพรรคประชาชน โพสต์ข้อความระบุว่า นายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน ออกหนังสือเวียนถึงสมาชิกพรรคทุกท่าน


สืบเนื่องจากสถานการณ์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา และสถานการณ์ทางการเมืองและการชุมนุมที่เกี่ยวเนื่องกัน จึงขอสื่อสารเน้นย้ำไปยังสมาชิกพรรคทุกท่าน เพื่อกำชับให้ทราบและปฏิบัติตนสอดคล้องกับจุดยืนทางอุดมการณ์และแนวนโยบายพรรค โดยแบ่งเป็น 3 หัวข้อหลัก ดังนี้


ปกป้องสิทธิเสรีภาพตามครรลอง” : สมาชิกพรรคจะต้องปกป้องและยืนยันสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนตามครรลองประชาธิปไตย ได้แก่


1. ยืนยันสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล กองทัพ พรรคการเมือง ผู้แทนราษฎร ฯลฯ นั้นสามารถกระทำได้

2. ข้อเสนอให้นายกรัฐมนตรีลาออกหรือยุบสภา ถือเป็นข้อเสนอที่อยู่ในครรลองประชาธิปไตย

3. การชุมนุมของประชาชนถือเป็นสิทธิเสรีภาพพื้นฐานในการแสดงออก


ต้องห้ามข้ามเส้น” : สมาชิกพรรคต้องไม่สื่อสาร หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นการสนับสนุนสิ่งที่ขัดต่อจุดยืนทางอุดมการณ์และแนวนโยบายพรรค ได้แก่


1. ต้องไม่สื่อสาร หรือเข้าร่วมกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เกิดการยึดอำนาจ รัฐประหาร ซึ่งขัดหลักการประชาธิปไตย ผิดกฎหมาย และขัดรัฐธรรมนูญ

2. ต้องไม่สื่อสารกระทบต่อหลักการรัฐบาลพลเรือนอยู่เหนือกองทัพ อันถือเป็นหลักการรากฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตย


เน้นย้ำจุดยืนข้อเสนอพรรค” : เดินหน้าใช้กลไกรัฐสภาในการแก้ไขปัญหาประเทศ พร้อมกันนั้นก็เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียุบสภา คืนอำนาจตัดสินใจให้ประชาชนกำหนดทิศทางประเทศ


หวังว่าสมาชิกพรรคทุกท่านจะเป็นส่วนสำคัญในการธำรงและส่งเสริมประชาธิปไตยในประเทศไทยให้เจริญงอกงามต่อไป


ศรายุทธิ์ ใจหลัก

เลขาธิการพรรคประชาชน

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #ไม่เอารัฐประหาร #ยุบสภา

อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ประเด็น : จับสัญญาณ การชุมนุมไล่นายกฯ ในรายการ TODAY LIVE ออกอากาศเมื่อ 26 มิ.ย. 68

 


อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ประเด็น : จับสัญญาณ การชุมนุมไล่นายกฯ ในรายการ TODAY LIVE


จับสัญญาณการเมืองนายกรัฐมนตรี เดินหน้าต่อ ไม่ยุบสภาหรือลาออก ต้องเผชิญนิติสงคราม และ การชุมนุมขับไล่ นอกจากนั้นยังเสียอำนาจในการบริหารจัดการชายแดน ให้กองทัพ แบบเต็มรูปแบบ หลังจากคลิปเสียง รัฐบาลจะเดินหน้าถึงไหน

 

[ถอดเทป] อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ในรายการ TODAY Live

ออกอากาศเมื่อ 26 มิถุนายน 6258

ดำเนินรายการโดย อภิสิทธิ์ ดุจดา สำนักข่าว TODAY

ลิ้งค์รายการ : https://www.youtube.com/watch?v=t75tdu0P2X4&t=4680s




เก่ง-อภิสิทธิ์ : การชุมนุมที่จะเกิดขึ้นในวันเสาร์นี้ (28 มิ.ย. 68) อาจารย์มีความเห็นอย่างไร?

 

อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : ในความเป็นจริง ถ้าเป็นข้อเรียกร้องในกรณีของการให้นายกฯ ลาออก จริง ๆ โดยปกติถ้าเป็นโดยทั่วไปอาจารย์ก็คิดว่ามีคนจำนวนมากก็เห็นด้วยเรื่องที่ว่านายกฯ ควรจะลาออก เพราะว่ามันก่อให้เกิดปัญหาและเรื่องเกี่ยวกับวุฒิภาวะ แต่อาจารย์ก็ไม่ได้คิดว่าเขาตั้งใจจะมาชุมนุมเพื่อให้นายกฯ ลาออกอย่างเดียว ก็คืออาจจะจั่วหัวอันนั้น แต่ว่าในที่สุดก็มีการพูดถึงเรื่องอำนาจอธิปไตย มีบอกว่านายกฯ ลาออก แล้วก็อำนาจอธิปไตย แล้วก็พยายามจะบอกว่านี่ไม่ได้นำไปสู่การรัฐประหาร ข้อสุดท้ายนี่ก็คือเป็นการแก้ข้อที่ว่า ถ้าเราดูหน้าตาของผู้ที่มาเรียกร้องให้มีการชุมนุม มันก็ทำให้ย้อนกลับไปนึกว่าในปี 2549 ก็เรียกร้องให้มีการทำรัฐประหาร ก็เกิดรัฐประหารปี 2549 การชุมนุมตั้งแต่ปี 2548 ส่วนอีกชุดหนึ่งก็คือ กปปส. ก็ทำให้เกิดการรัฐประหารปี 2557 แล้วก็มีการฉลอง

 

นั่นก็คือ เป็นการปฏิเสธครรลองระบอบประชาธิปไตย ในอดีตนะ นี่เราพูดในอดีต เราไม่ได้หมายถึงที่จะเกิดขึ้น ในอดีตปฏิเสธครรลองประชาธิปไตย และโดยเฉพาะแม้กระทั่งปี 2557 ขัดขวางการเลือกตั้งด้วย ที่มีรูปคนถือไฟฉายจำได้มั้ยคะ? แล้วมีปืนรั้ว!!! มันไม่มีม็อบที่ไหนในโลกนี้ที่เขาไปขัดขวางการเลือกตั้ง มีที่ไทยหนึ่งเดียว เพราะฉะนั้น เมื่อมาปรากฏตัวทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรฯ แล้วก็ กปปส. อาจจะมีคนหน้าใหม่ไปแซมบ้าง แต่ว่าโดยหลักแล้วก็ยังเป็นคนหน้าเดิม ดังนั้น

 

1) คนก็คิดไปว่ามันจะนำไปสู่อะไร? ทำให้เกิดภาวะที่เป็นอนาธิปไตย แล้วก็จะนำไปสู่ความรุนแรง หรือเปล่า?

2) ก็พูดถึงเรื่องมารักษาอำนาจอธิปไตยของประเทศ มันก็ทำให้คิดว่าอันนี้ “รักชาติ” หรือ “คลั่งชาติ”

 

ส่วนอันที่ 1 ก็คือแน่นอนว่า ลาออก ก็คือเป็นปัญหาที่หลายคนเข้าใจรับได้ แต่มันไม่จำเป็นต้องระดมถึงขนาดนี้ เพราะพูดกันด้วยเหตุผลได้ และสามารถใช้เวทีรัฐสภาหรือทุกสื่อ ลงในโซเชียลหรืออะไรก็ได้ มันไม่จำเป็นที่จะต้องจัดหนักถึงขนาดนี้ เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นสิ่งที่ทำให้คนสงสัย เพราะว่าเหตุการณ์ในอดีตมันปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้คนคิดไปอย่างนั้น

 

แล้วอีกด้านหนึ่งก็คือว่า หลายคนคงคิดว่าตอนนี้เราไม่มีสี แต่ในทัศนะอาจารย์ มันเกิดสิ่งที่เรียกว่า ฟากที่เป็นอนุรักษ์นิยม จารีตนิยม กับฟากเสรีประชาธิปไตย มันยังดำรงอยู่ชัดเจน เพราะฉะนั้น ก็เลยทำให้ม็อบนี้ในทัศนะของอาจารย์นะ คนเสื้อแดงที่รักพรรคเพื่อไทย แน่นอน...ไม่ไป และคนเสื้อแดงที่ไม่เอาพรรคเพื่อไทย หมายถึงว่าไม่โหวตให้เพื่อไทยนะ ก็ไม่ไป เพราะแนวความคิดที่ว่ายังมีสองค่ายมันยังดำรงอยู่ เขาโกรธพรรคเพื่อไทยข้ามขั้ว แล้วเขาจะข้ามขั้วไปอยู่กับม็อบอีกข้าง เขาก็คงทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นนี่คือคนเสื้อแดง

 

แล้วถ้ามาถามกลุ่มทั่วไปที่แม้กระทั่งสลิ่มที่เขาจะเป็นด้อมส้มหรืออะไรก็ตาม ก็ไม่เห็นว่ามีใครจะคิดไป กลุ่มเยาวชนก็เหมือนกัน ทั้งหมดนี้เพราะว่า “ค่าย” สงครามระหว่างฝั่งอำนาจจารีตนิยม กับประชาชนที่เป็นเสรีประชาธิปไตย มันยังดำรงอยู่ แม้นจะไม่เห็นชอบกับการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี แต่ว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นก็คือ สงครามระหว่างการที่ไม่ยอมคืนอำนาจให้กับประชาชนของฝั่งจารีตอำนาจนิยม กับประชาชนที่ต้องการอำนาจ มันยิ่งใหญ่กว่าการที่ให้นายกฯ คนหนึ่งออกหรือไม่ออก อาจารย์คิดอย่างนั้นนะ ดังนั้นมันจึงเป็นภาพที่ให้เห็นว่าการชุมนุมน่าจะมีเป็นแต่พลังฝั่งจารีตเป็นส่วนใหญ่ ก็คือศิษย์เก่าที่มาร่วมม็อบ คนใหม่ ๆ ก็ไม่น่าจะมา แต่ว่าก็มีคนได้ยินข่าวว่าจะมีคนต่างจังหวัดใช่มั้ย? มา อันนั้นไม่รู้ด้วย



เก่ง-อภิสิทธิ์ : เขาบอกตั้งแต่แรกเลยว่าไม่เอารัฐประหาร อ่านการชุมนุมครั้งนี้หน่อยว่ามันคืออะไรถ้าบอกคนที่ติดตาม TODAY LIVE อยู่ การชุมนุมในวันเสาร์นี้สะท้อนนัยอะไรได้บ้าง?

