วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

อ.ธิดา พร้อมญาติผู้วายชนม์ และพี่น้องประชาชน ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ "จ๋า-ผู้หญิงยิงฮอ" และมิตรร่วมรบที่ล่วงลับภายหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุม 2553 เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเพื่อนกันไม่ลืมกัน

 


อ.ธิดา พร้อมญาติผู้วายชนม์ และพี่น้องประชาชน ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ "จ๋า-ผู้หญิงยิงฮอ" และมิตรร่วมรบที่ล่วงลับภายหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุม 2553 เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเพื่อนกันไม่ลืมกัน

.

วันนี้( 16 พ.ย. 67) เวลา 10.00 น. ณ วัดเวฬุวนาราม (วัดไผ่เขียว) ศาลาปฏิบัติธรรม  เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ  อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ นพ.เหวง โตจิราการ พร้อมญาติผู้วายชนม์ และพี่น้องประชาชน  ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับ “จ๋า” นฤมล วรุณรุ่งโรจน์ หรือ จ๋า ผู้หญิงยิงฮอ และอดีตผู้ประสานงานนปช. พร้อมทั้งมิตรร่วมรบที่ล่วงลับไปแล้วหลังเหตุการณ์สลายชุมนุม 2553 อาทิ  ต้อย ลำลูกกา, หมอสง่า, บัญชา ปทุมธานี, ป้าง น้ำปั่น, อ๊อด บางนา, ต้อย บางพลัด, กำนันอนุวัฒน์, ลุงประสิทธิ์ กาฬสินธุ์, ไม้หนึง ก กุณที, น้อย ห้วยขวาง, เล็ก จอมทอง, เลิศ พระโขนง, ปรีชา บางกอกใหญ่, สมพร พญาไท, ธนวัฒน์ คลองเตย, สหายภูชนะ สหายกาสะลอง , สุรชัย แซ่ด่าน, จ.ส.อ.ชัช ใจตรง(ประกอบ), จ่าเปี๊ยก รวมถึง บุ้ง เนติพร เสน่ห์สังคม ด้วย

.

อ.ธิดา กล่าวว่า เรามาร่วมกันเพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเพื่อนเรา ซึ่งเราก็ไม่ได้บอกกันมากเพราะบางคนอาจติดธุระ แต่อย่างไรก็ตามเป็นความสำคัญที่เป็นประเด็นสัญลักษณ์ทางการเมืองว่า ผู้เสียชีวิตในภาคสนาม เราทำบุญอุทิศส่วนกุศล 10 เมษา - 19 พฤษภา แต่เพื่อนมิตรร่วมรบของเราจำนวนมากที่เสียสละชีวิตไป เนื่องจากเหตุการณต่างๆหลังปี 53 มาจนถึงปัจจุบัน  ทั้งการเจ็บป่วยทั้งการถูกอุ้มหาย ต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อเป็นการแสดงว่าเราไม่ลืมเราจึงจัดงานแม้จะเรียบง่าย อย่างน้อยที่สุดเราก็จะจัดทุกปี  

.

เราได้ทำในสิ่งที่ระลึกอยู่ในใจเสมอ อาจารย์ระลึกอยู่ในใจเสมอ พวกเราทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และโดยเฉพาะคนที่เสียไปแล้ว คนที่มีชีวิตอยู่ก็ขอให้มีกำลังใจ มีสุขภาพดีและเดินไปในทิศทางที่ถูก เพราะเราคิดถึงคนที่เสียไปแล้วเขาจะเสียใจถ้าหากว่าเขาตายไปแล้วเรายังไม่ได้ทำอะไรเลย

และในการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับ ก็เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเพื่อนกันไม่ลืมกัน อ.ธิดา กล่าว ทิ้งท้าย

.

ภายหลังทำบุญแล้วเสร็จ อาจารย์ธิดา ได้เชิญพี่น้องประชาชนมาร่วมรับประทานที่อาจารย์ทำเอง ทั้งแพนงหมู ไข่พะโล้ น้ำพริก ไก่ทอด สลัดผักผลไม้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์  #มิตรร่วมรบ








 




















นิด้าโพล เผย #กระแสการเมืองภาคกลาง

 


นิด้าโพล เผย #กระแสการเมืองภาคกลาง


ส่วนใหญ่ 35.65 % ยังไม่ตัดสินใจสนับสนุนใครเป็นนายก ฯ เลือก "เท้ง"นั่งนายกฯ อันดับ 2 "อนุทิน" อันดับ 3 เช่นเดียวกับพรรคการเมือง "ประชาชน" มาอันดับ 2 "ภูมิใจไทย" อันดับ 3 ส่วนพรรคอันดับ 1 ยังเลือกเหมาะสมไม่ได้


วันนี้ (15 พ.ย. 68) “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจเรื่อง “กระแสการเมือง ภาคกลาง” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 10 - 13 พฤศจิกายน 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีสิทธิเลือกตั้งในภาคกลาง (จำนวน 17 จังหวัด ประกอบด้วย ชัยนาท พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร 


กระจายทุกระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ รวมจำนวนทั้งสิ้น 2,000 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับกระแสการเมือง ภาคกลาง การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 0.05 ที่ระดับความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0


​จากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่คนภาคกลางจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พบว่า


อันดับ 1 ร้อยละ 35.65 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ 


อันดับ 2 ร้อยละ 19.60 ระบุว่าเป็น นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ(พรรคประชาชน)


อันดับ 3 ร้อยละ 12.75 ระบุว่าเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย)


