วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2568

พรรคประชาชนดันกฎหมายป้องกันฟ้องปิดปาก รอสภาเปิดรับฟังความเห็น “ชลธิชา” เผยสถิติตั้งแต่รัฐประหาร 57 ไทยยืนหนึ่งอาเซียน ฟ้องปิดปากผู้หญิง-นักสิทธิฯ กระทบเสรีภาพประชาชน

 


พรรคประชาชนดันกฎหมายป้องกันฟ้องปิดปาก รอสภาเปิดรับฟังความเห็น “ชลธิชา” เผยสถิติตั้งแต่รัฐประหาร 57 ไทยยืนหนึ่งอาเซียน ฟ้องปิดปากผู้หญิง-นักสิทธิฯ กระทบเสรีภาพประชาชน


วันที่ 17 ตุลาคม 2568 ที่รัฐสภา คณะทำงานภายใต้คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ได้จัดเสวนาหัวข้อ “กฎหมาย Anti-SLAPP กับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล : อนาคต ความหวัง และเสรีภาพในการแสดงออก” เพื่อผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบายในการปรับปรุงและพัฒนากฎหมายป้องกันการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณะ หรือ “กฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก” ให้เป็นกลไกสำคัญในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ


ช่วงหนึ่ง ชลธิชา แจ้งเร็ว สส.ปทุมธานี เขต 3 พรรคประชาชน ในฐานะคณะทำงานฯ ได้นำเสนอความคืบหน้าของการผลักดันกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก โดยกล่าวว่า ร่างกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก (Anti SLAPPs) เป็นกลไกทางกฎหมายที่สำคัญในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชนที่ต้องได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ รวมถึงเป็นการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วม ตั้งคำถาม ตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์ หรือแสดงความเห็นต่อเรื่องสาธารณะ 


ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายของการฟ้องปิดปากจำนวนมาก ทั้งประชาชนทั่วไป นักกิจกรรม นักข่าว นักปกป้องสิทธิมนุษยชน รวมไปถึง สส. โดยการฟ้องปิดปากดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสร้างภาระแก่จำเลยให้เกิดความยุ่งยาก เสียค่าใช้จ่าย เสียเวลา สร้างบรรยากาศของความหวาดกลัวในการแสดงความคิดเห็น แม้ว่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต โดยไม่ได้มุ่งเน้นที่การแสวงหาความยุติธรรมแต่อย่างใด 


ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นและเข้าข่ายเป็นการฟ้องปิดปากอย่างชัดเจน เช่น บริษัทผลิตอาหารขนาดใหญ่ ฟ้องร้องเลขาธิการมูลนิธิชีววิถี (BioThai) ฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กรณีการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ, กรณีที่บริษัทโทรคมนาคมขนาดใหญ่ ฟ้องคุณพิรงรอง รามสูต อดีตกรรมการ กสทช. ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, กรณีสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกฯ และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคนปัจจุบัน ฟ้องร้อง สหัสวัต คุ้มคง และ รักชนก ศรีนอก สส.พรรคประชาชน หลังให้ข้อมูลกรณีการเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องกรณีสำนักงานประกันสังคมซื้อตึกมูลค่ากว่า 7 พันล้านบาท หรือกรณีกลุ่มทุนพลังงานใหญ่ฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาฐานหมิ่นประมาทและเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง กับ สส.พรรคประชาชน 3 ราย รวมกัน 300 ล้านบาท จากกรณีการอภิปรายตั้งข้อสังเกตถึงความไม่เป็นธรรมและความไม่โปร่งใสในการซื้อพลังงานไฟฟ้าของรัฐบาลจากกลุ่มทุนดังกล่าว 


จากรายงานของ Protection International พบว่า ประเทศไทยตั้งแต่หลังรัฐประหาร2557 ถึง กุมภาพันธ์ 2568 มีผู้หญิงและนักสิทธิมนุษยชนถูกฟ้องปิดปากทั้งหมด 595 คดี จาก 13 ฐานความผิด ซึ่งถือว่ามากที่สุดในอาเซียนอีกด้วย


ชลธิชากล่าวว่า กฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากของพรรคประชาชน ซึ่งเสนอโดยตนและ อนุสรณ์ แก้ววิเชียร สส.นนทบุรี เขต 3 ประกอบด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย 4 ฉบับ ได้แก่ ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยมีสาระสำคัญดังนี้


(1) เพิ่มบทนิยาม "การมีส่วนร่วมเพื่อประโยชน์สาธารณะ" ให้หมายความรวมถึง การเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างหนึ่งอย่างใดในกระบวนการตัดสินใจ หรือการดำเนินกิจการหนึ่งกิจการใดที่มีประโยชน์แก่ส่วนรวม หรือประโยชน์อันเกิดแก่การจัดทำบริการสาธารณะ หรือการจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือประโยชน์อื่นใดที่เกิดจากการดำเนินการ หรือการกระทำที่มีลักษณะเป็นการส่งเสริมหรือสนับสนุนแก่ประชาชนเป็นส่วนรวม หรือประชาชนส่วนรวมจะได้รับประโยชน์จากการดำเนินการหรือการกระทำนั้น


(2) ยกเลิกโทษจำคุกฐานหมิ่นประมาทและฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า หรือด้วยการโฆษณา เปลี่ยนเป็นโทษปรับทางพินัย ความผิดฐานหมิ่นประมาท ปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท ความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา ปรับเป็นพินัยไม่เกิน 5,000 บาท


(3) เพิ่มเหตุยกเว้นความผิดฐานหมิ่นประมาท กรณีแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต ในการมีส่วนร่วมเพื่อประโยชน์สาธารณะ และหากพิสูจน์ได้ว่าข้อความที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นการหมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง จะถือว่าไม่มีความผิด อย่างไรก็ตาม ห้ามไม่ให้พิสูจน์หากเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัวและการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน


(4) จำเลยในคดีอาญาสามารถแถลงต่อศาลว่าถูกฟ้องคดีเพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมเพื่อประโยชน์สาธารณะ และขอให้ศาลยกฟ้องคดีได้ ภายใน 30 วันนับจากวันที่ศาลรับคําแถลง รวมทั้งกำหนดกระบวนการไต่สวนและการสั่งคดี ส่วนจำเลยในคดีแพ่ง สามารถยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยกฟ้องคดีได้ภายใน 15 วันนับจากวันที่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง และกำหนดให้ชะลอกระบวนพิจารณาคดีทั้งหมดระหว่างการพิจารณาคำร้อง และศาลมีอำนาจสั่งให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหาย รวมถึงค่าสินไหมทดแทน เพื่อการลงโทษได้


(5) ในคดีอาญาที่ประชาชนยื่นฟ้องต่อศาลเอง หากต่อมาปรากฏความจริงว่าเป็นการฟ้องคดีเพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมเพื่อประโยชน์สาธารณะ ศาลอาจกำหนดให้คนที่ฟ้อง (โจทก์) ต้องรับผิดชอบจ่ายค่าใช้จ่ายในการสู้คดีให้จำเลย และจ่ายค่าสินไหมทดแทนเพื่อเป็นการลงโทษได้ 


(6) กำหนดกลไกป้องกันในชั้นพนักงานสอบสวน ให้พนักงานสอบสวนเร่งรวบรวมพยานหลักฐาน และกำหนดข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับการร้องทุกข์หรือกล่าวโทษในหลายท้องที่หรือในท้องที่ที่ไม่เกี่ยวข้อง


(7) ให้อำนาจพนักงานอัยการในการยุติคดีที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมเพื่อประโยชน์สาธารณะ และให้ความคุ้มครองการสั่งคดีโดยสุจริต แม้ว่าจะยุติคดีหรือดำเนินคดีต่อไป


(8) ยกเว้นความรับผิดทางแพ่ง กรณีการเผยแพร่ข้อมูลโดยไม่รู้ว่าเป็นความเท็จ และการเผยแพร่นั้นเป็นเรื่องประโยชน์สาธารณะ หากได้ใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอตามภาวะวิสัย​และพฤติการณ์แล้ว ไม่มีความผิดทางแพ่ง


ชลธิชากล่าวว่า ขณะนี้ร่างกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากของพรรคประชาชน ยื่นเข้าสภาเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างรอสภาเปิดรับฟังความเห็นตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ เมื่อรับฟังความเห็นเสร็จแล้วจึงเข้าคิวบรรจุวาระเพื่อพิจารณาในสภาฯ ต่อไป


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กรรมาธิการพัฒนาการเมือง #หยุดฟ้องปิดปาก




“ยืน หยุด ขัง” สัญจร หน้ารัฐสภา 57 นาที ยืนยันในสิทธิประกันตัว ส่งเสียงนิรโทษกรรมรวม112 #ปล่อยเพื่อนเรา คืนอิสรภาพให้นักโทษคดีทางการเมือง

 