 

อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : คืออาจารย์มองมันมีสองภาพ ภาพหนึ่งก็คือเป็นภาพรวมของฝั่งจารีตอำนาจนิยม เป็นการมองแบบยุทธศาสตร์ อีกภาพหนึ่งเรามามองว่าพูดถึงตัวแกนนำที่ต้องออกมา ทำไมต้องออกมา

 

เพราะฉะนั้น กลยุทธ์ที่บอกว่าถ้าดูภาพในเชิงยุทธศาสตร์ เอาพรรคเพื่อไทยเข้ามามันเป็นความจำเป็นของคนที่วางกลยุทธ์ ที่จะต้องเอาศัตรูที่เป็นตัวรอง เพื่อป้องกันศัตรูหรือเพื่อมาสู้กับศัตรูตัวที่แข็งแรงกว่า อันนี้มันเป็นเชิงยุทธศาสตร์กลยุทธ์ที่เรียกว่าเอามาทำ แต่ในขณะเดียวกันนั้นในฝั่งอนุรักษ์จารีตนิยมมันไม่ได้เป็นเอกภาพ ก็จะมีพวกสุดโต่งอยู่พวกหนึ่ง ส่วนหนึ่งก็เคยเป็นอดีตที่เคยโจมตีพรรคเพื่อไทยหรือคุณทักษิณอย่างเต็มที่ คือตอนนั้น ต้องพูดตรง ๆ ด่าอย่างสาดเสียเทเสีย ความจริงถ้าพรรคเพื่อไทยเขาคิดเชิงกลยุทธ์นะ มาอยู่เป็นพวกเดียวกันแล้วนะ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ฝั่งนี้จะเป็นรัฐบาลไม่ได้ถ้าไม่มีเพื่อไทย แล้วจะให้ใครเป็นรัฐบาล จะให้พรรคประชาชนเป็นรัฐบาลอย่างนั้นหรือ? เพราะตัวเองพ่ายแพ้หมด แต่เขาไม่ได้คิดในเชิงนั้น อันนี้มันเป็นการคิดในกลุ่มของพวกที่สุดโต่ง แสดงว่าฝั่งจารีตอำนาจนิยมนี้ไม่ได้เป็นเอกภาพ

 

แม้กระทั่งถ้าคุณดูอดีตวุฒิสมาชิก มีบางพวกก็ยังออกมาเชียร์พรรคเพื่อไทย เพราะอันนั้นเขามองในเชิงกลยุทธ์ว่าถ้าไม่มีเพื่อไทย ก็ตั้งรัฐบาลของจารีตนิยมไม่ได้ เพื่อไทยกลายเป็นแกนนำของฝั่งเดียวกัน แต่ว่าในขณะเดียวกัน อาจารย์เคยพูดตั้งแต่ตอนเขาข้ามขั้วแล้ว อาจารย์บอกว่าพวกนี้เขาไม่เป็นเอกภาพกันนะ ไม่ใช่ว่าพอมาเป็นรัฐบาลและเป็นแกนนำแล้ว ฝั่งจารีตอำนาจนิยมทั้งหลายจะสงบเสงี่ยม อ๋อ...ตอนนี้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลแล้วเราก็ต้องอุ้มชู ไม่ใช่!!! ตรงข้าม!!! เพราะว่ามันเคยมีเรื่องราวในอดีตที่มันแค้นกันอย่างล้ำลึก ถ้าตอนนี้รับรองแปลว่าครั้งที่แล้วผิด ที่เคยไปว่าเอาไว้แปลว่าตัวเองผิดหมด

 

และคนเหล่านี้ในทัศนะของอาจารย์นะ ขออภัย ที่แล้วมาที่เขาทำ เขาไม่ได้คิดหรอกว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่เขารู้อย่างเดียวว่าระบอบประชาธิปไตยทำให้ฝั่งจารีตแพ้ เพราะว่าคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งทุกครั้งจะแพ้ เพราะฉะนั้นเขาจะยินดีกับการมีนายกฯ พระราชทาน หรือการทำรัฐประหาร อันนี้คือประวัติในอดีต แล้วอาจารย์คิดว่าเขาไม่ได้สนใจยุทธศาสตร์ที่ไปเอาพรรคเพื่อไทยมา เขาคงไม่เห็นด้วย แล้วเขาไม่สนใจว่าแล้วจะทำอย่างไรต่อ เพราะว่าถ้าไม่มีพรรคเพื่อไทยก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้ เสียงก็ไม่พอ



เก่ง-อภิสิทธิ์ : อาจารย์อ่านให้ฟังหน่อย ที่อาจารย์บอกว่าม็อบการชุมนุมครั้งนี้ไม่ใช่แค่ต้องการให้นายกฯ ลาออก ต้องการอะไรจริง ๆ แล้ว?

 

อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : คือมีคณะบุคคลจำนวนหนึ่งซึ่งเคยมีอดีตเคียดแค้นมาก เขาไม่ได้มาเกี่ยวกับการตั้งรัฐบาลของฝั่งจารีตนิยม เพราะฉะนั้นในส่วนที่มีทั้งกลุ่มสุดโต่ง หรือกลุ่มที่มีความแค้นส่วนตัว หรือกลุ่มที่ไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะต้องเข้ามาอยู่ในยุทธศาสตร์ที่จะต้องปกป้อง ไม่ได้มีวิธีคิดที่จะเดินไปตามครรลองประชาธิปไตย

 

แต่ถ้าเป็นฝั่งจารีตหรืออนุรักษ์นิยมที่คิดว่ายังไงก็ต้องเดินไปทางระบอบประชาธิปไตย ต้องมีการเลือกตั้ง ต้องมีพรรคการเมืองในฝั่งจารีตขึ้นมาเป็นพรรคนำในรัฐบาล ถ้าคิดแบบนี้ก็คงจะไม่มีการต่อต้านอย่างรุนแรง ทีนี้กลุ่มสุดโต่ง อาจารย์มองว่า ถ้าจะใช้ภาษาว่าเป็นอนาธิปไตยก็ได้ คือไม่ได้สนใจครรลองของระบอบและระบบ ก็ถือว่าเอา “บุคคล” เป็นด้านหลัก ไม่ได้เอา “ระบอบ” กับ “ระบบ” เป็นด้านหลัก เพราะบุคคลที่ได้รับการถูกโจมตีว่าเป็นตัวเลวร้ายในอดีตถึงปัจจุบัน ความจริงที่อาจารย์พูดนี่พูดแบบเป็นคนดูนะ เพราะทุกคนต้องเข้าใจว่าขณะนี้อาจารย์ก็ไม่พอใจที่พรรคเพื่อไทยข้ามขั้วไปอยู่ฝั่งจารีต แต่เมื่อข้ามไปแล้ว อาจารย์เคยทำนายไว้แล้ว แม้กระทั่งในรายการนี้ว่าไม่รู้จะถูกถีบออกมาเมื่อไหร่ ถ้าถีบได้เขาก็ต้องถีบ ถ้าถีบไม่ได้เขาก็ต้องเก็บเอาไว้แล้วก็ต้องเขกศีรษะเป็นระยะ ๆ แล้วก็ต้องจัดการให้นายกฯ ออกไปทีละคน ๆ

 

ความสุดโต่งที่เป็นอนาธิปไตยมันก็เลยกลายเป็นดูภาพของแกนนำจะมีลักษณะแบบนี้ แล้วในนี้ยังมีคำประกาศว่า “ปกป้องอธิปไตย” มันก็จะประหนึ่ง ถ้าเราจำได้ในเหตุการณ์ตอนที่มีเรื่องเขาพระวิหารรอบ 2 ก็ตอนนั้นมีข้อเสนอว่าบริเวณรอบเขาพระวิหารมาหาผลประโยชน์ร่วมกัน แล้วแบ่งกันคนละครึ่ง ทีนี้ก็มีกลุ่มที่บอกว่า ไม่ได้ เขาได้แต่เฉพาะตัวปราสาท รอบ ๆ นี้ต้องเป็นของไทย สุดท้ายเขมรเอาไปขึ้นศาลโลกอีกรอบหนึ่ง แล้วเราก็แพ้

 

ดังนั้น เมื่อกี้ที่เก่งบอกว่าต้องดูอีกว่าฝั่งโน้นจะมีอะไรเกิดขึ้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น 1) ปัญหานายกฯ ที่ว่าให้ลาออก อาจารย์ว่าอันนี้ การที่ว่าไม่เห็นด้วยกับพรรคเพื่อไทยและไม่ต้องการให้พรรคเพื่อไทยเป็นผู้นำในรัฐบาล ไม่ใช่แต่เพียง “แพทองธาร” ด้วยซ้ำนะ อันที่ 2) มันก็เกี่ยวข้องกับปัญหาของเขมรด้วย



เก่ง-อภิสิทธิ์ : อาจารย์อ่านว่ายังไง เขาต้องการอะไร เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าไม่ใช่แค่ต้องการให้นายกฯ ลาออก แต่ว่าต้องการมากกว่านั้น มีจุดประสงค์แอบแฝง จุดประสงค์นั้นคืออะไร

 

อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : คือเมื่อกี้ที่หนูหริ่งพูดน่ะ ถูกนะ อันนี้เป็นโอกาสที่ดี คือเขารอมานาน และจังหวะนี้มันเป็นจังหวะที่พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะนายกฯ แพทองธาร เพลี่ยงพล้ำอย่างรุนแรง เขาไม่ออกมาก็ไม่ได้ มันก็ต้องชูประเด็นนี้ แต่ที่จริงโดยทั่วไปนะมันสามารถที่จะมีวิธีการอย่างอื่น เขาจะออกอาจจะไม่กี่วันมันก็มีนิติสงคราม ศาลรัฐธรรมนูญเอย กกต.เอย ป.ป.ช.เอย และแม้กระทั่งเสียงที่อุ้มชูรัฐบาลอาจจะไม่พอ นี่ก็เป็นวิธีที่ตามครรลองประชาธิปไตยที่ออกอยู่แล้ว คือคุณไม่ต้องมีม็อบ เขาก็มีความเสี่ยงที่จะต้องถูกออกแล้วจำนวนหนึ่ง แต่จะให้อยู่เฉย ๆ แบบที่หนูหริ่งพูดก็อยู่ไม่ได้ นี่เป็นจังหวะอยู่แล้ว มันได้ทั้ง 1) การแสดงการต่อต้านพรรคเพื่อไทยและนายกฯ อุ๊งอิ๊ง คือแสดงให้เห็น จริง ๆ คนก็รู้หมด 2) ก็ต้องการแสดงความรักชาติในปัญหาของเขมร ซึ่งมันก็จะมีผลต่อประเทศเพื่อนบ้าน ปฏิกิริยาด้วย ซึ่งเป็นแนวคิดชาตินิยมแบบสุดโต่งซึ่งมันจะมีอยู่ เพราะฉะนั้นมันก็จะหวังผลทั้งต่อต้านฝั่งรัฐบาลเอง แล้วก็ปฏิกิริยาต่อเพื่อนบ้านด้วย ใช่หรือเปล่า? อาจารย์มองว่าน่าจะเป็นส่วนนี้ แล้วก็อันที่ 3) ไม่ว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้น วิธีคิด ในทัศนะของอาจารย์นะ เขาคิดแบบอนาธิปไตยคือไม่สนใจ ต้องขออภัยนะ ไม่ใช่เป็นการพูดเอาเฉย ๆ จากประวัติที่ผ่านมาไม่ได้ชอบครรลองของระบอบประชาธิปไตย เพราะว่าในครรลองของระบอบประชาธิปไตย กลุ่มขวาสุดโต่ง หรือจารีตสุดโต่ง ขณะนี้ในประเทศไทยถือว่าพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง

 

เพราะฉะนั้นนี่ก็ต้องเป็นความพยายามที่จะแสดงออกและดิ้นรน ถึงแม้นว่ายิ่งทำ ยิ่งทำให้ฝั่งจารีตทั้งรัฐบาลและของตัวเองยิ่งแย่ เพราะว่าความจริงมันควรจะอยู่ในพวกเดียวกัน ถูกมั้ยคะ และควรที่จะประคับประคองรัฐบาลถ้าเขาคิดแบบยุทธศาสตร์ของฝั่งจารีตให้เป็นรัฐบาลให้ได้ แต่ว่าเมื่อมีความคิดเป็นอนาธิปไตยและความคิดแบบปัจเจกก็คือไม่ได้สนเรื่องราวในเชิงยุทธศาสตร์ ก็ต้องเป็นโอกาสที่ถ้าไม่ออกท่ก็ถือว่า เอ้ย...มันแย่แล้ว...ขนาดนี้ยังไม่ออกมาได้ยังไง?

 

(อธิบายเพิ่มเติมว่า คนทำม็อบไม่สนใจยุทธศาสตร์ของฝ่ายเดียวกัน) ในเชิงยุทธ์ศาสตร์ในฝั่งจารีตจะเป็นคนส่วนหนึ่งที่วาง แต่ไม่ใช่คนกลุ่มที่ทำม็อบนี้ คนกลุ่มนี้ไม่สนใจยุทธศาสตร์ แต่เป็นเรื่องของบุคคล คือในพวกจารีต คนที่วาง มีดีล เอาพรรคเพื่อไทยมา อันนั้นเป็นการสู้แบบยุทธศาสตร์ ยังไงเขาก็ต้องประคับประคอง คุณสังเกตมั้ยว่า รวมไทยสร้างชาติ (รสทช.) ทำไมยังต้องอยู่? ขนาดแตกอย่างนี้แล้วยังต้องอยู่ ทำไมถึงนายพลเอกบางคนได้เป็นรัฐมนตรีกลาโหม? อันนี้เป็นแนวคิดยุทธศาสตร์ที่มามีดีล แล้วทำไมคืนนั้นคุณทักษิณป่วย? ทำไมคุณวิษณุต้องไปทันที? ทั้งหมดนี้มันเป็นการวางแผนยุทธศาสตร์ แต่สำหรับคนพวกนี้ที่ออกมานะ ไม่ใช่เลย คือหมายความว่าเป็นเรื่องปัจเจกส่วนตัว คนพวกนี้เขาไม่สนใจยุทธศาสตร์ อาจารย์ใช้คำว่าอนาธิปไตย แปลว่า เมืองไทยมันจะพังยังไง? กูไม่สน!!! ถ้ากูไม่พอใจ กูก็อยากจะด่า (ขอโทษนะ พูดภาษาไทยแท้นะ) ก็คือ ถ้าไม่พอใจแล้วต้องการแสดงออก และจังหวะนี้มันเป็นจังหวะที่เหมาะที่สุด ก็ต้องแสดงออก แต่ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นช่างมัน ไม่สนใจ เพราะถ้าเขายึดในครรลองประชาธิปไตย มันจะไม่มีเหตุการณ์แบบในอดีต และในปัจจุบันก็ไม่จำเป็น เพราะว่าคุณแพทองธารอาจจะต้องถูกออกไปภายในไม่กี่วันโดยกระบวนการของตุลาการภิวัฒน์ต่าง ๆ เหล่านี้อยู่แล้ว



เก่ง-อภิสิทธิ์ : Keyword เขาบอกว่าเขาไม่มีสี อันนี้ถูกต้อง และก็พยายามใส่เสื้อสีขาวนะ บอกว่ามาได้ทั้งหมด จุดร่วมของเขาคือไล่นายกฯ ออก แต่จุดร่วมอื่น ๆ มันไม่สามารถหลอมรวมกันได้

 

อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : แน่นอน คนเห็นว่าเป็นคนละพวกมาร่วม แต่เวลาอาจารย์พูดอาจารย์จะพูดถึงเรื่องหลักการ พูดถึงเรื่องยุทธศาสตร์ เพราะอาจารย์ผ่านการต่อสู้มายาวนาน หลายรูปแบบ มองว่าความขัดแย้งหลักของสังคมไทยมันยังดำรงอยู่ และคนยังอยู่เป็นคนละขั้ว คนส่วนหนึ่งมากด้วย ที่บอกว่าคุณจะทำของคุณก็ทำไป ฉันก็ไม่ได้ชอบนายกฯ ฉันก็อยากให้นายกฯ ลาออก แต่ฉันไม่ไปอยู่กับคุณ อันนี้เป็นการพูดแบบอารมณ์ แต่เวลายกขึ้นมาสู่หลักการที่อาจารย์พูดในเชิงหลักการก็คือว่า ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้ที่ไม่ยอมคืนอำนาจให้ประชาชน ต้องการปกครองโดยอำนาจพิเศษ ไม่ว่าจากกองทัพ จากตุลาการ หรือจากกลไกต่าง ๆ ซึ่งเมื่อก่อนที่เราใช้กันอยู่ตลอดเราใช้คำว่า “ระบอบอำมาตย์” คือไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยมันยังดำรงอยู่ คือขัดแย้งกับประชาชนไทย คือเขาไม่ยอมคืนอำนาจให้กับประชาชน ต้องการประชาธิปไตยแบบไทย ๆ วุฒิสมาชิกก็ไม่ต้องได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง แต่จำเป็นที่สภาผู้แทนราษฎรต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรง แต่ก็ถูกประณามว่าพรรคการเมือง/นักการเมืองเลว ถูกซื้อเสียงต่าง ๆ ทั้งหมด

 

ดังนั้น โดยน้ำใสใจจริงก็คือ นี่คือยังเป็นสงครามที่ยืดเยื้อนับตั้งแต่ 2475 มาจนถึงปัจจุบัน เราผ่านสนามการต่อสู้ของประชาชนหลายสนาม สิ่งที่เราต้องรู้ว่าความขัดแย้งหลักในสังคมมันเป็นอย่างไร โชคดีมากที่การต่อสู้ของเยาวชนปี 2563 ช่วยทำให้ปัญญาชนจำนวนหนึ่งเข้าใจปัญหาประเทศ ไม่อย่างนั้นสมัยก่อนตอนปี 2549 มีอาจารย์ มีอยู่ไม่คน จะว่าไปปัญญาชนไม่มีเลย ไปอยู่กับ สนธิ ลิ้มทองกุล หมด อย่าว่าแต่ปัญญาชนธรรมดานะ พวกพรรคคอมมิวนิสต์ยังไปอยู่ตรงนั้นด้วยเลย ฝ่ายซ้ายทั้งหลายนะเออ ก็ยังอยู่ทางนั้นเลย เพราะฉะนั้น คุณทักษิณก็จะเป็นคนที่ถูกเกลียดชังมาก เป็นนายทุนสามานย์ ก็คือวิเคราะห์ว่าเป็นนายทุนสามานย์ แต่ในทัศนะของอาจารย์ ความขัดแย้งหลักจริง ๆ มันเป็นความขัดแย้งระหว่างการที่ไม่ยอมคืนอำนาจให้กับประชาชน นั่นคือ ระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชนจริง ๆ มันยังเกิดขึ้นไม่ได้

 

และหลังจากปี 2563 เป็นต้นมา คือมีการเกิดพรรคใหม่ โอเค พรรคเก่าบอกว่านายทุนสามานย์ แต่พรรคใหม่นายทุนยังไม่ทันจะสามานย์หรืออะไรเลย ก็ถูกยุบพรรคเหมือนกัน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้ทำให้คนตาสว่างมากขึ้น โอเค คนรุ่นใหม่แล้ว (ไม่ใช่คนเสื้อแดง) ตุลาการก็ไม่ควรเป็นตุลาการภิวัฒน์แบบนี้ ดังนั้นความขัดแย้งหลักยังดำรงอยู่ และคนทั่วไปรู้ หนูหริ่งเขาสะท้อนอารมณ์ของคนว่า คุณก็ทำไปซิ แต่ผมไม่ไปร่วมกับคุณ แต่อาจารย์พูดในเชิงหลักการว่า เขารู้ว่าเราไม่ใช่พวกเดียวกัน เรารู้ว่าคุณเป็นมวลชนของฝั่งจารีตอำนาจนิยมและชาตินิยมแบบสุดโต่ง ถ้าพูดเป็นภาษาก็คือ ขวาสุดโต่งเลย คุณจะเกลียดทักษิณหรือไม่เกลียดทักษิณ นั่นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาก็คือแบรนด์ของคุณ ตราของคุณ มันเป็นขวาจัดชาตินิยมสุดโต่ง

 

ดังนั้น กับพวกฝั่งเสรีนิยมและเสรีประชาธิปไตย มันยังเป็นความขัดแย้งกันอยู่ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เราไม่สามารถเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตยจริงได้ ดังนั้นประชาชนฝ่ายที่มีความคิดเสรีประชาธิปไตยเขาคงไม่สามารถไปร่วมได้ เหมือนสมมุติว่า อาจารย์ หรือหนูหริ่ง เราจัดม็อบบ้าง แล้วถามว่าพวกนั้นเขาจะมาร่วมกับเรามั้ย? ฝั่งนั้นเขาก็ไม่มาร่วม เพราะว่ามันมีแบรนด์ของมันแล้ว อาจารย์ตอนปี 2549 โดดเดี่ยวมากนะ แม้กระทั่งนักวิชาการที่ยิ่งใหญ่หลายคน มีกลุ่มเยาวชนมาบอกอาจารย์ว่าผมไปชวนมาแล้ว พวกเขาก็ไม่เอาทั้งนั้น ผมขอเลิก กลุ่ม19กันยาขอเลิก เดิมเราจะได้ดีใจว่ามีปัญญาชนมาร่วม ก็มีคนมาบอกว่า ผมไปขออาจารย์คนนั้นก็ไม่เอา คนนี้ก็ไม่เอา ทุกคนไม่ชอบนายทุนสามานย์หมด

