วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

“รมช.มหาดไทย” มอบแนวทางการขับเคลื่อนและพัฒนากองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เพิ่มศักยภาพ สร้างงาน สร้างรายได้ ให้สมาชิกกองทุนฯ ใช้เทคโนโลยีแฟลตฟอร์มดิจิทัล สนับสนุนให้สมาชิกกองทุนฯ เข้าถึงแหล่งเงินทุน มีระเบียบวินัยทางการเงิน บริหารกองทุนฯ อย่างมีประสิทธิภาพ

 


“รมช.มหาดไทย” มอบแนวทางการขับเคลื่อนและพัฒนากองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เพิ่มศักยภาพ สร้างงาน สร้างรายได้ ให้สมาชิกกองทุนฯ ใช้เทคโนโลยีแฟลตฟอร์มดิจิทัล สนับสนุนให้สมาชิกกองทุนฯ เข้าถึงแหล่งเงินทุน มีระเบียบวินัยทางการเงิน บริหารกองทุนฯ อย่างมีประสิทธิภาพ


วันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี (คกส.) ครั้งที่ 11/2567 และคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีกรุงเทพมหานคร  (อกส.กทม.) มอบนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี โดยมีนายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวต้อนรับและกล่าวรายงานผลการดำเนินงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ณ ห้องประชุม 5001 ชั้น 5 กรมการพัฒนาชุมชน


นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ยินดีทีมีส่วนร่วมสานต่อนโยบายพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของสตรี โดยกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเท่าเทียมในการประกอบอาชีพของสตรีให้เกิดขึ้น รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมเงินทุนหมุนเวียนให้สมาชิกสตรีที่ตั้งใจพัฒนาสินค้า บริการ สามารถเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดกิจการของกลุ่ม พร้อมๆ กับการเสริมสร้างวินัยทางการเงินของกลุ่มสมาชิกกองทุน จะทำงานร่วมกับคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี และกรมการพัฒนาชุมชน ในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ทั้งปัญหาด้านโครงสร้างบุคลากร ปัญหาการไม่ได้รับสนับสนุนงบประมาณเงินอุดหนุนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568


เนื่องจากในช่วงพิจารณางบประมาณปี 2568 ที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ก่อนมาสู่รัฐบาลของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งมีความตั้งใจสนับสนุนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีให้เป็นกองทุนที่ดีกว่าเดิม มุ่งหวังที่จะเพิ่มเงินทุนให้กับลูกหนี้ชั้นดี เพิ่มโอกาสให้กลุ่มสมาชิกสตรีรายใหม่ๆ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพิ่มมากขึ้น สะดวกขึ้น โดยอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การเชื่อมโยงข้อมูลสมาชิก/การยื่นความประสงค์กู้ยืมเงินกองทุนกับแอปพลิเคชั่นทางรัฐ เป็นต้น รมช.มท. กล่าวในที่สุด


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี




วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

“เผ่าภูมิ” ภูมิใจ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” ปี 67 แจกสัญญาที่ดินตามเป้า กางแผนปี 68 แจก 13 จังหวัด 4 พันราย 3 หมื่นไร่ พุ่ง 3 เท่าตัว เช่าถูกสุด 20 บาท/ไร่/ปี

 


เผ่าภูมิ” ภูมิใจ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” ปี 67 แจกสัญญาที่ดินตามเป้า กางแผนปี 68 แจก 13 จังหวัด 4 พันราย 3 หมื่นไร่ พุ่ง 3 เท่าตัว เช่าถูกสุด 20 บาท/ไร่/ปี


วันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แถลงแผนโครงการธนารักษ์เอื้อราษฎร์ในปีงบ 68 ดังนี้


