วันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2568

เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน จัดกิจกรรม “9 เมษา พาส่งใจให้นิรโทษกรรม” เรียกร้องให้คงเป็นวาระ “เร่งด่วน” พิจารณาทันทีเมื่อเปิดสมัยประชุมหน้า 3 กรกฎาคมนี้

 


เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน จัดกิจกรรม “9 เมษา พาส่งใจให้นิรโทษกรรม” เรียกร้องให้คงเป็นวาระ “เร่งด่วน” พิจารณาทันทีเมื่อเปิดสมัยประชุมหน้า 3 กรกฎาคมนี้


วันที่ 9 เมษายน 2568 เวลา 16.00 น. ที่รัฐสภา ฝั่งทางเข้า-ออก ประตูสส. มีการจัดงาน “9 เมษา พาส่งใจให้นิรโทษกรรม” โดยเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน หลังสภาผู้แทนราษฎรมีนัดพิจารณาร่างกฎหมาย พ.ร.บ.นิรโทษกรรม คดีจากการชุมนุมทางการเมืองทั้งสี่ฉบับ ซึ่งรวมไปถึงร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับที่เสนอด้วยภาคประชาชน กลุ่มเครือข่ายนิรโทษกรรมและประชาชนร่วมจับตาสถานการณ์และผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม พร้อมจัดกิจกรรมเสวนา


แต่อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ (9 เมษายน 2568) ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้มีการเสนอญัตติด่วนเพื่อถกเถียงเรื่องการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาตามนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวม 10 ญัตติ จึงยังไม่มีความชัดเจนว่าที่ประชุมสภาจะเริ่มพิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรมทั้งสี่ฉบับภายในวาระการประชุมสมัยนี้หรือไม่ เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนได้แถลงข้อเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความจริงใจด้วยการเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมอีกฉบับหนึ่ง เพื่อพิจารณาประกบกับร่างของพรรคการเมืองและภาคประชาชน และให้สภาคงวาระกฎหมายนิรโทษกรรมเป็นวาระ “เร่งด่วน” พิจารณาทันทีหลังเปิดสมัยประชุมหน้าในวันที่ 3 กรกฎาคม 2568


สำหรับบรรยากาศกิจกรรมที่บริเวณฝั่งลานประชาชนมีนักกิจกรรม ประชาชน สื่อมวลชน ทยอยเดินทางมาร่วมกิจกรรมในช่วงเย็นของวันนี้โดยมีบูธกิจกรรมจากองค์กรเครือข่ายภาคประชาสังคมต่าง ๆ ต่อมาในเวลาประมาณ 16.15 น. มีตัวแทนจากเครือข่ายนิรโทษกรรม ประกอบด้วย พูนสุข พูนสุขเจริญ, ยิ่งชีพ อัชฌานนท์, เบนจา อะปัญ และธนพัฒน์ หรือปูน ร่วมอธิบายถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ในรัฐสภาว่าวาระการพิจารณาเรื่องนิรโทษกรรมจะไม่ถูกนำมาพิจารณาในวันนี้ ย้ำว่าเวลาของคนที่อยู่ในเรือนจำที่สูญเสียอิสรภาพไปนั้นมีค่ามาก และทันทีที่เปิดสมัยประชุมสภาในเดือนกรกฎาคมยังจะต้องเป็นเรื่องด่วนเช่นเดิม จึงขอนัดประชาชนไว้ล่วงหน้าให้มาร่วมส่งกำลังใจและผลักดันกฎหมาย


ต่อมามีการอธิบายภาพรวมสถานการณ์จากแคมเปญนิรโทษกรรมประชาชนสู่การพิจารณากฎหมายในสภา โดยมี เฝาซี ล่าเต๊ะ ตัวแทนจาก Amnesty International Thailand กล่าวโดยสรุปว่า ที่ผ่านมาเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนทำกิจกรรมแคมเปญรณรงค์ทั่วประเทศ เพื่อที่จะสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชน โดยร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชนเรียกร้องให้ทุกคดีที่เกิดจากการแสดงสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นและการชุมนุมควรรวมถึงคดีมาตรา 112 ได้รับนิรโทษกรรม ขอเรียกร้องให้สภารับฟังเสียงประชาชนและอย่าเมินเฉยข้อเรียกร้อง “นิรโทษกรรมประชาชน สะสางอดีต คลี่คลายปัจจุบัน รับประกันอนาคตเสรีภาพ” เฝาซีกล่าว


ในวงเสวนาแรกในเรื่อง “ชีวิตของผู้ถูกดำเนินคดี” มีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย 3 คน คือ ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ ตะวัน, ถิรนัย หรือ ธี และจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ โดยมีผู้ดำเนินรายการคืออชิรญา บุญตา หรือจุ๊บจิ๊บ โดยได้ชวนผู้ร่วมเสวนาพูดคุยถึงแรงจูงใจในการออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง ชีวิตหลังออกมาเคลื่อนไหวและถูกดำเนินคดีในช่วงเวลาต่าง ๆ ตั้งแต่จตุภัทร์ที่ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ในช่วงปี 2557 จากการแชร์โพสต์ข่าว BBC จนถึงทานตะวันและถิรนัยที่ถูกดำเนินคดีจากการออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงปี 2563 


อีกทั้งยังมีการพูดคุยถึงการใช้ชีวิตในเรือนจำที่พวกเขาเคยถูกคุมขัง ด้านทานตะวันชวนประชาชนร่วมติดตามเรื่องราวของเพื่อนในเรือนจำทุกคนที่อาจจะไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก และมีการพูดคุยถึงชีวิตและความฝันของผู้ร่วมเสวนา รวมถึงกิจกรรมการเคลื่อนไหวในอนาคตของแต่ละคน  


ต่อด้วยวงเสวนาเรื่อง “ชีวิตของผู้ต้องขัง” มีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย 3 คน คือ ภราดร เกตุเผือก หรือลุงดร สื่ออิสระบน Youtube ธีรภพ เต็งประวัติ หรือไม้โมก ตัวแทนจากกลุ่ม Thumb Rights และตัวแทนจาก Freedom Bridge โดยมีผู้ดำเนินรายการคือ อานนท์ ชวาลาวัลย์ มาพูดคุยถึงเรื่องราวของผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับผู้ต้องขังทางการเมือง ทั้งในด้านของสื่ออิสระที่เข้ามามีบทบาทนำเสนอเรื่องราว รวมไปถึงการเข้าไปเยี่ยมผู้ต้องขังในเรือนจำ หรือด้านธีรภพที่เป็นผู้ส่งจดหมายพูดคุยกับเหล่าผู้ต้องขังทางการเมือง สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตและความเป็นอยู่ของพวกเขา


ส่วนตัวแทนจาก Freedom Bridge ได้เล่าถึงการทำงานที่ปัจจุบันมีนักสังคมสงเคราะห์และนักจิตวิทยาเข้ามาให้ความดูแลผู้ต้องขัง รวมถึงครอบครัวของผู้ต้องขัง 48 คน และร่วมส่งเสียงแทนผู้ต้องขังถึงความหวังที่จะได้ประกันตัวและเรียกร้อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน


และกิจกรรม “ฟังเสียงคนที่อยากให้เกิดนิรโทษกรรม” จากคนหลากหลายกลุ่มที่ติดตามสถานการณ์ทางการเมืองมาร่วมพูดเรื่องเกี่ยวข้องกับนิรโทษกรรมประชาชน โดยเริ่มต้นจาก อัครชัย ชัยมณีการเกษ มาชวนคุยว่าสังคมโลกมองอย่างไรต่อประเด็นการนิรโทษกรรมประชาชนและสถานการณ์ด้านสิทธิในประเทศไทย 


ต่อด้วยสุรพศ ทวีศักดิ์ หรือนักปรัชญาชายขอบ มาพูดถึงประเด็นการพิจารณาคดีละเมิดอำนาจศาลของอานนท์ นำภา และชวนถกคิดข้อดีและข้อเสียจากการนิรโทษกรรมรวมคดีมาตรา 112 ซึ่งผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์คือสถาบันกษัตริย์, รัฐสภา, พรรคการเมือง, สถาบันตุลาการ ส่วนสิ่งที่จะสูญเสียไปคือโซ่ตรวนความเป็นเผด็จการล้าหลัง กลายเป็นประเทศอารยะ 


จากนั้นมี ธนพร วิจันทร์ หรือไหม พูดยืนยันว่าประชาชนยังต้องการนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองรวมคดีมาตรา 112 ด้วย และถามไปถึงทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ว่าเคยแสดงความจริงใจใดถึงการนิรโทษกรรมประชาชนบ้าง และคดีชุมนุมในปี 2564 เพิ่งถูกนำมาฟ้องนั้นเรียกว่าเป็นการนิรโทษกรรมอย่างไร และถ้ารัฐสภาไม่ทำหน้าที่กฎหมายของประชาชนแล้วจะไปทำหน้าที่ใด ทำไมถึงไม่นำ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน เข้าวาระแรกของสภา


ตัวแทนกลุ่มไฟรามทุ่ง กล่าวย้ำว่าผู้ต้องขัง 48 คนไม่ใช่จำนวนที่น้อยและพวกเขาต้องได้ออกจากเรือนจำ และทวงการนิรโทษกรรมให้ประชาชนที่ใช้เสรีภาพอย่างสุจริต ด้านสมยศ พฤกษาเกษมสุข เล่าว่าตนถูกดำเนินคดีมาตรา 112 อยู่อีกสองคดี ซึ่งถ้าหากมีการตัดสินคดีแล้วก็อาจต้องเข้าเรือนจำในเดือนมิถุนายน 2568 นี้ ด้านพรรคเพื่อไทยเคยหาเสียงว่าจะขอความเมตตาต่อศาลให้ปล่อยนักโทษการเมืองทุกคน วันนี้นิรโทษกรรมประชาชนยังไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภาไปได้ ซึ่งเป็นการบกพร่องต่อหน้าที่ ไม่ทำในสิ่งที่เคยพูดไว้ ย้ำว่ายังมีเวลาที่จะพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรมรวมคดีมาตรา 112 


ยังมีตัวแทนจากกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม พูดว่าสถานการณ์ที่ผ่านมามีคนถูกดำเนินคดีมากมาย และปัจจุบันยังมีคนถูกดำเนินคดีอยู่ กลุ่มล้อการเมืองก็ยังถูกคุกคามแม้จะเป็นการทำงานศิลปะ อยากให้สังคมช่วยสื่อสารให้มีนิรโทษกรรมประชาชน คืนเสรีภาพทางความคิด ปล่อยผู้ต้องขังออกจากเรือนจำ ส่งเสียงถึงพรรคเพื่อไทยจริงจังในการปฏิรูปให้เกิดประชาธิปไตยขึ้นจริง เริ่มด้วยจากการนิรโทษกรรมประชาชน


โชคดี ร่วมพฤกษ์ หรืออาเล็ก เล่าว่าตนไปร่วมชุมนุมทุกที่เพื่อเป็นหนึ่งในจำนวนนับ และเรื่องนิรโทษกรรมเป็นความหวังที่ริบหรี่ แต่ก็ยังมีความหวังอยู่ ตนฝากชีวิตไว้กับประชาชน ฝากติดตามช่อง Youtube ซึ่งได้แต่งไว้หลายร้อยเพลง มีทุกสถานการณ์ และเพลงสุดท้ายที่ทำไว้คือเพลงนิรโทษกรรมต้องรวม 112


หลังจากนั้นมี สส.พรรคประชาชน โดยมี ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ หรือทนายแจม, พุธิตา ชัยอนันต์ ​ และ พนิดา มงคลสวัสดิ์ ร่วมพูดคุยกับประชาชนถึงสถานการณ์ในรัฐสภา และให้คำมั่นกับประชาชนว่าจะผลักดันอย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่าวันนี้ยังไม่สำเร็จ แต่วันต่อไปจะผลักดันให้เกิดการนิรโทษกรรมให้ได้ โดยเฉพาะเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างคดีมาตรา 112 ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ยังจำได้ถึงเจตนาในการเข้ามาเป็นผู้แทนราษฎร จึงให้ประชาชนมั่นใจว่าจะสู้เต็มที่ 


สุดท้ายเครือข่ายนิรโทษกรรมร่วมอ่านแถลงการณ์ข้อเรียกร้องส่งเสียงถึงรัฐสภา และเชิญชวนประชาชนไปทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์โดยการผูกริบบิ้นสีขาวที่บริเวณประตูฝั่ง สส. จากนั้นปิดท้ายกิจกรรมด้วยการแสดงดนตรีจากวงสามัญชน และยุติกิจกรรมในเวลาประมาณ 20.00 น. 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นิรโทษกรรมประชาชน




วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2568

ปชน.เสนอญัตติรับมือสงครามการค้าจากมาตรการภาษีทรัมป์ ชี้ไม่ติดรอดูท่าทีก่อนเจรจาให้รอบคอบ แต่ควรออกมาตรการช่วยคนในประเทศที่จะได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน-เตรียมรับมือผลกระทบจากตลาดอื่นนอกจากสหรัฐฯ ด้าน “ศิริกัญญา” เชื่อสภาฯ พร้อมหนุนถ้าต้องกู้เพิ่ม-มองเป็นโอกาสยกเครื่องใหญ่เศรษฐกิจไทยทั้งระบบ แต่อย่ากู้มาแจกเทน้ำลงบ่อทรายเหมือนที่ผ่านมา

 


ปชน.เสนอญัตติรับมือสงครามการค้าจากมาตรการภาษีทรัมป์ ชี้ไม่ติดรอดูท่าทีก่อนเจรจาให้รอบคอบ แต่ควรออกมาตรการช่วยคนในประเทศที่จะได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน-เตรียมรับมือผลกระทบจากตลาดอื่นนอกจากสหรัฐฯ ด้าน “ศิริกัญญา” เชื่อสภาฯ พร้อมหนุนถ้าต้องกู้เพิ่ม-มองเป็นโอกาสยกเครื่องใหญ่เศรษฐกิจไทยทั้งระบบ แต่อย่ากู้มาแจกเทน้ำลงบ่อทรายเหมือนที่ผ่านมา


วันที่ 9 เมษายน 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้มีการเสนอญัตติด่วนด้วยวาจา กรณีการขึ้นภาษีนำเข้าของประเทศสหรัฐอเมริกา ตามนโยบายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งในส่วนของพรรคประชาชนมี ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และ สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นผู้เสนอญัตติ


ในส่วนของศิริกัญญา ระบุว่าจากกรณีที่สหรัฐอเมริกาได้ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศไทยในอัตรา 36% เป็นการประกาศขึ้นกำแพงภาษีในระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1909 หนักหนาและรุนแรงยิ่งกว่ายุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในช่วงทศวรรษ 1930 นอกจากกระทบการค้าของโลกแล้วยังจะมีผลกระทบในระลอกอื่นๆ ตามมา จากการที่ประเทศไทยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก และโดยเฉพาะของประเทศจีนที่เจอภาษีแบบสาหัสที่สุดเท่าที่เคยมีมา จะเกิดการแข่งขันที่สูงขึ้น การตัดราคา และการแสวงหาตลาดใหม่ รวมถึงสินค้าราคาถูกจากทุกทิศทางจะไหลเข้ามาในไทยในฐานะตลาดใหม่เช่นกัน เศรษฐกิจโลกน่าจะชะลอตัวอย่างรุนแรงและกลับมากระทบกับเศรษฐกิจในประเทศอีกละลอก ส่งออกจะน้อยลง ท่องเที่ยวก็อาจจะน้อยลง กำลังซื้อในประเทศก็จะยิ่งแย่ลงไปอีก 


ผลกระทบครั้งนี้กว้าง เพราะสินค้าที่ได้รับผลกระทบมีคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมค่อนข้างมาก กระทรวงพาณิชย์มักแสดงตัวเลขที่เป็นการคำนวณพิกัดสินค้าแบบหยาบ ทำให้ไม่เห็นว่าตกลงแล้วประเทศไทยส่งออกสินค้าประเภทอะไรกันแน่ กระทรวงพาณิชย์บอกว่าสินค้าที่ประเทศไทยส่งออกเป็นอันดับหนึ่งคือโทรศัพท์ แต่เราไม่ได้ส่งออกโทรศัพท์มือถือแต่ส่งออกอุปกรณ์รับส่งสัญญาณไวไฟ/บลูทูธ ซึ่งกินสัดส่วนประมาณ 12% ของมูลค่าส่งออก อันดับที่สองเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ แต่ความจริงประเทศส่งออกฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ที่ระบุว่าประเทศไทยส่งออกเซมิคอนดักเตอร์เยอะเป็นอันดับสาม จริงแล้วคือแผงโซลาร์เซลล์ซึ่งกินการส่งออกประมาณ 3.4% ของมูลค่าส่งออก ส่วนเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ระบุว่าส่งออกเป็นอันดับ 4-5 ความจริงคือชิ้นส่วนมาเทอร์บอร์ดและเมนเฟรมของคอมพิวเตอร์


ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่าเมื่อมองเห็นภาพสินค้าที่ชัดขึ้นจะเห็นคนอยู่ในนั้น อุตสาหกรรมต่างๆ เหล่านี้มีห่วงโซ่อุปทานที่กว้างขวาง ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์จ้างคนตลอดห่วงโซ่อุปทานประมาณ 1 แสนคน ยางล้อมีคนงานในทุกโรงงานรวม 4 หมื่นคน และแต่ละอุตสาหกรรมก็มี SMEs ที่เป็นห่วงโซ่อุปทานอีกนับพันราย กินพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่จะถูกกระทบตั้งแต่สงขลา หาดใหญ่ ชลบุรี ระยอง นครราชสีมา อยุธยา ขึ้นไปถึงลำพูนในภาคเหนือ ดังนั้น ไม่ใช่แค่ผู้ส่งออกไปสหรัฐอเมริกาเท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบ แต่ยังรวมไปถึงแรงงานที่เสี่ยงจะถูกลดชั่วโมงทำงานหรือเลิกจ้าง SMEs ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานก็ได้รับผลกระทบ ผู้ค้าที่ทำธุรกิจกับโรงงาน SMEs พ่อค้าแม่ค้าที่ขายของแถบนิคมอุตสาหกรรมก็ได้รับผลกระทบ ชาวนาผู้ปลูกข้าว เกษตรกรที่ผลิตสินค้าส่งออกทั้งกุ้งและยางพาราก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน


ประเทศไทยคงต้องอยู่ในระเบียบโลกใหม่ที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้สร้างขึ้นมาไปอีกสักระยะหนึ่ง โดยไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้เลยว่าสงครามการค้าครั้งนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ กระบวนการเจรจาจะเริ่มต้นในอีก 1-2 เดือนข้างหน้าแต่ก็ไม่รู้ว่ากระบวนการเจรจาจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ ตอนนี้สหรัฐอเมริกาประกาศว่ามี 70 ประเทศที่ต่อคิวเข้าพบเพื่อเจรจาต่อรองลดกำแพงภาษี การตอบโต้กันไปมาระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ก็จะคงดำเนินต่อไป และอาจทำให้เกิดลูกหลงที่ประเทศไทยต้องเจอหางเลขไปด้วย อย่างเช่นล่าสุดสหรัฐอเมริกาประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากจีนทะลุ 100% ไปแล้วและจะมีผลในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะกระทบกับประเทศไทยแน่ๆ เพราะประเทศไทยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานการผลิตสินค้าของจีนไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าสินค้านั้นต้องส่งไปขายที่สหรัฐอเมริกาก็ต้องเจอผลของการขึ้นภาษีตอบโต้กันไปมาแน่ๆ ไม่ลดคำสั่งซื้อก็เลิกซื้อ กระทบมาที่ผู้ผลิตไทยแน่ๆ ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ ปิโตรเคมี และผลิตภัณฑ์ยาง


ศิริกัญญากล่าวต่อไปถึงมาตรการที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิชัย ชุณหวชิร ได้ออกมาพูดถึงการเตรียมประเด็นต่างๆ 5 ประเด็น คือ 


1) หาโอกาสจากการนำเข้าพืชผลทางการเกษตร คือการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งแน่นอนว่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นอีก 4.5 ล้านตันในราคาที่ถูกกว่าประเทศไทยเกือบครึ่ง ย่อมส่งผลกระทบต่อราคาแน่นอน แม้ประกาศว่าจะนำเข้าหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวแล้ว แต่นั่นก็น่าจะช่วยให้ประเทศไทยขาดดุลลดลงกับสหรัฐอเมริกาได้ราว 1 หมื่นล้านบาท ดังนั้น ประเทศไทยก็คงต้องทำการเจรจานี้ให้มีความโปร่งใส โดยนำผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยเฉพาะเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเข้ามาพูดคุยเจรจาด้วยเช่นเดียวกัน 