 

ตราของคุณทักษิณที่เป็นนายทุนสามานย์มันผ่านตั้งแต่ 2549 และมาจน 2557 มันก็จะเป็น ต้องเรียกว่าคนที่ไม่เอาก็มีมาก และจะไม่ให้เหลือมาแสดงครั้งนี้เลย มันเป็นไปไม่ได้ มันก็ต้องมี แล้วก็เป็นตัวแกน ๆ นะ แต่เราก็ไม่รู้ว่าคนที่ตามมาจะมีมากน้อย เราก็อยากดูเหมือนกัน แต่ว่าอยากจะยกอารมณ์ความรู้สึกมาสู่หลักการว่า ในความเป็นจริงความขัดแย้งหลักยังเป็นเรื่องที่ประชาชนยังไม่ได้อำนาจจริง ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงมันเกิดขึ้นไม่ได้



ดังนั้น ว่าไปก็คือเราไม่สามารถข้ามขั้วได้ ถ้าพูดว่าคนเสื้อแดงไม่พอใจพรรคเพื่อไทยข้ามขั้ว มวลชนก็ไม่สามารถข้ามขั้วได้ แม้นมวลชนนั้นจะไม่พอใจคุณอุ๊งอิ๊ง อยากให้คุณอุ๊งอิ๊งลาออกก็ตาม แต่มวลชนก็จะไม่ข้ามขั้วไปชุมนุมเห็นด้วยกับม็อบนี้ ไม่เช่นนั้นมันก็จะเป็นมวลชนขั้วเดียวกันนะสิ มันจะเป็นอย่างนั้น แบบที่คุณหนูหริ่งว่า ก็คือคุณก็ทำไป แต่สิ่งที่ต้องระวังคือเพียงแค่คุณให้คุณอุ๊งอิ๊งลาออก ไม่เป็นไร แต่ว่าอาจารย์อยากจะเตือนเอาไว้ อย่าไปท้าทายให้มันมีปัญหาระหว่างประเทศ ตัวนี้นะอย่าไปท้าทาย มันอาจจะมีคำพูดที่แสดงถึงความเกลียดชัง ก็คือ คน/ประชาชนระหว่างประเทศมันไม่ควรเกลียดชัง

 

และนี่เป็นลักษณะของพวกชาตินิยมแบบคลั่งชาติ รักชาติได้แต่อย่าคลั่งชาติ ขอเตือน!!! คุณมีม็อบคุณก็มีไป คุณจะบอกว่านายกฯ ทำไม่ถูก ลาออก มันก็เรื่องของคุณ ก็พูดไป แต่สิ่งที่ขอเตือนคืออย่าให้มันกล้ำเกินไปจนทำให้เกิดความบาดหมางระหว่างประชาชนประเทศกัมพูชากับประชาชนไทย อันนี้เป็นสิ่งที่คิดว่ามีโอกาสเกิดขึ้นมาก แล้วก็ขอให้ใส่ใจไว้ด้วยว่า ระบอบและระบบมันยังดำเนินไปอยู่ พวกคุณยังมีเครื่องมือตั้งเยอะแยะที่จะจัดการกับคุณอุ๊งอิ๊ง ถ้าปล่อยให้เป็นอนาธิปไตย คุณบอกว่าคุณไม่ต้องการรัฐประหาร แต่พอถึงเวลาคุณบอกมันเป็นความจำเป็น มันก็อาจจะมีสิ่งนั้นเกิดขึ้น แต่เราจะไม่พูด เราเชื่อแหละว่าคุณไม่อยากได้รัฐประหาร แต่เตือนเอาแค่ว่าอย่าไปสร้างความเกลียดชังระหว่างประชาชนไทยกับประชาชนกัมพูชา

 

เก่ง-อภิสิทธิ์ : หลังจากนี้รัฐบาลจะเดินยังไง? ในเมื่อเฉดมันออกมาอย่างนี้

 

อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : อาจารย์มองว่าทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย คือมองไปข้างหน้าในการเลือกตั้งครั้งหน้า เนื่องจากพรรคเพื่อไทย ที่มาของสส.จากกระแสประชาธิปไตย ไม่ได้แล้ว ดังนั้นพื้นที่ที่จะได้ก็คือสส.เขต ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องการก็คือต้องการกระทรวงมหาดไทยด้วย เพื่อที่จะไปทำงานในพื้นที่เพื่อที่จะเพิ่มจำนวนสส.เขต ในขณะเดียวกันก็ต้องการส่วนหนึ่งก็คือจัดการในเรื่องของสว. เพราะขณะนี้พยานจำนวนมาก ถ้าพรรคภูมิใจไทยยังอยู่ในรัฐบาล ก็ยังมีความเกรงใจอยู่ แต่ในกรณีเรื่องสว.นะ อาจารย์สนับสนุนนะ เพราะถือว่าเรื่องสว.มันเป็นเรื่องที่ว่ามันเกินไป คุณจ่ายเงินจำนวนนี้แล้วคุณเหมือนกับว่าจะซื้อประเทศไทยไปได้ เพราะฉะนั้นอันนี้เรื่องของสว. ตั้งแต่อดีต ตั้งแต่ 2475 จนถึงปัจจุบัน เป็นเรื่องที่มันไม่เคยลงตัวเลย และเป็นเรื่องที่ฝ่ายจารีตอำนาจนิยมไม่ต้องการให้อยู่ในมือประชาชน คือคุณเลือกสส.ได้ แต่สว.ต้องเป็นของพวกผม อันนี้เป็นเรื่องตั้งแต่อดีต แต่ว่ามีหลายตัวละครมาจนถึงปัจจุบัน ถ้าเล่าแล้วมันยาว

 

แต่สรุปว่า วิธีแบบนี้ จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แล้วทำแบบนี้ มันไม่ได้!!! มันมากเกินไป เมื่อมองไปข้างหน้า พรรคภูมิใจไทยก็คงหวังจะเป็นผู้นำของรัฐบาลฝั่งจารีตเหมือนกัน นั่นก็คือตัวเลขแทนที่จะเป็น 60 มันก็อาจจะเป็นถึง 100 และเพื่อไทยก็อาจจะน้อยลงมา ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน คือยังต้องการเป็นผู้นำในรัฐบาลฝั่งจารีตนี่แหละ ตามใบอนุญาต 1 ด้วย 2 ด้วย เพื่อที่จะสามารถอยู่ได้แล้วเป็นรัฐบาลได้ยาวนานที่สุด ดังนั้น พรรคภูมิใจไทยจึงกลายเป็นศัตรูที่ต้องเผชิญหน้ากันในช่วงเวลานี้ ในช่วงเวลาแรกก็อาจจะมองว่าเป็นพรรคประชาชน แล้วนางแบกอะไรต่าง ๆ ก็ทะเลาะกันยกใหญ่นะ แต่เอาจริงที่เขาจะจัดการกันมันกลายเป็นว่า ฝั่งเดียวกัน ฝั่งจารีตกันเองแย่งชิงสภาวะการนำ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ

 

อาจารย์อยากจะเติมที่หนูหริ่งพูดอย่างหนึ่งก็คือว่า ในกลุ่มที่เป็นการที่จะออกมาชุมนุม คุณบอกว่าคุณจะไล่นายกฯ ให้นายกฯ ลาออก โอเค อันนี้ก็ได้ แล้วแต่คุณจะปกป้องอธิปไตย ซึ่งอาจารย์เตือนไปแล้วนะ คุณอย่าแสดงตัวว่าท้าทายแล้วทำให้เกิดเป็นปฏิปักษ์กับประชาชน คือเรื่องระหว่างผู้ปกครองหรือรัฐต่อรัฐ มันก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ประชาชนมันคนละเรื่องกันเลยนะ เราอยู่ในพื้นที่เดียวกัน เดินกันไปเดินกันมา แต่งงานกัน อะไรต่าง ๆ มันก็เป็นประชาชนแถบนี้เหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นอย่าทำให้เกิด แต่ว่ามีโอกาสเกิดสูง

 

ทีนี้คำถามที่ 3 ก็คือ ถ้าคนเหล่านี้ยึดครรลองระบอบประชาธิปไตย มันจะมีคำว่า คุณยอมรับการยุบสภามั้ย? ไม่มีคำพูดนี้เลย! เพราะคำว่า “ยุบสภา” นี้ มันก็คือครรลองของระบอบประชาธิปไตย คือคืนอำนาจให้ประชาชน (คุณหนูหริ่ง เสริมว่า คือเขากลัวว่ายุบสภาแล้วพรรคประชาชนจะเป็นรัฐบาล) ก็นั่นแหละ ๆ (คุณหนูหริ่ง เสริมว่า ซึ่งมันทำให้เราสงสัยมากว่าการชุมนุมนี้ มันอย่างงี้ คือตกลงว่าคุณต้องการอะไร ถ้าคุณเชื่อในระบอบประชาธิปไตย การตัดสินใจของประชาชนมันเป็นที่สุดแล้ว) ไม่ใช่แค่ว่านายกฯ ออก แล้วไม่รู้อะไรเกิดขึ้น แต่ว่าทางเลือก “ยุบสภา” คุณสนใจมั้ย? แต่คุณไม่สนใจก็แปลว่าคุณไม่ได้สนใจในระบอบประชาธิปไตย แต่กลุ่มม็อบที่อาจารย์ใช้คำว่าอนาธิปไตยเลย ก็คือไม่สนใจ อะไรจะเกิดขึ้นก็ได้



เก่ง-อภิสิทธิ์ : ในเมื่อไม่ยุบสภาเพราะกลัวส้มมา ทำไมถึงเลือกข้อเสนอว่าให้ลาออก คิดถึงว่าต้องการให้เกิดสุญญากาศมั้ย? แล้วก็มีนักวิชาการบางท่านบอกว่ามาตรานี้ทำได้ นักวิชาการบางท่านเสนอ มาตรา 5 แต่ผมไม่อยากเชื่อมโยงว่าเกี่ยวข้องกับการชุมนุม ดังนั้นรอดูวันเสาร์ว่าเขาจะพูดเรื่องนี้มั้ย?