กระทรวงการคลังมีเจตนารมณ์ในการบริหารจัดการที่ราชพัสดุให้เกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด และเพื่อแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ทำกินให้แก่พี่น้องประชาชน โดยกรมธนารักษ์จะนำที่ราชพัสดุ ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในราชการหรือใช้ประโยชน์ไม่เต็มพื้นที่มาแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน โดยจัดให้ประชาชนเช่าในราคาถูกมาก ผ่านกลไกการจัดให้เช่าของกรมธนารักษ์ตามกฎหมายที่ราชพัสดุ เพื่อช่วยให้ประชาชนได้รับอนุญาตการเช่าเป็นผู้ถือครองที่ดินที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีอาณาเขตการถือครองที่ชัดเจน สามารถสืบสิทธิการเช่าให้กับทายาทได้ มีที่ดินทำกิน มีรายได้ที่มั่นคง และมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เข้าถึงบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานของรัฐ ทั้งสาธารณูปโภค และสาธารณูปการ เข้าถึงบริการสาธารณะและการเยียวยาของภาครัฐและแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงิน และลดความเลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งในปีงบ 67 กรมธนารักษ์มอบสัญญาเช่าสำเร็จ 12 จังหวัด รวม 3,200 ราย เนื้อที่ประมาณ 11,587 ไร่


เราจะเดินหน้าธนารักษ์เอื้อราษฎร์ต่อไปในงบ 68 เพราะยังมีพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ไร้ที่ทำกินตามกฎหมาย ไร้ที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย โดยได้กำหนดแผนมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ 13 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดหนองบัวลำภู 34 ราย 97 ไร่ นครสวรรค์ 1081 ราย 19,466 ไร่ มุกดาหาร 200 ราย 687 ไร่ เพชรบูรณ์ 139 ราย 100 ไร่ อุดรธานี 221 ราย 1,142 ไร่ กาฬสินธุ์ 728 ราย 5,219 ไร่ สระบุรี 120 ราย 46 ไร่ เชียงราย 500 ราย 75 ไร่ ลำปาง 230 ราย 254 ไร่ นครราชสีมา 151 ราย 273 ไร่ กาญจนบุรี 172 ราย 248 ไร่ ราชบุรี 200 ราย 1,728 ไร่ และสุราษฎร์ธานี 206 ราย 1,936 ไร่


รวม 3,982 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 24% เนื้อที่กว่า 31,277 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึงเกือบ 3 เท่าตัว


โดยมีค่าเช่าราคาถูก ที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัย หากไม่เกิน 100 ตารางวา อัตราเช่า 0.25 บาท/ตารางวา/เดือน หากเกิน 100 ตารางวา อัตราเช่า 0.50 บาท/ตารางวา/เดือน และหากเป็นที่ดินเพื่อประกอบการเกษตร เนื้อที่ไม่เกิน 50 ไร่ อัตราเช่า 20 บาท/ไร่/ปี และหากเกิน 50 ไร่ อัตราเช่า 30 บาท/ไร่/ปี


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์




วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

เงินหมื่นเฟส 2 อายุ 60 ขึ้นไป 4 ล้านคน ได้รับก่อนตรุษจีน 2568


เงินหมื่นเฟส 2 อายุ 60 ขึ้นไป 4 ล้านคน ได้รับก่อนตรุษจีน 2568


วันนี้ (19 พฤศจิกายน 2567) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่า คณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน วันนี้ที่ประชุมเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านผู้สูงอายุ


เร่งการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายของผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปี บริบูรณ์ขึ้นไป เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของผู้สูงอายุให้มีโอกาสเข้าถึงการใช้จ่ายที่จำเป็น ในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มการบริโภคที่จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบและกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ


ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายคือ

- ประชาชนที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐสำเร็จ

- มีอายุตั้งแต่ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ 15 ก.ย. 67

- ผ่านคุณสมบัติโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet และผ่านการยืนยันตัวตนแล้ว

- ไม่เป็นกลุ่มเป้าหมายตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ


รวมกลุ่มเป้าหมายจำนวนไม่เกิน 4 ล้านคน คิดเป็นวงเงินงบประมาณไม่เกิน 40,000 ล้านบาท จำนวนทั้งสิ้น 4 ล้านคน วงเงินประมาณ 40,000 ล้านบาท โดยผู้ที่ได้รับเงินจะได้รับก่อน วันตรุษจีนปี 2568 (29 ม.ค. 2568)


โดยกลุ่มนี้ ถือว่าเป็นกลุ่มที่รัฐบาลพิจารณาแล้วว่า มีความจำเป็นต้องได้รับเงินก่อน ส่วนในระยะต่อไปหรือเฟสที่ 3 จะจ่ายให้ในช่วงเดือน เม.ย. - มิ.ย. 2568 ซึ่งจะสอดคล้องกับแอพพลิเคชั่นทางรัฐที่สามรถใช้งานได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568” รองนายกฯ และ รมว.คลัง กล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ

‘โฆษกฯดีอี’ เผยผลทดสอบระบบ Cell Broadcast Center (CBC) พัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ตามนโยบาย ‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ ได้ผล เชื่อเพิ่มประสิทธิภาพเตือนภัยประชาชน ลดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินคนในประเทศ

 


โฆษกฯดีอี’ เผยผลทดสอบระบบ Cell Broadcast Center (CBC) พัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ตามนโยบาย ‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ ได้ผล เชื่อเพิ่มประสิทธิภาพเตือนภัยประชาชน ลดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินคนในประเทศ


วันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 นางสาววงศ์อะเคื้อ บุญศล โฆษกกระทรวงดิกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า จากกรณีที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี ได้มีนโยบายในการยกระดับความมั่นคงปลอดภัยของประเทศและการพัฒนาเมืองน่าอยู่ด้วยเทคโนโลยี ดิจิทัล ได้ให้ความสำคัญในการจัดตั้งและพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cell Broadcast Service: CBS) เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ที่เกิดเหตุได้รับทราบข้อมูลอย่างทันท่วงทีผ่านช่องทาง โทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งระบบ CBS จะประกอบด้วยระบบ Cell Broadcast Center (CBC) ที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้การสนับสนุนงบประมาณแก่ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (AWN TUC และ NT) ในการจัดทำพัฒนาระบบ CBC ให้ทำงานร่วมกับระบบ Cell Broadcast Entity (CBE) ของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติที่มีทำหน้าที่ในการกำหนดเนื้อหา ข้อความเตือนภัยและวิธีปฏิบัติในการบรรเทาสาธารณภัยต่างๆ เพื่อส่งไปยังประชาชนในพื้นที่ภัยพิบัติ


นางสาววงศ์อะเคื้อ กล่าวว่า กระทรวงดีอีได้บูรณาการร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานของระบบ CBE ประกอบไปด้วย ระบบคลาวด์และระบบเครือข่ายที่เชื่อมโยงระหว่าง CBE กับ CBC ของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกราย รวมถึงการเชื่อมโยงระหว่าง CBE กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแจ้งเตือน อาทิ ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร และกรมชลประทาน เป็นต้น โดย บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ได้เร่งดำเนินการระบบ CBC เพื่อเตรียมพร้อมในการส่งข้อความเตือนภัยฉุกเฉินให้ ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง รวดเร็ว แม่นยำเกิดผลสัมฤทธิ์ในการลดความสูญเสียของประชาชน จึงได้ร่วมทดสอบการแจ้งเตือนภัยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่ง กสทช. ร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดขึ้น ณ ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งผลการทดสอบระบบเป็นไปด้วยดีโดยไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ซึ่งคาดว่าระบบ CBS ดังกล่าวจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ซึ่งจะให้การเตือนภัยมีประสิทธิภาพมากขึ้นและจะสามารถลดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนได้ดียิ่งขึ้น


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ 





แนวร่วมมธ.ผนึก 20 องค์กรนิสิตนักศึกษา ประชิดทำเนียบ ยื่นหนังสือนายก ทวงความยุติธรรมให้คนตาย หารือแนวทางแก้ไขคดีการเมือง ผลักดันนิรโทษกรรมให้คนเป็นรวม 112 หลังเคยตีระฆังร้องทุกข์ที่สภาแล้วไม่คืบ

 


แนวร่วมมธ.ผนึก 20 องค์กรนิสิตนักศึกษา ประชิดทำเนียบ ยื่นหนังสือนายก ทวงความยุติธรรมให้คนตาย หารือแนวทางแก้ไขคดีการเมือง ผลักดันนิรโทษกรรมให้คนเป็นรวม 112 หลังเคยตีระฆังร้องทุกข์ที่สภาแล้วไม่คืบ


วันที่ 19 พ.ย. 2567 เวลา 10.00 น. แนวร่วมธรรมศาสตร์ ร่วมกับองค์กรนิสิตนักศึกษา 20 องค์กร ทำเนียบรัฐบาล เชิญนายกฯ และตัวแทน รับจดหมายเปิดผนึก ทวงถามนโยบายจากคณะผู้แทน เนื่องในวาระครบ 4 ปี ที่มีการนำกฎหมายมาตรา 112 กลับมาบังคับใช้ และทวงถามแนวทางในการแก้ไขปัญหาคดีการเมืองจากรัฐบาล


โดยวันนี้ตำรวจได้ตรึงกำลังบริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ และปิดกั้นการจราจร ทำให้รถและผู้ชุมนุมไม่สามารถผ่านไปหน้าทำเนียบได้ ต่อมาได้มีการเจรจาและตกลงว่าสามมารถยื่นหนังสือที่หน้าทำเนียบได้ โดยมี นาย สมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง พร้อมด้วยนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนของรัฐบาล ออกมารับหนังสือ


ต่อมา นิสิตนักศึกษาได้แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ โดยการผูกริบบิ้นสีขาวที่ข้อมือนายสงคราม เพื่อให้แระสานความยุติธรรม และริบบิ้นสีดำที่ข้อมือที่กลุ่มผู้ร่วมกิจกรรม เพื่อแแสดงออกถึงการไว้อาลัยให้กับกระบวนการยุติธรรม ก่อนจะยุติกิจกรรม เวลา 10.40 น.


สำหรับเนื้อหาในจดหมายเปิดผนึกมีดังนี้


จดหมายเปิดผนึกองค์กรนิสิตนักศึกษาและเครือข่ายประชาชน ถึง นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี


เรื่อง เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาคดีความทางการเมือง เนื่องในโอกาสครบรอบ 4 ปี การหวนกลับมาบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112


ด้วยปรากฏว่าสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือในการกดขี่ปราบปรามคุกคามผู้แสดงความเห็นต่างทางการเมือง นำมา ซึ่งการจำคุกประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากในฐานะนักโทษการเมือง เป็นที่ประจักษ์ว่า เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีการรื้อฟื้นการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มาใช้อย่างกว้างขวาง


แม้กฎหมายดังกล่าวมิได้มีการบังคับใช้มาเป็นเวลานาน การกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นรุนแรงนี้ได้ดำเนินมาจนครบ 4 ปี แม้ปัจจุบันจะมีการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองสู่รัฐบาลภายใต้การนำของ แพทองธาร ชินวัตร แต่รัฐบาลกลับมิได้แสดงเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาอันร้ายแรงดังกล่าว แม้แต่ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา อีกทั้งเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 ซึ่งเป็นวันแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่นำโดยนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร องค์กรนิสิตนักศึกษาและเครือข่ายภาคประชาชนได้ร่วมกันยื่นจดหมายเปิดผนึกทวงถามนโยบายกับรัฐบาลในการนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองและการอำนวยความยุติธรรมแก่ผู้คนที่ถูกกดขี่ปราบปรามโดยรัฐ ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมากว่า 2 เดือน โดยปราศจากความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม


ด้วยเหตุนี้ องค์กรนิสิตนักศึกษาและเครือข่ายภาคประชาชนจึงขอประกาศจุดยืนและเรียกร้องต่อรัฐบาล ดังต่อไปนี้


1. ต้องดำเนินการนิรโทษกรรมคดีความทางการเมืองซึ่งรวมไปถึงคดีอาญามาตรา 112 โดยทันทีและปราศจากเงื่อนไขทั้งปวง

2. ต้องเร่งดำเนินการเยียวยาและคืนความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนผู้สูญเสียจากการปราบปรามโดยรัฐ พร้อมทั้งดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนในการปราบปรามประชาชนด้วยความรุนแรงอย่างเด็ดขาด

3. ต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ชั้นตำรวจ อัยการ จนถึงศาล เพื่อสถาปนาหลักนิติรัฐนิติธรรมสากล และให้หลักประกันว่าประชาชนจะได้รับความยุติธรรมอย่างแท้จริง


องค์กรนิสิตนักศึกษาและเครือข่ายภาคประชาชนขอประกาศอย่างแน่วแน่ว่า การแก้ไขปัญหาเหล่านี้คือเงื่อนไข อันจำเป็นต่อการสถาปนาประชาธิปไตยที่แท้จริงขึ้นในสังคมไทย หากปราศจากความยุติธรรม สันติภาพย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ และการปล่อยให้การใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือในการกดขี่ปราบปราม ย่อมมีแต่จะทำให้สังคมการเมืองไทยตกต่ำลงเท่านั้น


จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นิรโทษกรรมประชาชน #รวม112 #คืนความเป็นธรรมให้ประชาชน














อัยการสูงสุด ส่งความเห็นถึงศาลรัฐธรรมนูญ ไม่รับดำเนินการคดีทักษิณ-เพื่อไทยล้มล้างการปกครอง