2) การผ่อนคลายการนำเข้าสินค้าโดยการลดภาษี ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำและน่าจะไม่ส่งผลอะไรกับการลดการเกินดุลกับสหรัฐอเมริกา


3) มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี แต่ไม่พูดถึงการลดกฎระเบียบขั้นตอนที่ซ้ำซ้อนจำนวนมาก แต่มาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษีหลายตัวเป็นการกันสินค้าไม่ให้นำเข้า จะมีตัวไหนที่จำเป็นต้องเปิดตลาดเพิ่มหรือไม่ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ หรือกระทั่งเอทานอล


4) การตรวจสอบคัดกรองสินค้าเพื่อป้องกันการหลบเลี่ยงภาษี จากการประมาณการระบุว่ามีสินค้าที่ใช้วิธีการโยกย้ายฐานการผลิตเพื่อหลบเลี่ยงภาษีของสหรัฐอเมริกาอยู่ราว 23% ของยอดส่งออก ซึ่งไม่ใช่ทั้งหมดที่มีการสวมสิทธิเข้ามาผลิตในประเทศทั้งที่ใช้วัตถุดิบจากต่างประเทศทั้งหมด ถ้าทำได้หมดทั้ง 23% ก็น่าจะสามารถปิดช่องว่างการเกินดุลกับสหรัฐอเมริกาได้อีกราว 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐเช่นเดียวกัน


5) การหาโอกาสในการลงทุนกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งหลายประเทศก็ใช้วิธีการนี้ คือการเข้าไปร่วมลงทุนในท่อก๊าซในอลาสก้า ซึ่งตนอยากสอบถามว่าถ้านี่จะเป็นหนึ่งในเรื่องที่ประเทศไทยจะนำมาเจรจา ประเทศไทยได้เริ่มหารือกับประเทศอื่นๆ ที่จะไปลงทุนในท่อก๊าซนั้นเช่นกัน เช่นญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ไปด้วยแล้วหรือยัง


ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่าอย่างไรก็ตามยังมีเรื่องอื่นๆ ที่ดูจะหายไปจากสิ่งที่จะนำไปเจรจา เช่น เครื่องบินและอาวุธยุทโธปกรณ์ ไม่ได้อยู่ในสิ่งที่รองนายกรัฐมนตรีได้แถลงเมื่อวานนี้ ตนจึงขอถามว่าจะยังเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาหรือไม่ โดยเฉพาะเครื่องบินที่กองทัพใช้ แม้ว่าจะเพิ่งมีการจัดซื้อเครื่องบินกริปเพนจากสวีเดนไปและอยู่ในกระบวนการแล้ว แต่ยังมีเครื่องบินลำเลียงอื่นๆ ที่ประเทศไทยยังสามารถใช้ประเด็นนี้เข้ามาเจรจาต่อรองได้เช่นเดียวกัน


โดยสรุปแล้วทั้ง 5 ข้อ สิ่งที่ประเทศไทยมีอยู่บนโต๊ะเจรจาไม่ได้ให้ความรู้สึกถึงความอัศจรรย์อย่างที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาต้องการ แถมแต้มต่อที่เคยมีก็หายไปทุกวัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลกระทบจากการส่งชาวอุยกูร์ไปจีนทำให้มิตรกลายเป็นอื่น เหตุการณ์ยังเลวร้ายลงไปอีกจากการที่ล่าสุดมีการแจ้งจับนักวิชาการสัญชาติสหรัฐอเมริกา พอล แชมเบอรส์ ด้วยมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และไม่ให้ประกันตัว การที่ผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกายังรับสายรัฐบาลไทยอยู่จึงเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก สหรัฐอเมริกาจะยังคงเจรจากับประเทศไทยหลังจากที่มีเรื่องนี้อยู่หรือไม่


ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่าตนและพรรคประชาชนไม่ได้ติดใจต่อท่าทีของรัฐบาลที่ไม่ได้เร่งรีบเจรจาและใช้กลยุทธ์รอดูท่าที และไม่มีใครสนับสนุนให้รัฐบาลเข้าเจรจากับสหรัฐอเมริกาโดยผลีผลาม หลายประเทศเริ่มเจรจา หลายประเทศมีการลดภาษีฝั่งเดียว แต่ก็มีประเทศอื่นๆ ที่ไม่ได้ใช้วิธีเชิงรุก แต่เน้นกลับมายืนยันหลักการและประกาศเตือนภัยประชาชนอย่างตรงไปตรงมา 


ตนจึงขอเรียกร้องรัฐบาลว่ามีเรื่องที่ต้องเร่งมือทำคู่ขนานไปกับการเจรจาคือการเยียวยา พยุง กระตุ้น และฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการค้าการส่งออกที่จะหดตัวในช่วงที่เหลือของปี ยิ่งการเจรจากินเวลาต่อเนื่องเท่าไหร่ก็จะยิ่งกระทบต่อปากท้องประชาชนในประเทศเท่านั้น การลงทุนภาคเอกชนที่โตต่ำอยู่แล้วก็ยิ่งจะชะงักมากขึ้น สุดท้ายก็จะมากระทบกับรายได้ของประชาชนที่ต้องทำมาหากินฝืดเคืองกันต่อไป ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดจีดีพีอาจจะโตเพียงแค่ 1% เท่านั้น สูงสุดไม่เกิน 2.3% 


ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่าแม้รัฐบาลจะได้เตรียมมาตรการช่วยเหลือแบบฉุกเฉินไว้บ้าง เช่น มีการพูดถึงการให้สินเชื่อ แต่ก็เป็นการให้ผ่านกองทุนการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศที่ตอนนี้มีเม็ดเงินอยู่ราว 3 พันล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับเกาหลีใต้ที่ออกมาตรการอย่างรวดเร็วในการเยียวยาฉุกเฉิน เพิ่มสภาพคล่องให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไปแล้ว 100 ล้านล้านวอน นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์เพิ่งจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินการเยียวยาช่วยเหลือภาคเอกชนรวมถึงแรงงานที่ได้รับผลกระทบ ญี่ปุ่นประกาศให้สินเชื่อและมาตรการช่วยเหลือกับ SMEs ในอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศที่ได้รับผลกระทบ 


สเปนออกแผนเพื่อเยียวยาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นให้ความช่วยเหลือทางการเงินมูลค่า 5.38 แสนล้านบาท ออสเตรเลียสนับสนุนสินเชื่อ 0% ให้บริษัทเอกชนออกไปหาตลาดใหม่ๆ และแสวงหาโอกาสในการส่งออกใหม่ๆ ไต้หวันประกาศแผนช่วยเหลือมูลค่า 9.4 หมื่นล้านบาทช่วยอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ขณะที่สหภาพยุโรปออกมาตรการทั้งเชิงรุกและเชิงรับ และในขณะเดียวกันก็เดินหน้าพูดคุยกับภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง เพราะเขารู้ว่าตอนนี้นักลงทุนอยู่ในภาวะขาดความเชื่อมั่น


ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่าการเยียวยาเฉพาะหน้าแบบฉุกเฉินจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่รัฐบาลต้องทำ โดยเฉพาะต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศที่โดนไป 25% ตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 เมษายน ขณะเดียวกันบีโอไอควรรีบเร่งหารือทำความเข้าใจกับภาคเอกชนที่ตอนนี้กำลังระส่ำระสายและกำลังคิดถึงการโยกย้ายโรงงานและฐานการผลิตไปที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่ใช่แค่บริษัทสัญชาติสหรัฐอเมริกาเท่านั้น บริษัทอื่นที่พึ่งพาตลาดสหรัฐอเมริกาก็กำลังคิดถึงเรื่องนี้ หากมีการย้ายฐานการผลิตจริงนั่นหมายถึงอีกหลายชีวิตของแรงงานไทยที่จะถูกเลิกจ้างอีกหลายชีวิต


ในส่วนของยางพารา แม้ยางแผ่นรมควันและผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติจะอยู่ในรายการสินค้าที่จะได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า แต่ประเทศไทยก็มีการแปรรูปยางไม่ใช่น้อย และติดอันดับต้นๆ ของสินค้าส่งออกไทยไปสหรัฐอเมริกา ตอนนี้ราคายางร่วงยกแผงแล้ว เรายังคงรอให้รัฐบาลให้ความชัดเจนในเรื่องการเข้าไปเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง


ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่าท้ายที่สุดตนขอเรียกร้องให้รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจที่จะทำทั้งในเฉพาะหน้าระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวไปในเวลาเดียวกัน ในฐานะที่ตนเป็นคนที่ติดตามสถานการณ์ทางการคลังของประเทศ ตนทราบดีว่าพื้นที่ทางการคลังและงบประมาณที่เหลืออยู่มีน้อย หนี้สาธารณะก็กำลังจะชนเพดาน ภาระดอกเบี้ยต่อรายได้ก็เกินกรอบตามกฎหมายไปแล้ว ยังเหลือพื้นที่กู้เพิ่มในปีงบประมาณ 2568 อีกราว 4-5 แสนล้านบาทเท่านั้น แต่หากวิกฤตที่เรากำลังจะเผชิญในวันข้างหน้าจะทำให้รัฐบาลตัดสินใจออกมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลถ้ารัฐบาลจะขยายกรอบเพดานหนี้สาธารณะ สภาแห่งนี้ยินดีสนับสนุนถ้าไม่ได้จะกู้ไปเพื่อแจกเงินอย่างสะเปะสะปะอย่างที่ผ่านมา


ถ้ารัฐบาลมีแผนที่ชัดเจนว่าจะใช้งบประมาณตรงนี้เพื่อพยุงเศรษฐกิจให้ไม่เลวร้ายไปกว่านี้ และฟื้นฟูประเทศทั้งเฉพาะหน้าและระยะยาว ถ้ารัฐบาลต้องการงบประมาณไปเยียวยาภาคธุรกิจ อุตหสากรรม และแรงงานที่ได้รับผลกระทบ ถ้ารัฐบาลจะใช้งบประมาณเพื่อเดินหน้าปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ถ้ารัฐบาลจะใช้ไปเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการไทยผลิตสินค้าได้เก่งขึ้น ถูกลง มีประสิทธิภาพมากขึ้น ถ้ารัฐบาลจะออกมาตรการที่จะกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนที่ตกต่ำมานาน ถ้ารัฐบาลจะเอาไปให้ซอฟต์โลนกับบริษัทเอกชนที่ต้องการสภาพคล่องระหว่างที่ต้องไปเผชิญความเสี่ยงแสวงหาตลาดใหม่ๆ ถ้ารัฐบาลจะนำงบไปทำการผึกอบรมทักษะแรงงานที่ต้องหางานใหม่ๆ จากการถูกเลิกจ้าง ถ้างบประมาณนั้นจะสามารถทำให้ตลาดภายในประเทศเข้มแข็งขึ้นเพื่อชดเชยการส่งออกที่จะต้องลดลำดับความสำคัญลงไปในอนาคต เพื่อทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น รัฐบาลกู้ได้เลย 


