วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568

แน่นอนุสาวรีย์ชัยฯ! มวลชนหลั่งไหลร่วมชุมนุม "รวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย"

 


แน่นอนุสาวรีย์ชัยฯ! มวลชนหลั่งไหลร่วมชุมนุม "รวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย"


วันที่ 2 สิงหาคม 2568 เวลา 18.00 น. บรรยากาศบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิประชาชนจำนวนมากเดินทางมาเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่ม “รวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย” ซึ่งจัดกิจกรรมเพื่อแสดงพลังห่วงใยต่อสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ในแนวหน้า


พื้นที่โดยรอบอนุสาวรีย์ชัยฯ แน่นขนัดไปด้วยมวลชนที่ร่วมกันยืนเคารพธงชาติและสงบนิ่งไว้อาลัยให้กับทหารไทยที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะบริเวณชายแดน ก่อนจะทยอยขึ้นเวทีปราศรัย โดยมีประชาชนฟังอย่างตั้งใจท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด


แกนนำกลุ่มได้ยื่นข้อเรียกร้อง 3 ข้อสำคัญต่อรัฐบาล ได้แก่


1. เรียกร้องให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที


2. เรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวออกจากการร่วมบริหารประเทศ


3. เรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแสดงจุดยืนชัดเจนในการปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติอย่างเด็ดขาด


ช่วงค่ำ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ขึ้นเวทีปราศรัยปิดท้ายในเวลา 21.00 น. พร้อมประกาศว่า จะมีการแถลงทิศทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มในลำดับถัดไป


ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวด้านมนุษยธรรมก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมหลักในการชุมนุมครั้งนี้ โดยมีประชาชนจำนวนมากนำสิ่งของ เช่น น้ำดื่ม ยารักษาโรค เวชภัณฑ์ และอาหารแห้ง มาร่วมบริจาคให้แก่ทหารและประชาชนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ชายแดน โดยรถบรรทุกคันแรกได้ออกเดินทางจากอนุสาวรีย์ชัยฯ ในเวลา 18.00 น. และคันที่สองเดินทางออกในเวลา 21.00 น. เพื่อส่งมอบสิ่งของต่อแม่ทัพภาคที่ 2 และหน่วยงานในพื้นที่


การชุมนุมเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อยภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ตำรวจและอาสาสมัครจากหลายเครือข่าย โดยประชาชนยังคงทยอยเข้าร่วมอย่างต่อเนื่อง จนถึงช่วงค่ำ


การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความห่วงใยในสถานการณ์ชายแดน แต่ยังส่งสัญญาณแรงกดดันทางการเมืองถึงรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยเฉพาะในบริบทที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและอธิปไตยของชาติ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #รวมพลังแผ่นดิน #ม็อบ2สิงหา










พรรคประชาชน แจงภาพ "เท้ง"ประกอบคำพูด "ประณาม รพ. ปฏิเสธรักษาคนกัมพูชา" เป็นข่าวปลอม ยันหัวหน้าพรรคไม่เคยพูด

 


พรรคประชาชน แจงภาพ "เท้ง"ประกอบคำพูด "ประณาม รพ. ปฏิเสธรักษาคนกัมพูชา" เป็นข่าวปลอม ยันหัวหน้าพรรคไม่เคยพูด


วันที่ 2 สิงหาคม 2568 พรรคประชาชน ชี้แจงภาพข่าวที่ปรากฎบนโซเชี่ยล ที่มีภาพนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมข้อความระบุว่า "ในฐานะผมอยู่พรรคประชาชน ขอประณามโรงพยาบาลอุบลที่ปฏิเสธรักษาคนเขมร เป็นคนไทยที่ทำตัวแย่มาก" โดยพรรคยืนยันว่า ข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง พร้อมระบุว่า


1. ข้อความและคำพูดในภาพดังกล่าวเป็นเท็จ เพราะไม่เคยปรากฏว่าณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เคยสื่อสารถ้อยคำดังกล่าวแต่อย่างใด