 

อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : แต่อาจารย์ขอเสนอว่า เราสามารถดูสรุปได้ว่าตั้งแต่อดีตจนถึงข้อเรียกร้องในปัจจุบัน ยังไม่มีครรลองของระบอบประชาธิปไตยเลย ในข้อเสนอ ฟันธงเลย ไม่มีครรลองในระบอบประชาธิปไตยเลย อาจารย์ใช้คำว่าอนาธิปไตย แปลว่า ไม่รู้ว่ามันจะออกท่าไหน อันนั้นเรียกว่าก็พยายามทำให้เป็นระบบแล้วนะ แต่ในความจริง อาจารย์รู้ว่าสิ่งที่เขาต้องการมันคืออะไร คุณก็มีทางเลือกอยู่ ถ้าคุณไม่เอาระบอบประชาธิปไตย แล้วคุณเอาอะไร? ตอนนี้ก็บอกได้ว่าไม่เอารัฐประหาร แต่พรุ่งนี้ มะรืนนี้ มันช่วยไม่ได้ อาจารย์ยังจำคำพูดที่ไม่เคยลืมเลยตลอดมาในปี 2549 เราก็ไม่ชอบรัฐประหาร แต่มัน “เป็นสิ่งจำเป็น” คนที่พูด ต้องเรียกว่ามีตำแหน่งใหญ่ในสื่อใหญ่เลย แต่ว่าออกไปแล้วนะ เป็นการสัมมนาของสื่อ แล้วคำพูดที่ว่า “เป็นสิ่งจำเป็น” เป็นสิ่งที่เขาพูดตลอด เขาเรียกว่า 2 ไม่เอา แต่จริง ๆ ไม่เอาอันเดียวคือไม่เอาทักษิณ คำว่า 2 ไม่เอาคือไม่เอารัฐประหารและไม่เอาทักษิณ เขาบอกเขาเรียกตัวเองว่าเขา 2 ไม่เอานะ แต่สุดท้ายก็คือ รัฐประหารเป็นสิ่งจำเป็น ก็แปลว่าคุณไม่เอาอย่างเดียวคือไม่เอาทักษิณ แต่เอารัฐประหาร

 

ดังนั้น ยังเหลืออยู่ขณะนี้จะไม่ให้หมดไปได้ยังไง ตอนนั้นอาจารย์เจ็บปวดมากนะว่า เฮ้ย..มันยอมแลกเลยเหรอ ระหว่างรัฐประหารนะ คือคุณทักษิณจะมีปัญหาอะไรคุณก็ไปจัดการตามระบอบ ตามระบบ แต่คุณถึงขนาดว่ารัฐประหารเป็นสิ่งจำเป็น แปลว่าไม่มีความคิดของระบอบประชาธิปไตยและอำนาจประชาชนอยู่ในสมองเลย แล้วถามว่า ณ บัดนี้ โอเค คุณตำหนินายกฯ ได้ หลาย ๆ คนก็ตำหนิได้ แต่ว่าแล้วไงต่อ? เพราะว่าตอนนี้คุณบอกว่าไม่เอารัฐประหาร แล้วถ้าอีก 3-4 วัน ก็อาจจะบอกว่ามันกลายเป็นสิ่งจำเป็นก็ได้ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องการรัฐประหารนะ ต้องขออภัย ก็คือเขาอาจจะจริงใจก็ได้นะที่ไม่เอารัฐประหาร แต่เขาก็อาจจะมีทางเลือกอื่น แต่ทางเลือกที่เขาเสนอว่า “ยุบสภา” ไม่สนใจบ้างเลยเหรอ? ถ้าคุณสนใจนี่แหละก็จะบอกได้ว่าเออ...คุณก็เป็นนักประชาธิปไตย ถ้าคุณพูดเรื่อง “ยุบสภา” เผลอ ๆ มันจะมีม็อบมากนะ แต่คุณไม่พูดแน่

 

เก่ง-อภิสิทธิ์ : คนที่ไม่รู้สึกโอเคกับรัฐบาล หรือไม่ไปม็อบ เขาจะวางตัวเองยังไง? เขาก็จะมองดู ยืนดู เฝ้ามองแบบนั้นใช่มั้ย? หรือเขาก็รอเลือกตั้ง

 

อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : อาจารย์มองว่าขณะนี้เป็นวาระของความที่เสื่อมถอยอย่างสุด ๆ แล้วของฝั่งอนุรักษ์นิยมจารีตนิยม ทั้งในฐานะพรรคการเมือง และในความยอมรับของประชาชน เพราะฉะนั้น ครั้งนี้แม้จะใช้กลยุทธ์ที่เอาพรรคเพื่อไทยมาและสามารถเป็นรัฐบาลได้ แต่มันก็ดูว่าไม่รอด ดังนั้นคุณจะทำยังไงต่อ? ในขณะที่ฝั่งประชาชนต้องการอำนาจคืน เขาก็เติบโตขึ้นทุกวัน เขาอาจจะไม่ถูกใจอะไร แต่ว่าหลักการของพวกเขาก็ยังดำรงอยู่ อาจารย์เข้าใจได้เลยว่าเขาไม่ไป ทั้งด้วยอารมณ์ความรู้สึก แต่ลึก ๆ แล้วจริง ๆ เขามีหลักการอยู่ในใจ เพราะฉะนั้น คุณกล้ามั้ยล่ะที่จะมีทางออกของระบอบประชาธิปไตย เช่น ยุบสภาก็ได้ สมมุติ ไม่มีเลยนะ เพียงแต่บอกว่าผมไม่เอารัฐประหารเท่านั้น

 

ตอนนี้ฝั่งจารีตอำนาจนิยมมันเสื่อมถอยอย่างถึงที่สุดแล้วนะ เพราะฉะนั้น ด้านหนึ่งเรามองว่าเป็นวิกฤต แต่นี่มันก็เป็นเรื่องที่ดีนะ ท้าทายเลย คุณจะใช้เครื่องมืออะไรในการจัดการ คุณทำไปเลย ก็พวกเดียวกัน ในทัศนะของอาจารย์นะ เราอาจจะมองว่ามันเป็นวิกฤตนะ ก็จริง แต่ว่ามันต้องถึงขนาดนี้แหละ มันต้องให้มันรุนแรงจนถึงขนาดนี้ ถึงจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อย่างที่บอก จะเลือกพรรคไหน? ก่อนไปถึงว่าเลือกพรรคไหน ตอนนี้จะทำยังไงต่อไปยังไปไม่ถูกเลย! ว่าจะใช้รัฐธรรมนูญมาตราไหน? คือถ้าเป็นมวลชนฝ่ายจารีตเดิม เช่นเขามีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกน แล้วประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ตลอด ก่อนหน้านั้นเขาเคยได้ถึง 11 ล้านเสียง เขาก็อยากจะเป็นฝ่ายชนะ เขาก็มาเทให้พรรคพลังประชารัฐ ครั้งที่แล้วได้ Popular Vote เยอะนะ ประชาธิปัตย์จึงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงว่าคนทำรัฐประหารเป็นกรรมการ แล้วมาตั้งพรรคเองได้ยังไง? พอตั้งพรรคเองก็ดึงคนไปได้จำนวนหนึ่ง ตัวอาจารย์เองก็ไม่คิดว่าประชาธิปัตย์จะเสียท่าถึงขนาดนี้ แต่แสดงว่าประชาชนมีแรงเหวี่ยงสูงในทางความคิดนะ

 

เราก็ต้องตอบได้เลยว่าคะแนนที่อยู่ในพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นคะแนนที่เรียกว่าสนับสนุนเต็มที่นะ ก็ไม่น้อย 4 ล้านเสียง นี่เรียกว่าเขาเต็มที่ในฝั่งของจารีตอำนาจนิยม มันก็ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตามพลังฝ่ายเสรีนิยมมันมากกว่า อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้นะ ก็มันสุดแล้ว เอาให้สุด ๆ กันไปเลย แต่ว่าที่ขอร้องก็คือ อย่าไปยั่วยุฝั่งประชาชนกัมพูชา ยังไงก็ขอให้มันอยู่เฉพาะในปัญหาของประเทศไทย ขอร้อง เพราะว่าพวกคุณไม่ใช่ตัวแทนของประชาชนไทยทั้งหมด แล้วถ้าคุณไปทำให้เกิดปัญหา มันจะกลายเป็นภาระ คุณอยากจะไล่นายกฯ โอเคก็ไล่ไป แต่ว่าถ้าถึงขนาดว่าทำให้เกิดวิวาทะระหว่างประชาชน ขอเตือนนะว่า อย่าทำ!!!

 

แล้วก็คุณไม่มีทางเลือกสำหรับระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจเป็นของประชาชนเลยหรือ? อยากจะถามนะ เพราะว่าถ้ามิฉะนั้นแล้วมันก็สุดทางของคุณเหมือนกัน แล้วสุดทางของคุณไปต่อไม่ได้นะ ซอยตันนะ (หนูหริ่ง เสริมว่า ไม่ใช่ซอยตัน ตกเหวเลยอาจารย์) ตกเหวเลยนะ เพราะฉะนั้นนี่บอกนะว่า คุณยังสามารถเปลี่ยนได้นะ ครั้งนี้เขาอาจจะไม่จำเป็นจะต้องมีการชุมนุมครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ก็ได้ มันต้องดูว่าครั้งแรกเป็นอย่างไร อาจจะไม่มี เพราะเขาเตรียมที่จะเอาเงินทีเหลือไปให้กองทัพภาคที่ 2 แต่ว่าอย่าสร้างปัญหาให้ระหว่างประเทศ เพราะว่าถ้าคุณตำหนิรัฐบาลว่าสร้างปัญหา คุณในฐานะม็อบก็อย่าสร้างปัญหาเพิ่ม เพราะว่าขอให้เข้าใจนะว่าคนส่วนใหญ่เขาไม่ได้เห็นด้วยนะ ถึงคุณจะบอกคุณไม่เอารัฐประหาร ไม่ต้องการรัฐประหาร แต่แบรนด์ของคุณมันเป็นแบรนด์ที่คนยังไม่มีความไว้วางใจ

 

เพราะฉะนั้น อย่าโทษพวกเรานะ อันนี้กำลังบอกให้รู้ว่า ทางที่จะต้องไปมันมีทางเดียวเท่านั้น คือทางในระบอบประชาธิปไตย อำนาจเป็นของประชาชนคืนมา ถ้าคุณไม่เดินทางนี้ คุณยังดันทุรังนะ มันก็พังไปทั้งหมด เพราะตอนนี้มันก็พังเกือบหมดแล้ว



เก่ง-อภิสิทธิ์ : รัฐบาลของคุณแพทองธาร ไปต่อได้อีกไกลมั้ย? ปัจจัยที่เราต้องดูหลังจากนี้คืออะไร?