“แต่ขออย่างเดียว อย่ากู้ไปเพื่อแจกแบบเทน้ำลงบ่อทรายเหมือนเดิม โดยตีเช็คเปล่าให้แก่ตัวเอง ถ้ายังไม่มีแผนที่ชัดเจน วันนี้เรากำลังจะเจอกับวิกฤตที่ใหญ่หลวงมากๆ มันจะทั้งลึก กว้าง และจะกินเวลายาวนาน เราต้องก้าวข้ามวิกฤตนี้ไปด้วยกันแบบที่จะต้องไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และไม่มีโอกาสไหนที่ดีกว่าโอกาสนี้ในการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ฟิ้นฟูเศรษฐกิจ และฟื้นฟูประเทศ” ศิริกัญญากล่าว


ในส่วนของ สิทธิพล ระบุว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นแบ่งออกได้เป็น 2 มิติหลักๆ คือในมิติตลาดส่งออกและมิติตลาดในประเทศ ผลกระทบทางตรงก็คือกลุ่มสินค้าที่ประเทศไทยส่งออกไปสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า ยางรถยนต์ ที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงและทันที พรุ่งนี้มาตรการภาษี 36% จะถูกใช้แล้ว ไทยส่งออกไปสหรัฐอเมริการวมประมาณ 5.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ดังนั้นสิ่งที่อยากฝากรัฐบาลคือต้องทำการบ้านให้หนัก ว่าสินค้าไหนบ้างที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบสูง 


นอกจากนี้รัฐบาลต้องไปดูภาษีตอบโต้รายประเทศ เช่น สินค้าประเภทยางที่ประเทศไทยส่งไปสหรัฐอเมริกา มาเลเซียก็ส่งไปเหมือนกัน ประเทศไทยโดนที่ 36% แต่มาเลเซียโดนแค่ 24% ตรงนี้เองที่จะทำให้สินค้าของประเทศไทยเสียเปรียบและแข่งขันยากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง หรืออย่างผลไม้หลายอย่างที่ไทยส่งไปสหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ก็ส่งเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นสับปะรด มะพร้าว กล้วย หรือผลไม้แปรรูปต่างๆ ไทยโดน 36% แต่ฟิลิปปินส์โดน 17% ถ้าเป็นเช่นนี้ผลไม้และผลไม้แปรรูปของไทยเมื่อไปถึงสหรัฐอเมริกาก็จะเสียเปรียบและขายยากขึ้นแน่นอน 


สิทธิพลกล่าวต่อไปว่ารัฐบาลต้องเตือนทั้งเกษตรกร ผู้ปลูกยาง โรงงานยาง ผู้ปลูกสับปะรด มะพร้าว กล้วย โรงงานแปรรูปผลไม้ ไม่นับรวมถึงแรงงานที่อยู่ในโรงงานเหล่านี้ และสิ่งที่รัฐบาลต้องทำทันทีคือไปดูว่าในตลาดสหรัฐอเมริกาที่ประเทศไทยส่งออกไป รายสินค้าเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในแง่ภาษีตอบโต้มีอะไรที่ประเทศไทยกำลังเสียเปรียบคู่แข่งบ้าง รัฐบาลจะได้เตรียมให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการถูก จะได้เตรียมรับมือและปรับตัวถูก


ส่วนผลกระทบทางอ้อมในมิติส่งออกก็มีหลายอย่าง จีดีพีของประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกประมาณ 60% ถ้าการค้าและเศรษฐกิจโลกหดตัวประเทศไทยก็จะส่งออกได้น้อยลง และถ้าไปดูความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนต่อเศรษฐกิจโลก ทั้งสองประเทศมีส่วนแบ่งในเศรษฐกิจโลกมากกว่า 40% ดังนั้น ในแง่ผลกระทบที่เกิดจากสหรัฐอเมริกา จีน และประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่การผลิตทั้งหมดจึงกระทบไทยแน่นอน 


สิทธิพลกล่าวต่อไปว่าดังนั้นตนจึงอยากฝากการบ้านไปถึงรัฐบาลว่ายังมีตลาดอื่นๆ นอกจากสหรัฐอเมริกาที่รัฐบาลต้องเตรียมศึกษารับมืออย่างรวดเร็ว คือทุกประเทศที่เคยเป็นตลาดของไทยและนำเข้าสินค้าจากไทยเพื่อไปผลิต ประกอบ แล้วส่งไปขายสหรัฐอเมริกา สินค้าจากประเทศเหล่านี้ถูกขึ้นภาษีเหมือนกัน ดังนั้น ไทยจะส่งออกได้น้อยลง เช่น เม็กซิโก ญี่ปุ่น ที่วันนี้ไทยส่งชิ้นส่วนรถยนต์ไปวันนี้หลายหมื่นล้านต่อปี เมื่อสหรัฐอเมริกาขึ้นภาษีก็จะซื้อของไทยน้อยลง กระทั่งตลาดจีนที่ไทยเคยส่งวัตถุดิบไปให้ผลิตแล้วส่งไปสหรัฐอเมริกา ก็จะนำเข้าจากไทยน้อยลงเช่นกัน


ในอีกมุมหนึ่ง วันนี้ทุกตลาดที่ไทยเคยส่งออกได้และมียอดขายมาก ก็กำลังจะเจอการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากสินค้าของทุกประเทศที่ต้องหนีตายจากสหรัฐอเมริกา ที่มีแนวโน้มต้องแข่งกันลดราคา ไม่ว่าจะเป็นตลาดออสเตรเลีย ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ ดังนั้น การที่รัฐบาลพยายามหาตลาดใหม่ๆ เพื่อรองรับสงครามการค้าครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย


สิทธิพลกล่าวต่อไปว่านอกจากนี้ยังมีมิติในประเทศที่รัฐบาลสามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องรอการเจรจา นั่นคือกรณีสินค้าจากทุกชาติที่หนีตายจากการขึ้นภาษีของทั่วโลกที่ต้องหาตลาดใหม่ ตลาดหนึ่งที่สินค้าเหล่านั้นจะมาแน่ๆ คือตลาดไทย โดยเฉพาะสินค้าราคาต่ำที่ทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับผลกระทบต่อเนื่องมา 2-3 ปีแล้ว ที่ผ่านมาที่สินค้าจากต่างชาติราคาต่ำเข้ามาในประเทศไทยมากๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะสงครามการค้ารอบแรก หรือการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ในสมัยแรก สงครามการค้ารอบนี้ที่ขึ้นภาษีสูงกว่าเดิม ครอบคลุมประเทศมากกว่าเดิม ก็มีแนวโน้มทำให้ผลกระทบจากสินค้าต่างชาติที่จะเข้ามาสู่ประเทศไทยหนักขึ้น 


ที่ผ่านมาถ้าผู้ประกอบการไทยที่แข่งขันกับสินค้าต่างชาติราคาต่ำต้องเหนื่อยขนาดไหน สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากนี้จะยิ่งรุนแรงกว่าเดิม 3-4 เท่า ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุชัดว่ากลุ่มผู้ผลิตและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าต่างชาติราคาต่ำคือกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กที่เน้นผลิตขายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติก ยาง เฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม กลุ่มเหล่านี้จะได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรงแน่นอนและรัฐบาลต้องหาทางช่วยเหลือ


สิทธิพลกล่าวต่อไปว่าในโอกาสนี้ตนจึงขอทวงในสิ่งที่รัฐบาลเคยบอกว่าจะทำแต่ยังไ่ม่ได้ทำหลายอย่างเพื่อรับมือปัญหาสินค้าจากต่างชาติราคาต่ำอย่างน้อย 3 เรื่อง ซึ่งหลายเรื่องเป็นมติคณะรัฐมนตรีตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 แล้ว แต่วันนี้หลายมาตรการยังไม่ถูกปฏิบัติจริงและยังไม่ออกมาเป็นกฎหมาย เช่น 


1) การกำกับแพลตฟอร์มจากต่างชาติ ที่รัฐบาลเคยบอกว่าจะกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศต้องจดทะเบียนนิติบุคคลในประเทศไทย เพื่อให้ภาครัฐกำกับดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำผิดสามารถลงโทษได้ และเก็บภาษีได้


2) มาตรการตอบโต้ทางการค้า โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าไม่ได้มาตรฐาน สินค้าที่มีพฤติกรรมทุ่มตลาด หรือถูกสนับสนุนจากต่างประเทศแล้วเอามาขายต่ำกว่าทุนจนผู้ประกอบการไทยได้รับผลกระทบ มีมาตรการหลายอย่างที่สามารถรับมือได้ เช่น ภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด รัฐบาลเคยบอกว่าจะอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการเข้าถึงมาตรการตอบโต้ทางการค้าเหล่านี้มากขึ้น แต่วันนี้ผู้ประกอบการจำนวนมากยังเข้าไม่ถึงอยู่ทั้งที่ผ่านมา 6 เดือนแล้ว


3) มาตรการป้องกันการสวมสิทธิหรือการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้า เช่น เวียดนาม ที่โดนอัตราภาษีสูง สหรัฐอเมริการะบุว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีการสวมสิทธิเป็นสินค้าจากต่างประเทศ เช่น สินค้าจีน โรงงานจีนนำมาประกอบในเวียดนามแล้วส่งไปขายที่สหรัฐอเมริกา รัฐบาลไทยต้องเร่งตรวจสอบว่ามีสินค้าอะไรบ้างในประเทศไทยที่มีปัญหาในลักษณะนี้ จากข้อมูลของกรมศุลกากร ถ้าเอาจริงสามารถตรวจสอบการสวมสิทธิได้ผ่านการติดตามพิกัดสินค้ากลุ่มเสี่ยง เอามาเทียบกันทั้งขาเข้าและขาออก


