วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

“จุลพันธ์” มองกำหนด 50 ล้านบาท เล่นกาสิโนในเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ได้ ขัดหลักคิดรัฐบาล มองผลักกลุ่มคนเล่นผิดกฎหมาย ข้ามไปเล่นฝั่งเพื่อนบ้าน ไม่เข้าระบบ

 


จุลพันธ์” มองกำหนด 50 ล้านบาท เล่นกาสิโนในเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ได้ ขัดหลักคิดรัฐบาล มองผลักกลุ่มคนเล่นผิดกฎหมาย ข้ามไปเล่นฝั่งเพื่อนบ้าน ไม่เข้าระบบ


วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงการนัดประชุมของคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานครั้งต่อไปว่า ขณะนี้นายกรัฐมนตรีได้กำหนดวันมาแล้ว คาดว่าจะเป็นช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์


ส่วนกรณีที่ คณะกรรมการกฤษฎีกาได้เขียนร่างพระราชบัญญัติ สถานบันเทิงครบวงจรหรือร่างกฎหมายเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และมีการกำหนดว่าผู้ที่จะเข้าเล่นได้จะต้องมีเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท ต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 6 เดือน นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เห็นรายละเอียดตรงนี้แล้ว มองว่าเป็นข้อเสนอที่ต้องมีการพูดคุยกัน


เมื่อถามย้ำว่าข้อกำหนดที่ให้ผู้เข้าเล่นกาสิโนได้ต้องมีเงิน 50 ล้านบาท เหมาะสมหรือไม่ นายจุลพันธ์กล่าวว่า หลักคิดนี้แตกต่างจากหลักคิดของรัฐบาลบางส่วน เพราะกลไกที่ทางรัฐบาลทำ นอกจากการกระตุ้นเศรษฐกิจและลงทุนจากต่างชาติ ที่สำคัญคือการแก้ไขปัญหาการพนันผิดกฎหมายด้วย ฉะนั้นหากกำหนดที่ 50 ล้านบาท ลองคิดภาพง่าย ๆ ว่า คนไทยมีเงิน 50 ล้านบาทในบัญชีประมาณ 1 หมื่นบัญชี แปลว่าเราจะดันกลุ่มคนหนึ่งที่ปัจจุบันยังไปเล่นตามชายแดน และเล่นในลักษณะผิดกฎหมายออกไป แทนที่จะดึงเข้าสู่ระบบ หากคิดถึงส่วนนี้จะเห็นว่าหลักคิดแตกต่างกัน และเป็นเรื่องที่ต้องหารือกันต่อไป ซึ่งมีขั้นตอนของทางสภาอีก

  

ในฐานะคนทำงานคิดว่าตัวเลขควรต่ำกว่า 50 ล้านบาทใช่หรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ยังไม่มีข้อสรุป เพราะขณะนี้ยังมีการประชุมอยู่ และต้องหารือกับกฤษฎีกาก่อน เมื่อได้ข้อสรุปก็จะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และสภาเพื่อพิจารณา ซึ่งสุดท้ายอยู่ที่สภาจะวินิจฉัย และลงมติอย่างไร ส่วนจะเข้าคณะรัฐมนตรีได้เมื่อไหร่นั้นอยู่ที่กฤษฎีกาไม่สามารถให้คำตอบได้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์

วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

“หมอเหวง” โพส 12 ข้อ ยืนยันการชุนนุมของคนเสื้อแดงปี 53 ไม่มีกองกำลังติดอาวุธเลยแม้สักคนเดียว ชี้เป็นเรื่องเท็จที่สร้างขึ้นเพื่อใช้กองทัพสังหารประชาชนสองมือเปล่าอย่างอำมหิตแล้วลอยนวล


หมอเหวง” โพส 12 ข้อ ยืนยันการชุนนุมของคนเสื้อแดงปี 53 ไม่มีกองกำลังติดอาวุธเลยแม้สักคนเดียว ชี้เป็นเรื่องเท็จที่สร้างขึ้นเพื่อใช้กองทัพสังหารประชาชนสองมือเปล่าอย่างอำมหิตแล้วลอยนวล


เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 นพ.เหวง โตจิราการ โพสข้อความผ่านเฟสบุ๊คระบุว่า


กองกำลังติดอาวุธชายชุดดำ เรื่องเท็จที่รัฐบาลอภิสิทธิ์สร้างขึ้น เพื่อใช้กองทัพไทยสังหารประชาชนสองมือเปล่า อย่างอำมหิตแล้วลอยนวล


อีกไม่กี่วันข้างหน้า ก็จะครบสิบห้าปี เหตุการณ์ “รุมยิงนกในกรง”ปี 53 ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยกล่าวอ้างว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงมีกองกำลังติดอาวุธชายชุดดำ


ดังนั้นจึงมีความชอบด้วยกฎหมายในการใช้กองทัพไทยประมาณหกหมื่นนาย รวมทั้งกำลังตำรวจร่วมหมื่นนาย ใช้อาวุธสงครามกระสุนประมาณสองแสนนัด กระสุนเล็งยิงประมาณสองพันนัด ในการเข่นฆ่าสังหารประชาชนสองมือเปล่าอย่างเหี้ยมโหดอำมหิต