 

อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : ฮุนเซน เป็นนักรบ แล้วเขาลงทุนชีวิตทั้งชีวิตของเขามายาวนาน ดูที่เขาพยายามทำหนังทำอะไร เป้าหมายของเขาที่ชัดเจนอยู่เลยตอนนี้นะที่ยังไงเขาก็จะไม่เปลี่ยน คือเขาจะไป ICJ แต่มันยังไม่ถึงเวลานั้น เพราะอาจารย์เคยไป ICC แล้ว กว่าเขาจะเอาใส่ตะกร้าของอัยการระดับที่ 1 ไประดับที่ 2 ไประดับที่ 3 แล้เรียกมาสัมภาษณ์ก็ใช้เวลานาน แต่ว่าเราจะไปกดดันโดยการปิดด่านแล้วให้เขาเลิกส่งไปศาลโลก อาจารย์ว่ายาก!!! แล้วธรรมชาติของเขามันเป็นนักรบ ชีวิตทั้งชีวิตของเขามันอยู่บนความเสี่ยงมากที่กว่าจะมาถึงจุดนี้ เขาจะไม่ปล่อยอำนาจจากในมือของเขาเลย แล้วทุกอย่างที่เขาทำเล็งผลเลิศเพื่อที่ให้เขายังสามารถดำรงอำนาจอยู่ได้ เพราะฉะนั้น เขายอมลงทุนนะ ซึ่งแปลกมา อาจารย์ยอมรับว่าอาจารย์ก็เคยเจอ ทั้ง ฮุนมาเน็ตแล้วก็นายกฯ ฮุนเซน ที่คนเสื้อแดงไปเตะบอล แต่หมายความว่าเขาเป็นนักรบที่มีความแน่วแน่ เขาบอกว่าชีวิตเขา เขาจะไม่ยอมปล่อย ดังนั้นเขาจะต้องมีสืบทอดให้ลูกต่อไปเรื่อย ๆ แล้วเขาต้องการทำทุกอย่างให้อำนาจนี้ยังดำรงอยู่ ถ้ามองว่าคุณทักษิณก็เป็นการลงทุนแบบหนึ่ง แต่ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของเขาก็คือการทำดีกับอำนาจของเขาที่ยังดำรงอยู่ในประเทศของเขาได้อย่างแน่นอน

 

(คุณหนูหริ่งพูดว่า ปัญหาอาจมาจากทฤษฎีเหยียบเปลือกกล้วย) นอกจากทฤษฎีเหยียบเปลือกกล้วยนะ อาจารย์ขอเสนอ 1) MOU44 ที่ตกลงกันว่าจะต้องทำ ทักษิณไม่ได้ทำให้ เพราะว่าประเทศกัมพูชาไม่มีการผลิตอะไรเลย สิ่งที่เขาต้องการมากก็คือต้องการขายน้ำมันตรงนั้น MOU44 เป็นเรื่องสำคัญมากที่ทักษิณอาจจะไม่ได้มีมธุรสวาจาในการที่จะบอกให้เขารู้ เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่เขาโกรธมากที่ไม่ดำเนินเรื่อง MOU44 ต่อ

 

อันที่ 2) ที่อาจจะรองลงมาคือ การทำเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ มันกระทบกระเทือนรายได้ของเขาในฝั่งโน้น

 

นี่อาจารย์ขอเสนอเพิ่มเติมนะ ทฤษฎีเหยียบเปลือกกล้วยก็อย่างหนึ่ง โอเค คนเรามันเหยียบหลายอย่างนะ แต่อาจารย์มองว่า MOU44 เขาอยากได้มาก เพราะว่าจะต้องแบ่งน้ำมันกันขึ้นมา แล้วตอนนั้นถ้าทำ คุณทักษิณก็ไม่ยอมเสี่ยง ไม่กล้าทำ แล้วยังไม่พอ ยังมาทำเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งมันยิ่งขัดผลประโยชน์อีก อาจารย์เสนอว่าอาจจะมี 2 (คุณหนูหริ่ง เสริมว่า นี่เหยียบตาปลา! เลย)


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ธิดาถาวรเศรษฐ #TODAYLIVE  #ม็อบ28มิถุนา #รวมพลังแผ่นดิน #ไม่เอารัฐประหาร

วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2568

อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : การเมืองมาจากประชาชน และนี่คือวิถีทางในระบอบประชาธิปไตย ถ้าคิดว่าอยู่ในการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ต้องยึดหลักการนี้ อย่าล้ำเส้น!!!

 


อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : การเมืองมาจากประชาชน และนี่คือวิถีทางในระบอบประชาธิปไตย ถ้าคิดว่าอยู่ในการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ต้องยึดหลักการนี้ อย่าล้ำเส้น!!!


[ถอดเทป] บางส่วนจาก #MatiTalk โดย มติชนสุดสัปดาห์

เผยแพร่เมื่อ 28 มิ.ย. 68


ตรงนี้ที่อาจารย์อยากจะเตือนด้วยความเป็นห่วง คือคุณมีสิทธิที่จะไม่ชอบคุณแพทองธารและไม่ชอบรัฐบาลนี้ แต่อยากจะเตือนมาว่า คุณจะให้ความคิดที่ว่า ให้ทหารมานำการเมือง มันไม่ถูก! มันก็เหมือนกับการต้อนรับรัฐประหาร ถ้าคุณมีความคิด คุณรักชาติได้ แต่อย่าคลั่งชาติ แล้วก็อย่าถึงกับว่าให้ทหารมานำการเมือง เพราะทหารมานำการเมืองนี่แปลว่าคุณไม่ได้อยู่ในระบอบประชาธิปไตยแล้วนะ คุณอาจจะชอบทางกองทัพที่ว่า โอเค...ออกมาทันเวลา เพราะตรงนี้มันเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลชุดนี้ในการโต้ตอบกับฝั่งกัมพูชา ช้าไป-น้อยไป-ไม่เพียงพอ แล้วก็ไม่ทันเกม ก็มีสิทธิที่จะพึงพอใจกองทัพได้


แต่ขอเตือนว่าต้องพอดี อย่าให้เกินหลักการของระบอบประชาธิปไตยที่ การเมืองต้องนำการทหาร รัฐบาลต้องนำทหาร ทหารจะเป็นผู้ปกครองไม่ได้ เพราะนั่นเป็นระบอบเผด็จการทหารแล้ว เพราะฉะนั้นก็ขอเตือนว่า ไม่ชอบรัฐบาล แล้วก็แสดงความคิดเห็นต่อรัฐบาลได้ แต่ว่าอย่าให้ถึงกับว่าเอาทหารมานำ แล้วจนกระทั่งมันอาจจะเดินทางไปสู่วิถีทางของการทำรัฐประหารก็ได้


พัฒนาการของประเทศมันจะต้องก้าวไปข้างหน้าไม่ว่าคุณจะมีอุปสรรคอะไรก็ตาม แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ อย่าคลั่งชาตินิยม คือคลั่งอะไรก็ไม่ดีทั้งนั้น คลั่งพรรคการเมือง คลั่งชาติ หรือคลั่งอะไรก็ตามมันไม่ดีทั้งนั้น เอาแค่รัก ไม่ต้องคลั่ง ที่สำคัญก็คือมันจะทำให้เกิดปัญหาว่าทหารมานำการเมือง เพราะในทัศนะของดิฉันคิดว่า ยังไงก็ตาม การเมืองมาจากประชาชน และนี่คือวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย ทหารต้องขึ้นกับรัฐบาล แต่ว่าเรามีสิทธิที่จะโจมตีรัฐบาลได้ว่ารัฐบาลทำไม่ถูก แต่หลักการต้องเป็นหลักการ ก็คือทหารต้องขึ้นกับรัฐบาล อันนี้เป็นสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ ถ้าทหารไม่ขึ้นกับรัฐบาล แล้วก็ให้รัฐบาลมาขึ้นกับทหารซะแล้ว ก็คือจบเห่เลย แปลว่าระบอบประชาธิปไตยถูกทำลายจนสิ้น


เพราะฉะนั้น ดิฉันขอเตือนมา ไม่ว่าจะเป็นมวลชน จะเป็นพรรคการเมือง หรือทหาร ถ้าคุณคิดว่าคุณอยู่ในการเมืองในระบอบประชาธิปไตย คุณต้องยึดหลักการนี้ อย่าให้ล้ำเส้น ก็ฝากเตือนมา


ขอบคุณ : มติชนสุดสัปดาห์


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ธิดาถาวรเศรษฐ #วิถีทางประชาธิปไตย #ทหารต้องขึ้นกับรัฐบาล


'ทนายแจม' ยก 3 ประเด็นนิรโทษกรรมและความจำเป็นที่ต้องรวมม.112 ชี้หากไม่รวม จะยิ่งทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองไร้ทางออก จี้เพื่อไทยแสดงความกล้าหาญ-จริงใจ นำพาสังคมไปในทิศทางที่ถูกต้อง ไม่ใช้วิธีส่งสัญญาณ "ตีกรอบ" ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่กำลังจะเข้าพิจารณาในสภาฯ


'ทนายแจม' ยก 3 ประเด็นนิรโทษกรรมและความจำเป็นที่ต้องรวมม.112 ชี้หากไม่รวม จะยิ่งทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองไร้ทางออก จี้เพื่อไทยแสดงความกล้าหาญ-จริงใจ นำพาสังคมไปในทิศทางที่ถูกต้อง ไม่ใช้วิธีส่งสัญญาณ "ตีกรอบ" ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่กำลังจะเข้าพิจารณาในสภาฯ


วันนี้ (29 มิถุนายน 2568) ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กทม. พรรคประชาชน โพสข้อความ ระบุว่า 3 ประเด็นข้อคิดเห็นในฐานะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการตราพ.ร.บ. นิรโทษกรรมและความจำเป็นที่จะต้องรวมคดีมาตรา 112


จากกรณีที่คุณ วิสุทธ์ ไชยอรุณ ประธานวิปรัฐบาลและสส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย ได้ให้สัมภาษณ์​กับสื่อมวลชนในประเด็นที่สภาผู้แทนราษฎรเตรียมจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในลำดับต้นทันทีที่เปิดสมัยประชุมว่า “ทุกฉบับจะต้องไม่มีเรื่องมาตรา112”


แจมในฐานะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการตราพ.ร.บ. นิรโทษกรรม ขอยืนยันจุดยืนในฐานะกรรมาธิการสัดส่วนพรรคประชาชน และขอย้ำกับรัฐบาลนำโดยพรรคเพื่อไทยว่าการตัดคดีมาตรา112 ออกจากร่างนิรโทษกรรม ไม่สอดคล้องกับหลักความสมานฉันท์ปรองดองและเจตนารมณ์หลักของการนิรโทษกรรม


ขอชี้แจงความเห็นของดิฉันต่อเรื่องนี้ จำนวน 3 ประเด็น ดังนี้:


[ ประเด็นที่ 1 : คดีมาตรา 112 มีจำนวนมาก และสะท้อนลักษณะของคดีการเมืองอย่างชัดเจน ]