2. สำหรับความเห็นของพรรคประชาชนต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเพียงในโพสต์ของพรรค ซึ่งไม่ได้มีการใช้ถ้อยคำหรือความหมายที่ใกล้เคียงกับที่ปรากฏในภาพแต่อย่างใด โดยเป็นเพียงการแสดงความเห็นเรื่องข้อควรระวังในการทำให้ประเทศไทยไม่เสียเปรียบกัมพูชาในเวทีโลก ด้วยการยึดหลักกฎหมายและหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ตามอนุสัญญาเจนีวาที่ประเทศไทยได้เป็นภาคี


https://www.facebook.com/photo?fbid=122164070564480817&set=a.122093105408480817


3. ซึ่งแนวทางการสื่อสารของพรรคสอดคล้องกับที่ทางโรงพยาบาลดังกล่าวเองได้ดำเนินการสื่อสารในเวลาต่อมา รวมทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลในจังหวัดใกล้เคียงสื่อสารยืนยันด้วย


4. พรรคประชาชนเราตระหนักดีถึงความยากลำบากของบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในสถานการณ์นี้ทุกท่าน และเรายินดีน้อมรับทุกคำวิจารณ์และติเตียนเพื่อนำข้อกังวลเหล่านั้นไปปรับปรุงการทำงานเสมอ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน

วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ผู้ช่วย รมต.กต. ย้ำพาทูตลงพื้นที่ชายแดนพิสูจน์ผลกระทบจากการโจมตีด้วยอาวุธหนักของกัมพูชาต่อเป้าหมายพลเรือน ผิดกฎหมาย-อนุสัญญา ตปท. ร้ายแรง เตรียมเชิญทูต ตปท.ประจำไทยชี้แจงย้ำอีกครั้ง 4 ส.ค.นี้ พร้อมประชุมทูตไทยใน ตปท.ด้วย

 


ผู้ช่วย รมต.กต. ย้ำพาทูตลงพื้นที่ชายแดนพิสูจน์ผลกระทบจากการโจมตีด้วยอาวุธหนักของกัมพูชาต่อเป้าหมายพลเรือน ผิดกฎหมาย-อนุสัญญา ตปท. ร้ายแรง เตรียมเชิญทูต ตปท.ประจำไทยชี้แจงย้ำอีกครั้ง 4 ส.ค.นี้ พร้อมประชุมทูตไทยใน ตปท.ด้วย


วันที่ 1 สิงหาคม 2568 นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวภายหลังการร่วมนำคณะทูต และผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร รวมถึงคณะสื่อมวลชนต่างประเทศ ลงพื้นที่สังเกตการณ์พื้นที่พลเรือนได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีการโจมตีเป้าหมายพลเรือนผู้บริสุทธิ์ โดยจรวด BM-21 ของกองกำลังกัมพูชา โดยเริ่มจากร้านสะดวกซื้อในสถานีบริการน้ำมัน ที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ที่ถูกฝ่ายกัมพูชาโจมตีอย่างหนักเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ส่งผลให้พลเรือนที่ไม่มีอาวุธใด ๆ เสียชีวิต 8 ราย และบาดเจ็บอีก 15 ราย ในจำนวนผู้เสียชีวิตมีแม่และลูกวัย 8 ขวบด้วย รวมถึงยังมีเหตุปะทะตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง บางแห่งโดนอาวุธโจมตีเกิดความเสียหาย เช่นโรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา และหลายแห่งมีจรวด อาวุธสงครามตกใกล้โรงพยาบาล และอยู่ในระยะรัศมีการโจมตี จึงจำเป็นต้องปิด หรือลดบริการ และอพยพผู้ป่วยเพื่อความปลอดภัย ทั้งที่โรงพยาบาลเป็นสถานที่ปลอดภัย ซึ่งการกระทำของกัมพูชา ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และอนุสัญญาเจนีวาอย่างร้ายแรง และเชื่อว่าข้อเท็จจริงที่คณะทูตตลอดจนสื่อมวลชนจำนวนมากที่มาร่วมในวันนี้จะถูกนำไปเผยแพร่ให้ประชาคมโลกเข้าใจในวงกว้างต่อไป


ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ยังเปิดเผยอีกว่า ในวันจันทร์ที่ 4 สิงหาคมนี้ กระทรวงการต่างประเทศ จะเชิญคณะทูตานุทูตต่างประเทศ และสื่อมวลชนต่างประเทศประจำประเทศไทย เพื่อชี้แจงย้ำถึงสถานการณ์ ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น รวมถึงภายในสัปดาห์หน้า นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะประชุมเอกอัครราชทูตไทย กงสุลใหญ่ไทย และผู้แทนประเทศไทยในต่างประเทศ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ และติดตามสถานการณ์ในต่างประเทศ เพื่อกำหนดแนวทางการชี้แจงข้อเท็จจริงต่อประชาคมโลกอีกช่องทางหนึ่ง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ไทยกัมพูชา
















"เพื่อไทย" เปิดข้อมูล "ไทย–สหรัฐฯ" ดีลภาษีจบที่ 19% คนไทยยังต้องกังวลอะไรอยู่หรือไม่? ยืนยันไทยไม่เสียเปรียบ รักษาความสามารถด้านการแข่งขันได้ และนับเป็นโอกาสปรับปรุงกลไกการค้าให้ทันสมัยขึ้น

 


"เพื่อไทย" เปิดข้อมูล "ไทย–สหรัฐฯ" ดีลภาษีจบที่ 19% คนไทยยังต้องกังวลอะไรอยู่หรือไม่? ยืนยันไทยไม่เสียเปรียบ รักษาความสามารถด้านการแข่งขันได้ และนับเป็นโอกาสปรับปรุงกลไกการค้าให้ทันสมัยขึ้น


วันที่ 1 สิงหาคม 2568 พรรคเพื่อไทย เปิดเผยผ่านช่องทางสื่อสารออนไลน์ ภายหลังการเจรจาดีลภาษีกับสหรัฐฯ ได้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการ ทำให้ปิดดีลการเจรจาภาษีนำเข้าต่างตอบแทนที่ยืดเยื้อมานานลงได้ ยืนยันว่าไทยไม่ได้เสียเปรียบ และยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจไว้ได้ และถือโอกาสนี้ปรับปรุงกลไกการค้าให้ทันสมัยขึ้น


โดยพรรคเพื่อไทย ระบุว่าการเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ล่าสุดได้ข้อสรุปที่อัตราภาษี 19% ซึ่งถือว่า “ไม่เสียเปรียบ” เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในเอเชียที่ทำข้อตกลงในระดับใกล้เคียงกัน เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่ 15%, ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียที่ 19% และเวียดนามที่ 20%


โดยรายละเอียดคำอธิบาย พรรคเพื่อไทยให้ข้อมูลไว้ดังนี้ ... 


▪️ข้อเสนอหลักจากไทย : ไม่ได้เปิดตลาดจนเสียเปรียบ


ไทยเสนอให้ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ กว่าหมื่นรายการ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว กว่า 64% ของรายการสินค้านั้นมีภาษี 0% อยู่แล้ว อีกทั้งข้อเสนอนี้อยู่ในระดับเดียวกับ FTA ที่ไทยทำไว้กับประเทศอื่นกว่า 18 กลุ่ม เท่ากับไทยไม่ได้เสียเพิ่ม แต่เป็นการเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ แข่งขันกับสินค้าจากประเทศอื่นได้มากขึ้น 


สินค้าจำนวนมากที่ลดภาษีให้สหรัฐฯ ไม่ได้เป็นผู้ผลิตและส่งออกสำคัญของโลกเลย ไม่ใช่คู่แข่งโดยตรงของไทย 


ไทยยังได้ใช้โอกาสนี้ปรับปรุงกลไกการค้าที่ล้าสมัย เช่น มาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) ที่ไม่จำเป็น ทำให้ภาคเอกชนไทย สามารถดำเนินการด้านการค้าระหว่างประเทศได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


▪️ลดภาษีนำเข้ายานยนต์จากสหรัฐฯ


แม้ไทยจะเปิดลดภาษีให้รถยนต์จากสหรัฐฯ แต่สัดส่วนการนำเข้านั้นมีมูลค่าต่ำมาก เพียงราว 40 ล้านดอลลาร์ต่อปี เมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออกทั้งหมดไปสหรัฐฯ ที่สูงกว่า 54,000 ล้านดอลลาร์


▪️เปิดตลาดเครื่องมือแพทย์ เทคโนโลยีขั้นสูง


ไทยยินดีเปิดตลาดเครื่องมือแพทย์ เทคโนโลยีชีวภาพ และนวัตกรรมการรักษาขั้นสูงจากสหรัฐฯ เพื่อส่งเสริมนโยบาย “Medical Hub” ของประเทศ ถือเป็นการนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงที่สร้างประโยชน์เชิงโครงสร้างในระยะยาว 