แต่จนมาถึงวันนี้ที่กำลังจะครบ 15 ปีในไม่กี่วันข้างหน้านี้

รัฐบาลอภิสิทธิ์ และเจ้าหน้าที่รัฐทั้งประเทศไทย

ยังไม่สามารถจับกุม “ชายชุดดำที่เป็นกองกำลังอาวุธแม้แต่คนเดียว”


เป็นการยืนยันว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงปี53

ไม่มีกองกำลังติดอาวุธเลยแม้สักคนเดียว


1. ในระหว่างการชุมนุมร่วมสามเดือน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจลาดตระเวนตลอดเวลา 24 ชั่วโมงเป็นจำนวนมากไม่เคยปรากฏว่าเจ้าหน้าตำรวจจะจับกุมผู้ที่มีอาวุธพกพาแม้แต่คนเดียวไม่เคยพบอาวุธซุกซ่อนอยู่หรือที่ซุกซ่อนอาวุธเลย


2. ในระหว่างการชุมนุมมีผู้สื่อข่าวทั้งไทยและเทศเข้าทำข่าวตลอดเวลาจำนวนมาก และทุกคนมีเสรีภาพในการที่จะเข้าพบปะสนทนาหรือเข้าไปในสถานที่ทุกจุดในที่ชุมนุม แต่ไม่เคยปรากฏว่า มีภาพข่าวหรือรายงานข่าวจากผู้สื่อข่าวทั้งไทยและเทศเลยว่ามีผู้พกพาติดอาวุธเลยแม้สักภาพเดียวหรือข้อความข่าวสักบรรทัดเดียว


3.จากเริ่มต้นการชุมนุม 12 มีนาคม 2553 จนถึงการเลือกตั้งกรกฎาคมปี 2554 รัฐบาลอภิสิทธิ์มีอำนาจเป็นรัฐบาลอยู่ร่วม 16 เดือน แต่ไม่เคยปรากฏว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ จะสามารถทำการจับกุมชายชุดดำที่เป็นกองกำลังติดอาวุธได้แม้แต่คนเดียว


4. ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2553 รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้ทหารระดับหลายกองพันไปตั้งกองทหารติดอาวุธสงครามเตรียมปราบปรามคนเสื้อแดง ที่วัดรอบ ๆ สะพานผ่านฟ้า สนามม้านางเลิ้ง โรงเรียนวชิราวุธ ต่อมาก็เข้าไปตั้งกองทหารติดอาวุธสงครามภายในสวนลุมพินี ตลอดไปจนการใช้ทหารพร้อมอาวุธสงครามจำนวนมากเพื่อทำลายคนเสื้อแดงคราวไปประท้วงการปิดสถานีไทยคมก็ไม่ปรากฏว่า กองทหารไทยจำนวนหลายกองพัน สามารถจับกองกำลังติดอาวุธชายชุดดำแม้เพียงคนเดียว และไม่เคยปรากฏมีกองกำลังติดอาวุธชายชุดดำแม้แต่คนเดียวยิงต่อสู้กับทหาร


5. ในคราว 10 เมษา 53 ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้ทหารระดับกองพลกล่าวคือหลายสิบกองพันปิดล้อมการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้า โดยยึดครองถนนทุกเส้นทางที่มุ่งไปสู่สะพานผ่านฟ้า จากนั้นก็ใช้กระสุนจริง รวมทั้งพลเล็งยิงซุ่มยิงสังหารประชาชนสองมือเปล่าตายกว่ายี่สิบศพ ก็ไม่สามารถจับกุมกองกำลังติดอาวุธชายชุดดำได้แม้สักคนเดียวไม่เคยมีการยิงต่อสู้จากกองกำลังติดอาวุธชายชุดดำแม้แต่คนเดียว


6. มาปรากฏภาพที่เผยแพร่ผ่านสถานีโทรทัศน์ของราชการสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ว่ามีชายชุดดำสองนายใช้เสาไฟฟ้าที่ถนนตะนาวกำบังตนและยิงปืนอาก้าเป็นประกายไฟปลายกระบอกจำนวนหลายชุด แต่จากการลงพื้นที่เพื่อตรวจค้นและสำรวจหาพยานหลักฐานของกองพิสูจน์หลักฐาน ไม่ปรากฏว่าพบ ปลอกกระสุนอาก้า ไม่ปรากฏว่ามีทหารไทยหรือแม้กระทั่งประชาชนที่เบียดเสียดยัดเยียดกันในบริเวณนั้นสักคนที่บาดเจ็บหรือล้มตายจากกระสุนอาก้า


เพียงเท่านี้ก็ยืนยันว่า ภาพที่นำมาเผยแพร่ผ่านทางโทรทัศน์ของรัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นการสร้างภาพยนต์เผยแพร่เพื่อนำมาเป็นหลักฐานอ้างอิงว่าคนเสื้อแดงมีกองกำลังติดอาวุธชายชุดดำเพื่อจะได้ใช้กองทัพไทยทั้งกองทัพและเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเข่นฆ่าประชาชนสองมือเปล่าได้โดยชอบด้วยกฎหมาย


7. ผมรับชมการแพร่ภาพของโทรทัศน์รัฐบาลอภิสิทธิ์ที่สี่แยกราชประสงค์สังเกตุเห็น “โลโก้ ของอัจจาชีระ” ติดอยู่ในคลิปที่มีภาพชายชุดดำบังเสาไฟยิงปืนอาก้า ผมจึง ติดต่อขอพบ นักข่าว อัลจาชีระ ผมถามเขาว่า ภาพดังกล่าวใครเป็นผู้บันทึกไว้ เขาตอบว่า “ซื้อมาจากฟรีแลนซ์ หรือนักข่าวสมัครเล่น” ทำให้ผมมีข้อสรุปของผมว่า “นี่เป็นการสร้างคลิปจากIOเพื่อใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดงและเปนหลักฐานเพื่อใช้กองทัพเข้าปราบปรามสังหารกวาดล้างประชาชนอย่างแน่นอน”