ข้อมูลจากเอกสารในชั้นกรรมาธิการระบุว่า คดีตามมาตรา 112 มีจำนวนมากกว่าหลักร้อย แต่เป็น “หลักพันคดี” และไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะแกนนำหรือนักกิจกรรมการเมือง หากแต่รวมถึงประชาชนทั่วไปที่ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีเครือข่าย และไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเท่าเทียม


ที่สำคัญคือ มีคดีจำนวนไม่น้อยที่สิ้นสุดด้วยคำพิพากษายกฟ้อง และผู้ต้องหาไม่ได้มีพฤติการณ์ที่เข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งสะท้อนถึง ปัญหาการตีความกฎหมายที่กว้างเกินสมควรทำให้ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือได้ง่าย และการบังคับใช้ที่อาจละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกอย่างร้ายแรง


หากรัฐบาลยังไม่สามารถให้ทางออกกับคดีมาตรา 112 ที่เกี่ยวข้องกับประชาชนทั่วไปเหล่านี้ได้ ก็เท่ากับปิดโอกาสในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของผู้คนจำนวนมาก และ ทำให้สังคมไม่อาจก้าวข้ามความขัดแย้งทางการเมืองไปได้อย่างแท้จริง


ดิฉันจึงเห็นว่า รัฐบาลควรใช้โอกาสครั้งนี้ในการ เรียกคืนความเชื่อมั่นของประชาชน และขจัดเงื่อนไขความขัดแย้งทางการเมืองอย่างเป็นรูปธรรม

เพราะหากจะมีสิ่งใดที่สามารถสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลในช่วงเวลานี้ได้ นั่นคือ “ความกล้าหาญในการนิรโทษกรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ”


[ ประเด็นที่ 2: หากนิรโทษกรรมโดยไม่รวมคดีมาตรา 112 จะยิ่งทำให้รัฐบาลไม่สามารถหาทางออกจากความขัดแย้งทางการเมืองได้เลย ]

การนิรโทษกรรม คือเครื่องมือทางกฎหมายที่เปิดโอกาสให้รัฐบาลในขณะนั้นใช้เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งและให้สังคมได้ก้าวข้ามบาดแผลทางการเมือง


หากร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่จะมีขึ้นนี้ถูกออกแบบให้ เว้น คดีมาตรา 112 โดยเฉพาะ

ทั้งที่คดีมาตรา 112 คือแกนกลางของข้อเรียกร้องทางการเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชน


หากรัฐบาลเลือกใช้เครื่องมือนิรโทษกรรมเพื่อคลี่คลายปัญหา แต่กลับเว้น “หัวใจของข้อขัดแย้ง” เอาไว้ ก็เท่ากับปฏิเสธโอกาสในการสร้างความไว้วางใจจากประชาชนและกำลังเดินหน้าทำการเมืองด้วยการเลือกปฏิบัติ


รัฐบาลจะไม่สามารถอ้างถึง “การก้าวข้ามความขัดแย้ง” ได้เลย หากยังเลือกปฏิบัติกับคดีมาตรา112 ที่สะท้อนความขัดแย้งทางการเมืองมากที่สุด


[ ประเด็นที่3 : พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาล ต้องมีความกล้าหาญและจริงใจในการนำพาสังคมไปในทิศทางที่ถูกต้อง และไม่ควรใช้วิธีส่งสัญญาณ “ตีกรอบ” ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณา ]


ดิฉันเชื่อว่า ในห้วงเวลานี้ สิ่งที่สังคมไทยต้องการไม่ใช่เพียง “การผ่านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมแบบไร้เงื่อนไขคดี” แต่คือ “ความจริงใจทางการเมือง” ในการหาทางออกจากความขัดแย้งจริงๆ


ท้ายที่สุดแล้ว หากการนิรโทษกรรมครั้งนี้ไม่รวมคดีมาตรา 112 สังคมจะยังเดินต่อบนความขัดแย้ง และสนามการเมืองต่อจากนี้จะถูกมองว่าการสลายขั้วการเมืองเป็นการพยายามรักษาอำนาจของชนชั้นนำซึ่งฮั้วกันอยู่เพื่อการแบ่งผลประโยชน์เท่านั้น ไม่มีประชาชนอยู่ในสมการ


ดิฉันเห็นด้วยกับหลักการของร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ซึ่งรวมคดีตามมาตรา 112 เข้าไว้ด้วย และขอเน้นย้ำว่า การพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ ไม่ใช่เพียงหน้าที่ของพรรคฝ่ายค้านหรือภาคประชาชนแต่เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลเช่นกันที่จะต้องแสดงให้ประชาชนเห็นถึง เจตนารมณ์ทางการเมืองที่แท้จริงของพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาล เพื่อนำพาประเทศก้าวผ่านความขัดแย้งต่อไป

 

#UDDnew #ยูดีดีนิวส์ #นิรโทษกรรมประชาชนทุกคดี #ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม #นิรโทษกรรมประชาชน #ทนายแจมศศินันท์ #พรรคประชาชน

เครือข่ายแรงงานพรรคประชาชนจัดรวมพลสมาชิกสัมพันธ์ “ษัษฐรัมย์” สรุปผลงานทีมประกันสังคมก้าวหน้า ขยาย-ปกป้องประโยชน์ผู้ประกันตนสำเร็จหลายเรื่อง “ธนาธร” บรรยายสถานการณ์ภาคยานยนต์ไทย ชี้ไทยเสี่ยงปรับตัวเป็นอีวีไม่ทัน แม้ระยะสั้นยังมั่นคง แต่ระยะยาวกระทบหนักแน่

 


เครือข่ายแรงงานพรรคประชาชนจัดรวมพลสมาชิกสัมพันธ์ “ษัษฐรัมย์” สรุปผลงานทีมประกันสังคมก้าวหน้า ขยาย-ปกป้องประโยชน์ผู้ประกันตนสำเร็จหลายเรื่อง “ธนาธร” บรรยายสถานการณ์ภาคยานยนต์ไทย ชี้ไทยเสี่ยงปรับตัวเป็นอีวีไม่ทัน แม้ระยะสั้นยังมั่นคง แต่ระยะยาวกระทบหนักแน่


วันที่ 29 มิถุนายน 2568 ที่สำนักงานการนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง เครือข่ายผู้ใช้แรงงานพรรคประชาชนจัดกิจกรรมสมาชิกสัมพันธ์ เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้แรงงานในปัจจุบัน โดยภายในงานมีการบรรยายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในระบบประกันสังคม โดย ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี กรรมการผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตนในคณะกรรมการประกันสังคม ทีมประกันสังคมก้าวหน้า และการบรรยายเกี่ยวกับทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนในปัจจุบัน โดย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า


โดยในส่วนของษัษฐรัมย์ ได้บรรยายถึงสถานการณ์ในระบบประกันสังคม โดยระบุว่าในช่วงเวลา 1 ปีครึ่งที่ผ่านมาหลังทีมประกันสังคมก้าวหน้าชนะการเลือกตั้งเข้าสู่การทำงานในเดือนมีนาคม 2567 เป็นเวลา 1 ปี 3 เดือน อาจไม่ได้มีอำนาจมากมาย แต่พูดได้อย่างเต็มปากว่าเราชนะทั้งทางความคิด วัฒนธรรม และทางการเมือง


กองทุนประกันสังคมมีงบบริหารจัดการ 6,000 ล้านบาท มากกว่าหลายกระทรวงแม้จะมีสถานะเทียบเท่าแค่กรม มีผู้ประกันตนมากกว่า 15 ล้านคน เงินประกันสังคมเข้าจากนายจ้างและผู้ประกันตนราว 80,000 ล้านบาทเท่ากัน สมทบจากรัฐบาลประมาณ 50,000 ล้านบาท ปีหนึ่งมีเงินเข้าประกันสังคมราว 2 แสนล้านบาท จ่ายเป็นสิทธิประโยชน์ประมาณ 1 แสนล้านบาท หรือ 40% งบประมาณการลงทุนของประกันสังคม 2.7 ล้านล้านบาท โดยกองที่ใหญ่ที่สุดคือกองเงินบำนาญและเงินสวัสดิการเด็กขนาด 2.2 ล้านล้านบาท


ษัษฐรัมย์กล่าวต่อไปว่า การบริหารประกันสังคมไม่ได้ง่าย แต่ยังนับเป็นโชคดีที่ภายในคณะกรรมการฯ 21 คน ฝั่งนายจ้างไม่ได้เป็นเอกภาพ ขณะที่ฝ่ายรัฐและข้าราชการก็มีหลายส่วนที่มีความเห็นสอดคล้องกัน เมื่อฝ่ายผู้ประกันตนกล้ายืนขึ้นทักท้วงในสิ่งที่ไม่ถูกต้องและยืนยันในสิ่งที่ควรทำ บอร์ดประกันสังคมก็สามารถผลักดันหลายเรื่องให้ประสบความสำเร็จได้ ภายใต้อำนาจที่มีอยู่อย่างจำกัด ไม่ว่าจะเป็น


1) เพิ่มเงินสวัสดิการเด็กแบบถ้วนหน้า จาก 800 บาทเป็น 1,000 บาท ที่ในอดีตต้องใช้เวลาถึง 7 ปีในการเพิ่มแต่ละครั้ง ใช้งบประมาณ 3,000 ล้านบาท ให้เด็ก 1.2 ล้านคน โดยไม่ได้กระทบกับกองทุนแต่อย่างใด


2) เพิ่มเงินประกันการว่างงาน สูงสุดเป็น 9,000 บาท หรือ 60% ของค่าจ้าง มีคนได้ใช้ประโยชน์ในส่วนนี้ถึง 80,000 คนต่อปี


3) ปรับสูตรบำนาญ ที่เดิมใช้วิธีการคำนวณคือนำเงินเดือน 60 เดือนสุดท้ายนำมาเป็นฐานค่าจ้าง ซึ่งปัจจุบันมีคนเสียประโยชน์จากสูตรบำนาญนี้ขั้นต่ำ 4 แสนคน เปลี่ยนมาเป็นการใช้สูตรคำนวณเงินเดือนตลอดอายุ นำเงินในอดีตมาปรับตามเงินเฟ้อ โดยจะมีมาตรการเปลี่ยนผ่านในช่วงการเยียวยาอีก 5 ปี ซึ่งจะทำให้ผู้ประกันตนทั้งมาตรา 33 และมาตรา 39 ได้รับเงินบำนาญเพิ่มขึ้น 4-6 แสนคนในสัดส่วนที่แตกต่างกัน ขณะนี้อยู่ในระดับอนุกรรมการ เตรียมเข้าสู่กระบวนการประชาพิจารณ์แล้ว