อันดับ 4 ร้อยละ 9.15 ระบุว่าเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (พรรคประชาธิปัตย์)


อันดับ 5 ร้อยละ 4.55 ระบุว่าเป็น นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ (พรรคเพื่อไทย)


อันดับ 6 ร้อยละ 3.85 ระบุว่าเป็น พลเอกรังษี กิติญาณทรัพย์ (พรรคเศรษฐกิจ)


อันดับ 7 ร้อยละ 3.50 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคไทยสร้างไทย)


อันดับ 8 ร้อยละ 3.40 ระบุว่าเป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา


อันดับ 9 ร้อยละ 2.20 ระบุว่าเป็น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ)


อันดับ 10ร้อยละ 1.65 ระบุว่าเป็น ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (พรรคไทยก้าวใหม่)


อันดับ 11 ร้อยละ 1.55 ระบุว่าเป็นนายวราวุธ ศิลปอาชา (พรรคชาติไทยพัฒนา) ร้อยละ 1.50 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ (พรรคกล้าธรรม) พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ (พรรคพลังประชารัฐ) นายรังสิมันต์ โรม (พรรคประชาชน) พลโทบุญสิน พาดกลาง พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง (พรรคประชาชาติ) นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา (พรรคประชาชาติ) นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ (พรรคภูมิใจไทย) นายจตุพร บุรุษพัฒน์ (พรรคโอกาสใหม่) นายชวน หลีกภัย (พรรคประชาธิปัตย์) และไม่ประสงค์ลงคะแนน (Vote No) และร้อยละ 0.65 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ


​ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่คนภาคกลางจะสนับสนุนในวันนี้ พบว่า


อันดับ 1 ร้อยละ 28.95 ระบุว่ายังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้


อันดับ 2 ร้อยละ 28.85 ระบุว่าเป็น พรรคประชาชน 


อันดับ 3 ร้อยละ 9.70ระบุว่าเป็น พรรคภูมิใจไทย


อันดับ 4 ร้อยละ 9.60 ระบุว่าเป็น พรรคประชาธิปัตย์ 


อันดับ 5 ร้อยละ 8.45 ระบุว่าเป็น พรรคเพื่อไทย


อันดับ 6 ร้อยละ 5.45 ระบุว่าเป็น พรรครวมไทยสร้างชาติ 


อันดับ 7 ร้อยละ 2.60 ระบุว่าเป็นพรรคเศรษฐกิจ


อันดับ 8 ร้อยละ 2.05 ระบุว่าเป็น พรรคไทยสร้างไทย 


อันดับ 9 ร้อยละ 1.55 ระบุว่าเป็น พรรคชาติไทยพัฒนา 


อันดับ 10 ร้อยละ 1.00 ระบุว่าเป็น พรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 1.40 ระบุอื่น ๆ ได้แก่พรรคไทยก้าวใหม่ พรรคกล้าธรรม พรรคประชาชาติ พรรคชาติพัฒนา พรรคไทยภักดี และไม่ประสงค์ลงคะแนน (Vote No) และร้อยละ 0.40 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ


​เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างทั้งหมดมีภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านอยู่ภาคกลางโดยตัวอย่าง ร้อยละ 47.05 เป็นเพศชาย และร้อยละ 52.95 เป็นเพศหญิง


ตัวอย่าง ร้อยละ 11.70 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.70 อายุ 26-35 ปี


ร้อยละ 18.20 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.20 อายุ 46-59 ปี และอายุ 60 ปีขึ้นไป ในสัดส่วนที่เท่ากัน โดยตัวอย่าง ร้อยละ 98.10 นับถือศาสนาพุทธ


ร้อยละ 1.05นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.85 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ


​ตัวอย่าง ร้อยละ 37.45 สถานภาพโสด


ร้อยละ 60.35 สมรส และร้อยละ 2.20 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่


โดยตัวอย่าง ร้อยละ 0.40 ไม่ได้รับการศึกษา


ร้อยละ 18.65 จบการศึกษาประถมศึกษา


ร้อยละ 34.75 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า 


ร้อยละ 10.15 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า 


ร้อยละ 32.20 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 3.85 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี


ตัวอย่าง ร้อยละ 8.15 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ


ร้อยละ 20.65 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 23.75 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ


ร้อยละ 6.10 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง


ร้อยละ 15.30 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน 


ร้อยละ 20.10 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน

และร้อยละ 5.95 เป็นนักเรียน/นักศึกษา


​ตัวอย่าง ร้อยละ 22.30 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 2.55 

รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 5,000 บาท


ร้อยละ 12.20รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 5,001-10,000 บาท  


ร้อยละ 33.20 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท 


ร้อยละ 12.25รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท 


ร้อยละ 4.65 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท 


ร้อยละ 3.15 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001-50,000 บาท 


ร้อยละ 1.55 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 50,001-60,000 บาท 


ร้อยละ 0.30รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 60,001-70,000 บาท 


ร้อยละ 0.20 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 70,001-80,000 บาท ร้อยละ 1.00


รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 80,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 6.65 ไม่ระบุรายได้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นิด้าโพล

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

“สุรเชษฐ์” ดักคอรัฐบาลอนุทินตั้งท่าขยายสัมปทานทางด่วนข้ามศตวรรษ หวังเก็บกระสุนเตรียมเลือกตั้งหรือไม่ ยก 4 เหตุผลไม่เห็นด้วย เอาเรื่องลดค่าทางด่วนมาบังหน้า แท้จริงเจตนาเอื้อนายทุน

 