ต่อมาภายหลัง คุณ ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษได้เชิญตัวแทนสำนักข่าวอัลจาชีระ เพื่อสอบถามรายละเอียดก็ได้คำตอบเช่นเดียวกันผม


ดังนั้นสำหรับผมแล้ว คลิปดังกล่าวเป็นการสร้างภาพยนตร์โดยฝ่ายศอฉ.เพื่อใส่ร้ายป้ายสีเสื้อแดง และเป็นข้ออ้างทางกฎหมายที่ศอฉ.และรัฐบาลอภิสิทธิ์จะใช้ทหารฆ่าประชาชนสองมือเปล่าได้โดยไม่ผิดกฎหมาย เพราะไม่มีประเทศใดในโลกที่จะสลายการชุมนุมของประชาชนโดยทหารที่ใช้อาวุธสงครามจำนวนเป็นกองทัพน้อย (หรือกองทัพทั้งสามเหล่าในวันที่ 19 พ.ค. 53) ในเวลาวิกาล


8. เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดเมื่อ 10 เมษา 53 ที่ทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้ใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดงคือ การตายของ “พลเอกร่มเกล้า (ยศภายหลังเสียชีวิต)” โดยรัฐบาลอภิสิทธิ์ใส่ร้ายว่า ร่มเกล้า ตายจากการสังหารโดยคนเสื้อแดงยิง M79 จากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยบริเวณที่มีคนเสื้อแดงรวมตัวกันอยู่จำนวนมาก


ความจริงที่ปรากฏต่อมาในภายหลัง หน่วยพิสูจน์หลักฐานของตำรวจได้ทำการตรวจสถานที่เกิดเหตุ พบหลุมที่เกิดจากระเบิดสังหารแบบขว้างด้วยมือ M67 เศษชิ้นส่วนโลหะที่ได้จากร่างร่มเกล้า เป็นชิ้นส่วนของระเบิดสังหาร M67


ดังนั้น ร่มเกล้า ตายด้วย ระเบิดขว้าง M67 ไม่ใช่ตายจาก กระสุนเอม79 ที่ต้องยิงด้วยเครื่องยิง M79 และยิงจากระยะไกลกว่า 200 เมตรได้ ต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่าง M79 และระเบิดขว้าง M67 คือ ระเบิดขว้าง M67 นั้นต้องขว้างในระยะไม่เกิน 30 เมตร จากผู้ขว้างที่มีความเชี่ยวชาญและแม่นยำในการขว้าง ซึ่งก็คือพวกทหารด้วยกันเองนั่นแหละครับ พลเรือนไม่มีใครมีความเชี่ยวชาญและแม่นยำในการการขว้างระเบิดขว้างแบบ M67


และผู้ขว้างต้องเป็นผู้รู้ว่า ร่มเกล้าอยู่ที่ใน ในเวลาเท่าไร และต้องอยู่ในระยะ 30 เมตรที่หวังผล


ซึ่งในบริเวณถนนดินสอ ในเวลาประมาณ 17.00 น. มีแต่ทหารอัดแน่นกว่าพันคนเต็มไปหมด ไม่มีคนเสื้อแดง หรือ ชายชุดดำอยู่บนถนนดินสอแน่นอน ผู้ขว้างต้องห่างจากร่มเกล้าไม่เกิน 30 เมตรรู้ตำแหน่งของร่มเกล้าชัด


การใส่ร้ายป้ายสีของศอฉ.ปรากฏชัดในรายงานของคณะกรรมการแสวงหาความจริงเพื่อการปรองดองของ อ.คณิต ณ.นคร ที่เขียนโดย สมชาย หอมลออ โดยบรรยายว่า คนเสื้อแดงจำนวนมาก วิ่งจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็นแถวยาว แล้วปีนข้ามรั้วบ้านทรงไทยหน้ารร.สตรีวิทยา หลังจากนั้นมีคนเสื้อแดงซ่อนตัวอยู่หลังประตูไม้แล้วขว้างระเบิด M67 ข้ามประตูไม้ไปสังหารร่มเกล้า


ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับความเป็นจริงทั้งหมด

คือ ถนนดินสอมีทหารอัดแน่นเต็มไปหมดเป็นไปไม่ได้ที่คนเสื้อแดงจะวิ่งเป็นแถวยาวไปยังบ้านไม้ทรงไทยหน้ารร.สตรีวิทย์


ข้อต่อมา ความสูงของประตูไม้หน้าบ้านทรงไทยสูงร่วมสองเมตร ผู้ขว้างที่ซ่อนตัวหลังประตูไม่มีทางเห็นทัศนวิสัยภายนอกไม่มีทางเห็นว่าร่มเกล้าอยู่ไหน ไม่มีทางขว้างถูก มีทหารขึ้นไปยึดชั้นสองชั้นสามของรร.สตรีวิทย์เต็มไปหมด พร้อมกล้องทหารที่ส่องทางไกลได้ย่อมต้องเห็นถ้าคนเสื้อแดงเตรียมขว้างระเบิดหลังบ้านทรงไทย ทหารต้องเล็งด้วยกล้องยิงตายก่อนจะขว้างได้