 


อัยการสูงสุด ส่งความเห็นถึงศาลรัฐธรรมนูญ ไม่รับดำเนินการคดีทักษิณ-เพื่อไทยล้มล้างการปกครอง


วานนี้ (18 พฤศจิกายน 2567) มีรายงานว่า นายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ อัยการสูงสุด ได้ลงนามตอบถ้อยคำต่อศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นที่ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 โดยกล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคเพื่อไทย (ผู้ถูกร้องที่ 2) ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้มีหนังสือแจ้งอัยการสูงสุดเพื่อขอทราบว่าได้ดำเนินการตามคำร้องของผู้ร้องไปแล้วอย่างไร และรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงใด โดยให้จัดส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน ซึ่งเดิมนั้นรายงานที่อัยการสูงสุดส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญมีข้อมูลในการสอบถ้อยคำ ทั้งทางฝั่งผู้ร้องและผู้ถูกร้อง โดยในส่วนผู้ถูกร้องทราบว่าไม่ได้มีการสอบถ้อยคำ ทักษิณ ชินวัตร


อย่างไรก็ตาม มีรายงานเพิ่มเติมว่า ในวันที่ 8 พฤศจิกายน นอกจากอัยการสูงสุดจะส่งบันทึกสอบถ้อยคำทั้งพยานฝ่ายผู้ร้องและผู้ถูกร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ยังมีความเห็นแจ้งไปยังศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เข้าหลักเกณฑ์ว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง ทางอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอ ซึ่งเป็นไปตามความเห็นของคณะทำงานที่เสนอมายังอัยการสูงสุดก่อนหน้านี้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรัฐธรรมนูญมาตรา 49 บัญญัติไว้ว่า บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้ ผู้ใดทราบว่ามีการกระทำตามวรรคหนึ่ง ย่อมมีสิทธิร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวได้


ในกรณีที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอ หรือไม่ดำเนินการภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ ผู้ร้องขอจะยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ การดำเนินการตามมาตรานี้ไม่กระทบต่อการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการตามวรรคหนึ่ง จึงเท่ากับว่าแม้อัยการสูงสุดจะมีมติไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอ แต่ศาลรัฐธรรมนูญจะยังมีอำนาจพิจารณาคดีต่อไปได้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อัยการสูงสุด #ศาลรัฐธรรมนูญ #ทักษิณชินวัตร #พรรคเพื่อไทย 

“หมอเหวง” ถูกปลอม Facebook เตือนรีบลบด่วนก่อนจะดำเนินการตามกฎหมาย

 


“หมอเหวง” ถูกปลอม Facebook เตือนรีบลบด่วนก่อนจะดำเนินการตามกฎหมาย


วานนี้ (18 พฤศจิกายน 2567) นพ.เหวง โตจิราการ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซและเพจ Facebook ระบุมีคนแอบอ้างใช้ชื่อ Weng Tojirakarn ซึ่งให้โอกาสผู้ที่กระทำการดังกล่าวให้ลบเฟซปลอมดังกล่าวโดยด่วน หากไม่ดำเนินการใด ๆ นพ.เหวงจะดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่ง “หมอเหวง” โพสต์ข้อความดังนี้


“มีใครไม่ทราบมาใช้  Weng Tojirakarn  ซึ่งเป็นชื่อของผมซึ่งไม่มีชื่อเช่นนี้ซ้ำสองในประเทศไทยและในโลก  ผมจึงแจ้งไปยังผู้ที่ใช้ชื่อ Weng Tojirakarn ซึ่งเป็นของผมเท่านั้น  ให้ลบเฟสและเพจดังกล่าวออกโดยเร็วที่สุด  หากไม่ดำเนินการผมจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป”


ทั้งนี้ นพ.เหวง ชี้แจงว่า ปัจจุบันตนมีบัญชีเฟซบุ๊ก ใช้ชื่อ Weng Tojirakarn และ เพจเฟซบุ๊ก ใช้ชื่อ นพ.เหวง โตจิราการ พร้อมทั้งระบุโปรไฟล์ทั้ง 2 เท่านั้นบัญชีที่ใช้งานในปัจจุบัน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #หมอเหวง




เฟซบุ๊กปัจจุบัน

เพจเฟซบุ๊กปัจจุบัน