▪️ข้าวโพด : ลดต้นทุนอาหารสัตว์ ลดต้นทุนเกษตรไทย


ไทยต้องใช้ข้าวโพดกว่า 9–10 ล้านตัน/ปี แต่ผลิตได้เพียงครึ่งเดียว จึงจำเป็นต้องนำเข้า


ดีลนี้จะช่วยให้ไทยนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ ในราคาถูกลง ไม่ใช่เพิ่มปริมาณ แต่เปลี่ยนแหล่งที่มาซื้อเดิม ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนของเกษตรกรโดยตรง และยังลดปัญหา PM2.5 จากการเผาไร่ข้าวโพดได้ทางอ้อม


ผลเชิงบวกจะตามมาทั้งระบบ เช่น เนื้อหมู ไก่ อาหารทะเลถูกลง ผู้บริโภคได้ประโยชน์ และอุตสาหกรรมอาหารไทยมีศักยภาพแข่งขันมากขึ้น


▪️เกษตรกรไทยได้เปรียบในตลาดสหรัฐฯ


สินค้าส่งออกหลัก เช่น ข้าวหอมมะลิ ที่ตลาดสหรัฐฯ มีมูลค่าสูงกว่า 32,000 ล้านบาท และเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย จะยังรักษาความได้เปรียบต่อไป ข้อตกลงใหม่นี้จึงช่วยเหลือครัวเรือนเกษตรกรกว่า 1 ล้านครัวเรือนได้โดยตรง


ผัก ผลไม้ ปลา กุ้ง และสินค้าเกษตรแปรรูปอื่นๆ ก็จะได้อานิสงส์จากต้นทุนที่ลดลง และมีโอกาสขยายตลาดในสหรัฐฯ


▪️ธุรกิจ/แรงงานไทย ได้ประโยชน์


ปัจจุบันไทยส่งออกไปสหรัฐฯ มูลค่ารวมกว่า 54,000 ล้านดอลลาร์/ปี สร้างงานกว่า 1.2 ล้านตำแหน่ง และมีผู้ประกอบการไทยที่ได้ประโยชน์กว่า 4,000 ราย (ส่วนใหญ่เป็น SME)


ดีลนี้จึงช่วยรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในตลาดสหรัฐฯ ทั้งการส่งออกและดึงดูดการลงทุนใหม่


▪️ผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ


การค้ากับสหรัฐฯ คิดเป็นราว 10% ของ GDP ของไทย กระทรวงการคลังจึงปรับประมาณการ GDP ปี 2568 ขึ้นเล็กน้อย จาก 2.1% (เมื่อเมษายน) เป็น 2.2% (เมื่อกรกฎาคม) โดยรวมผลของดีลภาษีนี้เข้าไปแล้ว


ซึ่งข้อตกลงนี้จึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว


สุดท้ายนี้ พรรคเพื่อไทยถือโอกาสนี้กล่าวขอบคุณ #ทีมไทยแลนด์ กับการทำงาน ความพยายาม และความทุ่มเทในงานเจรจาในห้วงเวลาเป็นเวลานานและท่ามกลางความกดดันแและยากจะควบคุม และภารกิจของทีมไทยแลนด์ที่ยังไม่สิ้นสุด ยังคงเดินหน้าทำงานและเจรจาต่อไป เพื่อให้ทุก ๆ การเจรจาเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ภาษีทรัมป์

"มติศาลรธน." ฟัน "พิเชษฐ์" ผิด ม.144 พ้น สส. - รองปธ.สภาฯ ทันที เพิกถอนสิทธิสมัครเลือกตั้ง 10 ปี ปมโยกงบลงพื้นที่

 


"มติศาลรธน." ฟัน "พิเชษฐ์" ผิด ม.144 พ้น สส. - รองปธ.สภาฯ ทันที เพิกถอนสิทธิสมัครเลือกตั้ง 10 ปี ปมโยกงบลงพื้นที่


วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ได้นัดฟังคำวินิจฉัย คดีที่ นายภัณฑิล น่วมเจิม สส.พรรคประชาชน (ปชน.) และ สส.รวม 121 คน (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม กรณีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง (ผู้ถูกร้อง) เป็นผู้ให้ความเห็นชอบการจัดทำโครงการและให้มีการเสนองบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 3 โครงการ


ที่ผู้ถูกร้องมีส่วนโดยทางตรง และทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และในกรณีที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรมีคำขอเสนอโครงการทั้ง 3 โครงการดังกล่าวอีกครั้ง ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 เป็นการเสนอของบประมาณด้วยโครงการที่มีรูปแบบเดียวกันและต่อเนื่องกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่ผู้ถูกร้องมีส่วนในการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำใด ๆ ที่มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงและทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง


ทั้งนี้ ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง จำนวน 9 ปาก โดยศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาปรึกษาหารือแล้ว มีคำสั่งรับคำแถลงการณ์ปิดคดีของคู่กรณีรวมไว้ในสำนวน และเห็นว่าคดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายและมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวน ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง


โดยเมื่อเวลา 15.00 น.ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย ว่า ผู้ถูกร้อง คือนายพิเชษฐ์ มีความผิดตามม.144 ให้ สิ้นสุดสมาชิกภาพการเป็นสส. นับจากวันที่ ศาลฯมีคำวินิจฉัย นับจากวันที่ 1 ส.ค.และเป็นวันที่ตำแหน่งรองประธานสภา คนที่ 1 ว่างลง และให้เพิกถอนสิทธิการรับสมัครเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี ทั้งนี้ต้องเลือกตั้งแบบแบ่งเขตใน 45 วันนับแต่วันที่ว่างลง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ศาลรัฐธรรมนูญ #พิเชษฐ์เชื้อเมืองพาน #พรรคประชาชน #มาตรา144

ธิดา ถาวรเศรษฐ : 1 ส.ค. 2568 : ใครว่า “ฮุนเซน” เพิ่งเปิดเกมรุกในยุคนี้

 


ธิดา ถาวรเศรษฐ : 1 ส.ค. 2568 : ใครว่า “ฮุนเซน” เพิ่งเปิดเกมรุกในยุคนี้


สังเกตเกมรุกทางทหาร ทางการทูตและสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และสื่อสารในสังคมกัมพูชาและสังคมโลกของ “ฮุนเซน”


ดิฉันคิดว่า “ฮุนเซน” เตรียมการไว้นานแล้ว เพราะการมีจุดเริ่มต้นจากประวัติชีวิตที่เป็นชาวคอมมิวนิสต์เขมรแดง และหนีมาเวียดนามทำกองทัพใหม่ ชิงอำนาจจากเขมรแดง เขาก็ต้องเผชิญกับปัญหาความสัมพันธ์ต่างประเทศมานานแล้ว เริ่มต้นคือ จีน, โซเวียต, เวียดนาม แล้วต่อมาก็คือผลจากโลกเสรี ทำให้จัดการเลือกตั้ง มีเขมรหลายฝ่าย แต่สิ่งที่ “ฮูนเซน” กุมไว้คือ กำลังทหารให้ได้เปรียบในการยึดพื้นที่ และการสนับสนุนจากต่างประเทศ จนสามารถทำให้กัมพูชามีนายกรัฐมนตรี 2 คน ทั้งที่คะแนนแพ้แล้วสามารถจัดการพรรคอื่น ๆ ได้หมด มาจนบัดนี้เขาต้องพลิกแพลงยืดหยุ่น ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากขึ้นกับเวียดนาม, รัสเซีย มาขึ้นกับจีน และใช้ประโยชน์จากแต่ละประเทศให้เป็นคุณได้ในแต่ละเวลา จนบัดนี้ก็แสดงความอ่อนน้อมเอาใจสหรัฐอเมริกา การส่ง “ฮุนมาเนต” ไปเรียนที่เวสป้อยท์ แสดงว่า “ฮุนเซน” เตรียมการไว้แล้วที่จะใช้ช่องทางโลกเสรีมาสนับสนุนตนด้วย ทำให้เราเห็นผลงานในช่วงนี้ที่กัมพูชาเดิมเกมรวดเร็วมาก ปิดเกมรุกทางต่างประเทศได้ก่อน 1 สิงหาคม เพื่อผลจากการได้รับประโยชน์เรื่องทั้งภาษี และบังคับไทยให้หยุดรบ และพร้อมที่จะแสดงท่าทีอำนวยประโยชน์ทางการเมืองการทหาร จับมือกับสหรัฐอเมริกาหลังจากการเป็นลูกน้องเวียดนามมาเป็นจีนแล้ว