สิทธิพลกล่าวต่อไปว่าสุดท้ายสิ่งที่รัฐบาลควรทำนอกจากการเตรียมการเจรจาแล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องที่รัฐบาลสามารถทำได้ทันทีและต้องทำตอนนี้ คือการเตรียมตัวประเทศไทยเองให้พร้อม ต้องดูว่าผู้ประกอบการกลุ่มไหนที่ได้รับผลกระทบมากน้อย จะช่วยเหลือตั้งแต่ตอนนี้ได้อย่างไร มีมาตรการอะไรที่รัฐบาลทำได้ เช่น สินค้าต่างชาติที่กำลังจะไหลบ่ามามากกว่าเดิม วันนี้ลำพังผู้ประกอบการจะไปขายนอกประเทศก็หนักเพราะเจอภาษีใหม่ๆ ถ้าวันนี้ยังปล่อยให้สินค้าต่างชาติราคาต่ำมาทุ่มตลาด เอาเปรียบผู้ประกอบการไทยได้อีก ประเทศไทยจะไม่เหลืออะไรเลย


แม้นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากเชื่อว่าสุดท้ายนโยบายการขึ้นกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกาอาจมีการผ่อนปรนจากความเดือดร้อนของคนในสหรัฐอเมริกาเอง แต่สิ่งสำคัญคือประเทศไทยจะรักษาผู้ประกอบการไทยให้อยู่รอดและปรับตัวได้อย่างไร โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs เกษตรกร แรงงาน และลูกจ้างต่างๆ ที่มีความสามารถในการปรับตัวน้อยกว่ากลุ่มอื่น ไม่ว่าจะเป็นมาตรการทางการเงิน สนับสนุนการปรับโครงสร้างการผลิต หรือการรักษาการจ้างงานในระบบ

"ชูศักดิ์" ชี้ “สถานบันเทิงครบวงจร” เป็นนโยบายรัฐบาล ไม่ใช่แค่แนวคิดพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่ง

 


"ชูศักดิ์" ชี้ “สถานบันเทิงครบวงจร” เป็นนโยบายรัฐบาล ไม่ใช่แค่แนวคิดพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่ง


วันที่ 9 เมษายน 2568 ชูศักดิ์ ศิรินิล แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการผลักดัน “สถานบันเทิงครบวงจร” ว่า ต้องใช้คำนี้แทนคำว่า “คาสิโน” เนื่องจากผู้ที่จะดำเนินการต้องทำมากกว่าการเปิดคาสิโนเพียงอย่างเดียว โดยผู้ประกอบการจำเป็นต้องจดทะเบียนอย่างน้อย 4 ประเภทกิจการ และต้องมีเงินลงทุนขั้นต่ำไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาท


ทั้งนี้ ชูศักดิ์ย้ำว่า เรื่องดังกล่าวไม่ใช่นโยบายของพรรคใดพรรคหนึ่ง แต่นับเป็นนโยบายของรัฐบาลซึ่งได้แถลงต่อรัฐสภาแล้ว ดังนั้นจึงถือว่าเป็นข้อตกลงร่วมของพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งก่อนการแถลงนโยบายย่อมมีการหารือกันมาก่อน หากรัฐบาลไม่เดินหน้าทำนโยบายที่ได้แถลงต่อสภา ก็อาจถูกมองว่าไม่ปฏิบัติตามที่ได้ให้คำมั่นไว้


ชูศักดิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า การผลักดันสถานบันเทิงครบวงจรจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ มีเงินลงทุนจากภาคเอกชนเข้าสู่ประเทศ และการดำเนินการจะอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายที่ร่างไว้ชัดเจนมากขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พร้อมย้ำว่าหากเป็นนโยบายรัฐบาลแล้ว พรรคร่วมต้องเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกันเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคเพื่อไทย #สถานบันเทิงครบวงจร #คาสิโน

นายกฯ ย้ำชัด "เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์" ไม่ใช่เมืองกาสิโน ขอหน่วยงานช่วยทำความเข้าใจ ซัดคนเล่นพนัน ถามถูกกม.-เอี่ยวสิ่งผิดหรือไม่ ก่อนเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงนักท่องเที่ยวสงกรานต์

 


นายกฯ ย้ำชัด "เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์" ไม่ใช่เมืองกาสิโน ขอหน่วยงานช่วยทำความเข้าใจ ซัดคนเล่นพนัน ถามถูกกม.-เอี่ยวสิ่งผิดหรือไม่ ก่อนเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงนักท่องเที่ยวสงกรานต์


วันนี้ (9 เมษายน 2568) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 4/2568 ณ ห้องประชุมจารุวัสตร์ ชั้น 10 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยกล่าวถึงสถานการณ์แผ่นดินไหวและความสำคัญของการสร้างความเชื่อมั่น รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเทศกาลสงกรานต์


นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร จะต้องเร่งจัดการและฟื้นฟูพื้นที่ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว เนื่องจากเดือนนี้เป็นช่วงเวลาแห่งความสนุกสนาน ขณะเดียวกันก็ต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจในส่วนอื่นๆ ควบคู่กันไป โดยรัฐบาลดูแลเรื่องการเยียวยาและเร่งตรวจสอบหาสาเหตุของภัยพิบัติอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ยังต้องมุ่งเน้นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงสงกรานต์ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ


นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงประเด็น เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ว่า หลายคนเข้าใจผิดว่าคือการเปิดบ่อนกาสิโนอย่างเสรีทั่วประเทศ ซึ่งไม่เป็นความจริง โดย เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ จะมีส่วนของกาสิโนเพียง 10% ของพื้นที่ทั้งหมดเท่านั้น ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถเปิดกาสิโนได้ทุกที่ในประเทศ นี่คือเกมการเมืองที่บิดเบือนความหมายและเจตนาของนโยบายนี้ ซึ่งได้มีการแถลงต่อรัฐสภาแล้ว รัฐบาลหวังว่าโครงการนี้จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่ สร้างงานที่มีทักษะสูงขึ้น สมมติว่ามี เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ 1 แห่ง จะมีโรงแรม ร้านอาหาร และการจ้างงานจำนวนมาก รวมถึงการก่อสร้างต่างๆ ก็จะมาจากคนไทยทั้งหมด นี่คือการเดินหน้าเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ไม่ใช่การมีกาสิโนเต็มไปหมด แต่เป็นเพียง เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่มีกาสิโนเพื่อนำเงินมาหมุนเวียนลงทุน จึงขอให้หัวหน้าส่วนราชการทุกท่านช่วยกันสื่อสารว่า รัฐบาลไม่ได้ต้องการเปลี่ยนประเทศให้เป็นเมืองกาสิโน แต่เป็นเรื่องของใบอนุญาตเฉพาะสำหรับ เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เท่านั้น


นายกรัฐมนตรี ยังตั้งคำถามถึงผู้ที่ชื่นชอบการเล่นการพนันว่า ก่อนที่จะถามถึงการเปิด เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เคยถามตัวเองหรือไม่ว่าสถานที่ที่ไปเล่นนั้นถูกกฎหมายหรือไม่ มีการจ่ายภาษีให้รัฐหรือไม่ และเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือไม่ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องผิดกฎหมายและไม่ได้รับการดูแล นี่คือสิ่งที่รัฐบาลต้องพิจารณาว่า จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปข้างหน้าได้อย่างไร


นายกรัฐมนตรี ขอให้ทุกหน่วยงานช่วยกันส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ เพื่อดึงตัวเลขนักท่องเที่ยวกลับมา และบูรณาการทุกภาคส่วนให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น หลังประสบภัยธรรมชาติ โดยย้ำว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนทุกภาคส่วน และขอให้ทุกคนพักผ่อนให้เพียงพอ ก่อนเข้าสู่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่อาจมีภารกิจมากขึ้น


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นายกฯแพทองธาร #เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ #กาสิโน

สส.พรรคประชาชน ยื่นหนังสือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เสนอการดูแลเยียวยาแรงงานจากเหตุการณ์ตึกถล่ม

 


สส.พรรคประชาชน ยื่นหนังสือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เสนอการดูแลเยียวยาแรงงานจากเหตุการณ์ตึกถล่ม


วันนี้ (9 เม.ย. 68) เวลา 8.30 น. ที่กระทรวงแรงงาน วิโรจน์ ลักขณาอดิศร, เซีย จำปาทอง, สหัสวัต คุ้มคง และ วรรณวิภา ไม้สน สส.พรรคประชาชน ยื่นหนังสือเรื่องข้อเสนอการดูแลเยียวยาแรงงานจากเหตุการณ์ตึกถล่ม ถึงนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน โดยมีรายละเอียดดังนี่


จากกรณีเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งแรงสะเทือนถึงหลายจังหวัดของประเทศไทยรวมถึงกรุงเทพมหานคร เป็นเหตุให้อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างบริเวณเขตจตุจักรพังถล่ม มีผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้สูญหายติดอยู่ใต้ซากตึกถล่มจำนวนมาก ข้อมูล ณ วันที่ 1 เมษายน ผู้สูญหายอยู่ระหว่างค้นหา จำนวน 83 คน แบ่งเป็น แรงงานไทย 55 คน แรงงานข้ามชาติ 28 คน ประกอบด้วย เมียนมา 24 คน กัมพูชา 3 คน และ ลาว 1 คน


โดยพบว่าผู้รับเหมาในการก่อสร้างตึกดังกล่าวคือ


กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี (ITD-CREC) ประกอบด้วยบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลลอปเมนต์ และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด มีการจ้างงานในรูปแบบเหมาช่วง (Subcontractor) อีกกว่า 20 บริษัท ส่งผลให้การจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับแรงงานเพื่อประเมินความเสียหายทำได้ไม่สมบูรณ์ เช่น รายชื่อของลูกจ้างทั้งหมดกับรายชื่อลูกจ้างที่มีการนำส่งประกันสังคม


จากกรณีดังกล่าว พรรคประชาชนมีข้อกังวลในประเด็นแรงงานดังนี้


1. การชดเชยเยียวยาลูกจ้างทั้งหมดจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งนายจ้าง ผู้รับเหมาในการก่อสร้าง