“สุรเชษฐ์” ดักคอรัฐบาลอนุทินตั้งท่าขยายสัมปทานทางด่วนข้ามศตวรรษ หวังเก็บกระสุนเตรียมเลือกตั้งหรือไม่ ยก 4 เหตุผลไม่เห็นด้วย เอาเรื่องลดค่าทางด่วนมาบังหน้า แท้จริงเจตนาเอื้อนายทุน


วันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 ที่อาคารอนาคตใหม่ สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แถลงข่าวจุดยืนของพรรคประชาชนคัดค้านกรณีที่รัฐบาลมีความพยายามขยายสัญญาสัมปทานโครงการก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 (Double Deck) ช่วงงามวงศ์วาน-พระราม 9 ที่ดำเนินการโดยบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ออกไป จากเดิมจะหมดสัมปทานในปี 2578 ขยายอีก 22 ปี 5 เดือน ไปสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม 2601


โดยสุรเชษฐ์กล่าวว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเร็วๆ นี้ว่ากระทรวงคมนาคมเร่งหาแนวทางในการลดค่าทางด่วนทุกเส้นทางภายในสิ้นปี 2568 สูงสุดไม่เกิน 50 บาท เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน ทั้งนี้ไม่รวมโครงการทางพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ซึ่งตนต้องตั้งคำถามว่านี่เป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย แม้ได้ค่าทางด่วนถูกลงแต่ต้องแลกด้วยอะไร คุ้มหรือไม่ที่จะแลก เรื่องนี้เป็นของขวัญที่ดีให้ประชาชนหรือเป็นภาระของลูกหลานในอนาคตจนมากเกินควรกันแน่


ความพยายามขยายสัมปทานทางด่วนนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีมาตั้งแต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อปี 2562 โดยแบ่งเป็น 2 ก้อน ก้อนแรกคือขณะนั้นสัญญาทางด่วนขั้นที่ 2 ใกล้จะหมดสัญญาสัมปทาน แต่เอกชนมีความพยายามจะขยายสัมปทานออกไป อย่างไรก็ตามในช่วงระยะเวลาสัมปทาน มีการฟ้องร้องกันเรื่อยมาระหว่างรัฐกับเอกชน แต่แทนที่จะต่อสู้กันตามกระบวนการปกติในชั้นศาลโดยพิจารณาเป็นรายคดี รัฐบาลในเวลานั้นกลับไม่ทำ กลับนำข้อพิพาทต่างๆ มาเจรจายอมความ โดยให้เอกชนได้ขยายสัญญาสัมปทานเพิ่มไปฟรี ๆ 15 ปี 8 เดือน หรือที่เรียกว่า “ค่าแกล้งโง่” ทำให้สัญญาสัมปทานที่กำลังจะหมดในปี 2563 ขยายไปเป็นปี 2578 โดยขณะนั้นตนในฐานะ สส. พรรคอนาคตใหม่เป็นฝ่ายค้านและเป็นเสียงข้างน้อยในสภาฯ จึงหยุดเรื่องนี้ไม่สำเร็จ


ก้อนที่สองคือการขยายสัมปทานเพื่อแลกกับการสร้าง Double Deck หรือทางด่วนชั้นที่ 2 บนทางด่วนขั้นที่ 2 ซึ่งพวกตนไม่เห็นด้วยเช่นกัน โดยในช่วงปี 2562-2563 รัฐบาลตอนนั้นให้เลื่อนโครงการ Double Deck ไปพิจารณาแยก ต่อมาปี 2567 ในรัฐบาลเพื่อไทย ก็มีการโฆษณาว่าจะให้ของขวัญปีใหม่แก่ประชาชนด้วยการลดค่าทางด่วนเช่นกัน จากวันนั้นมาถึงวันนี้ ความพยายามในการลดค่าทางด่วนเพื่อขยายสัมปทานแลกกับการสร้าง Double Deck ก็ยังอยู่ เพราะเบื้องหลังเรื่องนี้ยังเป็นคนหน้าเดิมๆ นายทุนเจ้าเดิมๆ ที่เข้าได้กับทุกรัฐบาลและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง 


โดยในวันแถลงนโยบายของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล มีการโฆษณาว่าจะลดรายจ่ายให้ประชาชนด้วยการลดค่าผ่านทาง ซึ่งตนได้ตั้งคำถามต่อ รมว.คมนาคม ตั้งแต่วันนั้นว่าเป้าหมายที่แท้จริงไม่ได้ต้องการลดราคาทางด่วนให้ประชาชน แต่คือการหาเรื่องขยายสัมปทานใช่หรือไม่ แต่รัฐมนตรีไม่ยอมตอบ แล้ววันนี้เอาเรื่องลดค่าทางด่วน 50 บาทมาบังหน้า แต่ประเด็นที่ไม่ได้ถูกตั้งคำถามเลยคือมีความคุ้มค่าจริงหรือที่เราต้องจ่ายเงินเข้ากระเป๋านายทุนนานขึ้น เพราะถ้าได้ผลประโยชน์ลดลงนายทุนคงไม่ยอมเซ็นแน่


“เรื่องนี้ประชาชนจึงเดือดร้อนไม่รู้ตัว แม้ค่าทางด่วนลดลงบ้างในวันนี้แต่ต้องจ่ายไปอีกนานขึ้นมาก และถือเป็นการแช่แข็งการพัฒนา เพราะรัฐบาลในอนาคตอาจมีนโยบายดีๆ เช่นลดค่าทางด่วนในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งมีรถวิ่งน้อย หรือให้ขึ้นทางด่วนฟรีก็ไม่สามารถทำได้ เพราะติดสัญญาสัมปทานกับเจ้าเดิม โดยไม่มีการแข่งขัน เราจะอยู่กันไปแบบนี้เรื่อยๆ หรือ ผมเชื่อว่ามีเอกชนเจ้าอื่นที่อยากเข้ามาแข่งขัน และรัฐอาจได้รับข้อเสนอที่ดีกว่าปัจจุบันด้วย”