ในรายงานยังให้รายละเอียดอีกว่า คนสวนในบ้านมาดูแลสนามหญ้าตอนเช้า พบโลหะสองชิ้นเป็นวงแหวน ต่อมามีชายฉกรรจ์สองคนมาขอไป แล้วตอนหลังมีคำอธิบายว่าเป็นกระเดื่องระเบิดแสวงเครื่อง M67


นี่เป็นการโกหกสองชั้น

ชั้นแรกโกหกว่าร่มเกล้าตายจาก M79 ยิงจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

เมื่อโกหกไม่สำเร็จ


ก็โกหกชั้นที่สองคือตายระเบิดขว้าง M67 โดยคนเสื้อแดงขว้างจากภายในบ้านทรงไทยตรงข้าม รร.สตรีวิทยา


ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยเพราะ ทหารยึดครองถนนดินสอหนาแน่นตั้งแต่ประมาณบ่ายสามโมง ไปแล้ว ร่มเกล้าตายหลังบ่ายห้าโมง


ดังนั้น มีแต่ทหารที่ชำนาญการขว้าง M67 และอยู่ห่างจากร่มเกล้าประมาณ 30 เมตร ที่ขว้างระเบิด M67 ไปสังหารร่มเกล้า


9. หลังจาก 10 เมษา 53 เป็นต้นมารัฐบาลอภิสิทธิ์ก็วางแผนที่จะเข่นฆ่าประชาชนสองมือเปล่าอย่างเป็นระบบ โดยการสั่งติดป้าย “เขตกระสุนจริง” รอบ ๆ บริเวณที่ชุมนุมกระจายหลายจุด ได้ใช้พลซุ่มยิงเล็งยิงประชาชนรอบสี่แยกราชประสงค์ เช่นถนนราชปรารภ ซอยรางน้ำ ถนนเพลินจิต บ่อนไก่ ฯลฯ


และในวันที่ 19 พฤษภา 2553 ก็ใช้กองทัพไทยทั้งสามเหล่าทัพเข้าเข่นฆ่าประชาชนสองมือเปล่าเป็นวงกว้างรอบสี่แยกราชประสงค์ แต่ก็ไม่สามารถจับกุมกองกำลังติดอาวุธชายชุดดำแม้แต่คนเดียว และก็ไม่ปรากฏว่ามีการยิงต่อสู้ของกองกำลังติดอาวุธชายสุดดำตอบโต้กองทัพไทยแม้แต่คนเดียวหรือกระสุนนัดเดียว มีแต่ประชาชนไทยสองมือเปล่าที่ถูกกองทัพไทยยิงอย่างเมามันคึกคะนองอำมหิตตายเป็นจำนวนทั้งสิ้นกว่าหกสิบศพ


10. ตลอดเวลาตั้งแต่ 12 มีนาคม 2553 ทีเริ่มชุมนุมไปจน 19 พฤษภา 2553 ที่ถูกกวาดล้างอย่างสิ้นซากไม่ปรากฏว่ามีการยิงต่อสู้ของกองกำลังติดอาวุธชายชุดดำแม้แต่นายเดียวนัดเดียวหรือครั้งเดียว


11. ผู้ต้องสงสัยที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวไปฟ้องศาลและถูกขังเป็นจำนวนหลายเดือนหลายคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นชายชุดดำล้วนแต่มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่า “ยกฟ้อง” แปลว่าไม่ใช่ชายชุดดำ คุณกิติศักดิ์ สุ่มศรี (อ้วน) ถูกฟ้องแล้ว ฟ้องอีกในข้อกล่าวหาว่าเป็นชายชุดดำก็ได้รับการยกฟ้องในชั้นฎีกา รวมทั้งข้อกล่าวหาว่า นำปืน M79 ไปสังหารร่มเกล้า ศาลก็ยกฟ้อง คดีที่กล่าวหาว่า ยิงปืนใส่กระทรวงกลาโหม ศาลก็ยกฟ้อง คดีที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธทั้งหมดศาลยกฟ้องทั้งสิ้น


12. มาจนถึงปัจจุบัน (ก.พ. 2568) รัฐไทยยังไม่สามารถจับกองกำลังติดอาวุธชายชุดดำได้แม้แต่คนเดียว


ดังนั้นเหตุผลที่ปปช.สั่งยกข้อกล่าวหานรม.อภิสิทธิ์และรองนรม.ฝ่ายความมั่นคงสุเทพเพราะการชุมนุมของคนเสื้อแดงมีกองกำลังอาวุธเป็นการใช้ความรุนแรงไม่ได้รับความคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญจึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง การไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีกองกำลังติดอาวุธชายชุดดำจริงภายหลัง 15 ปีแล้ว


จึงถือเป็นหลักฐานใหม่ข้อมูลข้อเท็จจริงใหม่ที่ทางปปช.จักต้องนำไปพิจารณาเพื่อทบทวนการยกฟ้อง นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงสุเทพเสียใหม่


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คนเสื้อแดง

ม็อบชาวนาเรียกร้องนายกฯ แก้ปัญหาราคาข้าวที่ตกต่ำ

 