และรัฐบาล ไม่ให้เกิดการปฏิเสธความรับผิดชอบ


2. การตรวจสอบตัวตนและทายาทของผู้ประกันตนในกองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน หากไม่สามารถดำเนินการได้รวดเร็ว จะทำให้การพิสูจน์ตัวตนทำได้ยากขึ้น


3. การเข้าถึงสิทธิการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าชดเชยการหยุดงานของผู้บาดเจ็บ ต้องตรวจสอบเพื่อนำสืบสิทธิตามกฎหมาย


4. การเข้าถึงการชดเชย เยียวยา ของแรงงานที่นายจ้างไม่ได้นำเข้าระบบประกันสังคม


5. การเข้าถึงการชดเชย เยียวยา ของแรงงานข้ามชาติที่ยังอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการทางเอกสาร และรอสิทธิประกันสังคม


6. การเข้าถึงข้อมูลและความช่วยเหลือของแรงงานข้ามชาติที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุ มักเผชิญปัญหาด้านการติดต่อและการสื่อสารกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้แรงงานไม่สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ


7. เอกสารประจำตัวของแรงงานข้ามชาติที่สูญหายและไม่สามารถดำเนินการต่ออายุได้ในระหว่างที่มีกระบวนการต่ออายุเอกสาร


จากข้อกังวลข้างต้น พรรคประชาชนโดย ข้าพเจ้า นายเซีย จำปาทอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคประชาชน สัดส่วนเครือข่ายแรงงาน ในฐานะผู้ติดตามภารกิจการเยียวยาจากภาครัฐจากเหตุการณ์ตึกถล่ม และ นายสหัสวัต คุ้มคง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขต จังหวัดชลบุรี จึงมีข้อเสนอถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเพื่อให้ดำเนินการดูแลเยียวยาแรงงานโดยไม่ล่าช้า ดังนี้


1. ขอความร่วมมือให้บริษัทที่เกี่ยวข้องทั้งผู้รับเหมาหลักและผู้รับเหมาช่วง ส่งรายชื่อผู้รับเหมาช่วงและลูกจ้างทั้งหมด พร้อมหลักฐานการนำส่งสำนักงานประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน เพื่อดำเนินการชดเชยเยียวยาต่อไป


2. พิจารณากำหนดมาตรการให้สำนักงานประกันสังคมและสำนักงานกองทุนเงินทดแทน พิจารณานำเงินในกองทุนเงินประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนมาใช้ในการชดเชยเยียวยาให้ลูกจ้างและทายาททั้งหมด โดยไม่มีการแยกลูกจ้างในกองทุนหรือนอกกองทุน และให้ถือเป็นหน้าที่ของกระทรวงแรงงานในการบังคับใช้กฎหมายกับนายจ้างที่ไม่นำส่งประกันสังคมต่อไป


3. กำหนดมาตรการการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงานในการเยียวยาและให้ความรับผิดชอบ ในการชดเชย โดยให้นายจ้างชั้นต้น (บริษัทที่รับเหมาหลัก) ร่วมรับผิดชอบในค่าชดเชยร่วมกับผู้รับเหมารายย่อย


4. อำนวยความสะดวกในการพิสูจน์ตัวตนและทายาทในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ โดยให้มีจุดประสานงานที่ชัดเจน เพื่อทำงานตรวจสอบและดูแลแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้ได้อย่างครอบคลุม


5. ประสานงานตั้งจุดประชาสัมพันธ์และตั้งเบอร์โทรกลาง ประชาสัมพันธ์ให้ทั่วถึงเพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับกระบวนการพิสูจน์ตัวตนทายาทอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทายาทของทั้งแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติ ได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งหมด รวมถึงจัดหาล่ามและจัดทำเอกสารข้อมูลที่เป็นภาษาของแรงงาน ระบุขั้นตอนที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย ประสานงานกับสถานทูตของประเทศต้นทางอย่างใกล้ชิดเพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินการ


6. มีมาตรการผ่อนผันด้านเอกสารแรงงานในระหว่างที่มีการดำเนินการขอใบอนุญาตทำงาน เพื่ออำนวยความสะดวกในสถานการณ์ฉุกเฉิน เปิดให้มีการขึ้นทะเบียนสำหรับลูกจ้างในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างตึกดังกล่าว เพื่อจัดเก็บข้อมูลและอนุญาตให้นายจ้างสามารถส่งเงินสมทบประกันสังคมย้อนหลังเพื่อให้ลูกจ้างได้รับสิทธิในการเยียวยา อาจจะเปิดขึ้นทะเบียนในสถานการณ์ภัยพิบัติ จากการประกาศเขตภัยพิบัติ งดเว้นค่าใช้จ่าย เพื่อจูงใจให้นายจ้างนำแรงงานมาขึ้นทะเบียน ต้องตั้งเป้าเยียวยาทุกคนเป็นหลัก เรื่องการจ้างแรงงานผิดกฎหมายเป็นเรื่องหลังจากนี้


7. มีกระบวนการตรวจสอบการจ่ายค่าจ้างที่ลูกจ้างได้ทำงานมาแล้ว เพื่อป้องกันการฉวยโอกาสไม่

จ่ายค่าจ้าง


8. ประสานงานและตรวจสอบลักษณะการจ้างงานของลูกจ้างในบริษัทที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการเยียวยาแรงงาน


9. พิจารณานำเงินกองทุนที่เกี่ยวข้องมาช่วยเยียวยาครอบครัวและแรงงานที่ได้รับผลกระทบทั้งหมดโดยเร่งด่วน


10. กำหนดแนวทางตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน และพิจารณาออกแนวทางในการกำหนดมาตรการความปลอดภัยในการทำงานในกิจการก่อสร้าง


พรรคประชาชนขอร่วมส่งกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ เราพร้อมสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ และหวังว่ารัฐบาลโดยกระทรวงแรงงานจะพิจารณาข้อเสนอเหล่านี้ ทำให้พี่น้องแรงงานทุกคนที่ได้รับผลกระทบ เข้าถึงสิทธิและการเยียวยาจากภาครัฐอย่างรวดเร็ว เสมอภาค เป็นธรรม

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการจะขอบพระคุณยิ่ง

ขอแสดงความนับถือ

(นายเซีย จำปาทอง)

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ และ

รองเลขาธิการพรรคประชาชน สัดส่วนเครือข่ายแรงงาน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #กระทรวงแรงงาน #ตึกถล่ม

วันอังคารที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2568

รัฐบาลเปลี่ยนใจแล้ว กฎหมายกาสิโนถูกเลื่อนออกไปสมัยประชุมหน้า "พริษฐ์" ชี้ 3 โจทย์ขั้นต่ำ ฝากรัฐบาลในช่วงปิดสมัยประชุม

 


รัฐบาลเปลี่ยนใจแล้ว กฎหมายกาสิโนถูกเลื่อนออกไปสมัยประชุมหน้า "พริษฐ์" ชี้ 3 โจทย์ขั้นต่ำ ฝากรัฐบาลในช่วงปิดสมัยประชุม


วันนี้ (8 เม.ย. 68) นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า


ผมได้รับแจ้งว่ารัฐบาลได้ตัดสินใจ “เลื่อน” การพิจารณาร่าง พ.ร.บ. สถานบันเทิงครบวงจร (กาสิโน) ออกไปพิจารณาในสมัยประชุมหน้า (เริ่มต้น 3 ก.ค. 2568) จากเดิมที่รัฐบาลได้เร่งรัดนำร่างดังกล่าวมาแซงคิวกฎหมายอื่น เพื่อให้พิจารณาทันภายในสมัยประชุมนี้ (ซึ่งจะสิ้นสุด 10 เม.ย. 2568)


ผมไม่รู้ว่าข้อกังวลของพวกเราพรรคประชาชนที่ได้สื่อสารกับรัฐบาลและสังคมตลอด 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ส่งผลต่อการตัดสินใจและการเปลี่ยนใจของรัฐบาลมากน้อยแค่ไหน แต่ผมเห็นว่าการตัดสินใจเช่นนี้ของรัฐบาลจะทำให้ทุกฝ่ายได้มีเวลาและสมาธิเต็มที่กับการแก้ไขปัญหาที่เร่งด่วนกว่า ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูเยียวยาปัญหาที่เกิดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว หรือการรับมือกับการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจส่งออก ผู้ประกอบการในประเทศ แรงงาน เกษตรกร และประชาชนทุกคน


สำหรับประเด็นเรื่องสถานบันเทิงครบวงจร (กาสิโน) ผมยืนยันว่าผมยังมีข้อกังวลเชิงกระบวนการ (เช่น เป้าหมายที่ไม่มั่นคงหรือคงเส้นคงวา การศึกษาที่ยังไม่รอบคอบรัดกุม) และข้อกังวลเชิงเนื้อหา (เช่น ประโยชน์ด้านการท่องเที่ยว-รายได้รัฐที่ยังไม่ชัดเจน ผลกระทบทางสังคมที่ยังไม่มีแนวทางป้องกัน ขั้นตอนการออกใบอนุญาตที่ยังไม่โปร่งใส) ตามที่ได้สื่อสารไปเมื่อเช้านี้ ( https://shorturl.at/BeAlL )


ดังนั้น ในเมื่อรัฐบาลมีเวลาอย่างน้อย 3 เดือนในช่วงปิดสมัยประชุม ก่อนที่ร่าง พ.ร.บ. สถานบันเทิงครบวงจร (กาสิโน) ของรัฐบาลจะถูกพิจารณาในสภาฯ ผมเห็นว่าหากรัฐบาลยังต้องการผลักดันนโยบายดังกล่าวต่อ รัฐบาลควรดำเนินการดังต่อไปนี้เป็นขั้นต่ำ :


1. จัดทำรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ (feasibility study) ที่ละเอียด รอบด้าน และเป็นที่ยอมรับ


- ปัจจุบัน รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ (และข้อมูลประกอบจาก สศค. และ Citi) ที่รัฐบาลนำมาอ้างนั้น ยังเต็มไปด้วยช่องโหว่ หรือยังเป็นการคาดการณ์ด้วยสมมุติฐานที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในวันนี้อีกต่อไปแล้ว จึงใช้เป็นหลักในการอ้างอิงไม่ได้

- หากยังไม่มีการศึกษาความเป็นไปได้ที่รอบคอบ รัดกุม และเชื่อถือได้ การผลักดันกฎหมายออกมาก่อนจึงสุ่มเสี่ยงเกินไปที่จะล้มเหลว ได้ไม่คุ้มเสีย และอาจจะสร้างปัญหาอื่นในอนาคต

