วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2568

“ณรงเดช” อภิปรายต้นตอปัญหาราคาข้าวตกต่ำ เพราะต้นทุนสูง-เมล็ดพันธุ์ดีมีไม่พอ ขอตัดงบกรมการข้าวสร้างโรงงาน-เครื่องจักรใหม่ ชี้ตราบที่งบกองทุนหมุนเวียนผลิตเมล็ดพันธุ์มีเท่าเดิมก็ผลิตพันธุ์ข้าวไม่ได้เพิ่มขึ้น จะเอาโรงงาน-เครื่องจักรมารองรับเมล็ดพันธุ์ข้าวใหม่จากไหน

 


ณรงเดช” อภิปรายต้นตอปัญหาราคาข้าวตกต่ำ เพราะต้นทุนสูง-เมล็ดพันธุ์ดีมีไม่พอ ขอตัดงบกรมการข้าวสร้างโรงงาน-เครื่องจักรใหม่ ชี้ตราบที่งบกองทุนหมุนเวียนผลิตเมล็ดพันธุ์มีเท่าเดิมก็ผลิตพันธุ์ข้าวไม่ได้เพิ่มขึ้น จะเอาโรงงาน-เครื่องจักรมารองรับเมล็ดพันธุ์ข้าวใหม่จากไหน


วันที่ 14 สิงหาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2569 ณรงเดช อุฬารกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้อภิปรายถึงงบประมาณของกรรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยขอตัดลดงบประมาณที่ยังไม่มีความจำเป็นในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวลง


โดยณรงเดชระบุว่าตอนนี้สถานการณ์ราคาข้าวและการส่งออกกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ ข้าวเปลือกขณะนี้ราคาต่ำสุดในรอบ 17 ปี ข้าวเปลือกความชื้น 25% ราคาเพียง 5,000 บาทต่อตัน ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนการเพาะปลูก ส่งผลให้ชาวนาทั่วประเทศเดือดร้อนอย่างหนัก ขณะนี้การส่งออกข้าวก็ซบเซาเพราะการแข่งขันลำบาก เนื่องจากต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าคู่แข่ง ต้นตอของปัญหาคือสายพันธุ์ข้าวของไทยไม่ตรงความต้องการของตลาดโลกและปริมาณเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีก็มีไม่เพียงพอ ทั้งสองเรื่องนี้ส่งผลโดยตรงให้ผลผลิตข้าวต่อไร่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น


การผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าวเป็นหัวใจในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวของไทย ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวรวมประมาณ 70 ล้านไร่ต่อปี ต้องการเมล็ดพันธุ์คุณภาพดี 1.4 ล้านตันต่อปี แต่สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ดีได้เพียง 770,000 ตันต่อปีเท่านั้น ที่เหลือเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ชาวนาเก็บไว้เพาะปลูกเอง ซึ่งมีการปลอมปนสูง คุณภาพไม่ดี ยิ่งข้าวราคาตกต่ำลงแบบในปัจจุบันชาวนาก็ยิ่งเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกเองมากขึ้นเพื่อลดต้นทุน ผลผลิตต่อไร่ของไทยจึงต่ำกว่าประเทศคู่แข่งมาก


ณรงเดชกล่าวต่อไปว่ากรมการข้าวชี้ว่าหากชาวนาใช้เมล็ดข้าวพันธุ์ดีคุณภาพดี จะช่วยเพิ่มผลผลิตข้าวได้ประมาณ 15% โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนการผลิต ดังนั้น การมีเมล็ดพันธุ์ข้าวไม่เพียงพอจึงเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรและการยกระดับการแข่งขันของข้าวไทย กรมการข้าวจึงมีหน้าที่ผลิตเมล็ดข้าวพันธุ์ดีให้ชาวนา โดยเริ่มจากศูนย์วิจัยข้าวจะเป็นผู้ผลิตเมล็ดชั้นพันธุ์คัด 370 ตัน เพื่อนำไปผลิตเมล็ดพันธุ์หลักจำนวน 3,700 ตัน ต่อมากองเมล็ดพันธุ์จะนำเมล็ดพันธุ์หลักไปให้เครือข่ายเกษตรกรผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ ผลิตเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์ขยายและเมล็ดพันธุ์จำหน่าย ก่อนซื้อคืนมาในราคากิโลกรัมละ 15.80 บาท จากนั้นกองเมล็ดพันธุ์ก็จะให้ศูนย์เมล็ดพันธุ์นำไปปรับปรุงคุณภาพ ลดความชื้น ขจัดสิ่งเจือปน บรรจุถุง แล้วนำไปจำหน่ายให้ชาวนาไปเพาะปลูก โดยมีเป้าหมาย 100,000 ตัน รวมทั้งสองส่วนเป็นเป้าหมายการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว 104,700 ตันของกรมการข้าวในปีนี้


การผลิตเมล็ดพันธุ์ขยายและพันธุ์จำหน่าย ใช้เงินจากเงินทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืชที่ตั้งมาตั้งแต่ปี 2537 มีเป้าหมายผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว 100,000 ตันมาตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งในปีนั้นมีเงินทุนหมุนเวียน 1,212 ล้านบาท ในปี 2568 กองทุนดังกล่าวมีเงินทุนหมุนเวียน 1,648 ล้านบาท มีเป้าหมายในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว 95,000 ตัน เงินจำนวนนี้หารด้วย 15.80 บาทจะทำให้กรมการข้าวซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวในแต่ละปีได้ 104,303 ตัน จึงเป็นขีดจำกัดในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของกรมการข้าว ซึ่งตรงกับเป้าหมายของกรมการข้าวในปีนี้


ณรงเดชกล่าวต่อไปว่า 16 ปีที่ผ่านมา กรมการข้าวใช้เงินจากเงินทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์ ในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวมาโดยตลอด แต่งบประมาณที่กรมการข้าวขอในปีนี้ในโครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว กลับไม่ใช่การนำเงินงบประมาณไปผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโดยตรง แต่เป็นการใช้งบประมาณไปลงทุนเพื่อสร้างโรงงานและติดตั้งเครื่องจักรที่ใช้ในการปรับปรุงคุณภาพเมล็ดพันธุ์ข้าวและบรรจุถุงจำหน่าย


งบประมาณของกรมการข้าวในปีนี้อยู่ที่ 4,486 ล้านบาท เป็นงบประมาณในโครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว 1,938 ล้านบาท เป็นการผูกพันรายจ่ายเพื่อการลงทุนโครงการก่อสร้างและจัดหาเครื่องจักรขนาดใหญ่ เช่น โครงการก่อสร้างศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวแห่งใหม่สองแห่ง ที่ จ.เชียงรายและ จ.เพชรบูรณ์ ใช้งบประมาณผูกพันหลายร้อยล้านบาท รวมถึงโครงการปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ ในศูนย์เมล็ดพันธุ์ต่างๆ ใช้งบหลักพันล้านบาท


ณรงเดชกล่าวต่อไปว่า ไม่ว่าจะใช้งบประมาณในส่วนนี้มากเท่าไหร่ ถ้าไม่เพิ่มเงินลงไปในส่วนของเงินทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายเมล็ดพันธุ์พืช การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของกรมการข้าวก็จะไม่เพิ่มขึ้น เงินทุนหมุนเวียนจึงเป็นคอขวดสำคัญในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว ตนแปลกใจกับตัวเลขที่กรมการข้าวใช้เพื่อการของบประมาณในการก่อสร้างโครงการเหล่านี้ ที่บอกว่าจะผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวได้ 150,000 ตัน แล้วกรมการข้าวจะเอาเมล็ดพันธุ์ข้าว 150,000 ตันมาจากไหนเพื่อปรับปรุงสภาพ ถ้าไม่เพิ่มเงินทุนหมุนเวียน


ปี 2566 กรมการข้าวใช้งบประมาณไป 431 ล้านบาท ปี 2567 ใช้งบประมาณไป 442 ล้านบาท ปี 2568 ใช้งบประมาณไป 1,983 ล้านบาท รวมสามปีแรกใช้เงินงบประมาณไปเกือบ 3 พันล้านบาทแล้ว แต่ผลผลิตเท่าเดิมทุกปี ปีนี้ก็ยังมาขออีกเกือบ 2,000 ล้านบาท การสร้างอาคารหรือซื้อเครื่องจักรใหม่ก็ยังเบิกจ่ายไม่หมดในปีนี้และคาดว่าจะล่าช้าด้วย เครื่องจักรบางส่วนก็ต้องใช้เวลาก่อสร้างและติดตั้งหลายปี สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นเรื่องที่ดีในระยะยาวแต่ในระยะสั้นก็ไม่ได้ช่วยให้เพิ่มปริมาณเมล็ดพันธุ์ข้าวพันธุ์ดีได้ทันที


ณรงเดชระบุว่าดังนั้นตนจึงสนับสนุนการพิจารณาตัดลดงบประมาณในโครงการที่เห็นว่ายังไม่เร่งด่วนออกไปจำนวน 4 โครงการในชั้นของคณะกรรมาธิการ รวมถึงโครงการลงทุนก่อสร้างขนาดใหญ่บางโครงการ และโครงการฝึกอบรมสัมมนาบางส่วน เพราะในสภาวะวิกฤตเช่นนี้ งบประมาณก่อสร้างอาคารใหม่หรือการจัดอบรมยังไม่น่าจะจำเป็นเท่าไหร่ สามารถรอในปีถัดๆ ไปได้ ตราบที่ยังไม่มีการเพิ่มเงินทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตและขยายพันธุ์พืช ก็ไม่มีมีความจำเป็นที่จะต้องลงทุนเพื่อรองรับเมล็ดพันธุ์ข้าว 150,000 ตัน ที่เป็นตัวเลขเป้าหมายของโครงการที่ยังลอยอยู่ในอากาศ เพราะใส่งบประมาณลงไปผลผลิตก็เท่าเดิม

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #อภิปรายงบประมาณ #งบ69 #กรมการข้าว