สุรเชษฐ์กล่าวต่อว่า หลักการของสัมปทานคือสัมปทานหมดแล้วควรหมดเลย การขยายออกไปยิ่งเอื้อให้เอกชนได้กำไรเกินควร ยกตัวอย่างเช่นในปีแรกๆ ของการก่อสร้างทางด่วน เอกชนก็ต้องกู้เงินและเป็นผู้แบกค่าใช้จ่ายหลัก แต่ปีต่อๆ มาเมื่อคนใช้ทางด่วนมากขึ้นและรายจ่ายค่าซ่อมบำรุงของเอกชนคงที่ ในปีต่อๆ ไปกำไรจะยิ่งมากขึ้น ดังนั้น หากรัฐตกลงกับเอกชนให้หากำไรได้ที่ 30 ปีก็ควรจบตามนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือหาเหตุจะขยายสัมปทานไปถึงปี 2601 


“ค่าผ่านทางวันนี้ถูกหรือแพงเกินไป เป็นเรื่องที่พูดคุยกันได้ แต่ที่รัฐไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ก็เพราะติดเงื่อนไขในสัญญาสัมปทาน ต้องตั้งคำถามว่าผู้บริหารการทางพิเศษฯ ชงเรื่องนี้เพื่อใคร ใครเป็นคนแต่งตั้งผู้บริหารการทางฯ และสิ่งที่กำลังดันกันอยู่นี้ เพื่อประชาชนหรือเพื่อนายทุนกันแน่”


สุรเชษฐ์กล่าวว่า โดยสรุปจุดยืนพรรคประชาชนคัดค้านเรื่องนี้ด้วยเหตุผล 4 ข้อ


(1) ไม่คุ้มค่า: ประชาชนจ่ายถูกลงนิดหน่อย แต่ต้องจ่ายลากยาวข้ามศตวรรษ


(2) ไม่โปร่งใส: เมื่อกรรมาธิการติดตามงบประมาณฯ ที่ตนเป็นประธาน พยายามขอข้อมูลในรายละเอียดของโครงการ Double Deck หน่วยงานก็ไม่ให้ บอกว่าต้องรอ ครม. อนุมัติก่อน แต่ถึงวันนั้นจะมีประโยชน์อะไร เพราะถ้า ครม. อนุมัติไปแล้ว รัฐบาลใหม่เข้ามาก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เพราะถ้าไปยกเลิก รัฐก็ต้องเสียค่าโง่ 


“ผมได้ข้อมูลจากข้าราชการ ว่ามีวาระลับในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (บอร์ด PPP) เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 อยากให้สื่อมวลชนช่วยกันจี้ถามทางสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ว่าในวันนั้นมีวาระเรื่องขยายสัมปทานทางด่วนอยู่ด้วยหรือไม่ แล้วมติคืออะไร เพราะถ้าหลุดจากบอร์ด PPP มาได้ ทางก็ฉลุยเข้า ครม. ได้เลย” 


(3) ไม่ได้ดีจริง: โครงการ Double deck ไม่ได้แก้ปัญหารถติด หรือต่อให้ใครคิดว่าโครงการนี้ดีจริงก็ควรรอให้หมดสัมปทานก่อนแล้วเปิดประมูลให้มีการแข่งขัน อีกทั้งโครงการนี้ มูลค่าการลงทุนราว 34,800 ล้านบาท เป็นการสร้างทางด่วนชั้นที่สองคร่อมทางด่วนขั้นที่สอง ไม่ได้ลงสู่พื้นราบโดยตรง โครงการนี้จึงเป็นเหมือนการเพิ่มพื้นที่จอดรถบนอากาศ ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหารถติดบนทางด่วน และการลงทุนก็แพงมาก เฉลี่ยกิโลเมตรละ 2,047 ล้านบาท สูงกว่างบลงทุนของ อบจ. ทั้งจังหวัดด้วยซ้ำ


(4) ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลนี้: นี่มันรัฐบาล 4 เดือน ไม่ควรเจรจาซุปเปอร์ดีลแสนล้านอันนำมาซึ่งผลผูกพันต่อคนรุ่นหลังไปอีกแสนนาน ประเด็นนี้สำคัญต่อความชอบธรรมทางการเมือง การตัดสินใจดีลใหญ่เช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในรัฐบาลนี้ เพราะรัฐบาลปัจจุบันเป็นรัฐบาลตาม MOA จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2569 แต่กำลังคิดจะสร้างภาระให้ประชาชนไปถึงปี 2601 รัฐบาลควรเอาเหตุผล ตัวเลข ข้อเท็จจริงมาเปิดเผยและถกเถียงให้ตกผลึกก่อน แล้วให้รัฐบาลหน้าที่มีความชอบธรรมทางการเมืองมาจากการเลือกตั้งของประชาชน เป็นผู้ตัดสินใจ