- ดังนั้น รัฐบาลควรดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ที่รอบคอบ รัดกุม และเชื่อถือได้ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลอาจได้รับผลการศึกษาหรือข้อเสนอแนะเพิ่มเติมในการปรับปรุงกฎหมายให้รัดกุมขึ้นก่อนเสนอกลับเข้าสภาฯ รวมถึงจะทำให้พวกเราทุกฝ่ายมีฐานข้อมูลที่เพียงพอในการแลกเปลี่ยนและตัดสินใจในขั้นตอนการพิจารณากฎหมาย


2. จัดทำชุดกฎหมายและมาตรการในการป้องกันผลกระทบทางสังคม (เช่น ปัญหาติดพนัน ปัญหาฟอกเงิน)


- ปัจจุบัน รัฐบาลยังขาดแนวทางที่ชัดเจนในการปรับปรุงกฎหมาย เพื่อวางกลไกในการป้องกันผลกระทบจากกาสิโน เช่น มาตรการในการแก้ไขปัญหาการติดการพนัน มาตรการในการป้องกันปัญหาอาชญากรรมที่อาจถูกกระตุ้นจากการมีกาสิโน มาตรการที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันปัญหาการฟอกเงินและการทุจริตคอร์รัปชัน ที่จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นหากมีกาสิโน

- ดังนั้น รัฐบาลควรศึกษาและจัดทำร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมาตรการดังกล่าว (เช่น การปรับปรุง พ.ร.บ. การพนัน 2478 เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการติดพนันอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น / การปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการฟอกเงิน (เพิ่มเติมจากฉบับที่สภาพิจารณาอยู่) / การปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการแก้ปัญหาการทุจริต) เพื่อเสนอมาเป็น “แพ็กเกจ” เดียวกัน กับร่างกฎหมายกาสิโน และพิจารณาคู่ขนาน


3. รับฟังความเห็นประชาชนทุกฝ่ายเชิงรุกเพิ่มเติมอย่างรอบด้าน เพื่อประกอบการตัดสินใจ


- จริงอยู่ว่าร่างกฎหมายของรัฐบาลมีการรับฟังความเห็นผ่านระบบกลางทางกฎหมายในแต่ละขั้นตอน (โดยมีประชาชนมาแสดงความเห็นรวมกันล่าสุด 70,000+ ครั้ง ตามคำชี้แจงของ สศค.) แต่:

- (1) ระบบดังกล่าวเปิดให้คน 1 คนกรอกกี่ครั้งก็ได้ (ซึ่งตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเคยยืนยันข้อเท็จจริงดังล่าวในการประชุม กมธ.) จึงอาจจะสรุปได้ยากว่ากระบวนการรับฟังความเห็นที่ผ่านมานี้ครอบคลุมประชาชนกี่คน

- (2) ประเด็นดังกล่าวยังมีประชาชนที่มีความเห็นที่แตกต่างหลากหลายจำนวนมาก รวมถึงเป็นประเด็นที่รัฐบาลไม่ได้สื่อสารกับประชาชนก่อนการเลือกตั้ง

- ดังนั้น รัฐบาลควรหาแนวทางในการเพิ่มช่องทางรับฟังความเห็นประชาชนเชิงรุก ที่เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม และที่มีกรอบเวลาเพียงพอในการนำความเห็นทั้งหมดมาไตร่ตรองประกอบการพิจารณาทบทวนร่างกฎหมาย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #กฎหมายสถานบันเทิงครบวงจร #กาสิโน

วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2568

รำลึก #15ปีเมษาพฤษภา53 ตอนที่ 11

 


รำลึก #15ปีเมษาพฤษภา53 ตอนที่ 11


จากบทบรรยาย ยุทธการขอคืนพื้นที่ เมษา 53

(เหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553) 


สรุปการสูญเสียชีวิตจากปฏิบัติการ “ขอคืนพื้นที่” ในบริเวณต่าง ๆ


เสียชีวิตบริเวณกระทรวงศึกษาธิการ

เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนถึงประมาณ 15.30 น. ของวันที่ 10 เมษายน 2553 ก็ได้มีกรณีการสูญเสียชีวิตจากการเรียกร้องประชาธิปไตยของกลุ่มผู้ขุมนุมนปช. เกิดขึ้นเป็นรายแรก นั่นก็คือกรณีการเสียชีวิตของนายเกรียงไกร คำน้อย ซึ่งเกิดขึ้นบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ข้างกระทรวงศึกษาธิการ สาเหตุการเสียชีวิตจากการสอบสวนนั้น เนื่องมาจากการถูกยิงที่สะโพกด้วยอาวุธปืนสงคราม กระสุนฝังในช่องท้อง และเสียชีวิตจากสาเหตุเลือดออกในช่องท้องจากบาดแผลที่ถูกยิง ทำให้อวัยวะในช่องท้องฉีกขาด โดยนายเกรียงไกรได้เสียชีวิตในวันที่ 11 เมษายน 2553 เวลา 03.30 น. ที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล จากรายงานการชันสูตรศพระบุว่าเป็นการเสียชีวิตจากกระสุนปืนความเร็วสูง


เสียชีวิตบริเวณคอกวัว

1. นายธวัฒนะชัย กลัดสุข เสียชีวิตช่วงเวลาเกือบ 19.00 น. จากการถูกยิงที่อก จากปากคำของญาติระบุว่า ก่อนตายทางผู้ตายนั้นได้เป็นคนกันทหารไม่ให้เข้ามาที่สี่แยกคอกวัว และถูกยิงเสียชีวิตเวลาประมาณ 19.00 น.

2. นายอำพน ตติยรัตน์ เสียชีวิตเวลาประมาณ 19.00 น.เศษ จากการถูกยิงที่หัว พยานได้เล่าว่านายอำพนก่อนตายหลบอยู่ที่หลังเสาไฟฟ้า ก่อนที่จะถูกยิงในเวลาต่อมา

3. นายไพรศล ทิพย์ลม เสียชีวิตเวลาประมาณ 19.00 น.เศษ จากการถูกยิงที่หัว พยานซึ่งเป็นเพื่อนได้บอกให้เขาวิ่งหลบกระสุน แต่ผู้ตายได้ก้มหยิบหินและขว้างออกไปพร้อมกับก้มหยิบหินลูกที่สองก่อนที่จะถูกยิงที่ศีรษะ

4. นายเทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์ เสียชีวิตเวลาประมาณ 20.00 น.เศษ จากการถูกยิงที่อก พยานได้เล่าว่าตนและผู้ตายได้เข้าช่วยเหลือผู้ที่ถูกยิง ผู้ตายได้บอกกับพยานว่าให้อุ้มคนเจ็บออกไปก่อน แล้วผู้ตายก็เดินสวนเข้าไป ด้วยความเป็นห่วง พยานเลยเดินทางเข้าไปภายหลัง แต่ไม่เห็นตรงที่ผู้ตายยืนอยู่

5. นายอนันต์ สิริกุลวาณิชย์ เสียชีวิตเวลาประมาณ 20.00 น.เศษ เสียชีวิตจากการถูกยิงที่คอ

6. นายสวาท วางาม เสียชีวิตเวลาประมาณ 20.00 น.เศษ จากการถูกยิงที่หัว น้องชายนายสวาทซึ่งอยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย ได้ให้การว่า ตนเองและผู้ตายอยู่แนวหน้าของผู้ชุมนุม ขณะนั้นทหารเริ่มยิงกระสุนและแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม นายสวาทพี่ชายจึงวิ่งถือธงเข้าไปหาแนวทหารด้วยความโกรธและโดนยิงที่ศีรษะในเวลาต่อมา สวาทโดนยิงในขณะที่สวนหมวกกันน๊อคสีขาว ถูกยิงที่ศีรษะด้านขวาทะลุขมับซ้าย หลังเกิดเหตุคุณพ่อของนายสวาทได้ถอดเสื้อเพื่อห่อสมองของบุตรชายที่กองอยู่บริเวณถนนตะนาว แยกคอกวัว ด้วย

7. นายบุญธรรม ทองผุย เสียชีวิตเวลาประมาณ 20.00 น.เศษ จากการถูกยิงที่หัว ผู้ร่วมเหตุการณ์ให้การว่า ก่อนผู้ตายถูกยิงมีการผลักกันไปมา ผู้ตายบอกให้ผู้ชุมนุมซึ่งเป็นผู้หญิงกลับไปเนื่องจากอันตรายมาก ผู้ตายยืนโบกธงเพื่อให้ทหารหยุด แต่ทหารก็ยิงเข้ามา

8. นายสมิง แตงเพชร เสียชีวิตเวลาประมาณ 20.00 น.เศษ จากการถูกยิงที่หัว พยานได้ให้การว่า ขณะเกิดเหตุนายสมิงได้วิ่งสวนเข้าไปหาแนวทหาร ขณะที่คนอื่นนั้นวิ่งออกมาเพราะนึกว่าทหารยิงกระสุนยาง แต่ต่อมาก็ได้ยิงกระสุนจริง จนเป็นสาเหตุการตายของนายสมิง

9. นายสมศักดิ์ แก้วสาร เวลาเสียชีวิตไม่ทราบแน่ชัด เสียชีวิตจากการถูกยิงที่อก ภรรยาระบุว่านายสมศักดิ์ถูกยิงและเสียชีวิตทันทีที่สี่แยกคอกวัว


เสียชีวิตบริเวณถนนดินสอ โรงเรียนสตรีวิทยา

1. นายบุญจันทร์ ไหมประเสริฐ เสียชีวิตช่วงเวลา 18.00 น. - 19.00 น. จากการถูกยิงที่บริเวณหัวเหน่า ขณะร่วมชุมนุมที่บริเวณถนนดินสอ และเสียเลือดมากจากแผลที่ถูกยิง นายบุญจันทร์ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

2. นายจรูญ ฉายแม้น เสียชีวิตช่วงเวลาเกือบ 20.00 น.เศษ จากการถูกยิงที่อก ผู้ตายได้เข้าร่วมชุมนุมอยู่บริเวณโรงเรียนสตรีวิทยาและอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถูกยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูงและเสียชีวิตที่โรงพยาบาล

3. นายทศชัย เมฆงามฟ้า เสียชีวิตช่วงเวลาเกือบ 20.00 น.เศษ เสียชีวิตจากการถูกยิงที่หัวด้วยกระสุนปืน และเสียชีวิตขณะทำตัวส่งโรงพยาบาล

4. นายวสันต์ ภู่ทอง เสียชีวิตเวลาประมาณ 20.00 น.เศษ เสียชีวิตจากการถูกยิงที่หัวด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง ภาพที่ปรากฎต่อสายตาของคนทั้งโลกต่อการเสียชีวิตของนายวสันต์ เป็นภาพที่นับว่าสยดสยองและสะเทือนขวัญเป็นอย่างมาก วสันต์เสียชีวิตขณะร่วมชุมนุมบริเวณถนนดินสอ หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ซึ่งขณะนั้นนายวสันต์ได้ถือธงอยู่ในมือ ถูกยิงล้มลงและเสียชีวิตทันที ซึ่งนับว่าเป็นความโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างมากต่อการกระทำกับประชาชนที่ต่อสู้ด้วยความสันติ

5. นายสยาม วัฒนนุกูล เสียชีวิตในเวลา 20.20 น. เสียชีวิตขณะนำตัวส่งโรงพยาบาลจากการถูกยิงที่อกขณะร่วมชุมนุมอยู่บริเวณถนนดินสอ หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา

6. นายคนึง ฉัตรเท เสียชีวิตในเวลาประมาณ 20.30 น. เสียชีวิตขณะนำตัวส่งโรงพยาบาล จากการถูกยิงที่อกด้านขวา กระสุนฝังใน ปอดฉีกขาด

7. นาย Hiroyuki Muramoto เสียชีวิตในเวลาประมาณ 21.00 น.เศษ Hiroyuki เสียชีวิตจาการยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูงที่อกด้านซ้าย ขณะกำลังบันทึกภาพเหตุการณ์ที่บริเวณถนนดินสอ หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา และได้เสียชีวิตลงระหว่างนำตัวส่งโรงพยาบาล


เสียชีวิตบริเวณอื่น ๆ

1. นายมนต์ชัย แซ่จอง เสียชีวิตจากอาการผลกระทบของแก๊สน้ำตา มนต์ชัยทิ้งแผงขายเทปเพลงมือสองทันทีที่ทราบว่าทหารจะเข้าสลายการชุมนุมที่บริเวณผ่านฟ้า และบ่ายวันนั้นเขาโดนแก๊สน้ำตา และในเย็นวันนั้นเองเขามีอาการไม่สบาย หนาวสั่น ต่อมาชีพจรของเขาเต้นเร็วผิดปกติจนต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลา 02.50 น. ของวันที่ 11 เมษายน 2553 แพทย์ได้ระบุในใบมรณะบัตรว่าเกิดจากการติดเชื้อในกระแสเลือด ส่วนในใบชันสูตรของโรงพยาบาลตำรวจ ระบุว่าระบบหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน

2. นายอนันต์ ชินสงคราม เสียชีวิตช่วงเวลาบ่ายโมงจากอาการผลกระทบของแก๊สน้ำตาหลังจากโดนแก๊สน้ำตาที่ทหารยิงใส่บริเวณสะพานมัฆวานในเวลาบ่ายของวันที่ 10 เมษายน จากนั้นอีก 2-3 วัน อนันต์ก็มีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก เพื่อนในที่ชุมนุมได้พาไปโรงพยาบาล พออาการทุเลาก็กลับไปร่วมชุมนุมและมีอาการอีกเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งหลังเหตุการณ์ 19 พฤษภา ก็มีการป่วยตลอดและเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น กระทั่งวันที่ 15 ตุลาคม 2553 จึงได้ส่งตัวกลับบ้านและได้สิ้นลมในวันรุ่งขึ้น

3. นายยุทธนา ทองเจริญพูลพร เสียชีวิตในเวลา 20.00 น.เศษ เสียชีวิตจากการถูกยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูงที่ศีรษะด้านหลังทะลุด้านหน้า และนอกจากนี้ยังมีแผลกระสุนยางที่ขา

4. นายมานะ อาจราญ เสียชีวิตช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 23.30 น. เสียชีวิตจากการถูกยิงที่ศีรษะด้านหลังทะลุด้านหน้า สมองฉีกขาด

5. นายนภพล เผ่าพนัส ช่วงเวลาเสียชีวิตไม่ทราบแน่ชัด เสียชีวิตจากการถูกยิงด้วยอาวุธปืนสงครามที่ท้อง บริเวณถนนดินสอ


ส่วนของเจ้าหน้าที่ทหาร


ปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ในวันที่ 10 เมษายน 2553 นั้น นอกจากจะมีการสูญเสียชีวิตของพลเรือนจำนวนมากแล้ว ก็ยังมีการสูญเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ทหารในปฏิบัติการครั้งนี้ถึง 5 นายด้วยกัน มีดังนี้

1. พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม (43 ปี)

2. พลทหารภูริวัฒน์ ประพันธ์ (25 ปี)

3. พลทหารอนุพงษ์ เมืองอำพัน (21 ปี)

4. พลทหารสิงหา อ่อนทรง (22 ปี)

5. พลทหารอนุพงศ์ หอมมาลี (22 ปี)


📌กรณีของการสูญเสียชีวิตของทหารทั้ง 5 นาย โดยมีการกล่าวหาว่าเป็นฝีมือชายชุดดำ ซึ่ง ศอฉ. มองว่าเป็นกองกำลังติดอาวุธที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมนปช. โดยอ้างถึงเพียงแค่คลิปวีดีโอสั้น ๆ ที่ปรากฎภาพชายชุดดำที่ทาง ศอฉ. บอกว่าได้มาจากสำนักข่าวอัลจาชีรา ซึ่งเป็นที่สังเกตว่าการนำเสนอคลิปภาพชายชุดดำของ ศอฉ. นั้น ได้นำเสนอหลังเหตุการณ์ผ่านไปแล้วหลายวัน โดยในภายหลังก็ได้รับการปฏิเสธอย่างเป็นทางการจากสำนักข่าวอัลจาชีราว่า ภาพคลิปวีดีโอชุดดังกล่าวไม่ได้เป็นภาพจากสำนักข่าวของตนที่ถ่ายได้ และเมื่อพิจารณาถึงภาพแล้วก็เห็นได้ชัดเจนว่า ภาพจากคลิปดังกล่าวมีการจัดเตรียมและมีการตกแต่งภาพอย่างชัดเจน และอาวุธที่ปรากฎในภาพชายชุดดำที่ถือนั้นเป็นอาวุธปืนอาก้า แต่ในข้อเขียนของนายอภิสิทธิ์ที่มักกล่าวอ้างเสมอเรื่องวาทกรรมชายชุดดำที่ปฏิบัติการพร้อมกับปืน M79 และอ้างว่าทหารเสียชีวิตจากการปะทะกับชายชุดดำ ซึ่งผลการชันสูตรจากการเสียชีวิตของทหารก็ได้ระบุชัดเจนว่า พบสะเก็ดระเบิดชนิดขว้าง M67 ซึ่งจะต้องมีระยะทำการที่ใกล้จุดเกิดเหตุพอสมควรเพื่อความแม่นยำ ซึ่งขัดกับความจริงของการเสียชีวิตของทหารในวันที่ 10 เมษา ที่บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยานั้นยึดครองพื้นที่โดยทหารอย่างเบ็ดเสร็จด้วยจำนวนทหารที่มากถึง 15 กองร้อย มีทหารกว่า 2,000 นาย พร้อมรถหุ้มเกราะ 6 คัน จอดขวางหัวถนนดินสอพร้อมพลคุ้มกันอยู่บนรถหุ้มเกราะ รวมถึงไม่พบผู้บาดเจ็บล้มตายด้วยปืนอาก้าจากชายชุดดำตามคลิปที่ปรากฎ และประเด็นเรื่องชายชุดดำนั้นก็ได้มีการไต่สวนการตายในชั้นศาล ไม่มีใครพบชายชุดดำในที่เกิดเหตุ ไม่มีมวลชนติดอาวุธแต่อย่างใด และมีหลายกรณีที่มีการยกฟ้องไปแล้ว สำหรับผู้ถูกจับกุมที่มีการอ้างว่าโยงกับชายชุดดำ และมีหลายความคิดเห็นที่ออกมาในขณะนั้นว่ากรณีชายชุดดำนั้นอาจเป็นความขัดแย้งภายในกองทัพโดยอาศัยช่วงเวลานี้กำจัดผู้นำของกลุ่มที่มีอำนาจ


📌หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมวันที่ 10 เมษายน 2553 ปฏิบัติการวาทกรรมผู้ก่อการร้ายและการโยนความผิดให้ชายชุดดำของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ได้เริ่มขึ้น เมื่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวหลังเหตุการณ์การสลายการชุมนุม และกลายเป็นถ้อยคำที่ปรากฎต่อสื่อแขนงต่าง ๆ ตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน 2553 เป็นต้นมา เพื่อเป็นการสร้างความชอบธรรมของปฏิบัติการขอคืนพื้นที่หลัง 10 เมษายน 3 วัน ศอฉ. ได้ยกระดับความรุนแรงของมาตรการต่าง ๆ โดยอนุญาตเจ้าหน้าที่สามารถใช้อาวุธปืนลูกซองได้ ต่อมา 11 เมษา นายสุเทพในฐานะ ผอ.ศอฉ. ได้อนุมัติให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธกระสุนจริง และอนุญาตใช้พลแม่นปืน รวมถึงสามารถร้องขอการสนับสนุนพลซุ่มยิงหรือสไนเปอร์จาก ศอฉ.


การประกาศมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมาหลังจากการสลายการชุมนุม เป็นการแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนถึงความต้องการในการใช้ความรุนแรงของ ศอฉ. โดยปราศจากการแสดงความรับผิดชอบใด ๆ ของการสูญเสียชีวิตของผู้ชุมนุม รวมถึงเจ้าหน้าที่ทหาร ไม่มีคำขอโทษ หรือการแสดงความรับผิดชอบจากปากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีเพียงคำกล่าวอ้างการใช้ความรุนแรงและการโยนความผิดให้กับชายชุดดำ และยังยืนยันว่าจะเดินหน้าปราบปรามด้วยมาตรการขั้นเด็ดขาดต่อไป นั่นคือจุดยืนของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์จนนำไปสู่เหตุการณ์การสลายการชุมนุมเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก และเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ภาคประชาชนกับระบอบเผด็จการที่ประเทศชาติต้องจารึกต่อไป


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นปช #คนเสื้อแดง #คปช53