ม็อบชาวนาเรียกร้องนายกฯ แก้ปัญหาราคาข้าวที่ตกต่ำ


วันนี้ (19 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 13.10 น. ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ม็อบชาวนา เรียกร้องให้นายกออกมาพูดคุยที่ด้านหน้าทำเนียบรัฐบาล (ที่ศูนย์บริการประชาชน) โดยกลุ่มเกษตรกรชาวนาผู้ได้รับความเดือดร้อนจังหวัดพื้นที่ภาคกลาง ประกอบด้วย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา, สุพรรณบุรี, อ่างทอง, ลพบุรี, สิงห์บุรี, ชัยนาท และจังหวัดปทุมธานี ยอดประมาณ 200 คน นำโดย นายฐิติวัฒน์ กลีบมาลัย นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) มารวิชัย อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา และนายสอาด สุขสแดน กำนันต.ไม้ตรา อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา


โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เรื่อง ขอให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวนาอย่างเร่งด่วน โดยมีข้อเรียกร้องดังนี้


1. ขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ทำนา โดยกำหนดราคาประกันข้าวที่ 11,000 บาทต่อตัน และกำหนดปริมาณรับประกันราคาไม่เกิน 50 ตันต่อราย หรือดำเนินโครงการรับจำนำข้าวในราคารับจำนำข้าว 11,0000 บาทต่อตันสำหรับเกษตรกรรายละ 50 ตัน


2. ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเยียวยาเกษตรกรผู้ทำนาในพื้นที่รับน้ำ โดยจัดสรรเงินชดเชย จำนวน 300 บาทต่อไร่ต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือนในแต่ละปี เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเป็นพื้นที่รับน้ำ


3. ขอเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรการห้ามเผาตอซังข้าวในพื้นที่ทำการเกษตร เนื่องจากชาวนาที่อยู่ในพื้นที่ไม่มีทางเลือกอื่นใดในการกำจัดฟางข้าวนอกจากการเผาทำลาย หรือขอให้ตั้งงบรับซื้อตอซังข้าว เพื่อช่วยลดภาระชาวนา


ขณะผู้สื่อข่าวรายงาน กลุ่มเกษตรได้ปราศรัยฯ ปัญหาราคารับซื้อข้าวตกต่ำ ระหว่างรอผู้ประสานงานรัฐบาลเดินทางออกมารับหนังสือกลุ่ม


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นายกฯแพทองธาร #เกษตรกร #ชาวนา #ราคาข้าวตกต่ำ













โรม” เรียกร้องรัฐบาลทบทวนส่งแก๊งคอลเซนเตอร์ออกนอกประเทศไม่เก็บข้อมูลอัตลักษณ์ หวั่นอนาคตกลับเข้าไทยทำผิดซ้ำ เผยเชิญหน่วยงานหารือใน กมธ.ความมั่นคงฯ พรุ่งนี้ (20 ก.พ.)


วันนี้ (19 ก.พ. 68) นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า


เรื่องใหญ่มากนะครับ ถ้าคนที่เคยอยู่ในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะถูกส่งตัวไปประเทศต่างๆโดยไม่ผ่าน กระบวนการคัดแยกเหยื่ออาชญากร เพราะนั่นหมายความว่าเราจะไม่มีข้อมูลสำคัญที่จะนำไปใช้เพื่อจัดการกับบรรดาอาชญากรต่างๆ ที่จะนำไปสู่การทลายโครงสร้าง อย่างถอนรากถอนโคน


ถ้ากระบวนการของเราไม่แม้แต่เก็บข้อมูลอัตลักษณ์ หรือไบโอเมตริกซ์ ต่อไปในอนาคตพวกนี้ก็จะสามารถกลับมาที่ประเทศไทยได้ ทำราวกับว่าเรื่องพวกนี้ไม่เคยเกิดขึ้น และอาจจะรวมไปถึง อาจจะใช้พาสปอร์ตของสัญชาติอื่นเดินทางผ่านเข้าประเทศไทยเพื่อก่ออาชญากรรมต่อไป


ผมขอเรียกร้องไปยังรัฐบาล คุณแพทองธาร นายกรัฐมนตรี ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวข้องกับความมั่นคงปลอดภัยของประชาชนชาวไทย ท่านปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด ท่านรับผิดชอบไม่ไหวหรอกครับ นี่เราจะปล่อยโอกาสให้การทำข้อมูลเครือข่ายอาชญากรรมครั้งใหญ่หลุดรอดมือของเจ้าหน้าที่รัฐไทยไปได้อย่างไร


เราจะไปหวังพึ่งประเทศอื่นให้มาจัดการปัญหาอาชญากรรมไม่ได้ ผลประโยชน์ของคนไทยประเทศไทยต้องจัดการเอง


ในวันพรุ่งนี้ผมได้เชิญหน่วยงานมาพูดคุยในการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์หรือไบโอเมตริกซ์ รวมถึงการพูดคุยเพื่อปราบปรามไทยเทา หน่วยงานต่างๆทำการบ้านมาได้เลยว่าทำไมถึงจะไม่มีการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์ เครื่องมือของเราก็น่าจะมีเพียบพร้อมไม่ใช่หรือครับ


นี่ไม่ใช่ทิศทางที่ดีเลย

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #จีนเทา #ไทยเทา #กมธความมั่นคง

วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

“สส.แบงค์ ศุภณัฐ” อโหสิกรรมให้ “ทันกวินท์” หลังสำนึกผิดอัดคลิปขอขมา กรณี ให้ข้อมูลเท็จและกล่าวหาว่าหนีทหาร รวม 4 ประเด็น