ตอนนี้ก็พร้อมจะเป็นลูกน้องสหรัฐฯ หรือว่าทำงานเวทีต่างประเทศอย่างน่าพิศวงมากที่กลับตัวรวดเร็ว พร้อมทั้งกล้าพูดแถลงข่าวที่ตรงข้ามกับการกระทำที่ผิดกฎกติกาสากลในการทำสงครามและข้อตกลง อย่างครั้งล่าสุดคือการหยุดยิง นี่กัมพูชาอาจจะถือเป็นกลยุทธ์ในศึกพิพาทชายแดนกับไทย (แต่ไม่จบ)


ดังนั้น 1) อนาคตการทำการตกลงเจรจาต่าง ๆ ที่กัมพูชาเคยทำผิด จนรัฐไทย ทางกองทัพ ร้องเรียนมาหลายร้อยเรื่อง ต่อไปนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกแน่นอน ดังนั้น การทำงานทางการทหารและการสื่อสาร การทูตระหว่างประเทศ จึงหย่อนยานอย่างที่ผ่านมาไม่ได้ เพราะอนาคตปัญหาชายแดนจะยากลำบากมากขึ้น เหมือนปัจจุบันนี้ อันเป็นผลจากการละเมิด MOU43 แล้วเราปล่อยให้มีการรุกคืบดินแดนอธิปไตยมานับสิบ ๆ ปี


ต่อไปนี้กัมพูชาก็จะพยายามสร้างความชอบธรรมที่จะนำพื้นที่ปราสาทชายแดนไปขึ้นศาลโลกให้ได้ เพื่อให้คนกัมพูชาชื่นชม ยอมรับ การครองอำนาจของครอบครัว “ตระกูลฮุน” ต่อไป


2) ส่วนฝ่ายรัฐไทย เป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลอ่อนแอ “ตระกูลชินวัตร” พ่อลูกก็กำลังเผชิญศึกทางกฎหมาย ไม่สามารถสร้างภาวะการนำรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพและสร้างเอกภาพในการนำพาประเทศไทยได้ ที่สำคัญคือ บุคลากรของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยดูอ่อนด้อยมากเมื่อเผชิญกับการรุกของกัมพูชา ต้องคอยแก้เกมตามหลังกัมพูชา กัมพูชาเป็นประเทศเล็กที่เทียบกำลังเศรษฐกิจและกำลังรบกับไทยไม่ได้ แต่เขามีภาวะการนำที่รวมศูนย์และมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากกว่า จึงกำหนดเกมให้ไทยเดินตามและเป็นฝ่ายรับ คอยแก้เกมไปเรื่อย ๆ ดิฉันเชื่อว่าเขามีแผนการรุกต่อไปทั้ง 2 แนวรบ คือทั้งการทหารและการสื่อสาร งานการทูตต่างประเทศ เขาจะมีเกมใหม่ ๆ ที่เตรียมวางไว้แล้ว

 

บุคลากรของรัฐบาลไทยและผู้นำยังไม่อาจทำให้คนไทยเชื่อมั่นได้เลย แต่กัมพูชาเตรียมไว้ แม้แต่คณะที่ปรึกษาและลอบบี้ยีสต์ หลายชุดไว้นานแล้ว ทั้งได้ศึกษาวิธีการตั้งแต่ยุค นโรดม สีหนุ ที่ได้รัยชัยชนะเรื่องปราสาทพระวิหาร

 

ในขณะที่ชุดทนายไทยเวลานั้นสนใจทำพิธีกรรม ขอให้พระเจ้าตากสินช่วย (อ้างถึงคำบอกเล่าของสุตสาย หัสดิน) มีทั้งคนทรงและจุดธูปจริงและใช้จุดซิการ์ วางหันทิศมาไทย แทนการจุดธูป ดิฉันอ่านเรื่องราวช่วงนั้นก็ได้แต่เศร้าใจ แต่ทำอย่างไรได้ เพราะทีมทนายเราเป็นหัวหน้าฝ่ายจารีตนิยมที่สำคัญ ดิฉันหวังว่ากัมพูชาคงไม่สามารถเดินเกมรุกที่คณะมนตรีความมั่นคงเพื่อเอามาเป็นพวก ไม่ให้ใช้สิทธิ์ยับยั้งการให้ไทยถูกนำขึ้นศาลโลกสำเร็จ