4) ลดค่าใช้จ่ายบริหารสำนักงานลง 10% จาก 6,000 ล้านบาท ทั้งค่าใช้จ่ายด้านไอที การดูงานต่างประเทศ และงบประมาณที่ไม่เกิดประโยชน์โดยตรงกับผู้ประกันตน


5) เพิ่มผลตอบแทนการลงทุนเป็น 70,000 ล้านบาทต่อปี ป้องกันการลงทุนที่ผิดพลาดมูลค่า 3 แสนล้านบาท ซึ่งจะขยายอายุกองทุนไปได้อีก 5 ปีจากการคำนวณเบื้องต้น เนื่องจากงบประมาณของประกันสังคมจำนวนมากอยู่ในอำนาจการพิจารณาของอนุกรรมการชุดต่างๆ ทำให้ทีมประกันสังคมก้าวหน้าตัดสินใจเข้าไปเป็นอนุกรรมการในชุดต่างๆ แม้จะไม่ได้เป็นประธานแต่ก็มีบทบาทในการต่อสู้และตรวจสอบอย่างเต็มที่ จนสามารถขัดขวางการลงทุนที่ผิดพลาดได้หลายรายการ และยังคงเรียกร้องให้มีการเปิดเผยรายงานการประชุมของอนุกรรมการทุกชุด


ษัษฐรัมย์กล่าวต่อไปว่า ส่วนกรณีที่มีข่าวออกมาบ่อยครั้งว่ากองทุนประกันสังคมกำลังจะเงินหมด จะล้มละลาย มีการคำนวณว่าอีก 27 ปี หรือหลังปี 2585 ถ้าโครงสร้างประชากรไม่มีการเปลี่ยนแปลง เด็กเกิดไม่มากขึ้น อัตราการสมทบเท่าเดิม กองทุนประกันสังคมจะต้องใช้เงินสำรอง และเมื่อใช้เงินสำรองก็หมายความว่าจะมีเงินเหลือไปใช้ในการลงทุนน้อยลง จนกระทั่งราวปี 2599 เงินจะหมด 


แต่ตนต้องเรียนว่าการบริหารเงินบำนาญประกันสังคมด้านหนึ่งไม่ใช่ปัญหาแต่เป็นความท้าทายที่ต้องจัดการ มันไม่มีประเทศไหนในโลกนี้ที่จะอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไร ถ้าสามารถสร้างผลตอบแทน มีการลงทุนที่ได้รับกำไรเพิ่มเติม จะสามารถขยายอายุออกไปได้อีก 5 ปี เหมือนที่เราทำสำเร็จมา แต่ก็ต้องมีมาตรการอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติม เช่น การตัดงบประมาณที่ไม่จำเป็น ขยายสิทธิประโยชน์ให้ประชาชนเกิดความไว้ใจสมทบต่อเนื่อง ขยายเพดานการสมทบจากรัฐบาลให้มีความเท่าเทียมกัน หากรวมกับมาตรการอื่นๆ ได้ ก็จะสามารถขยายอายุกองทุนออกไปได้อีกถึง 20 ปี แต่นี่คืออำนาจของผู้บริหารที่ต้องเข้ามาจัดการในส่วนนี้ เช่น การปรับสูตรบำนาญ แม้ในระยะสั้นดูเหมือนต้องจ่ายเงินเพิ่ม แต่ในระยะยาวจะทำให้คนรุ่นถัดไปมีโอกาสได้ใช้สิทธิประโยชน์ของประกันสังคมอย่างเต็มที่


“แม้จะเป็นก้าวเล็กๆ แต่มันเป็นก้าวเล็กๆ ที่เปลี่ยนชีวิตคนมหาศาล และเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าประกันสังคมก้าวหน้าคือก้าวแรกสู่รัฐสวัสดิการ อุดมคติและความเป็นจริงไปด้วยกันได้” ษัษฐรัมย์กล่าว


ในส่วนของธนาธรที่ร่วมบรรยายถึงสถานการณ์ของภาคยานยนต์ ระบุว่าภาคการผลิตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในรอบหลายปีที่ผ่านมาหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มที่สำคัญคือการเข้ามาของยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเป็นแนวโน้มเดียวกับทั่วโลก ย้อนหลังกลับไปเมื่อปี 2557 สัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้ามีเพียง 0.4% ของการผลิตรถยนต์ทั่วโลก ปี 2562 เพิ่มเป็น 1% ปี 2563 เพิ่มเป็น 3% และปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 19% การเติบโตของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ในอัตราที่เร็วมาก 


ที่สำคัญคือสัดส่วนของผู้ประกอบการจีนเพิ่มขึ้นจาก 26% ในปี 2557 มาเป็น 33% ในปี 2567 และหากดูเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า 3 บริษัทที่ครองส่วนแบ่งในตลาดโลกมากที่สุดคือ เทสลา โฟล์คสวาเกน และบีวายดี อีกทั้งจะเห็นได้ว่าบริษัทที่ครองส่วนแบ่งมากที่สุดในโลกมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ จากเดิมที่เป็นเทสลา วันนี้มาเป็นบีวายดีครองส่วนแบ่งมากที่สุดในโลกแล้ว


ธนาธรกล่าวต่อไปว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในวันนี้ถึงจุดที่อิ่มตัวแล้ว ไม่น่าจะกลับไปสู่การผลิตในยุครุ่งโรจน์ได้ การรักษาระดับให้ได้ปีละ 1.8-2 ล้านคันใน 10 ปีข้างหน้าจะเป็นสิ่งที่ท้าทายมาก อุตสาหกรรมยานยนต์ที่เคยเป็นอุตสาหกรรมหลักของไทยจะไม่สามารถเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจได้อีกแล้ว จะไม่มีการลงทุนใหญ่เพื่อเพิ่มความสามารถในการผลิต การลงทุนในอนาคตจะมีเพียงการลงทุนเพื่อเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรที่หมดอายุการใช้งาน และจะไม่มีการจ้างงานใหม่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งในอนาคตมีแต่จะทรงตัวและค่อยๆ ลดลง


ปัจจัยที่มีผลมากในระยะยาว คือตราบใดที่การส่งออกรถยนต์ไฟฟ้ามีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่อุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยปรับห่วงโซ่อุปทานไปผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไม่ทัน โอกาสที่จะได้ส่งออกเพิ่มขึ้นก็จะไม่เกิดขึ้น ขณะที่การบริโภคภายในไม่มีทางเพิ่มขึ้นและมีแต่จะลดลง จากอัตราประชากรเกิดใหม่ที่น้อยลงและอัตราการเสียชีวิตของประชากรที่สูงขึ้นในอัตราเร่งที่น่ากังวลใจมาก


ธนาธรกล่าวต่อไปว่า เมื่อ 3 ปีที่แล้วรัฐบาลออกนโยบายมาชุดหนึ่ง เพื่อหวังให้มีการเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปมาเป็นอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า คือนโยบาย 30/30 ที่มีเป้าหมายให้ประเทศไทยต้องมีสัดส่วนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศเป็น 30% ภายในปี 2030 โดยวิธีการคือรัฐบาลให้เงินสนับสนุนบริษัทที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ 1 แสนบาทต่อคัน หรือหากนำเข้าก็ต้องผลิตคืนในประเทศ


สิ่งที่เกิดขึ้นคือบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าจีนเข้ามาผลิตในประเทศไทยกันจำนวนมาก แต่เมื่อได้เงินสนับสนุนไปแล้วกำลังซื้อของคนไทยลดลง หนี้ครัวเรือนสูง เกิดการแข่งขันตัดราคาจนบริษัทขาดสภาพคล่อง บริษัทผลิตคืนไม่ได้ ก็เท่ากับบริษัทกำลังจะได้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลไปฟรีๆ อย่างในกรณีของบริษัทเนต้า (NETA) ที่ล้มละลายไป เอาเงินจากรัฐไปแล้วอย่างน้อย 2,600 ล้านบาท ซึ่งเงินก้อนนี้รัฐบาลก็คงไม่ได้เงินคืนแล้ว และผู้บริโภคก็คงต้องรับกรรมไป


ธนาธรกล่าวต่อไปว่า ปัญหาคือบริษัทจีนหลายบริษัทที่รับปากว่าจะผลิตในประเทศไทยเป็นการซื้อที่ดินเข้ามาตั้งโรงงานเฉยๆ อุปกรณ์วัสดุก่อสร้างมาจากจีน บริษัทก่อสร้างมาจากจีน ชิ้นส่วนทั้งหมดก็มาจากจีน โรงงานหนึ่งเกิดการจ้างงานคนไทยไม่น่าเกิน 300-500 คน ที่สำคัญคือมาเบียดบังส่วนแบ่งการตลาดของผู้ประกอบการเดิมด้วย แนวโน้มนี้กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก หลายผู้ประกอบการปรับตัวไม่ทัน การแข่งขันด้านราคารุนแรงจากบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าจีน จนบริษัทรถยนต์ระดับโลกเกิดปัญหาเต็มไปหมด


ทั้งหมดจะนำมาสู่การปรับตัวที่เยอะมากในอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย แม้จะไม่โตแต่ก็จะไม่ลดลงอย่างมีนัยยะในเร็ววัน เพราะอุตสาหกรรมเครื่องยนต์สันดาปอย่างไรก็จะไม่หมดลงไปในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า แต่ในระยะ 10 ปีน่าจะเริ่มเห็นผลแล้วถ้าประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไม่ทัน แนวโน้มหนึ่งที่มีการพูดถึงกันมากคือการเสนอให้มีการพูดคุยกับบริษัทญี่ปุ่นที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ให้ย้ายฐานการผลิตเครื่องยนต์สันดาปมาอยู่ในเมืองไทย เป็นทางออกให้อุตสาหกรรมยานยนต์ตายช้าๆ แต่อยู่ยาวๆ


ธนาธรกล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยส่งเสริมหรือผลักดันให้บริษัทที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาผลิตในประเทศไทยเลย บริษัทจีนที่เข้ามาก็ไม่มีบริษัทไหนที่เอาเทคโนโลยีต้นทางเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ ระบบควบคุม อุปกรณ์หลักๆ ไม่มีส่วนไหนที่ผลิตในประเทศเลย


โดยสรุปแล้วอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยในอนาคตมีความไม่แน่นอนสูงมาก แต่ไม่ใช่ระยะใกล้ เพราะอุตสาหกรรมยายยนต์ไม่สามารถย้ายฐานการผลิตแบบทันทีได้ ใน 2-3 ปีข้างหน้าสถานะของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะยังมั่นคง ไม่ขึ้นหรือลงอย่างหวือหวา แต่หลังจากนั้น 5 ปีขึ้นไปจะมีแต่แนวโน้มที่ลดลง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ประกันสังคมก้าวหน้า