 


“สส.แบงค์ ศุภณัฐ” อโหสิกรรมให้ “ทันกวินท์” หลังสำนึกผิดอัดคลิปขอขมา กรณี ให้ข้อมูลเท็จและกล่าวหาว่าหนีทหาร รวม 4 ประเด็น 


เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ นายทันกวินท์ รัฐวัฒก์อังกูร (จำเลย) ได้ถูก สส.แบงค์ ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ (โจทก์) ยื่นฟ้องหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 5 ล้าน และศาลประทับรับฟ้องเพราะคดีมีมูล


คืบหน้า นายทันกวินท์ ได้โพสคลิปขอโทษ สส.แบงค์ รวม 4 ประเด็นดังนี้


1) กรณีนายทันกวินท์ (จำเลย) ได้บิดเบือนคำพิพากษา เพื่อกล่าวหาว่า สส.หนีทหาร


นายทันกวินยอมรับแล้วว่า สส.แบงค์ไม่ได้หนีทหารตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด โดยคดีของสส.แบงค์ ที่จำเลยไปเอามาอ้าง เป็นกรณี สส.ไม่ได้ไปรับหมายเรียกที่สำนักงานเขต ในปี 2555 เท่านั้น ไม่ใช่การขัดขืนการเกณฑ์ทหาร ซึ่งศาลไม่ได้ตัดสินลงโทษปรับหรือจำคุก สส.แต่อย่างใด


2) กรณีนายทันกวินท์ ให้ข้อมูลบิดเบือนว่า สส.แบงค์ไม่มีสิทธิจับใบดำใบแดง เพื่อสร้างเรื่องให้สังคมเข้าใจสส.แบงค์ผิดว่า ทุจริตเกณฑ์ทหาร


กรณีนี้ นายทันกวินท์ยอมรับว่าให้ให้ข้อมูลเท็จ เพราะในปี 2556 ที่มีการตรวจคัดเลือก สส.แบงค์ ได้เดินทางไปตรวจคัดเลือก และ มีสิทธิจับใบดำใบแดงตามปกติ และไม่ได้ทำการทุจริตการเกณฑ์ทหารแต่อย่างใด โดยมีเอกสารยืนยันในศาลครบถ้วน


3) กรณีนายทันกวินท์ ได้โพสต์ใบ สด.43 ของผู้อื่นที่บอกว่า เพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิด และใช้ #ศุภณัฐมีนชัยนันท์ เพื่อเชื่อมโยงให้ประชาชนเข้าใจ ว่าเป็นของสส.แบงค์


นายทันกวินท์ยืนยันว่า เอกสารดังกล่าวไม่ใช่ของสส.แบงค์ และยอมรับว่าได้จงใจโพสต์เพื่อใส่ความสส.แบงค์ให้เสียหาย


4) กรณีนายทันกวินท์ ได้มีการแถลงข่าว ร่วมกับนายเค สามถุย และนายอี้ แทนคุณ หน้าสำนักงาน ปปช. โดยได้บิดเบือนคำพิพากษา เพื่อกล่าวหาสส.แบงค์ว่า เคยต้องคำพิพากษาว่าได้รับโทษจำคุก


นายทันกวินท์ยอมรับผิดว่า ข้อมูลที่ตนและพวกมีการแถลงข่าวนั้นไม่เป็นความจริง โดย สส.แบงค์ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้ได้รับโทษจำคุกแต่อย่างใด


ทั้งนี้นายทันกวินท์ ได้สำนึกผิดในกระทำทั้งหมด และได้ขอขมาต่อ สส.แบงค์ ที่ได้กล่าวให้ร้ายสส.แบงค์หลายครั้ง


และขอให้สื่อมวลชน ช่วยเผยแพร่คลิป และหนังสือขอโทษ เพื่อเรียกคืนความบริสุทธิ์ให้กับสส.แบงค์ ที่โดนสังคมกล่าวหาในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง และขอให้ลบคลิป หรือข่าวต่างๆที่นายทันกวินท์เคยให้ร้าย สส.แบงค์ จนเสื่อมเสียชื่อเสียง


ทั้งนี้คาดว่า การที่นายทันกวินท์โพสหนังสือขอโทษและยอมรับผิด เพราะต้องการให้สส.แบงค์ ถอนฟ้อง


เช่นเดียวกัน ล่าสุด นายศุภณัฐ โพสต์ข้อความระบุว่า


[นายทันกวินท์ อัดคลิปขอโทษ สส.แบงค์ กรณี ให้ข้อมูลเท็จและกล่าวหาว่า หนีทหาร รวม 4 ประเด็น]


หลังจากที่ ผม สส.แบงค์ ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ (โจทก์) ได้ฟ้อง นายทันกวินท์ รัฐวัฒก์อังกูร (จำเลย) ข้อหาหมิ่นประมาท เนื่องจากได้โพสคลิปกล่าวหาผมจำนวนมาก และศาลท่านได้ประทับรับฟ้อง 


วันนี้นายทันกวินท์ ได้โพสคลิปขอโทษผม พร้อมยอมรับว่า ข้อมูลที่นำมากล่าวโจมตีผม เป็นข้อมูลเท็จ


❌เท็จที่ 1. กรณีนายทันกวินท์ อ่านคำพิพากษาคาดเลื่อน และนำมากล่าวหาสส.แบงค์ ว่าโดนศาลตัดสินว่าหนีทหาร 