 

เก่งจริง ๆ “ตระกูลฮุน” ผู้รู้เรื่องประเทศไทยดี และหวังว่าการรู้เขารู้เราของ “ตระกูลฮุน” คงไม่สามารถได้เปรียบในการศึกกับไทย ถ้ารัฐไทยปรับปรุงตนได้เร็ว เดินไปข้างหน้า เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น ทั้งประเทศตนเองและเพื่อนบ้าน ไม่ใช่มาทะเลาะกับเรื่องที่ดินชายแดนและปราสาทหิน


ประวัติศาสตร์ประเทศกัมพูชาถ้าย้อนไปน่าขมขื่น ควรจะเดินไปข้างหน้าให้ประชาชนมีความสุขในปัจจุบันและอนาคต ไม่ใช่เฉพาะความมั่นคงแห่งอำนาจของตระกูลผู้ปกครองเท่านั้น นี่คือความปรารถนาดีจากมิตรของประชาชนด้วยกัน


และประเทศไทยต้องพัฒนาการเมืองการปกครองเช่นกัน ไม่ใช่เอาแต่เข่นฆ่า จับกุมคุมขังผู้เห็นต่างทางการเมือง เพื่อให้พวกจารีตอำนาจนิยมครองอำนาจยาวนาน หรือจะเอาอย่าง “ตระกูลฮุน” กัมพูชา และ “ตระกูลคิม” ของเกาหลีเหนือ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ฮุนเซน #กัมพูชา #ไทยกัมพูชา

"เผ่าภูมิ" นำทีม EXIM ซับน้ำตาน้ำท่วม "สุโขทัย" มอบถุงยังชีพ ออก 6 มาตรการ พักหนี้-ลดดอก-ขยายเวลา ช่วยผู้ประสบภัย

 


"เผ่าภูมิ" นำทีม EXIM ซับน้ำตาน้ำท่วม "สุโขทัย" มอบถุงยังชีพ ออก 6 มาตรการ พักหนี้-ลดดอก-ขยายเวลา ช่วยผู้ประสบภัย


วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) พร้อมคณะผู้บริหารและพนักงาน EXIM BANK ลงพื้นที่ อบต.บ้านนา อ.ศรีสำโรง และ อบต. ปากแคว อ. เมือง จ. สุโขทัยมอบถุงยังชีพ ประกอบด้วย อุปกรณ์อุปโภคบริโภคและของใช้จำเป็นต่อการดำรงชีพเพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยทางภาคเหนือจากพายุวิภา


โดย EXIM BANK ได้ออกมาตรการช่วยเหลือแก่ลูกค้าปัจจุบันเป็นการด่วน โดยครอบคลุมทั้งการยืดหนี้ การลดภาระต้นทุนทางการเงิน การเปลี่ยนเงื่อนไขการผ่อนชำระ ซึ่งจะช่วยบรรเทาและพยุงกิจการให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ รายละเอียดดังนี้


กรณีวงเงินกู้ระยะสั้น

1. ขอขยายระยะเวลาตั๋วสัญญาใช้เงินได้สูงสุด 360 วัน

2. เพิ่มวงเงินหมุนเวียนชั่วคราวสูงสุด 20% ของวงเงินหมุนเวียนเดิม ไม่เกิน 2 ล้านบาท โดยใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม

3. เปลี่ยนแปลงหนี้ระยะสั้นเป็นหนี้ระยะยาว ผ่อนชำระสูงสุด 3 ปี


กรณีวงเงินกู้ระยะยาว

1. ขยายระยะเวลาวงเงินกู้สูงสุดได้ 7 ปี

2. ปรับบดอัตราดอกเบี้ยปีแรกลง 0.5% หรือจ่ายดอกเบี้ยเพียง 50% ในช่วง 6 เดือนแรก

3. พักชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 1 ปี


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์