วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2568

เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน ยื่นกมธ.การแรงงาน จี้กระทรวงแรงงาน เร่งเก็บเงินสมทบเข้า #กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง สร้างหลักประกันเงินช่วยเหลือกรณีออกจากงาน-เสียชีวิตให้กับผู้ใช้แรงงาน

 


เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน ยื่นกมธ.การแรงงาน จี้กระทรวงแรงงาน เร่งเก็บเงินสมทบเข้า #กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง สร้างหลักประกันเงินช่วยเหลือกรณีออกจากงาน-เสียชีวิตให้กับผู้ใช้แรงงาน


วันที่ 21 สิงหาคม 2568 เวลา 10.30 น. ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ประธานคณะ กมธ.การแรงงาน และคณะ รับยื่นหนังสือจาก น.ส.ธนพร วิจันทร์ ตัวแทนเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน และคณะ เรื่อง การเลื่อนการจัดเก็บเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง


ตามที่กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้เสนอการดำเนินการจัดตั้งกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้มีการดำเนินการ "จัดตั้งกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง" ตามหลักการแห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 หมวด 13 มาตรา 126 ที่กำหนดไว้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสงเคราะห์ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงาน หรือตาย ต่อมารัฐบาลได้ดำเนินการออกพระราชกฤษฎีกาและกฎกระทรวงเพื่อดำเนินการจัดเก็บเข้ากองทุน โดยกำหนดเริ่มจัดเก็บเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป และเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2568 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน เรื่อง การเลื่อนการจัดเก็บเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ออกไปอย่างน้อย 1 ปี โดยอ้างเหตุผลว่าไม่สามารถประเมินผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีสหรัฐฯ ได้


ซึ่งหากรีบดำเนินการในช่วงนี้อาจทำให้โรงงานหลายแห่งต้องปิดกิจการลงได้ โดยจะนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเห็นชอบ และจะทำประชาพิจารณ์ใหม่อีกครั้ง เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน ในฐานะตัวแทนของลูกจ้าง รู้สึกกังวลต่อเรื่องดังกล่าว เพราะที่ผ่านมาลูกจ้างได้มีการผลักดันเรียกร้องให้กระทรวงแรงงานดำเนินการจัดตั้งกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างมายาวนานกว่า 26 ปี ซึ่งกองทุนดังกล่าวจะทำให้ลูกจ้างมีเงินออมไว้ใช้เมื่อต้องออกจากงานหรือตาย จึงขอให้ประธานคณะ กมธ. พิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงและเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาชี้แจงข้อมูลเพื่อจะเป็นประโยชน์ และเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ความคุ้มครองสิทธิแรงงาน เกิดความเป็นธรรม และเกิดความมั่นคงของคนทำงานต่อไป


นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า คณะ กมธ. จะพยายามดำเนินการให้เร็วที่สุด และจะเชิญตัวแทนของกระทรวงแรงงาน และตัวแทนเครือข่ายแรงงาน ทั้งในส่วนของนายจ้างและลูกจ้างมาให้ข้อมูล ทั้งนี้ แรงงานไทยต้องมีสวัสดิการ มีเงินออม มีเงินสะสม เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการต่อสู้ในเรื่องของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ และขอขอบคุณทุกท่านที่มายื่นหนังสือในครั้งนี้ คณะ กมธ. จะดำเนินการโดยเร็วที่สุด


ด้านนายเซีย จำปาทอง รองประธานคณะ กมธ. คนที่สาม กล่าวว่า การเลื่อนการจัดเก็บเงินสงเคราะห์ลูกจ้าง ตามที่เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชนได้มายื่นหนังสือในวันนี้ พี่น้องแรงงานเกิดความกังวล เพราะเงินกองทุนเป็นเงินที่แรงงานมีความหวัง รอคอยมานานกว่า 26 ปี ในการจัดตั้งกองทุน ซึ่งกองทุนนี้จะเป็นเงินออมของลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างทำงานอยู่แล้ว แต่ต้องออกจากงาน เงินส่วนนี้จะช่วยบรรเทาเยียวยาให้กับลูกจ้างในช่วงตกงาน หรือลูกจ้างเสียชีวิต รวมทั้งเงินก้อนนี้จะจ่ายให้กับทายาทของลูกจ้าง ทั้งนี้ เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประกาศว่าจะเลื่อนออกไปอย่างน้อย 1 ปี ส่งผลให้ลูกจ้างเกิดความกังวล เพราะสถานการณ์การเลิกจ้างในปัจจุบัน เมื่อลูกจ้างถูกเลิกจ้างจะได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ขอให้เงินกองทุนนี้ไว้เป็นใช้จ่ายในอนาคต และจะนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะ กมธ. พร้อมทั้งเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลข้อเท็จจริงต่อไป

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กรรมาธิการการแรงงาน