✅ความจริง = นายทันกวินท์ ยอมรับแล้วว่า สส.แบงค์ "ไม่ได้หนีทหาร" ตามที่เคยกล่าวหา ซึ่งผมถือว่า ตัวจำเลยได้ทำการบิดเบือนคำพิพากษา เพราะคำพิพากษาที่นำมาอ้าง เป็นกรณีที่ตัว ผมไม่ได้ไปรับหมายเรียกที่สำนักงานเขต ในปี 2555 เพราะเรียนอยู่ต่างประเทศ เท่านั้น แต่ไม่ใช่การขัดขืนการตรวจคัดเลือก (หนีทหาร) ซึ่งการที่ใครก็ตาม ไม่ได้ไปรับหมายเรียก ย่อมไม่สามารถเข้าเกณฑ์ทหารได้ และ ในปี 2556 ผมไปเกณฑ์ทหารตามปกติ 


❌เท็จที่ 2. กรณีนายทันกวินท์ ให้ข้อมูลบิดเบือนว่า สส.แบงค์ไม่มีสิทธิจับใบดำใบแดง เพื่อทำให้สังคมเชื่อมโยงไปต่อว่า ถ้าไม่มีสิทธิจับใบดำใบแดง ก็ต้องทุจริตตรวจคัดเลือก 


✅ความจริง = นายทันกวินท์ยอมรับว่า ข้อมูลเท็จ เพราะในปี 2556 ที่สส.แบงค์ได้เดินทางไปตรวจคัดเลือก สส.แบงค์ยังคงมีสิทธิจับใบดำใบแดงตามปกติ และไม่ได้ทำการทุจริตการเกณฑ์ทหารแต่อย่างใด 


❌เท็จที่ 3. กรณีนายทันกวินท์ ได้โพสต์ใบ สด.43 ของผู้อื่นที่เขียนว่า เพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิด และใช้ #ศุภณัฐมีนชัยนันท์ เพื่อเชื่อมโยงให้ประชาชนเข้าใจ ว่าเป็นของสส.แบงค์


✅ความจริง = นายทันกวินท์ยืนยันแล้วว่า เอกสารดังกล่าว "ไม่ใช่ของสส.แบงค์" และยอมรับว่า เป็นการโพสต์ "เพื่อใส่ความ" สส.แบงค์ให้เสียหาย


❌เท็จที่ 4. กรณีนายทันกวินท์ ได้มีการแถลงข่าวร่วมกับ "นายเค สามถุย" และ "นายอี้ แทนคุณ" หน้าสำนักงาน ปปช. โดยได้บิดเบือนคำพิพากษาว่า ถูกศาลตัดสินจำคุก


✅ความจริง = นายทันกวินท์ยอมรับผิดว่า สิ่งที่ได้แถลงข่าวไปนั้น "ไม่เป็นความจริง" โดย สส.แบงค์ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้ได้รับโทษจำคุกแต่อย่างใด


🔸ทั้งนี้ข้อความนี้ ทุกคนมีสิทธิ์สามารถเผยแพร่คลิป และหนังสือขอโทษ ได้ทุกช่องทาง


และนายทันกวินท์ ได้ขอให้ ทุกท่านลบคลิปต่างๆที่นายทันกวินท์เคยให้ร้ายตัวผม จนเสื่อมเสียชื่อเสียงด้วยครับ


👉🏻ทั้งนี้ผมอยากให้เป็น #กรณีตัวอย่างกับสังคม โดยเฉพาะผู้ติดตาม นายทันกวินท์ หรือติดตามเพจแนวร่วมว่า 


การที่เราจะเชื่ออะไรใคร เราควรดูด้วยว่า ผู้พูดมีความน่าเชื่อถือมากน้อยขนาดไหน โดยเฉพาะกับเพจ ที่ให้ข้อมูลเท็จกับสังคมอย่างสม่ำเสมอ และไม่เคยต้องออกมารับผิดชอบอะไร 


เราอย่าหลงเชื่อใครง่ายๆ เราควรมีสติปัญญา ไตร่ตรองก่อนจะโดนหลอกใช้เป็นเครื่องมือ


และขอให้ทราบว่า การนำข้อมูลเท็จมากล่าวหาคนอื่น เป็นสิ่งที่ "ผิดกฎหมาย" ไม่ว่าจะกล่าวกับใครก็ตาม และ ไม่ใช่ทุกคนจะใจดีเสมอไปนะครับ 🙏🏻 


โดยทิ้งท้ายข้อความว่า ครั้งนี้ผมอโหสิกรรมให้ครับ แต่ไม่ควรมีครั้งหน้า ขอเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนต่อครับ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

“ณัฐพงษ์” นำแถลงกรณี 44 สส. ถูก ป.ป.ช.เรียกสอบ ยันไม่ผิด ไม่หวั่นไหว ไม่กระทบต่อสมาธิในการทำงาน ดัก ป.ป.ช. ใช้มาตรฐานเดียวกับคดีก่อนหน้า-อย่ามัดรวมเป็นคดีชุดเพื่อเร่งรัดกระบวนการ

 


ณัฐพงษ์” นำแถลงกรณี 44 สส. ถูก ป.ป.ช.เรียกสอบ ยันไม่ผิด ไม่หวั่นไหว ไม่กระทบต่อสมาธิในการทำงาน ดัก ป.ป.ช. ใช้มาตรฐานเดียวกับคดีก่อนหน้า-อย่ามัดรวมเป็นคดีชุดเพื่อเร่งรัดกระบวนการ


วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 ที่อาคารอนาคตใหม่ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แถลงข่าวกรณี 44 สส.พรรคประชาชนถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งข้อกล่าวหาผิดจริยธรรมร้ายแรง จากกรณีร่วมเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112


โดยณัฐพงษ์ระบุว่าพรรคประชาชนยืนยันอีกครั้งว่าการทำหน้าที่ในการยื่นร่างแก้ไขกฎหมายเป็นหน้าที่ของ สส. ในการใช้อำนาจตามกระบวนการนิติบัญญัติ ซึ่งไม่ผิดกฎหมาย และไม่ควรต้องถูกร้องจริยธรรมร้ายแรง


การดำเนินการต่อจากนี้ เนื่องจาก ป.ป.ช. ให้มีกรอบระยะเวลามาประมาณ 15 วัน ซึ่งพรรคประชาชนจะใช้สิทธิในการขอขยายกรอบเวลา เนื่องจากช่วงนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตามจะมี สส. บางส่วนเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. ก่อนเป็นการเบื้องต้น


ณัฐพงษ์ยังกล่าวต่อไปว่าพรรคประชาชนยืนยันว่าคดีดังกล่าวไม่ส่งผลต่อพรรคประชาชน และพรรคประชาชนจะยังคงเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนต่อไปได้โดยไม่เสียสมาธิ นอกจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว ยังมีชุดกฎหมายต่างๆ ที่พรรคประชาชนเตรียมยื่นเสนอในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า, พ.ร.บ.การศึกษา, ชุดกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาที่ดินให้ประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงงานท้องถิ่น เช่น อบจ.ลำพูน ที่มีการเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ ตลอดจนสนามเทศบาลที่จะมีการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคมกลางปี 2568 และยังมีอีกหลายประเด็นที่พรรคประชาชนเดินหน้าทำงานอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคอลเซ็นเตอร์ ปัญหาฝุ่น pm 2.5 ไฟป่า ฯลฯ ซึ่งยังจำเป็นต้องอาศัยกลไกของสภาในการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนต่อไป


ทั้งนี้ ตนขอให้ ป.ป.ช. ใช้มาตรฐานเดียวกันในการดำเนินคดี โดยเบื้องต้นคดีดังกล่าวไม่ใช่คดีชุด เป็นคดีที่ต้องดูตามการกระทำความผิดตามที่มีการกล่าวหาเป็นรายบุคคล ไม่ควรมีการมัดรวมเป็นคดีชุดเพื่อเร่งรัดกระบวนการ หลายกรณีที่ผ่านมา ป.ป.ช. ก็อาศัยการฟ้องร้องเป็นรายบุคคลและใช้เวลาในกระบวนการไต่สวนอย่างเป็นธรรม ดังนั้น ป.ป.ช. จึงไม่ควรมีหลายมาตรฐาน ไม่เร่งรัดจนเป็นที่น่าสงสัย และ ป.ป.ช. ควรรักษามาตรฐานในการดำเนินคดีด้วยความยุติธรรมแบบเดียวกับที่คนอื่นเคยถูกดำเนินคดี ซึ่งทางพรรคเตรียมทีมกฎหมายในการแก้ข้อกล่าวหาเป็นรายบุคคลไว้แล้ว


สิ่งที่พวกเราทำได้ตอนนี้คือการเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ และผมก็เชื่อมั่นว่าเพื่อนสมาชิกรวมถึงเพื่อน สส.พรรคประชาชนปัจจุบันสามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเต็มที่ทั้งในและนอกสภา สิ่งที่พวกเราทำอยู่คือการไม่เสียสมาธิต่อการฟ้องร้องคดีทางการเมืองในลักษณะนี้และเดินหน้าทำงานต่อ ซึ่งสุดท้ายเสียงของประชาชนจะคนที่สนับสนุนตัดสินเราต่อไป” ณัฐพงษ์กล่าว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #ปปช




ครม. ไฟเขียว ! 300 ลบ. ฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วม นายกฯ สั่งทุกกระทรวงเตรียมแผนป้องกันระยะยาว แก้ไขปัญหาน้ำแล้ง-น้ำท่วมภาคใต้ให้ยั่งยืน

 


ครม. ไฟเขียว ! 300 ลบ. ฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วม นายกฯ สั่งทุกกระทรวงเตรียมแผนป้องกันระยะยาว แก้ไขปัญหาน้ำแล้ง-น้ำท่วมภาคใต้ให้ยั่งยืน


วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2568) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ครั้งที่ 1 ประจำปี 2568 กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย (ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา) โดยได้สั่งการทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาน้ำแล้งน้ำท่วม เร่งกำหนดแผนป้องกันระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำแล้งน้ำท่วมภาคใต้ให้ยั่งยืน


ทั้งนี้ ในที่ประชุม ครม. ได้เห็นชอบ “โครงการจังหวัดเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ชายแดน” (จ.ยะลา จ.นราธิวาส และ จ.ปัตตานี) จำนวน 22 โครงการ กรอบวงเงินรวม 304.80 ล้านบาท เพื่อซ่อมแซมและฟื้นฟู โครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติ บรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันและบรรเทาความเสียหายจากอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นซ้ำในอนาคต


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ครมสัญจร