“ยืน หยุด ขัง” สัญจร หน้ารัฐสภา 57 นาที ยืนยันในสิทธิประกันตัว ส่งเสียงนิรโทษกรรมรวม112 #ปล่อยเพื่อนเรา คืนอิสรภาพให้นักโทษคดีทางการเมือง


วันนี้ (17 ต.ค. 68) หน้าประตูทางออก ฝั่งสส. รัฐสภา เกียกกาย มวลชนอิสระ อาทิ ป้าสาคร ป้ามล ป้าเต๊ะ ลุงสุดใจ ที่ยืนหยุดขังเป็นประจำช่วงเย็น หน้าศาลอาญา รัชดา มาทำกิจกรรม #ยืนหยุดขัง สัญจร หน้ารัฐสภา เป็นเวลา 57 นาที เพื่อยันในสิทธิในการประกันตัว หรือสิทธิในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้รับรองไว้ 


17.00 น. ผู้ร่วมกิจกรรมยืนแถวตอนเรียงหนึ่ง ชูรูปผู้ต้องขังทางการเมือง บ้างสวมหน้ากากอานนท์ นำภา บริเวณประตูทางออกรัฐสภา ฝั่งสส. (ตรงข้ามวัดแก้วฟ้า) พร้อมส่งเสียงปล่อยเพื่อนเรา ปล่อยนักโทษการเมือง นิรโทษกรรมต้องรวมมาตรา 112 ท่ามกลางรถที่ขับออกจากสภา บ้างเปิดกระจกรถยกนิ้วให้ บ้างเปิดกระจกรถหยุดดู


กระทั่ง 17.57 น. ทั้งหมดกล่าวบทกวีถึงมหาตุลาการ ที่เขียนโดยอานนท์ นำภา ก่อนยุติกิจกรรม ยืน 57 นาที สื่อสัญลักษณ์นักโทษการเมืองขณะนี้ 57 คน ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลใกล้ชิด


โดยป้ามล กล่าวว่า ที่ต้องออกมายืนหยุดขัง ทุกเย็นที่หน้าศาลอาญา และวันนี้มาสัญจรที่หน้ารัฐสภา เพื่อส่งเสียงว่า ยังมีนักโทษการเมืองที่ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม พวกเราอยากให้พวกเขาได้รับความยุติธรรม ได้รับสิทธิประกันตัว รวมถึง ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง นิรโทษกรรมต้องรวมมาตรา 112


ด้านป้าสาคร กล่าวว่า ความตั้งใจของตัวเองคือเข้าร่วมทุกกิจกรรมจนกว่าจะไม่มีนักโทษการเมือง อยากให้ม. ให้นักการเมืองเห็นแก่ประชาชนอย่างปากพูดจริง ๆ ผลักดันให้ปล่อยนักโทษการเมือง ไม่เจาะจงพรรคไหน ใครก็ได้ทำให้เห็นจริงๆ พวกเรายังมีความหวัง เพื่อรอวันที่คนข้างในจะได้รับสิทธิการประกันตัว และนิรโทษกรรมที่ไม่ทิ้งคนที่โดนมาตรา 112

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นิรโทษกรรมประชาชน






“พริษฐ์” เผยประชุม กมธ.วิสามัญแก้รธน.นัดแรก 20 ต.ค. นี้ ยัน ปธ.ควรเป็นของปชน. เหตุเป็นร่างหลัก ชี้ ตัวแปรสำคัญคือ พ.ร.บ.ประชามติที่ยังไม่ประกาศใช้ ยืนยันแนวคิด ส.ส.ร. เลือกตั้งทางอ้อมไม่ขัดคำวินิจฉัยศาลรธน. ไม่หวั่น ไม่ผ่านวาระ 3 เชื่อแจงสว.ได้

 


“พริษฐ์” เผยประชุม กมธ.วิสามัญแก้รธน.นัดแรก 20 ต.ค. นี้ ยัน ปธ.ควรเป็นของปชน. เหตุเป็นร่างหลัก ชี้ ตัวแปรสำคัญคือ พ.ร.บ.ประชามติที่ยังไม่ประกาศใช้ ยืนยันแนวคิด ส.ส.ร. เลือกตั้งทางอ้อมไม่ขัดคำวินิจฉัยศาลรธน. ไม่หวั่น ไม่ผ่านวาระ 3 เชื่อแจงสว.ได้


วันที่ 17 ตุลาคม 2568 เวลา 13.30 น.ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงการประชุมกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของร่างพรรคประชาชน เพื่อตำแหน่งต่างา ๆประจำกรรมาธิการว่า การประชุมคณะกรรมาธิการนัดแรกได้ถูกกำหนดวันเวลาไว้แล้ว คือ วันจันทร์ที่ 20 ต.ค. เวลา 14:00 น. ซึ่งประเด็นหลักที่จะมีการหารือคือ กรอบในการพิจารณา เนื่องจากคณะกรรมาธิการมีภารกิจที่ต้องพิจารณาให้เสร็จสิ้นภายใน 1-2 เดือน เพื่อให้สามารถส่งเรื่องกลับไปวาระ 2 ของรัฐสภาได้ทันตามกรอบเวลา เพื่อให้ทันต่อการทำประชามติรอบแรกพร้อมกับการเลือกตั้ง วิธีการที่ถูกมองว่าน่าจะทำให้การพิจารณาเป็นไปด้วยดีคือการนำประเด็นที่แต่ละฝ่ายอาจมีความเห็นต่างกันมาแลกเปลี่ยนและหาข้อสรุปก่อน ซึ่งจะทำให้การพิจารณาถ้อยคำในแต่ละมาตราและการปรับปรุงข้อความดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วขึ้น


นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า สำหรับการเสนอชื่อประธานกรรมาธิการ พรรคประชาชน ยืนยันที่จะเสนอตัวแทนของพรรคตนเองไปทำหน้าที่ประธาน เนื่องจากร่างของพรรคประชาชน ได้รับการกำหนดให้เป็นร่างหลักในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ ส่วนจะได้เป็นประธานหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับมติของที่ประชุม ซึ่งพรรคจะเสนอนายณัฐวุฒิ บัว ปทุม สส.บัญชีรายชื่อ หากมีการเสนอชื่อเพียงรายเดียวก็จะได้รับเลือก แต่หากมีการเสนอหลายรายชื่อ ก็จะใช้วิธีการหารือ และลงมติ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติและไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน สิ่งที่สำคัญกว่าตัวบุคคลที่เป็นประธานคือ เนื้อหาสาระ ซึ่งควรจะมีการหาข้อสรุปในประเด็นที่ยังเห็นต่างกันให้ได้เร็วที่สุด และต้องเป็นข้อสรุปที่เชื่อว่าจะตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน เพราะไม่ว่ารัฐสภาจะเห็นชอบร่างแบบใดออกมา ท้ายสุดแล้วก็ต้องไปถามประชาชนในการทำประชามติ หากร่างที่จัดทำไม่ตอบโจทย์ประชาชน ก็มีความเสี่ยงที่จะไม่ผ่านประชามติ


เมื่อถามว่าในห้วงเวลาการพิจารณาจะเสร็จทันตามไทม์ไลน์ที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯระบุไว้หรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตัวแปรสำคัญในขณะนี้คือการร่างพ.ร.บ.ประชามติฉบับใหม่ จะมีการโปรดเกล้าหรือไม่ หากมีการโปรดเกล้าฯ ซึ่งคาดว่าจะทราบชัดเจนภายในวันที่ 3 พ.ย.โดยประมาณ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องผ่านวาระ 3 ช้าสุดคือกลางเดือนม.ค. ทางที่ดีควรให้ผ่านภายในปลายเดือนธ.ค. ซึ่งหมายความว่าวาระ 2 จะต้องพิจารณาเสร็จกลางเดือนธ.ค. ซึ่งกรรมาธิการมีเวลาพิจารณา 2 เดือนเต็ม ถ้าเร็วกว่านั้นได้ก็ดี


เมื่อถามว่าคำถามประชามติมีการคุยกันไว้หรือไม่ นายพริษ์ฐ กล่าวว่า เรื่องคำถามไม่ได้มีความซับซ้อน หากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านวาระ 3 ประชามติรอบแรกจะมี 2 คำถาม ซึ่งกำหนดไว้ในคำวินิจฉัยศาลแล้ว: 1.เห็นด้วยหรือไม่กับการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และ 2. เห็นด้วยหรือไม่กับหลักเกณฑ์วิธีการในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่อยู่ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่รัฐสภาเห็นชอบในวาระ 3" แนวคิดนี้สอดคล้องกับที่นายบวรศักดิ์ได้นำเสนอ สิ่งสำคัญในเวลานี้คือการทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 15/1 ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาวาระ 3 ได้ทัน และมีเนื้อหาที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน ซึ่งพรรคประชาชนให้ความสำคัญกับ 2 เรื่อง 1.ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมให้ได้มากที่สุด ตราบใดที่ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 2. การสร้างกระบวนการหรือกติกาที่ไม่ไปเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ถูกผูกขาดโดยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือทำให้ ส.ส.ร. กลายเป็นสีใดสีหนึ่ง