ข้อเสนอของพรรคประชาชน คือรัฐบาลต้องหยุดหาเรื่องขยายสัมปทานไปเรื่อย เน้นแก้ปัญหารถติดให้ถูกจุด ไม่จำเป็นต้องรีบทำ Double Deck แต่ควรรอให้หมดสัมปทานก่อนแล้วค่อยคิดแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น อาจเปลี่ยนระบบการเก็บเงินบนทางด่วนเป็นแบบ Distance-based วิ่งใกล้จ่ายน้อย วิ่งไกลจ่ายมาก หรือ Time-dependent กล่าวคือช่วงกลางคืนคนใช้ทางด่วนน้อยอยู่แล้ว อาจให้ใช้ทางด่วนฟรีหรือเก็บราคาถูกเพื่อให้ประชาชนสะดวกและปลอดภัยมากขึ้นโดยรัฐไม่ได้เสียอะไรเพิ่มเลย ซึ่งทั้งหมดนี้ทำไม่ได้เลยถ้ายังขยายสัมปทานให้เอกชนเจ้าเดิมอยู่แบบนี้


“เรายังมีหลายทางเลือกที่ทำได้โดยไม่ต้องเอื้อนายทุน รัฐบาลอย่าเร่งอนุมัติเรื่องใหญ่เพื่อเก็บกระสุนไปเลือกตั้ง เรื่องที่ผูกพันเป็นภาระยาวนานเช่นนี้ ต้องรอรัฐบาลหลังการเลือกตั้งมาตัดสินใจ โดยช่วงเลือกตั้ง ควรให้แต่ละพรรคนำเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาเพื่อมาแข่งขันกัน แล้วให้ประชาชนเลือก“


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #ทางด่วนชั้นที่2

“ณัฐพงษ์” ลุยน้ำท่วมปทุมธานี แนะรัฐบาลทบทวนแนวบริหารจัดการน้ำ พร้อมย้ำเงินเยียวยาต้องเป็นธรรมตามระยะเวลาที่น้ำท่วม ไม่ใช่เหมาจ่าย 9,000 บาท

 


“ณัฐพงษ์” ลุยน้ำท่วมปทุมธานี แนะรัฐบาลทบทวนแนวบริหารจัดการน้ำ พร้อมย้ำเงินเยียวยาต้องเป็นธรรมตามระยะเวลาที่น้ำท่วม ไม่ใช่เหมาจ่าย 9,000 บาท


วันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วย สส.ปทุมธานี พรรคประชาชน และ มนต์พิพัฒน์ เอี่ยมจรัส นายกเทศบาลเมืองบางคูวัด เข้าพื้นที่ จ.ปทุมธานี ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากอุทกภัย จากการที่รัฐระบายน้ำในระดับสูง และเปลี่ยนแนวทางการบริหารจัดการน้ำ จากเดิมที่เปิดรับน้ำเข้าทุ่งทั้ง 10 ตอนล่างตั้งแต่วันที่ 15 กันยายนมาเป็นการใช้น้ำเข้าทุ่งเป็นทางเลือกสุดท้าย ทำให้พื้นที่นอกคันกั้นน้ำในลุ่มเจ้าพระยาและท่าจีนต้องเผชิญน้ำท่วมยาวนานกว่า 4 เดือน


โดยช่วงเช้า ณัฐพงษ์พร้อม สส. เดินทางไปยังวัดสวนมะม่วงและวัดป่างิ้ว ประชาชนในพื้นที่ได้สะท้อนถึงความยากลำบากในการดำรงชีวิต ด้วยสภาพพื้นที่อยู่ติดกับริมแม่น้ำ ซึ่งมีการสัญจรของเรือทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กด้วยความเร็ว ทำให้น้ำซัดเข้ามาสร้างความเสียหายเพิ่มอีก 


นอกจากนี้ประชาชนยังสะท้อนเรื่องเงินเยียวยา ที่ไม่ว่าจะท่วมนานแค่ไหนหรือหนักแค่ไหน ก็จะคงที่อยู่ที่ 9,000 บาทต่อครัวเรือน ซึ่งไม่เพียงพอที่จะเยียวยาให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบมาตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา โดยเกือบทุกคนเห็นด้วยหากจะมีการปรับหลักเกณฑ์การจ่ายให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่ได้ผลกระทบ


โดยขณะนี้ เทศบาลเมืองบางคูวัดได้ดำเนินการสำรวจข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบทุกหลังคาเรือน โดยมีการส่งมอบข้าวกล่องทุกวันจนกว่าน้ำจะลด พร้อมถุงยังชีพและสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น รวมถึงทำสะพานไม้เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่สามารถสัญจรได้ และเทศบาลยังได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชน 24 ชั่วโมง ส่วนในระยะยาว เทศบาลได้เตรียมโครงการป้องกันน้ำท่วมชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยาสำหรับ ปี 2570 ระยะ 1.5 กม. ไว้ ซึ่งผ่านประชาคมได้รับความเห็นชอบจากประชาชนในพื้นที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


ณัฐพงษ์กล่าวว่า พรรคประชาชนได้เสนอ 5 ข้อให้รัฐบาลทบทวนแนวทางบริหารจัดการน้ำในการป้องกันน้ำท่วมที่หนักและยาวนาน การช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประสบภัย และการลดความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมหนักและยาวนานเช่นนี้อีก ไม่ว่าจะเป็น 

 

(1) ทบทวนแนวทาง “ท่วมในทางก่อนท่วมในทุ่ง” พร้อมลดปริมาณน้ำสูงสุดและเพิ่มการแจ้งเตือนล่วงหน้า 


(2) ปรับเกณฑ์การเยียวยาให้สะท้อนระยะเวลาน้ำท่วมที่แตกต่างกัน ไม่ใช่แบบเหมาจ่าย 9,000 บาท 


(3) ยกระดับมาตรฐานการดูแลผู้ประสบภัยและศูนย์พักพิง 


(4) วางแผนฟื้นฟูและยกระดับชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำทั้งระยะสั้น–ระยะยาว 