เมื่อถามว่าแต่ละพรรคก็จะส่งตัวชิงตำแหน่งประธานเพราะมีบทบาทในการกำหนดทิศทางมีความกังวลหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าจะมีพรรคอื่นเตรียมเสนอชื่อ แต่ในมุมของพรรคประชาชนเมื่อเป็นร่างหลักก็เหมาะสมที่จะเสนอชื่อเป็นประธาน จะได้เป็นหรือไม่ก็เป็นสิทธิที่จะเสนอ ถ้าเสนอหลายชื่อก้ต้องมีการลงมติ ไม่เป็นอุปสรรคในการทำงาน เป็นเรื่องปกติ สิ่งที่สำคัญคือตัวเนื้อหาสาระมากว่าตัวประธานกมธ. เท่าที่ฟังในการประชุมก็มีหลายประเด็นที่เห็นต่างกัน มีความกังวลไม่เหมือนกันของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นต้องหาข้อสรุปในประเด็นที่ต่างกันให้เร็วที่สุด ท้ายที่สุดไม่ว่าสภาจะเห็นชอบอะไรก็มาท้ายที่สุดประชาขนก็ทำประชามติ เพราะฉะนั้นถ้าร่างออกมาแล้วไม่ตอบโจทย์ประชาชนก็ไม่ผ่านประชามติ จึงอยากให้สมาชิกรัฐสภาฯตระหนักในเรื่องนี้ด้วย


เมื่อถามว่ามีประเด็นความกังวลเรื่อง ส.ส.ร.ในวิธีการเลือกโดยตรงและโดยอ้อมและไปร้องศาลรธน.กระบวนการจัดทำอาจล้มทั้งกระดานได้ นายพริษฐ์ กล่าวว่า เราต้องตั้งหลักก่อนถ้าย้อนไปก่อนวันที่ 10 ก.ย. 3 พรรคหลัก พรรคประชา ชน, พรรคเพื่อไทย, และพรรคภูมิใจไทย) ต่างเห็นตรงกันเรื่อง ส.ส.ร. เลือกตั้ง โดยพรรคภูมิใจไทยได้ลงนามใน MOA ที่มีคำว่า ส.ส.ร. เลือกตั้งด้วย ดังนั้น 3 พรรคหลักต้องยึดหลักการตรงนี้ก่อน การที่การมี ส.ส.ร. เลือกตั้งเป็นไปได้ยากในขณะนี้ เป็นผลจากคำวินิจฉัยศาลในวันที่ 10 ก.ย.โดยหลักการแล้ว ดังนั้นถ้าทุกคนรักษาหลักการเดิมพยายามทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมให้ได้มากที่สุดเท่าที่ไม่ขัดกับคำวินิจฉัยศาล และสิ่งที่พรรคประชาชน ยืนยันว่าข้อเสนอของพรรคไม่ได้ขัดต่อคำวินิจฉัยศาล เนื่องจากคำวินิจฉัยศาลเพียงกล่าวว่าไม่ให้ประชาชนเลือกผู้ร่างโดยตรง ทางพรรคจึงเสนอให้เลือกผู้ร่างโดยอ้อม และให้เลือกสภาที่ปรึกษาโดยตรงแทน ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังต้องมีการถกเถียงและรับฟังความเห็นต่อไป ยืนยันว่าร่างไม่ได้ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ


“ส่วนคนที่จะไปร้องศาลวินิจฉัย ซึ่งการร้องไม่ใช่อยู่ดีๆใครก็จะไปร้องได้ ซึ่งการร้องต้องผ่าน 2 ขั้นตอน:1. การร้องตั้งแต่วันนี้จนถึงวาระ 3: ต้องอาศัยรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 คือต้องเป็นมติเสียงข้างมากของรัฐสภา ซึ่งถ้า ส.ส. จากพรรคประชาชนบวกพรรคเพื่อไทยบอกพรรคภูมิใจไทย ไม่โหวตให้มีการร้อง ก็จะมีใครไปร้องได้ ดังนั้นเราต้องใช้กลไกของรัฐสภา และกรรมาธิการมาช่วยกันตรวจสอบเนื้อหาให้รอบครอบ และช่วยกันวินิจฉัยว่าขัดหรือไม่ขัด อย่างไร เพราะฉะนั้นตราบใดที่ 3 พรรคมีจุดยืนว่าไม่ไปร้อง ก็จะไม่มีใครร้องได้ และ2. การร้องหลังผ่านวาระ 3 ไปแล้ว: ตามมาตรา 256 (6) วงเล็บ 9 เข้าใจว่าเป็นสิทธิ์ของ ส.ส. หรือ ส.ว. 1 ใน 10 เนื่องจากเป็นขั้นตอนสุดท้ายแล้ว หลังจากการพูดคุยอย่างละเอียดในชั้นกรรมาธิการและวาระ 2, วาระ 3 แล้ว จึงหวังว่าทุกคนจะเห็นตรงกันว่าไม่ได้มีอะไรที่ขัดต่อคำวินิจฉัยศาล ด้วยระบบการเมืองแบบนี้ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 60 ยืนยันว่าหาก 3 พรรคหนักแน่นว่าจะไม่ร้อง ก็จะไม่มีใครร้องได้”นายพริษฐ์ กล่าว


เมื่อถามว่าสรุปแล้วโมเดล ส.ส.ร.ทั้ง 3 ร่างจะเป็นอย่างไร นายพริษฐ์ กล่าวว่า ต้องมีการพูดคุยกัน แต่ละฝ่ายมีจุดยืนอย่างไร แต่ในมุมของพรรคประชา ชน จะยึด 2 หลักการที่กล่าวมาข้างต้น ร่างของพรรคฯ จะเป็นสารตั้งต้นในการพิจารณา แต่ก็พร้อมรับฟังความเห็นของภาคส่วนอื่นเลย และอาจมีการปรับปรุงรายละเอียด โดยจะยึดหลักการเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนและการป้องกันการผูกขาดเป็นตัวตั้ง


เมื่อถามว่ากังวลว่าเนื้อหาในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อาจมีการเขียนให้หมวด 1 และหมวด 2 นายพริษฐ์ กล่าวว่า เป็นสิทธิ์ของสมาชิกรัฐสภา และกรรมาธิการแต่ละคน กรอบเนื้อหาในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องเขียนไว้หรือไม่หมวดใดหมวดหนึ่งจะต้องเขียนเหมือนรัฐธรรมนูญ 60 แต่ตรงนี้คนลเรื่องกับข้อกล่าวหาว่าการเปิดให้พิจารณาหมวด 1 และหมวด 2 เท่ากับการล้มล้างการปกครอง เพราะรัฐธรรมนูญ 60 ก็เปิดให้สามารถแก้ไขถ้อยคำในหมวด 1 และหมวด 2 ได้อยู่แล้ว เพียงแต่วางหลักประกันว่า สส.และสว.ไปแก้จะไม่มีผลบังคับใช้ทันทีต้องไปทำประชามติ เพื่อถามความเห็นของประชาชนก่อน


"ดังนั้นมีจุดยืนต่างกันได้ แต่ไม่มีข้อเสนอของคนใดคนหนึ่งที่จะเข้าข่ายการล้มล้างการปกครอง ต้องมาคุยกันด้วยเหตุและผล ซึ่งตัวอย่างที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้ยกตัวอย่างก็สอดคล้องเที่เราพยายามพูดมาตลอดว่าสมมติในอนาคตมีการปรับปรุงในหมวดอื่น หากมีการเปลี่ยนไปใช้ระบบสภาเดียวที่ไม่มีวุฒิสภา อาจจะมีการปรับปรุงบ้างถ้อยคำ ในหมวด 1 หมวด 2 ให้สอดคล้องกับหมวดอื่นๆ เช่นถ้าไม่มีวุฒิสภาก็ต้องไปปรับปรุงหมวด 2 เกี่ยวกับคุณสมบัติ ลักษณะต้องห้ามขององคมนตรี ซึ่งปัจจุบันกำหนดว่าจะเป็นองคมนตรีได้ต้องไม่เป็นสว. ซึ่งไม่กระทบสาระสำคัญต่อการปกครองรูปแบบรัฐแต่อย่างใด แค่ทำให้เนื้อหา ถ้อยคำแต่ละหมวดสอดรับกันเฉย ดังนั้นประเด็นนี้ไม่ควรถูกนำมาโจมตีหรือวาดภาพว่าร่างของใครเป็นการล้มล้างการปกครอง"นายพริษฐ์ กล่าว


เมื่อถามว่ามีความเชื่อมั่นต่อการผ่านวาระ 3จะได้เสียงเห็นขอบจากสว. นายพริษฐ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการทำงานของคณะกรรมาธิการชุดนี้ และเราก็ต้องตอบสังคมและประชาชนให้ได้ว่า หากผ่านวาระ 3 แล้วเนื้อหาของร่างที่จะถูกถามในประชามติเป็นเนื้อหาที่ประชาชนจะเห็นด้วยหรือไม่ การทำงานในคณะกรรมาธิการถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้สื่อสารและทำความเข้าใจกับสมาชิกวุฒิสภาโดยตรง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #แก้รัฐธรรมนูญ #กรรมาธิการ

“เอกชัย หงส์กังวาน” เขียนจดหมายถึงศาลฎีกา: ขอพิจารณาคดี ม.110 อย่างระมัดระวัง - ไม่ฟังพยานที่มีอคติทางการเมือง เจ้าตัวบอกทนาย กังวลเรื่องสุขภาพ ซึ่งเป็นอาการหลังจากเจาะฝีในตับเมื่อปี 66

 


เอกชัย หงส์กังวาน” เขียนจดหมายถึงศาลฎีกา: ขอพิจารณาคดี ม.110 อย่างระมัดระวัง - ไม่ฟังพยานที่มีอคติทางการเมือง เจ้าตัวบอกทนาย กังวลเรื่องสุขภาพ ซึ่งเป็นอาการหลังจากเจาะฝีในตับเมื่อปี 66


วันที่ 17 ตุลาคม 2568 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่า วานนี้(วันที่ 16 ต.ค. 2568) ที่ศาลอาญา “เอกชัย หงส์กังวาน” ผู้ต้องขังคดีมาตรา 110 ได้ถูกนำตัวมาเข้าร่วมการสืบพยานที่ศาลอาญา ในคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมคนอยากเลือกตั้ง ที่หน้าองค์การสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 21 - 22 พ.ค. 2561 ในโอกาสครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร เพื่อเรียกร้องให้มีการจัดการเลือกตั้งตามกำหนด และให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในขณะนั้นยุติการสืบทอดอำนาจ หรือคดี UN62 ในส่วนของแกนนำ


ในระหว่างการสืบพยาน เอกชัยได้ยื่นจดหมาย 1 ฉบับ ให้ทนายความ ลงวันที่ 7 ต.ค. 2568 โดยระบุว่าเป็นจดหมายที่เขาเขียนถึงศาลฎีกา เรื่องขอให้พิจารณาคดีที่เขาถูกกล่าวหาว่าขัดขวางขบวนเสด็จของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ จากเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 110 โดยเอกชัยถูกศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา ให้ลงโทษจำคุก 21 ปี 4 เดือน และไม่ได้รับสิทธิการประกันตัวในชั้นฎีกามาตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย. 2568


ก่อนหน้านี้ เอกชัยได้มีความพยายามส่งจดหมายฉบับนี้ ผ่านระบบส่งจดหมายออนไลน์ของเรือนจำ (Domi Mail) มาถึงโครงการ Freedom bridge แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่เรือนจำกลางคลองเปรมให้ส่งผ่านออกมาได้ ทำให้เอกชัยต้องเขียนคำร้องเพื่อขออนุญาตนำจดหมายฉบับดังกล่าวติดตัวออกมาเข้าร่วมการสืบพยานในคดีชุมนุม UN62 ในวันนี้ด้วย


ทั้งนี้ จดหมายถึงศาลฎีกาฉบับนี้ เอกชัยได้เขียนอธิบายถึงพฤติการณ์คดีที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องและศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา โดยระบุรายละเอียด ดังนี้


จดหมายถึงศาลฎีกา


เนื่องด้วยคดีนี้จำเลยถูกกล่าวหาว่ามี “เจตนา” ขัดขวางขบวนเสด็จของราชินีในการชุมนุมม็อบ 3 นิ้ว ถ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 โดยศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้มีความผิด


ศาลชั้นต้น : รับฟังพยานจากจุดที่จำเลยยืนอยู่ด้านหน้า คฝ. (โซน B) เป็นหลัก พยานเหล่านี้ให้การตรงกันว่าไม่ทราบว่ามีขบวนเสด็จผ่านถนนพิษณุโลก และมองไม่เห็นขบวนเสด็จที่อยู่ด้านหลัง คฝ. (โซน A) พยานเหล่านี้มีทั้งผู้ชุมนุม, คฝ., ตำรวจ และสื่อมวลชน แม้จะมีรถเบิกทาง (โซน B) ประกาศมี “ขบวน” ผ่านก็ไม่แจ้งเป็น “ขบวนเสด็จ”


ขณะที่พยานที่อยู่ด้านหน้า ก.พ. และทำเนียบรัฐบาล และคนเสื้อเหลือง (โซน A) ที่มองเห็นขบวนเสด็จด้านหลัง คฝ. เป็นคนละจุดกับจำเลย ส่วนพยานที่ยืนอยู่บนสะพานชมัยฯ (โซน C) เป็นจุดที่สูงกว่าถนนพิษณุโลก จึงสามารถมองข้าม คฝ. จนมองเห็นขบวนเสด็จด้านหลังได้ จึงไม่อาจเหมารวมจำเลย (โซน B) ว่าจะต้องรู้เห็นด้วย


ศาลอุทธรณ์ : รับฟังพยานที่ยืนอยู่ด้านหน้า ก.พ. และทำเนียบรัฐบาล และคนเสื้อเหลือง (โซน A) รวมถึงพยานที่ยืนอยู่บนสะพานชมัยฯ (โซน C) และจุดอื่น เช่น กองทัพภาคที่ 1 ซึ่งเป็นทางผ่านของขบวนเสด็จก่อนถึงถนนพิษณุโลก แม้พยานเหล่านี้จะอยู่คนละจุดกับจำเลย แต่ศาลอุทธรณ์เหมารวมจำเลย (โซน B) ย่อมรับรู้เช่นเดียวกัน


ศาลอุทธรณ์ยังรับฟังพยานที่เบิกความไม่ตรงกับเหตุการณ์, คนเสื้อเหลืองที่ยืนอยู่ด้านหน้า ก.พ. (โซน A) โดยอ้างว่าพยานเหล่านี้ไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลย และคำพูดของพยานที่ไม่ปรากฏในคลิป รวมถึงอ้างความสูงของจำเลยบางคนสามารถมองข้าม คฝ. จนมองเห็นขบวนเสด็จด้านหลัง แต่ไม่กล่าวถึงหลักฐานความสูงของ คฝ. ในเครื่องแบบซึ่งสูงกว่าระบบสายตาของจำลย


นอกจากนี้ ศาลอุทธรณ์ยังอ้างถึงหมายกำหนดการเดินทางที่ปรากฏในราชกิจจาตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค. 2563 โดยมีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชนเล็ก ๆ บางแห่ง และเฟซบุ๊กของกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบันฯ (ศปปส.) ล่วงหน้า แม้ไม่มีการอ้างเส้นทาง แต่ศาลอุทธรณ์มั่นใจว่าจำเลยรับรู้ก่อนหน้านี้ ศาลอุทธรณ์จึงเชื่อได้ว่าจำเลยมี “เจตนา” ขัดขวางขบวนเสด็จ เพราะจำเลยรับรู้เส้นทางการเดินทางและมองเห็นขบวนเสด็จที่อยู่ด้านหลัง คฝ.


ด้านเหตุนี้ ผมจึงขอให้ศาลฎีกาพิจารณาคดีนี้ด้วยความระมัดระวัง รอบคอบด้วยการรับฟังพยานที่อยู่ในจุดที่จำเลยยืนอยู่เป็นหลัก ไม่ใช่พยานที่อยู่คนละจุดกับจำเลย, พยานที่เบิกความน่าเคลือบแคลง หรือพยานที่มีอคติทางการเมืองกับจำเลย รวมถึงคำพูดของพยานที่ไม่ปรากฏในหลักฐาน และการอ้างความสูงของจำเลยบางคนโดยไม่คำนึงถึงความสูงของ คฝ. ในเครื่องแบบ เพื่อประโยชน์แห่งความเป็นธรรม


ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

เอกชัย หงส์กังวาน


หลังจากต้องติดคุกอีกครั้ง เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2568 เอกชัยเปิดเผยกับทนายความที่เข้าเยี่ยมว่าเขาค่อนข้างกังวลเรื่องสุขภาพ ก่อนหน้านี้ในการถูกคุมขังคดี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เมื่อช่วงปี 2566 เขามีอาการเป็นฝีในตับ ต้องถูกส่งตัวไปรักษาและผ่าตัด โดยแม้จะมีการเจาะฝีออกไปแล้ว แต่หมอก็ยังให้มาติดตามอาการอีกเป็นระยะ อาจจะต้องทำซีทีสแกน เช็คอาการอีกครั้ง ทำให้เขาต้องการขอสำเนาเวชระเบียนจากโรงพยาบาลซึ่งเคยให้การรักษาเขาก่อนหน้านี้ มาเตรียมไว้ต่อไป


ในคดีนี้มีจำเลยทั้งหมด 5 คน เดิมศาลอาญาได้พิพากษายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา โดยเห็นว่าเหตุการณ์เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนของทุกฝ่าย เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนก็เพิ่งทราบเรื่องขบวนเสด็จฯ เมื่อใกล้ถึงที่เกิดเหตุ และเมื่อผู้ชุมนุมทราบว่าเป็นขบวนเสด็จฯ ก็ได้ล่าถอยไปและขบวนเสด็จก็ผ่านไปได้


แต่เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2568 ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษากลับ เป็นเห็นว่ามีความผิดตามฟ้อง โดยลงโทษจำคุกสูงถึงคนละ 16 ปี ส่วนเอกชัย หงส์กังวาน ถูกเพิ่มโทษตามคำขออัยการโจทก์อีก 1 ปี 3 เดือน รวมจำคุกเอกชัย 21 ปี 4 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ แต่การต่อสู้คดีในชั้นฎีกา ทั้งหมดยังไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัวแต่อย่างใด

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เอกชัยหงส์กังวาน #มาตรา110 #ศาลฎีกา

เปิดตัวผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. เพื่อไทยเลือดใหม่ 12 จังหวัด 22 คน “สุริยะ” การันตีรวมรุ่นเก๋าผสานคนรุ่นใหม่ “ภูผา-นพวิชญ์” มาตามนัดร่วมกันยกเครื่องเพื่อไทย-ร่วมยกเครื่องประเทศไทยไปด้วยกัน

 


เปิดตัวผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. เพื่อไทยเลือดใหม่ 12 จังหวัด 22 คน “สุริยะ” การันตีรวมรุ่นเก๋าผสานคนรุ่นใหม่ “ภูผา-นพวิชญ์” มาตามนัดร่วมกันยกเครื่องเพื่อไทย-ร่วมยกเครื่องประเทศไทยไปด้วยกัน 


วันที่ 17 ตุลาคม 2568 เวลา 10.00 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะผู้อำนวยการการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายสรวงศ์ เทียนทอง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและเลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.พะเยาและประธาน สส. เพื่อไทย นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นางมนพร เจริญศรี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายจักรพงษ์ แสงมณี อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ และนายชูศักดิ์ ศิรินิล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยแกนนำพรรค  ได้ร่วมเปิดตัวว่าผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. พรรคเพื่อไทยจาก 12 จังหวัดรวม 22 คน รวมรอบที่แล้วที่เปิดตัวไปแล้ว 183 คน รวมทั้งสิ้นขณะนี้มีผู้เสนอตัวลงสมัคร สส.แล้ว 205 คน เพื่อเตรียมสู้ศึกชิงชัยในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ โดยนายสุริยะ กล่าวว่า การเปิดตัวผู้เสนอตัวลงเลือกตั้งในวันนี้ คือคนการเมืองที่มีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถ ผ่านกระบวนการคัดเลือกของพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นระบบ 


นายสุริยะ กล่าวว่าจากที่ผมเคยพูดไปว่าเราตั้งเป้าหมาย สส.ให้ได้ 200 และเคยเปิดไปแล้ว 183 คน เพื่อให้ถึงเป้าหมายเราจะทยอยเปิดตัวเพิ่มอีก และในวันนี้เราเปิดตัวเพิ่มอีก 22 คน และทุกท่านที่เปิดตัวในวันนี้ ก็ล้วนแต่มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะช่วยเหลือพี่น้องประชาชน นำนโยบายของพรรคเพื่อไทยไปนำเสนอให้พี่น้อง โอกาสนี้ผมขอฝากถึงผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้งทุกคนว่า ขอให้ผู้สมัครทุกคนทำให้เต็มที่ เป็นโอกาสของผู้เสนอตัวลงสมัคร และ เป็นโอกาสของทุกคนที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยจะได้กลับไปทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนอีกครั้ง เรามาทำเต็มที่ด้วยกัน และต้องขอบคุณที่ให้ความไว้วางใจและร่วมเดินทางไปกับพรรคเพื่อไทย


นายสุริยะ กล่าวต่อว่าเมื่อเร็วๆ นี้ มีหัวหน้าพรรคพรรคหนึ่ง กล่าวทำนองว่าช่วงนี้จะมีการย้ายพรรคพรรคกันมากเป็นปกติในช่วงการเลือกตั้ง  แต่ที่ผมเห็นว่า ที่มันไม่ปกติเป็นเพราะที่ผ่านมา การย้ายพรรคนั้นเป็นการเกิดจากกระแสพรรคหมิ่นเหม่ แต่ในครั้งนี้ ได้ยินว่ามีการเสนอตัวเลขมาให้ สส.พรรคเราอย่างชัดเจน แม้จะมีบางท่านที่หวั่นไหวและย้ายพรรคไป แต่ที่เหลืออยู่ เขายังเชื่อมั่นว่ากระแสพรรคเรายังดี เพราะหลายท่านเองได้ลงพื้นที่และพบเสียงสะท้อนจากประชาชนว่าหาก สส.เพื่อไทยย้ายพรรคจะไม่เลือก ดังนั้น การเลือกตั้งที่จะต้องมาซื้อตัว สส. เป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง ผมจึงขอให้ทุกท่านความมั่นใจในอุดมการณ์พรรคเพื่อไทย


พรรคเพื่อไทย ไม่เคยตายและไม่เคยสูญพันธุ์ เมื่อมีคนไหลไป ก็ยังมีเลือดใหม่เกิดขึ้นมาเสมอ เพื่อร่วมกันยกเครื่องเพื่อไทยและยกเครื่องประเทศไทยไปด้วยกัน” นายสุริยะกล่าว


จากนั้น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผอ.การเลือกตั้ง ได้สวมเสื้อแจ็คเกตให้ผู้เสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.  พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้เสนอตัวได้กล่าวความรู้สึกถึงการเข้าร่วมงานการเมืองกับพรรคเพื่อไทย โดยนายธนรัช จงสุทธานามณี ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้งเชียงราย กล่าวว่าตนเองขออาสาทำงานอย่างเต็มที่ ด้วยความจริงใจ พร้อมทำงานใหม่อย่างสร้างสรรค์ และพอพัฒนาบ้านเกิดเชียงรายให้เจริญก้าวหน้า  ด้านนางสาวปิยธิดา บุตรกาล มุกดาหาร กล่าวว่าตนเองจะทำงานด้วยความซื่อสัตย์ มีความจริงใจ ตั้งใจที่จะทำงานรับใช้ประชาชนและหัวใจสีแดงดวงนี้ จะขอรับใช้พรรคเพื่อไทยเท่านั้น 


ในส่วนของผู้เสนอตัวลงสมัคร สส. กทม. นายนพวิชญ ไทยแท้ (ภูผา) กล่าวว่าตนเองพูดไม่เก่ง แต่สิ่งที่จะสัญญาได้คือตั้งใจทำงาน ทำงาน และทำงานเพื่อเป็นที่พึ่งพาให้กับพี่น้องประชาชนชาว กทม. กับนางสาวเสาวณีย์ คงวุฒิปัญญา ผู้เสนอตัวลงสมัคร สส.กทม. ว่า นโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ผ่านมามองถึงปัญหาของพี่น้องมาตลอด และในครั้งนี้เช่นกัน นโยบายของพรรคเพื่อไทยจะตอบสนองและแก้ไขปัญหาให้พี่น้องเช่นเดิม จึงขอให้พี่น้องชาวกรุงเทพได้ให้โอกาสสนับสนุนเช่นเดิม


ทั้งนี้ รายชื่อผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. ในวันนี้ มีดังต่อไปนี้ ธนรัช จงสุทธานามณี ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. เชียงราย, ชัยณรงค์ ภู่พิศิษฐ์  ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. ลำพูน, วราทิต ไชยนันทน์ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. ตาก, ปิยธิดา บุตรกาล ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. มุกดาหาร, วีระศักดิ์ โคตรสมบัติ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. ยโสธร, วรฉัตร พงศ์ธีระดุลย์ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. ชัยภูมิ, วิเมลือง แก้วศิริ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. ชัยภูมิ, พัชราวรรณ ภิญโญ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. นครราชสีมา, นารดา อึ้งสวัสดิ์ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. นครราชสีมา, มานพ จรัสดำรงนิตย์ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. ศรีสะเกษ, สมเกียรติ คำดำ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. ปราจีนบุรี, คงกฤช  หงษ์วิไล ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. ปราจีนบุรี, สุทิน นพขำ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส.ปทุมธานี, ธนากร ปราณีนิตย์ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส.นครพนม, ชาญชัย  คำจำปา ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. นครพนม, นพวิชญ์ ไทยแท้ (ภูผา)  ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส.กทม., แมน เจริญวัลย์ ,ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส.กทม. ,ขจรศักดิ์ ประดิษฐาน ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส.กทม., ธกร เลาหพงศ์ชนะ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส.กทม., กวีวงศ์  อยู่วิจิตร ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส.กทม., เสาวนีย์  คงวุฒิปัญญา ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส.กทม., และ สายัณห์ จันทร์เหมือนเผือก ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส.กทม.

 

ทั้งนี้ รายชื่อผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. ในวันนี้ มีดังต่อไปนี้ นายธนรัช จงสุทธานามณี ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. เชียงราย, นายชัยณรงค์ ภู่พิศิษฐ์  ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. ลำพูน, นายวราทิต ไชยนันทน์ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. ตาก, นางสาวปิยธิดา บุตรกาล ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. มุกดาหาร, นายวีระศักดิ์ โคตรสมบัติ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. ยโสธร, นายวรฉัตร พงศ์ธีระดุลย์ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. ชัยภูมิ, นางสาววิเมลือง แก้วศิริ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. ชัยภูมิ, นางสาวพัชราวรรณ ภิญโญ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. นครราชสีมา, นางสาวนารดา อึ้งสวัสดิ์ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. นครราชสีมา, นายมานพ จรัสดำรงนิตย์ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. ศรีสะเกษ, นายสมเกียรติ คำดำ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. ปราจีนบุรี, นายคงกฤช หงษ์วิไล ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. ปราจีนบุรี, นายสุทิน นพขำ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส.ปทุมธานี, นายธนากร ปราณีนิตย์ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส.นครพนม, นายชาญชัย  คำจำปา ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส. นครพนม, นายนพวิชญ์ ไทยแท้ (ภูผา) ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส.กทม., นายแมน เจริญวัลย์, ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส.กทม., นายขจรศักดิ์ ประดิษฐาน ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส.กทม., นายธกร เลาหพงศ์ชนะ ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส.กทม., นายกวีวงศ์  อยู่วิจิตร ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส.กทม., นางสาวเสาวนีย์ คงวุฒิปัญญา ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส.กทม. และ นายสายัณห์ จันทร์เหมือนเผือก ผู้เสนอตัวลงสมัครเลือกตั้ง สส.กทม.


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคเพื่อไทย #ยกเครื่องเพื่อไทย




พรรคประชาชนเตรียมเสนอชื่อ “ณัฐวุฒิ บัวประทุม” เป็นประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ

 


พรรคประชาชนเตรียมเสนอชื่อ “ณัฐวุฒิ บัวประทุม” เป็นประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ


หลังจากเมื่อวานนี้ (15 ตุลาคม 2568) ประชุมรัฐสภามีมติรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่


วันนี้ (16 ต.ค. 68) พรรคประชาชนเปิดเผยว่าในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งแรกสัปดาห์หน้า พรรคประชาชนมีแผนจะเสนอชื่อ ณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ เป็นประธานคณะกรรมาธิการ เนื่องจากร่างของพรรคประชาชนถูกกำหนดให้เป็นร่างหลักในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ หลังจากนี้ พรรคประชาชนจะเดินหน้าทำงานเต็มที่และแสวงหาความร่วมมือกับทุกฝ่ายในชั้นคณะกรรมาธิการ เพื่อให้ได้มาซึ่งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ตอบโจทย์ประชาชนมากที่สุด


สำหรับรายชื่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างแก้รัฐธรรมนูญ จำนวน 43 คน แบ่งเป็น สว. 12 คน และ สส. 31 คน


โดยในส่วนสว.12 คน ประกอบด้วย นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ, นายเอนก วีระพจนานันท์, นายชวภณ วัธนเวคิน, นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล, นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์, น.ส.รัชนีกร ทองทิพย์, นายกฤษณุ เหลืองพิบูลกิจ, นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร, นายกิตติพันธ์ อนันตกูลจิรโชติ, พ.ต.ท.สุริยา บาราสัน, นายวอน หินดี และนายจำลอง อนันตสุข


สส. พรรคประชาชน 9 คน นำโดย นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หัวหน้าพรรค พร้อมด้วย นายณัฐวุฒิ บัวประทุม, นายสหัสวัต คุ้มคง, นายปรีติ เจริญศิลป์, นายอนุสรณ์ แก้ววิเชียร, นายภัณฑิล น่วมเจิม, นายเชตวัน เตือประโคน, นายรอมฎอน ปันจอร์ และน.ส.พนิดา มงคลสวัสดิ์


พรรคเพื่อไทย 9 คนมี นายชูศักดิ์ ศิรินิล และ นายจาตุรนต์ ฉายแสง นำทีม พร้อมด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว, นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์, นายสุธรรม แสงประทุม, นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์, น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล, นายก่อแก้ว พิกุลทอง และนายเอกพร รักความสุข


พรรคภูมิใจไทย 4 คน ประกอบด้วย นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล, นายเชวงศักดิ์ เร่งไพบูลย์วงษ์ และน.ส.แนน บุญธิดา สมชัย


ส่วนพรรคอื่น ๆ รวม 9 คน ประกอบด้วยพรรครวมไทยสร้างชาติ นายวิทยา แก้วภราดัย, น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ พรรคกล้าธรรม นายกฤดิทัช แสงธนโยธิน, นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ พรรคประชาธิปัตย์ นายชัยชนะ เดชเดโช, นายทรงศักดิ์ มุสิกอง พรรคพลังประชารัฐ นายกระแสร์ ตระกูลพรพงศ์ พรรคชาติไทยพัฒนา:นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ พรรคประชาชาติ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง


ทั้งนี้ คณะ กมธ.ชุดนี้จะเริ่มทำงานทันทีเพื่อพิจารณารายละเอียดของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนเข้าสู่วาระ 2 โดยคาดว่าจะเป็น คณะกรรมาธิการชุดประวัติศาสตร์ ที่มีทั้งนักการเมืองรุ่นใหม่–รุ่นใหญ่ และ สว.จากหลายสายการเมืองมานั่งร่วมโต๊ะวางกรอบทิศทาง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #กรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2568

“ภัทรพงษ์” ถามกระทู้ “สุชาติ” กรณีสารพิษน้ำกก-สาย ยกทัพหลวงไปเยือนแบบใด แก้ปัญหาและตอบคำถามไม่ได้สักข้อ วอนเลิกแก้ปัญหาด้วยการโยนงานให้กระทรวงอื่นได้แล้ว


ภัทรพงษ์” ถามกระทู้ “สุชาติ” กรณีสารพิษน้ำกก-สาย ยกทัพหลวงไปเยือนแบบใด แก้ปัญหาและตอบคำถามไม่ได้สักข้อ วอนเลิกแก้ปัญหาด้วยการโยนงานให้กระทรวงอื่นได้แล้ว


วันที่ 16 ตุลาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน ตั้งกระทู้สดด้วยวาจาถาม สุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถึงกรณีการแก้ไขปัญหาสารพิษในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ที่เกิดจากการทำเหมืองในประเทศเมียนมา


โดยภัทรพงษ์ระบุว่าจากการลงพื้นที่ของรองนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2568 โดยระบุว่าเป็นการ “ยกทัพหลวง” ไปช่วยประชาชน ตนสงสัยว่าถ้าทัพหลวงทำได้แค่นี้ ตัวแม่ทัพเองต้องพิจารณาตนเองแล้วหรือไม่ เพราะปัญหาหลักไม่ได้ถูกแก้ไข และไม่ได้ถูกพูดถึงเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำประปาเป็นพิษ 18 หมู่บ้าน ที่มีการตรวจพบสารตะกั่วเกินมาตรฐานและปัญหาหนักขึ้นเรื่อย ๆ เดือนมิถุนายนตรวจพบ 4 หมู่บ้าน กรกฎาคมตรวจพบ 6 หมู่บ้าน และสิงหาคมที่ผ่านมาพบ 18 หมู่บ้าน


ปัญหาต่อมาที่ไม่ได้พูดถึงเลยคือการตรวจปัสสาวะในประชาชน ที่พบกลุ่มเสี่ยงมีสารหนูเกินเกณฑ์ปลอดภัย 7 ราย ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีพูดเองว่าก่อนลงพื้นที่ได้ให้อธิบดีทำการบ้านให้หลายต่อหลายครั้ง แต่กลับไม่พูดถึงปัญหานี้เลย ปัญหาต่อมาก็คือการเตรียมการรับมือกับข้าวนาปีกว่า 100,000 ไร่ที่กำลังจะเก็บเกี่ยวในไม่กี่วันที่จะถึงนี้ ที่ปลูกด้วยน้ำที่ปนเปื้อนจากสารโลหะหนักเกินมาตรฐานจากน้ำกก น้ำสาย และน้ำลวก แต่ตอนนี้กลับยังไม่มีมาตรการตรวจสอบที่ชัดเจน และไม่มีมาตรการในการเยียวยาในกรณีที่ตรวจเจอสารโลหะหนักเกินมาตรฐานเลย


ภัทรพงษ์กล่าวต่อไปว่าตนจึงขอถามว่ารัฐบาลมีแนวทางที่จะจัดการด้วยมาตรการเร่งด่วนอย่างไรบ้าง กับการจัดการแหล่งน้ำเป็นพิษภายในประเทศ ในทั้งสามประเด็นหลัก คือ น้ำประปาเป็นพิษ 18 หมู่บ้านที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กรณีการตรวจพบบุคคลที่มีสารหนูเกินเกณฑ์มาตรฐานในปัสสาวะ และการรองรับข้าวนาปีที่กำลังจะเก็บเกี่ยวและมาตรการเยียวยาหากตรวจพบเจอสารโลหะหนักเกินมาตรฐาน


ทางด้านสุชาติระบุว่าสำหรับปัญหาน้ำประปาเป็นพิษ 18 หมู่บ้าน ทางตนได้มีการประสานกับหน่วยงานของกระทรวงมหาดไทยแล้ว รวมทั้งผู้ว่าการประปาส่วนภูมิภาค แหล่งน้ำในจังหวัดเชียงใหม่ที่ใช้น้ำประปาผลิตนั้น ใช้จากแม่น้ำอายมาผลิต ส่วนแหล่งน้ำที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทำได้เอง เช่น แหล่งน้ำบาดาล ซึ่งจะมีการเจาะน้ำบาดาลขึ้นมาช่วยเรื่องผลผลิตสินค้าเกษตร ส่วนนี้ได้ลงไปสำรวจและได้พูดคุยคุยกันแล้ว


ส่วนแหล่งน้ำผิวดินที่มีการจัดเตรียมมาทดแทนน้ำประปา อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลก็ได้ลงพื้นที่ไปด้วย และตนก็ได้ประสานกับผู้ว่าการประปาส่วนภูมิภาคและรองผู้ว่าการประปาส่วนภูมิภาคอยู่ประจำ หากน้ำประปาเป็นพิษหรือมีผลต่อประชาชน การประปาส่วนภูมิภาคในเขตจังหวัดเชียงใหม่หรือผู้ว่าการประปาส่วนภูมิภาคจะต้องตอบคำถามและชี้แจงให้ประชาชนได้รับความกระจ่าง


สุชาติกล่าวต่อไปว่าส่วนเรื่องการตรวจสุขภาพประชาชน วันนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้มีการรายงานว่าสาธารณสุขจังหวัด กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข ก็ได้มีการลงไปตรวจและดูแลประชาชนที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพอยู่ ส่วนเรื่องของข้าวนาปี ได้มีการประสานกับ ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ติดตามแก้ปัญหาเรื่องของพืชผลการเกษตรอยู่


ทั้งนี้ ถ้าเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตนได้เตรียมแหล่งน้ำสำรองให้กับการประปาส่วนภูมิภาคไว้แล้ว ส่วนกรมควบคุมมลพิษก็มีการทำงานและชี้แจงกับประชาชนว่ามีจุดตรวจประมาณ 15 จุดเก็บมลพิษในแม่น้ำกก แม่น้ำสายและแม่น้ำลวกอีก 5 จุด โดยมีการชี้แจงผลทุกครั้งที่มีการตรวจ เรื่องนี้เป็นเรื่องของกระทรวงที่เกี่ยวข้องประมาณ 4-5 กระทรวง ซึ่งในส่วนนี้มีการหารือกันอยู่และเป็นวาระเร่งด่วนของรัฐบาลอยู่แล้ว


จากนั้นภัทรพงษ์ได้ถามกระทู้ต่อ โดยระบุว่าจากคำตอบของรองนายกรัฐมนตรี ตนยังไม่เห็นความห่วงใย เพราะในเรื่องของน้ำประปารองนายกรัฐมนตรีพูดถึงประปาส่วนภูมิภาคเสียมาก แต่ต้องเข้าใจในพื้นฐานของจังหวัดเชียงรายว่า 85% ของการใช้น้ำในจังหวัดเชียงรายคือประปาหมู่บ้าน ที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อีก 15% คือประปาส่วนภูมิภาค ซึ่งตอนนี้ปัญหาที่ถูกละเลยคือประปาหมู่บ้าน และที่รัฐมนตรีบอกว่าถ้าอยู่ใต้สังกัดกรมทรัพยากรน้ำบาดาลหรือกรมทรัพยากรน้ำรัฐมนตรีได้สั่งการไปแล้ว แต่เมื่อสองวันที่ผ่านมา กรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้ลงพื้นที่ไปดูปัญหาในเรื่องของน้ำประปาเป็นพิษ แต่ก็ดูเพียงแค่ 3 จากทั้งหมด 18 หมู่บ้านเท่านั้น


เรื่องของสารหนูเกินในคน รองนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้ตอบคำถาม เรื่องของข้าว 100,000 ไร่ที่กำลังจะเก็บเกี่ยวในอีกไม่กี่วันโยนให้ธรรมนัส รองนายกรัฐมนตรีอาจจะลืมไป แต่ก็ไม่น่าจะลืม เพราะรองนายกรัฐมนตรีก็เป็นประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่เพิ่งมีการประชุมกันเมื่อวานนี้ โดยมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข และทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องนั่งอยู่ในกรรมการชุดนั้นด้วย แต่ทำไมรองนายกรัฐมนตรีถึงตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้ เพราะไม่มีในวาระการประชุมใช่หรือไม่


ภัทรพงษ์กล่าวต่อไปว่าการจัดการปัญหาที่ต้นตอคือการเจรจาระหว่างประเทศ ทุกครั้งที่มีคำถามจากภาคประชาชน ว่ารองนายกรัฐมนตรีว่าจะจัดการที่ต้นตอโดยการเจรจาระหว่างประเทศอย่างไร รองนายกรัฐมนตรีกลับไม่ตอบคำถามนี้ แต่โยนให้ กรรณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ที่ลงพื้นที่ไปด้วยเป็นคนตอบแทนตลอด วันนี้ตนจึงขอฟังชัดๆ จากรองนายกรัฐมนตรี ว่ามีแนวทางจัดการปัญหาที่ต้นต่อเพื่อแก้ปัญหามลพิษข้ามแดนนี้อย่างไร


จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ตอบคำถามครั้งที่สอง โดยระบุว่าจากการลงพื้นที่วันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีข้าราชการลงไปสำรวจพื้นที่หลายจุด ซึ่งตนก็อยากให้ผู้ถามกระทู้ลงไปด้วยกันจะได้เห็นกับตาแล้วจะได้ทำงานร่วมกัน ส่วนเรื่องการตรวจสุขภาพที่ผู้ถามกระทู้วิตกกังวล หน่วยงานที่ตรวจสอบก็ยืนยันแล้วว่าไม่พบสารปนเปื้อนเกินควร ตนได้ข้อมูลมาแบบนี้


ส่วนที่มีการประชุมเมื่อวาน มีวาระเรื่องแม่น้ำกก โดยมีการตั้งคณะทำงานเจรจาร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาอยู่ในการประชุมอยู่แล้ว รวมถึงคณะทำงานติดตามสถานการณ์ปัญหาสิ่งแวดล้อมและผลกระทบสุขภาพในพื้นที่แม่น้ำกกอีกอนุกรรมการหนึ่ง ส่วนเรื่องข้าว 100,000 ไร่ การแก้ปัญหาก็ต้องทำความเข้าใจกับผู้ซื้อ ซึ่งตนไม่ได้อยู่กระทรวงที่ซื้อขายในการเจรจา ส่วนเรื่องการต่างประเทศก็ต้องใช้วิธีการเจรจาระหว่างประเทศ


สุชาติกล่าวต่อไปอีกว่าปัญหาแม่น้ำกกไม่ใช่ปัญหาของกระทรวงเดียวแต่เป็นปัญหาระหว่างกระทรวงต่างประเทศที่ต้องหารือกัน รวมถึงกระทรวงมหาดไทยในเรื่องของการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ต้องดูแลเรื่องพืชผลการเกษตร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคือดูแลการตรวจวัดน้ำและการควบคุมคุณภาพน้ำ ดังนั้น ผู้ตั้งกระทู้ควรตั้งคำถามให้ตรงกระทรวงที่รับผิดชอบ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่ทำอยู่ตั้งอนุกรรมมาสองชุดแล้วในการติดตามเจรจา ซึ่งรัฐบาลก่อนก็ได้มีการเจรจามารอบหนึ่งแล้ว


จากนั้น ภัทรพงษ์ได้ถามกระทู้ต่อเป็นรอบสุดท้าย โดยระบุว่าที่รองนายกรัฐมนตรีบอกว่าห่วงใยไม่แพ้ตน แต่ตอนนี้รองนายกรัฐมนตรีเองยังไม่รู้ว่ามีการตรวจสารหนูและพบคนที่มีสารหนูเกินเกณฑ์มาตรฐานไปแล้ว รองนายกรัฐมนตรีไม่ทราบเลยหรือว่า 7 คนที่ตรวจเกินอยู่ที่ จ.เชียงราย ไม่ได้ตรวจโดยกรมอนามัยแต่ตรวจโดยกรมควบคุมโรค ตรวจ 322 คนในจังหวัดเชียงรายแล้วเจอ 7 คน ข้อมูลแค่นี้รองนายกรัฐมนตรีไม่รู้ได้อย่างไรทั้งที่เพิ่งประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมา


ประเด็นในวันนี้คือรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ต้องดูข้อมูลให้ครบทั้งหมดถึงจะแก้ปัญหาได้ ส่วนเรื่องการเจรจาระหว่างประเทศ รองนายกรัฐมนตรีตอบมาเหมือนกับไม่รู้ ตอนอภิปรายระหว่างการแถลงนโยบายตนก็บอกไปแล้ว ว่าระหว่างวันที่ 12-16 ตุลาคม 2568 จะมีเวทีอาเซียนว่าด้วยข้อตกลงบริหารจัดการภัยพิบัติและภาวะฉุกเฉิน และวันที่ 21-23 ตุลาคม 2568 ก็จะมีอีกเวทีหนึ่ง คือ China ASEAN Environmental Cooperation ตามกรอบ LMEC ซึ่งตรงกับอำนาจหน้าที่ ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยตรง เพราะมีทั้งจีน ไทย เมียนมา และมีแผนการปฏิบัติในเรื่องมลพิษทางน้ำอย่างชัดเจนมาก


ภัทรพงษ์กล่าวต่อไปว่าอย่างแรกที่รองนายกรัฐมนตรีต้องทำ คือเลิกโยนปัญหาให้ สนทช. ที่ไม่มีแผนการปฏิบัติ ภารกิจ หรือกรอบที่จะทำในเรื่องนี้ และควรเลิกโยนปัญหาให้กระทรวงการต่างประเทศ เพราะเรื่องสิ่งแวดล้อมและมลพิษข้ามแดนระหว่างประเทศ คนที่เป็นแกนหลักในการเจรจาระหว่างประเทศคือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่วนกระทรวงต่างประเทศทำหน้าที่สนับสนุนในการเจรจาเพียงเท่านั้น นี่คือประเด็นที่รัฐบาลต้องเดินให้ถูกทางเพื่อแก้ปัญหานี้ได้ โดยก่อนที่จะมีการประชุม ต้องมีการตั้งวาระเข้าไปพร้อมกับกรอบระยะเวลาที่ต้องการให้ประเทศสมาชิกแต่ละประเทศปฏิบัติ นี่คือสิ่งที่ต้องดำเนินการในทางการทูตล่วงหน้าก่อนที่จะมีการพูดคุยอย่างเป็นทางการด้วย


คำถามสุดท้าย ตนขอถามรองนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไป แน่นอนว่าคณะกรรมการชุดนี้คือการให้แต่ละกระทรวงมาทำงานร่วมกัน วางแผนตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ สามารถแบ่งหน้าที่ตามอำนาจของแต่ละกระทรวง ตั้งโครงการตามงบกลางเพื่อใช้แก้ปัญหาตามมติของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อขอมติคณะรัฐมนตรี ใช้อำนาจตามกฏหมายส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.แร่ ของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่สามารถออกมาตรการในการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานของผู้นำเข้าและส่งออกแร่ รวมถึงกฎหมายโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม ที่สามารถออกประกาศจากกระทรวงสาธารณสุขโรค เกี่ยวกับโรคที่ต้องเฝ้าระวังจากสารโลหะหนัก และประกาศเขตพื้นที่โดยต้องเฝ้าระวังกรณีพบสารโลหะหนักเกินมาตรฐานได้


หรือกระทั่งเรื่องง่ายๆ อย่างการมีฐานข้อมูลที่รวมข้อมูลจากทุกกระทรวงมาไว้ที่เดียวและเปิดเผยให้ประชาชนทราบ ไม่ว่าจะเป็นผลการตรวจน้ำ น้ำประปา พืชผลทางการเกษตร และผลการตรวจสุขภาพ จุดไหนที่เกินมาตรฐานก็บอกประชาชนด้วยว่าหน่วยงานไหนกำลังดำเนินการอะไรอย่างไร ถ้าทำเรื่องแค่นี้ได้ก็ไม่ต้องมาเสียหน้าเหมือนที่บอกตนว่าไม่มีการตรวจพบสารหนูเกินมาตรฐาน โดยที่ไม่ได้เช็คกับกรมควบคุมโรคก่อนมาตอบกระทู้สดในวันนี้


ภัทรพงษ์กล่าวต่อไปว่าจากคำพูดของรองนายกรัฐมนตรีในวันนั้น ที่บอกว่านายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ตัวเองดำเนินการภารกิจเรื่องมลพิษโดยตรง รัฐบาลมีการวางแผนจัดการมลพิษแบบบูรณาการร่วมกันทุกกระทรวงอย่างไร และใช้กลไกอะไรในการวางแผนจัดการ และการวางแผนการใช้งบกลางเพื่อแก้ปัญหามลพิษทางน้ำจากการทำเหมืองในประเทศเมียนมาที่ส่งผลกระทบมาในประเทศไทยอย่างไร ตรงนี้ตนขอให้ตอบอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลมีโครงการอะไรจากกระทรวงอะไรบ้าง และขอกรอบเวลาที่ตั้งให้แต่ละกระทรวงว่าจะต้องนำโครงการเข้าสู่คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาภายในเมื่อไหร่บ้าง


ทางด้านสุชาติได้ตอบคำถามโดยระบุว่าเรื่องแม่น้ำกกเมื่อวานนี้ที่มีการประชุม ได้มีการตั้งคณะทำงานที่เกี่ยวข้องสองคณะ เป็นคณะทำงานประสานงานความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาภูมิภาคแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย โดยมีรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธานในคณะทำงานนี้ อีกคณะหนึ่งคือคณะติดตามสถานการณ์ปัญหาสิ่งแวดล้อมและผลกระทบต่อสุขภาพในพื้นที่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย โดยมีอธิบดีกรมควบคุมมลพิษเป็นประธานคณะทำงาน เพื่อติดตามการแก้ปัญหาในเรื่องการเจรจาโดยใช้รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน ส่วนผู้ที่ติดตามเรื่องของความเดือดร้อนเช่นสารตกค้างในน้ำและพืชผลการเกษตร มีอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งเมื่อเช้าได้มีการพูดคุยกัน แล้วตนยังบอกด้วยว่าให้มีการหาข้อมูลจากผู้ตั้งกระทู้ถามด้วย


ส่วนสิ่งที่ผู้ตั้งกระทู้ถามมาในเรื่องของการประชุม LMEC หรือ China-ASEAN กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้เตรียมข้อมูลไว้แล้ว ต้องมีการประชุมหารือกันแน่นอน ทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่าสารพิษมาจากเส้นทางอย่างไรหรือเพราะเหตุใด ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องของการเจรจาและการพิสูจน์ ทั้งนี้ ตนขอฝากผู้ตั้งกระทู้ถามขอให้เสียสละเวลารับโทรศัพท์ ให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง อธิบดีที่เกี่ยวข้อง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสอบถามหาข้อมูล หรือหากมีการชวนลงพื้นที่ก็ขอให้สละเวลาเพื่อประชาชนด้วย


จากนั้น ภัทรพงษ์ได้ตอบรองนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่าในส่วนของการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ขอให้ไม่ต้องห่วง เพราะมีการตั้งคณะอนุกรรมาธิการขึ้นมาทำในเรื่องนี้อยู่แล้ว โดยมีฐานข้อมูลและระบบฐานข้อมูลทุกอย่างที่รวบรวมมาจากทุกหน่วยงาน ในส่วนนี้ทางรัฐบาลสามารถเอาสิ่งที่อนุกรรมาธิการทำไปใช้ต่อได้


จากการตั้งกระทู้ถามในวันนี้หากให้ตนสรุป สามารถกล่าวได้ว่าแม้รองนายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ไปก็ไม่มีการจัดการปัญหาอะไรอย่างเร่งด่วน ที่สมเหตุสมผลกับปัญหาที่คนเชียงใหม่และเชียงรายกำลังเจอ มีคนพบสารหนูเกินมาตรฐานก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็น จ.เชียงราย ไม่ใช่ จ.เชียงใหม่ ข้าว 100,000 ไร่ที่ใช้น้ำปนเปื้อนในการปลูกกำลังจะเก็บเกี่ยวอยู่แล้วก็ยังไม่มีมาตรการในการตรวจและแนวทางในการเยียวยา การแก้ปัญหาที่ต้นตอด้วยการเจรจาระหว่างประเทศ ตนก็ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากรองนายกรัฐมนตรี


การลงพื้นที่ที่รองนายกรัฐมนตรีบอกว่าเป็นการยกทัพหลวงมาแก้ปัญหาให้คนเชียงใหม่และคนเชียงราย ถ้าทัพหลวงทำได้แค่นี้แสดงว่าแม่ทัพนำทัพไม่เป็น ไม่มีการวางแผนใดล่วงหน้า แบบนี้ยกทัพไปที่ศึกก็พ่ายทุกศึก ผมขอเตือนรองนายกรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลที่ตอบคำถามในวันนี้ คำตอบในวันนี้และการดำเนินการในการแก้ปัญหาที่เร่งด่วนวิกฤตขนาดนี้ ไม่ต่างอะไรกับการไม่ใส่ใจและละเลยต่อปัญหา และมันกำลังจะกลายเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาล ที่ทำให้เกิดผลกระทบกับชีวิตของประชาชน” ภัทรพงษ์กล่าวทิ้งท้าย

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #สารพิษ #น้ำกกสาย