(5) ทบทวนความเป็นไปได้ของโครงการป้องกันน้ำท่วมขนาดใหญ่ที่ล่าช้าจากแผน เพื่อให้การลงทุนและการป้องกันน้ำท่วมมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตอบโจทย์ประชาชนมากที่สุด


หัวหน้าพรรคประชาชนกล่าวด้วยว่า ในวันที่พรรคประชาชนยังไม่ได้เป็นรัฐบาล ยังไม่สามารถเข้าไปบริหารจัดการน้ำทั้งระบบได้ สิ่งที่พรรคประชาชนได้ทำในวันนี้คือการจัดการผ่านกลไกในท้องถิ่น เช่นในพื้นที่เทศบาลเมืองบางคูวัด ที่มีนายกเทศบาลจากพรรคประชาชนเข้ามาบริหาร ก็ได้ดำเนินการดูแลพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่


ตนขอส่งกำลังใจให้พี่น้องทุกคนที่กำลังเผชิญน้ำท่วมยาวนาน การหยุดวงจรน้ำท่วมซ้ำซาก จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ โดยต้องทำอย่างต่อเนื่อง ที่ถึงแม้อาจจะต้องใช้ระยะเวลายาวนาน แต่ต้องมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน และต้องทำผ่านรัฐบาลที่ทำงานกันเป็นทีมข้ามกระทรวง ไม่ได้แบ่งกระทรวงกันทำตามโควตาทางการเมือง 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #น้ำท่วม68 #ปทุมธานี














“ทนายแจม” ออกจม.เปิดผนึก ถึง รมว.ยุติธรรม ขอให้นำ เอกชัย หงส์กังวาน เข้ารับการรักษาพยาบาลอย่างเร่งด่วน - “ลูกเกด ชลธิชา” เรียกร้อง กรมราชทัณฑ์-ศาล ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ต้องขัง ให้ได้รับการรักษาพยาบาลที่เหมาะสม และได้รับสิทธิในการประกันตัว ตามหลักการในรัฐธรรมนูญ

 


“ทนายแจม” ออกจม.เปิดผนึก ถึง รมว.ยุติธรรม ขอให้นำ เอกชัย หงส์กังวาน เข้ารับการรักษาพยาบาลอย่างเร่งด่วน - “ลูกเกด ชลธิชา” เรียกร้อง กรมราชทัณฑ์-ศาล ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ต้องขัง ให้ได้รับการรักษาพยาบาลที่เหมาะสม และได้รับสิทธิในการประกันตัว ตามหลักการในรัฐธรรมนูญ


วันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กทม. พรรคประชาชน โพสข้อความระบุว่า


จดหมายเปิดผนึก ถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม 


เรื่อง ขอให้นำ นายเอกชัย หงส์กังวาน ผู้ต้องขังคดีทางการเมือง เข้ารับการรักษาพยาบาลอย่างเร่งด่วน


ดิฉันเขียนจดหมายฉบับนี้ เพื่อแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ความเจ็บป่วยของ นายเอกชัย หงส์กังวาน ผู้ต้องขังทางการเมือง ซึ่งถูกคุมขังมาแล้ว กว่า 60 วัน และกำลังเผชิญกับโรค “ฝีในตับ” ในภาวะที่น่าเป็นห่วงและต้องได้รับการรักษาโดยทันทีจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ


แต่จนถึงขณะนี้ เอกชัยยังไม่ได้ถูกส่งเข้ารับการรักษาที่จำเป็นเพื่อรักษาชีวิต การปล่อยให้ผู้ต้องขังที่ป่วยอยู่ในสภาพเสี่ยงเช่นนี้ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง


สิทธิในการได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที ไม่ใช่ “ความเมตตา” ของรัฐ แต่เป็น สิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐมีหน้าที่ต้องจัดให้ ตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล ซึ่งระบุชัดเจนว่า ผู้ต้องขังทุกคนต้องได้รับมาตรฐานการรักษาที่เท่าเทียมกับบุคคลทั่วไป โดยไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าด้วยเหตุผลทางการเมืองหรือประการใด


การเพิกเฉยต่อภาวะเจ็บป่วยที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ ดิฉันจึงมีข้อเรียกร้อง 3 ประการให้กระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ดำเนินการโดยทันที 


1. นำตัวนายเอกชัย หงส์กังวานเข้ารับการตรวจวินิจฉัย และรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที 


2. รับประกันสิทธิในการรักษาพยาบาลของผู้ต้องขังทุกคน ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อไม่ให้เกิดกรณีลักษณะนี้อีก


3. รายงานความคืบหน้าและขั้นตอนการดูแลอย่างโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่ารัฐไม่ได้ทอดทิ้งผู้ต้องขัง


ชีวิตของคนหนึ่งคนไม่ควรถูกเพิกเฉย ทิ้งให้เจ็บป่วยอยู่ในความเงียบภายในกำแพงเรือนจำและรัฐควรปล่อยให้ผู้ต้องขังป่วยหนักโดยไร้การรักษาอย่างทันท่วงที


ทุกชีวิตหลังกำแพงเรือนจำมีคุณค่า และสมควรได้รับการดูแลรักษาโดยไม่มีข้อยกเว้น เพราะศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต้องไม่ถูกปิดกั้นด้วยประตูเรือนจำ


ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์

ผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต11 พรรคประชาชน



เช่นเดียวกัน น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือ ลูกเกด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปทุมธานี พรรคประชาชน โพสข้อความถึง


ข้อเรียกร้องต่อ กรมราชทัณฑ์ และ ศาล ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ต้องขัง ให้ได้รับการรักษาพยาบาลที่เหมาะสม และได้รับสิทธิในการประกันตัว ตามหลักการในรัฐธรรมนูญ


จากกรณีของคุณเอกชัย หงส์กังวาน นักกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งอยู่ระหว่างถูกคุมขังในเรือนจำกลางคลองเปรม มานานกว่า 2 เดือนแต่กลับไม่ได้รับความคืบหน้าในการส่งตัวไปรับการรักษาโรคฝีในตับอย่างต่อเนื่อง แม้มีการทำหนังสือขอส่งตัวเข้ารับการรักษามานานกว่า 2 เดือน สะท้อนความล้มเหลวของกรมราชทัณฑ์ในการดูแลและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ต้องขังอย่างชัดเจน


ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นอกจากกรณีของคุณเอกชัยแล้ว ดิฉันได้รับทราบข้อมูลและข้อร้องเรียนจำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่า เรือนจำไทยประสบปัญหาด้านมาตรฐานในการควบคุมดูแลผู้ต้องขังมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยข้อจำกัดในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของผู้ต้องขังในเรือนจำมีหลายประการ ทั้งปัญหาการต้องรอพบแพทย์นานหลายสัปดาห์ เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอกับจำนวนผู้ต้องขัง การไม่ได้รับยารักษาโรคที่เหมาะสมและมีคุณภาพ รวมถึงปัญหาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ไม่เพียงพอในการควบคุมผู้ต้องขังไปรักษาพยาบาลนอกเรือนจำ และจากกรณีของคุณเอกชัย ยังได้สะท้อนให้เห็นปัญหาระบบคำร้องของเรือนจำ ที่ยังต้องใช้การเขียน ส่งผลให้เอกสารคำร้องต่าง ๆ ของผู้ต้องขังและทนายความเกิดการสูญหายได้อย่างง่ายดาย


ดิฉันขอยืนยันว่า สิทธิในการได้รับการรักษาพยาบาล คือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ผู้ต้องขังทุกคนต้องได้รับสิทธินี้อย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกันโดยไม่ล่าช้า ดิฉันจึงขอเรียกร้องไปยังกรมราชทัณฑ์ ให้พัฒนาระบบบริการทางการแพทย์ของเรือนจำทุกแห่งให้ได้มาตรฐาน ให้สามารถดูแลสุขภาพผู้ต้องขังได้อย่างมีประสิทธิภาพ และกรมราชทัณฑ์ ต้องรับผิดชอบต่อการทำเอกสารคำร้องขอรับการรักษาพยาบาลของคุณเอกชัยและทนายความสูญหาย โดยการพิจารณาคำร้องของคุณเอกชัยและทนายความอย่างเร่งด่วนที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้อาการของโรคเลวร้ายขึ้นจากการไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และกรมราชทัณฑ์ควรต้องพิจารณาจัดทำระบบการยื่นคำร้องที่จะไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดเช่นนี้อีก


และดิฉันขอเรียกร้องไปยังศาล ให้พิจารณาการให้ประกันตัวคุณเอกชัย เนื่องจากคดีความของคุณเอกชัยยังไม่เป็นที่สิ้นสุด จึงยังคงสถานะเป็นผู้บริสุทธิ์ตามรัฐธรรมนูญไทย และหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ (Presumption of Innocence) เพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ให้คุณเอกชัยได้ออกมาต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรม ไม่ถูกปฏิบัติเช่นเดียวกับผู้กระทำผิด และได้รับการรักษาโรคฝีในตับอย่างเหมาะสมในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพในการให้บริการทางการแพทย์อย่างต่อเนื่องโดยเร็ว



สำหรับคดีที่ทำให้เอกชัยถูกคุมขังในครั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2568 ศาลอุทธรณ์ได้กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ในคดีที่เขาและผู้ร่วมคดีอีก 4 คน ถูกดำเนินคดีในข้อหาหลักคือประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชินี ตามมาตรา 110 แห่งประมวลกฎหมายอาญา จากเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 ที่ถูกกล่าวหาว่าขัดขวางขบวนเสด็จของสมเด็จพระราชินี โดยศาลลงโทษจำคุกเอกชัยถึง 21 ปี 4 เดือน


การถูกคุมขังในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 7 ในชีวิตของเอกชัยแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเคยถูกจำคุกในคดีมาตรา 112 จากการขายซีดีสารคดีของสำนักข่าว ABC และคดี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ กรณีโพสต์เรื่องเพศสัมพันธ์ในเรือนจำ อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาถูกส่งตัวมาคุมขังที่เรือนจำกลางคลองเปรม หลังจากไม่ได้รับการประกันตัว โดยเขาและผู้ร่วมคดีทั้ง 5 คน ถูกย้ายมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2568


สำหรับปัญหาสุขภาพของเอกชัย ระหว่างที่เขาถูกคุมขังในปี 2566 เขาได้เกิดอาการฝีในตับ และถูกส่งตัวไปตรวจที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งแพทย์ตรวจพบก้อนที่ตับขนาด 11×8 เซนติเมตร จากนั้นจึงได้รับการส่งตัวไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลราชวิถี โดยแพทย์เฉพาะทางได้ทำการเจาะระบายหนองออกจากฝีในตับ และมีการนัดหมายให้กลับมาติดตามอาการในภายหลัง


จนถึงปัจจุบัน (14 พ.ย. 2568) เอกชัยถูกคุมขังระหว่างต่อสู้ชั้นฎีกาในครั้งนี้เป็นเวลา 71 วันแล้ว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เอกชัยหงส์กังวาน #มาตรา110 #คืนสิทธิประกันตัวประชาชน

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

“1 ปี 6 เดือน ไม่ลืมบุ้ง เนติพร” มวลชนจุดเทียน - วางดอกไม้รำลึก หน้าศาลอาญา ยันไม่ลืมปณิธานสุดท้ายบุ้ง ปล่อยผู้ต้องขังทางการเมือง ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม

 


“1 ปี 6 เดือน ไม่ลืมบุ้ง เนติพร” มวลชนจุดเทียน - วางดอกไม้รำลึก หน้าศาลอาญา ยันไม่ลืมปณิธานสุดท้ายบุ้ง ปล่อยผู้ต้องขังทางการเมือง ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม 


วันนี้ (14 พ.ย. 2568) ตั้งแต่เวลา 17.30 น. บริเวณหน้าศาลอาญา รัชดาฯ มวลชนร่วมกันจัดกิจกรรม “1 ปี 6 เดือน ไม่ลืมบุ้งเนติพร” โดยร่วมกันทำกิจกรรม "ยืนหยุดขัง" ร้องเพลง วางดอกไม้ และจุดเทียนรำลึกถึง “บุ้ง” เนติพร หรือ บุ้ง ทะลุวัง ที่เสียชีวิตลงในระหว่างการควบคุมตัวของกรมราชทัณฑ์เมื่อ 14 พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งนับจนถึงวันนี้เป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน แล้ว 


โดยมวลชนประมาณ 20 คนทยอยมาร่วมกิจกรรมยืนหยุดขัง พร้อมกับสลับกันมาพูดกล่าวถึงบุ้ง และผู้ต้องขังที่ยังคงถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ พร้อมกับมีการเล่นดนตรีและร้องเพลงจาก ‘อาเล็ก ศิลปินเพลงเพื่อราษฎร’ ขณะที่ 'เสี่ยวเป้า' นำไอศครีมกะทิ และน้ำดื่มมาให้พี่น้องมวลชนรับประทาน


มวลชนที่ร่วมจัดกิจกรรม กล่าวว่า ‘บุ้งจะอยู่ในความทรงจำของพวกเรา การเสียชีวิตของบุ้งไม่จะไม่สูญเปล่าแน่นอน พวกเราจะต่อสู้และเรียกร้องจนกว่าจะได้ความยุติธรรม’


ด้าน ตี้ พะเยา กล่าว บุ้งเป็นคนเข้มแข็งมาก เป็นคนตรงไปตรงมา การเสียชีวิตของบุ้งไม่ใช่เพียงความสูญเสียส่วนบุคคล แต่ยังเป็นคำถามที่สะท้อนไปถึงระบบยุติธรรมไทย การที่พลเมืองต้องลุกขึ้นมาทวงคืนความยุติธรรมด้วยชีวิต ตนเองเคยถามตัวเอง จะหยุดการต่อสู้นี้ไหม แค่เมื่อนึกถึงบุ้ง เนติพร ก็ได้คำตอบว่าเราหยุดไม่ได้ ก็ต้องอยู่บนถนนเส้นนี้ต่อไป การเสียชีวิตของบุ้ง ต้องไม่สูญเปล่า ตี้ กล่าว 


จากนั้นเริ่มจุดเทียนและวางดอกไม้ในเวลา 19.35 น.​ และยุติกิจกรรมในเวลาประมาณ 20.00 น. 


สำหรับ"บุ้ง" เริ่มอดอาหารประท้วงตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2567 เพียง 1 วันหลังศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งถอนประกัน จากการเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2566 ที่มีการพ่นสีหน้ากระทรวงวัฒนธรรม เพื่อเรียกร้องให้ถอด เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ สมาชิกวุฒิสภาออกจากการเป็นศิลปินแห่งชาติ และสั่งจำคุก 1 เดือน กรณีละเมิดอำนาจศาล เมื่อ 19 ตุลาคม 2566 เธอเริ่มอดอาหารและน้ำโดยระบุว่าเป็นการประท้วงกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เป็นธรรม และเพื่อเรียกร้องการปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองทั้งหมด


เพียงไม่กี่วันหลังเริ่มอดอาหาร เธอมีอาการอ่อนแรง ตับอักเสบ และภาวะติดเชื้อ จนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลราชทัณฑ์เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2567 แต่บุ้งยังยืนกรานไม่รับการรักษาใดๆ ที่ขัดต่อเจตจำนงในการประท้วง และดำเนินการอดอาหารต่อไปแม้ร่างกายจะทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว


ในที่สุด วันที่ 14 พฤษภาคม 2567 หลังอดอาหารและน้ำยาวนานถึง 108 วัน บุ้งเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นฉับพลัน ท่ามกลางข้อกังขาของครอบครัวและสังคมถึงการดูแลของรัฐ ที่ขาดความโปร่งใสในการเปิดเผยผลการชันสูตร


โดยเมื่อวันที่ 8-9 ต.ค. 68 ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดธัญบุรีได้ไต่สวนการตาย “บุ้ง เนติพร” กรณีเสียชีวิตระหว่างอยู่ในความควบคุมของกรมราชทัณฑ์ เพื่อไต่สวนและทำคำสั่งแสดงว่าผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อใด รวมถึงสาเหตุและพฤติการณ์ที่ตาย หลังก่อนหน้านี้ ส.ค. ไต่สวนพยานไปแล้ว 2 ปาก 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #บุ้งเนติพร #ปล่อยผู้ต้องขังทางการเมือง #ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม