วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2567

“ณัฐพงษ์” ถก สทนช. แนวทางบริหารจัดการน้ำทั้งประเทศอย่างเป็นระบบ เห็นพ้อง 5 เรื่องต้องเร่งทำ พร้อมใช้กลไกผู้นำฝ่ายค้าน-กมธ.บริหารจัดการน้ำ เสนอแนะรัฐบาลจัดสรรรงบเตรียมการก่อนเข้าฤดูฝนปีหน้า

 


“ณัฐพงษ์” ถก สทนช. แนวทางบริหารจัดการน้ำทั้งประเทศอย่างเป็นระบบ เห็นพ้อง 5 เรื่องต้องเร่งทำ พร้อมใช้กลไกผู้นำฝ่ายค้าน-กมธ.บริหารจัดการน้ำ เสนอแนะรัฐบาลจัดสรรรงบเตรียมการก่อนเข้าฤดูฝนปีหน้า


วันที่ 17 ตุลาคม 2567 ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย สส.พรรคประชาชน และ เดชรัต สุขกําเนิด ผู้อำนวยการ Think Forward Center เดินทางไปยังสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ร่วมประชุมกับเจ้าหน้าที่เพื่อรับฟังข้อมูลและหารือถึงแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งประเทศอย่างเป็นระบบ โดย สทนช. ได้รายงานข้อมูลที่สนใจหลายประเด็นโดยเฉพาะความคืบหน้าเรื่องการจัดทำผังน้ำ


การจัดทำผังน้ำมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เห็นศักยภาพในการรับและระบายน้ำในแต่ละจุด ถือเป็นส่วนสำคัญในการออกแบบผังเมือง นำไปสู่การแก้ไขปัญหาเรื่องการบริหารจัดการน้ำ ให้ทุกหน่วยงานมีความเข้าใจในแนวทางเดียวกัน ไม่สร้างอุปสรรครุกล้ำหรือกีดขวางทางน้ำ ซึ่งจะลดและบรรเทาอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต


ทั้งนี้ โครงสร้างการจัดทำผังน้ำที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติอนุมัติไปแล้ว 2 ผังลุ่มน้ำ รออนุมัติอีก 4 ผังลุ่มน้ำ จากทั้งหมด 22 ลุ่มน้ำ 


นอกจากนี้ อีกส่วนสำคัญคือการปรับปรุงกระบวนการจัดทำงบประมาณของแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ เพื่อให้ทุกส่วนราชการสามารถใช้งบประมาณสอดคล้องและทันกับช่วงเวลาที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละปี โดยไม่เกิดปัญหาซ่อมแซมหรือปรับปรุงไม่ทันช่วงฤดูฝน ที่อาจเกิดปัญหาเช่นเครื่องสูบน้ำเสีย ประตูน้ำเปิดไม่ได้ พนังกั้นน้ำยังไม่ได้ซ่อม เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในอนาคตลงได้ส่วนหนึ่ง


ณัฐพงษ์กล่าวต่อว่า จากการลงพื้นที่หลายจังหวัดและหารือกับ สทนช. ในวันนี้ ทำให้เห็นตรงกันว่าเราควรเร่งซ่อมแซมหรือปรับปรุงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากอุทกภัยครั้งที่ผ่านมา มิฉะนั้นจะนำไปสู่ปัญหาอุทกภัยมากขึ้นในอนาคตใน 5 ประเด็นด้วยกันคือ 


(1) แก้ไขปัญหาเรื่องลำน้ำที่อุดตันจากตะกอนและโคลนทับถมในช่วงอุทกภัยที่ผ่านมา เพื่อให้ลำน้ำสามารถระบายน้ำได้ดีขึ้น ไม่เกิดอุทกภัยโดยง่าย

(2) ซ่อมแซมโครงสร้างระบบชลประทานหรือพนังกั้นน้ำที่เสียหายจากอุทกภัยที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรับน้ำ และป้องกันน้ำท่วมได้ดีขึ้น

(3) เร่งปรับปรุงอุปสรรคที่กีดขวางทางน้ำที่ทำให้น้ำไม่สามารถระบายได้ เช่น เส้นถนนที่ ท่อระบายน้ำเล็กกว่าขนาดของลำน้ำเดิม เพื่อไม่ให้เกิดน้ำท่วมขังเป็นเวลานานเช่นที่ผ่านมา

(4) จัดทำแผนและปรับปรุงพื้นที่ที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดดินถล่มและอาจส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนประชาชนในอนาคต

(5) การพัฒนาระบบเตือนภัยในหลายพื้นที่ที่ยังขาดสถานีโทรมาตรหรือปรับปรุงเกณฑ์การเตือนภัยให้ชัดเจนยิ่งขึ้น


ณัฐพงษ์กล่าวว่า จะใช้กลไกผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เร่งปรึกษาหารือและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และใช้กลไกของ กมธ.บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเสนอแนะรัฐบาลให้จัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นเร่งด่วนให้ครบถ้วนและทันการณ์ และให้หน่วยงานดำเนินการให้พร้อมก่อนเข้าฤดูฝนในเดือนพฤษภาคม 2568 โดยวางกำหนดการเบื้องต้นว่าจะมีการประชุมเพื่อติดตามทั้ง 5 เรื่องนี้ภายในต้นเดือนพฤศจิกายน 2567


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์




‘กมธ.สันติภาพชายแดนใต้’ จ่อเชิญ ‘รมว.กลาโหม-สมช.-แม่ทัพภาค4’ ถกคดีตากใบ 24 ต.ค. นี้ จี้รัฐบาลชี้แจงหากคดีหมดอายุความโดยไม่สามารถนำตัวจำเลยขึ้นศาล

 


‘กมธ.สันติภาพชายแดนใต้’ จ่อเชิญ ‘รมว.กลาโหม-สมช.-แม่ทัพภาค4’ ถกคดีตากใบ 24 ต.ค. นี้ จี้รัฐบาลชี้แจงหากคดีหมดอายุความโดยไม่สามารถนำตัวจำเลยขึ้นศาล


วันที่ 17 ตุลาคม 2567 พรรณิการ์ วานิช และฮานาฟี หมีนเส็น โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาและเสนอแนวทางการส่งเสริมกระบวนการสร้างสันติภาพเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แถลงข่าวที่รัฐสภา ระบุว่าคณะกรรมาธิการฯ มีความกังวลอย่างยิ่งต่อการติดตามตัวจำเลยคดีสลายการชุมนุมตากใบ ว่าหากไม่สามารถนำจำเลยมาส่งศาลได้ก่อนหมดอายุความในวันที่ 25 ตุลาคม 2567 จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในอย่างน้อย 3 ระดับ คือ

 

1. ประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้จะรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกปฏิบัติอย่างสองมาตรฐาน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มอุปสรรคในการสร้างความสมานฉันท์และสันติภาพในพื้นที่ นอกจากนี้ คดีตากใบจะเป็นอีกคดีที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิด (impunity) ในสังคมไทย

2. กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบอาจนำประเด็นดังกล่าวไปขยายผล และใช้เป็นข้ออ้างก่อเหตุรุนแรง เพื่อแสดงออกถึงความไม่พอใจที่มีต่อรัฐบาล นำมาสู่ความสูญเสียในพื้นที่เพิ่มขึ้น 

3. อาจเกิดความไม่แน่นอนในสถานะของการพูดคุยสันติสุขระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ ซึ่งมีการพูดคุยสันติสุขรอบใหม่มาแล้วในรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน และยังอยู่ระหว่างการกำหนดนโยบาย ที่ชัดเจนในการคลี่คลายความขัดแย้งในชายแดนใต้โดยรัฐบาลปัจจุบัน

 

คณะกรรมาธิการฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าภายใต้เวลาอันจำกัดที่เหลืออยู่นี้ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับคดีตากใบ จะดำเนินการอย่างสุดความสามารถในการทำให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าต่อไปตามครรลอง และอำนวยความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย ทั้งประชาชนผู้สูญเสีย และเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ 

 

คณะกรรมาธิการฯ ยังเห็นว่ารัฐบาลควรสร้างความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมให้กลับคืนมาและ ให้ความยุติธรรมกับผู้สูญเสียทุกคน ด้วยการนำผู้ถูกกล่าวหามาแสดงตนเพื่อพิสูจน์ตนเองต่อศาลตามระบบยุติธรรมต่อไป

 

และสุดท้าย หากไม่สามารถดำเนินการนำตัวจำเลยมาเข้ากระบวนการได้ทันเวลาก่อนหมดอายุความ คณะกรรมาธิการฯ เสนอให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองต่อผู้เสียหายโดยมีคำแถลงชี้แจงอย่างเหมาะสมและชัดเจน อันจะเป็นประโยชน์ต่อการคลี่คลายปมความขัดแย้งในชายแดนใต้และปูทางไปสู่การสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนในอนาคต


ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ ยังมีมติให้เชิญนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ, และพลโทไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 มาร่วมหารือกับคณะกรรมาธิการฯ ในวันที่ 24 ตุลาคม 2567 เพื่อประเมินผลกระทบจากคดีตากใบที่จะหมดอายุความ และหารือเพื่อออกแนวทางการรับมือที่เหมาะสม เพื่อธำรงกระบวนการสร้างสันติภาพและความปรองดองสมานฉันท์ในพื้นที่ชายแดนใต้ต่อไป 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คดีตากใบ #20ปีคดีตากใบ

วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2567

นพ. เหวง โตจิราการ รำลึกอาจารย์หมอ “นพ.บุญยงค์ วงศ์รักมิตร” ที่เคารพอย่างสูง อาจารย์เป็นครูนอกห้องเรียนที่สำคัญยิ่งในชีวิตผมคนหนึ่ง

 




นพ. เหวง โตจิราการ รำลึกอาจารย์หมอ “นพ.บุญยงค์ วงศ์รักมิตร” ที่เคารพอย่างสูง อาจารย์เป็นครูนอกห้องเรียนที่สำคัญยิ่งในชีวิตผมคนหนึ่ง


เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2567 นพ.เหวง โตจิราการ โพสข้อความผ่านเพจเฟสบุ๊ค แสดงความอาลัยต่อการจากไปของ“นพ.บุญยงค์ วงศ์รักมิตร” ระบุว่า รำลึกอาจารย์หมอ “นพ.บุญยงค์ วงศ์รักมิตร” ที่เคารพอย่างสูง อาจารย์เป็นครูนอกห้องเรียนที่สำคัญยิ่งในชีวิตผมคนหนึ่ง


ในระหว่างปิดภาคปีการศึกษา 2517 เพื่อยกระดับชั้นเรียนทางคลินิกจากปีห้าขึ้นปีหกในกลางปี 2517


คณะแพทยศาสตรรพ.รามาธิบดีมีนโยบายทางการศึกษาที่ยอดเยี่ยมอย่างหนึ่งคือให้นักศึกษาแพทย์เลือกไปศึกษางานที่โรงพยาบาลที่นักศึกษาต้องการจะไปศึกษางาน


ผมและเพื่อนอีกสามคนเลือกโรงพยาบาลน่าน เพราะอยู่ไกลปืนเที่ยงมาก กล่าวได้ว่าขาดแคลนเครื่องไม้เครื่งมือที่ทันสมัยเกือบทุกอย่างที่สถาบันการศึกษาทางการแพทย์ที่กทม.มี


แล้วคุณหมอที่นั่นจะให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนอย่างไร และคุณหมอจะพัฒนาความรู้ทางการแพทย์อย่างไรให้ทันสมัยตลอดเวลา


อย่าลืมนะครับนั่นปี 2517 นะครับ

เครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัยที่สุดมีเพียงโทรศัพท์ตั้งโต๊ะที่ใช้นิ้วมือหมุนหมายเลขและ ทีวีตั้งโต๊ะเครื่องใหญ่มากวิทยุเครื่องใหญ่มาก ไม่มีเครือข่ายเนต ไม่มีมือถือเช่นทุกวันนี้


เมื่อไปถึงรพ.ราวเมษา 2517 ผอ.รพ.น่านคืออาจารย์หมอบุญยงค์ วงษ์รักมิตรพร้อมรุ่นพี่อีกสองคนที่ช่วยงาน อาจารย์หมอบุญยงค์อยู่มาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น


ให้ที่พักที่สดวกสบายไม่ห่างจากเรือนพักคนไข้(วอร์ด)ของรพ. หากมีกรณีฉุกเฉินใช้โทรศัพท์ตามตัวและไปดูคนไข้ได้อย่างทันท่วงที


ภายหลังที่ทำงานอย่างใกล้ชิดผมเรียกขานท่านว่าพี่บุญยงค์


พี่บุญยงค์ให้พวกเราออกโอพีดีกับรุ่นพี่อยู่หลายวันและหากมีผ่าตัด.พี่บุญยงค์ก็จะตามพวกเราเข้าไปสังเกตการณ์ในตอนแรกต่อมาก็ค่อยปล่อยมือให้เข้าร่วมเป็นมือสอง พอทำหลายสิบเคสเข้าก็เริ่มปล่อยมือให้ทำโดยพี่บุญยงค์คอยดูอยู่หรือไม่ก็ให้พี่แพทย์สองคนช่วยดูแทน


เกือบจะทุกเที่ยงพี่บุญยงค์ก็ชวนพวกเราไปกินข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารธรรมดาใกล้โรงพยาบาลและก็ชวนคุยเรื่องสนุกสนานไปพลาง


ผ่านไปสัปดาห์แรกพี่บุญยงค์ก็ชวนคุยแต่เป็นเชิงสรุปวิชาการจากความเป็นจริงของคนไข้ที่ให้การรักษาที่ผ่านมา


พี่บุญยงค์สรุปว่าคนไข้โอพีดีส่วนใหญ่ที่นั่นไม่ว่าจะมาด้วยอาการไข้ หรืออาการคล้ายไข้หวัด หรืออาการทางเดินอาหาร ต้องเจาะเลือดหาเชื้อมาลาเรียทุกคน แล้วก็ไม่ผิดหวัง มักจะเจอเชื้อมาลาเรียน่าจะประมาณ 80% ขึ้นไปจึงต้องจ่ายยาฆ่ามาลาเรียร่วมไปกับยาแก้อาการ


นี่คือความจริงทางการแพทย์ครับ ในยุคนั้นชาวบ้นมักจะป่วยด้วยโรคประจำถิ่น ที่น่านวันนั้นส่วนใหญ่เป็นมาลาเรียและก็มีโรคขาดไอโอดินด้วย จึงต้องแนะนำให้คนไข้บริโภคเกลือปรุงอาหารที่มีไอโอดินด้วย


ทางการผ่าตัดส่วนใหญ่ชาวบ้านสตรีจะมาขอรับบริการทำหมัน ในสัปดาห์หลัง ๆ พวกเราได้รับอนุญาตให้ทำหมันหญิงได้หลังจากที่พี่ได้ติดตามผลงานมานับหลายสิบเคส


ในบางครั้งรพ.น่านต้องรับทหารที่รบกับพคท.แล้วบาดเจ็บมาหลายคนพร้อมกันบางคนก็สาหัสอาการหนักมากบางคนก็อาการปานกลางหรือเบา


พี่บุญยงค์ได้สอนทุกคนทั้งพยาบาลทั้งแพทย์ที่ช่วยพี่บุญยงค์อยู่ ให้ทำงานเป็นทีมและช่วยชีวิตทหารได้อย่างทีประสิทธิภาพสูงสุด


พี่บุญยงค์บอกเลยว่าต้องช่วยชีวิตก่อนเป็นเรื่องสำคัญที่สุดอันดับหนึ่ง ดังนั้นต้องแทงน้ำเกลือเข้าเส้นให้ได้อย่างน้อยสองเส้น หากพยายามแทงแล้วไม่สำเร็จต้องผ่าลงไปหาเส้นเลือดดำที่อยู่ตื้นโดยตรงแล้วเปิดเส้นให้ได้เร็วที่สุดใส่น้ำเกลือเพื่อไม่ให้ความดันตกอันจะทำให้หัวใจล้มเหลวหยุดเต้นพร้อมกับเตรียมเลือดที่เข้ากับคนไข้นำมาให้คนไข้โดยเร็วที่สุด


ด้วยวิธีเช่นนี้ทหารมักจะรอดไม่ว่าการบาดเจ็บรุนแรงแค่ไหน


หลังจากนั้นก็แก้ปัญหาไปตามการบาดเจ็บ เช่นทะลุทรวงอก ทะลุท้อง ทะลุกระดูก หรือเข้าโพรงสมอง หรือบาดแผลไฟไหม้ก็ให้น้ำเกลือทำความสะอาดแผลให้ยาปฏิชีวนะ หากคนไข้ไม่ทุเลาก็จะติดต่อหน่วยราชการลำเลียงเข้ากทม.ต่อไป


บ่อยครั้งในการผ่าตัดที่ยากลำบาก


พี่บุญยงค์ก็จะนำตำราผ่าตัดที่ทันสมัยที่สุดมาเปิด แล้วดำเนินการไปตามขั้นตอนที่ตำราเขียนไว้ พี่บุญยงค์บอกว่าตนเข้ากรุงเทพเกือบทุกเดือนเมื่อไม่มีเวรในโรงพยาบาลและต้องไปหาซื้อตำราแพทย์ที่ทันสมัยที่สุดในสาขาวิชาต่าง ๆ โดยเฉพาะทางด้านศัลยกรรมทุกครั้ง


พี่บุญยงค์ได้บ่มเพาะให้การศึกษาทั้งทฤษฎีและปฏิบัติทางการแพทย์ในฐานะที่เป็นแพทย์ในพื้นที่ไกลปืนเที่ยงมากได้อย่างอุดมสมบูรณ์


ขอบคุณพี่บุญยงค์เป็นอย่างสูงในวิชาความรู้และแบบฉบับของอาจารย์แพทย์และแพทย์ผู้อุทิศตนให้กับประชาชนในพื้นที่ห่างไกลอย่างสุดชีวิตจิตใจ


ระลึกถึงพี่บุญยงค์ตลอดมาและตลอดไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่


สำหรับนายแพทย์บุญยงค์ วงศ์รักมิตร วัย 91 ปี หมอนักพัฒนา อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่าน ถึงแก่อนิจกรรม โดยกำหนดการบำเพ็ญกุศลและฌาปนกิจ

ณ ศาลาวัดภูมินทร์ อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน

วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2567

พิธีรดน้ำศพ เวลา 13.00 น.


วันที่ 14-18 ตุลาคม พ.ศ.2567

แสดงพระธรรมเทศนา และพิธีสวดพระอภิธรรม เวลา 19.30 น.


วันที่19 ตุลาคม พ.ศ.2567

พิธีฌาปนกิจ เวลา13.00 น.


ณ ฌาปนสถานลอมเชียงของ อ.เมืองน่าน จ.น่าน


"ขออนุญาตงดรับพวงหรีด "


ร่วมบริจาคทำบุญมอบให้องค์กรสาธารณกุศล

ชื่อบัญชี : บุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร

บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา

เลขที่บัญชี : 411-1-060405

พร้อมเพย์ : 085-0367401

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

ธิดา ถาวรเศรษฐ : อุดมการณ์การต่อสู้ของประชาชน จาก 14ตุลา ถึงปัจจุบัน รายการ แลไปข้างหน้าฯ EP.119

 


ธิดา ถาวรเศรษฐ : อุดมการณ์การต่อสู้ของประชาชน จาก 14ตุลา ถึงปัจจุบัน


ในรายการ แลไปข้างหน้ากับธิดา ถาวรเศรษฐ EP.119

ลิ้งค์ยูทูป https://www.youtube.com/watch?v=-8eTrfj-bgA


สวัสดีค่ะ ดิฉันก็ห่างหายไปนาน มีสถานการณ์การเมืองเกิดขึ้นมากมายหลายเรื่อง ส่วนมากก็ไปออกรายการอื่น ๆ ก็คิดว่าเราน่าจะกลับมาจัดรายการเหลียวหลังแลไปข้างหน้าเหมือนเดิม ก็คือเกี่ยวข้องกับสถานการณ์การเมือง ซึ่งสำหรับคนรุ่นดิฉันก็คือจากอดีตจนถึงปัจจุบัน นี่ก็คือเป็นภาระหน้าที่ บางคนก็เรียกแม่เฒ่านะ ก็คือแม่เฒ่าหรือคนแก่ ไม่เป็นไร ไม่มีปัญหา จากคนที่อยู่ในอดีตจะให้แง่คิดและมีประโยชน์อย่างไรกับในปัจจุบัน สำหรับดิฉันจะเน้นประเด็นการต่อสู้ทางการเมือง


ในวันนี้เนื่องจากเราเพิ่งผ่าน 14ตุลา มาหยก ๆ ผ่าน 6ตุลา มา คือ 6ตุลา มันอยู่ทีหลัง 14ตุลา 3 ปี แต่เวลาเรามาเรียงรำลึก 6ตุลา ก็มาก่อน ค่อนข้างที่จะมีคนร่วมคึกคัก เพราะประชาชนเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่ 14ตุลา ก็ดูจะเงียบ ๆ ไปสักหน่อย ที่จริงมันมีสาเหตุที่มา แต่วันนี้ดิฉันจะพูดเฉพาะประเด็นว่า การลุกขึ้นต่อสู้ของประชาชนในเมือง เราควรจะนับตั้งแต่ 14ตุลา16 เป็นต้นมา อุดมการณ์ของผู้ออกมาต่อสู้นั้น เป็นอย่างไร? ดิฉันอยากจะเน้นเฉพาะ “อุดมการณ์” เรื่องของผู้คน ถ้าพูดแล้วมันยาว เราก็คิดว่าวันนี้เราอยากจะพูดในเรื่องอุดมการณ์ก่อน


อันนี้ก็เหมือนกับเป็นการเล่าเรื่องและมีแง่คิด ในฐานะที่ดิฉันผ่านสถานการณ์ ไม่น่าเชื่อว่า 51 ปีมาแล้ว ก็ลองคิดถึงภาพว่าตอนนั้นดิฉันยังเป็นอาจารย์เด็ก ๆ เพิ่งจบปริญญาโทมา สถานการณ์ 14ตุลา16 มันก็เลยเปลี่ยนผันชีวิตเมื่อเราเข้าไปอยู่ในสนามของการต่อสู้และเห็นภาพการปราบปรามประชาชน มันก็เลยทำให้เราเสียใจมาก แล้วก็เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อชีวิตว่า คนอื่นเขาสละชีวิตเพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาชน เรายังมีชีวิตอยู่ เราเคยตั้งคำถามกับตัวเองมั้ยว่าเราอยู่เพื่ออะไร? ดิฉันตั้งคำถามนี้มาตั้งแต่มัธยม จึงไม่ได้สนใจมากในการที่จะแสวงหาผลประโยชน์สูงสุดของชีวิต เราก็เริ่มเปลี่ยนมา แต่ว่า 14ตุลา เป็นจุดพลิกผัน และดิฉันเชื่อว่าเป็นจุดที่มันเกิดอุดมการณ์ทางการเมืองของประชาชนเป็นจำนวนมาก


ถ้าพูดโดยสรุปของอุดมการณ์ 14ตุลา16 นั่นก็คือ การขับไล่เผด็จการ “ถนอม-ประภาส” อย่าลืมว่าหลังจากรัฐประหาร 2490 เรามีการปกครองโดยคณะทหารมาเป็นลำดับ ในเบื้องแรกยังเป็นคณะทหารที่เกี่ยวข้องกับคณะราษฎรมา นั่นก็คือ จอมพล ป. แต่เป็นจอมพล ป. ที่ไม่เอาอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ อาจารย์ปรีดีต้องลี้ภัย แต่อย่างไรก็ตามจอมพล ป. ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของคณะราษฎร


จากจอมพล ป. ก็มาเป็น จอมพลสฤษดิ์ แล้วก็มาเป็น ถนอม-ประภาส พอมาถึง ถนอม-ประภาส ลองคิดดูจาก 2490 มาจนถึง 2516 ก็เป็นเวลา 26 ปี ของการที่ถูกปกครองโดยเผด็จการทหาร มันเป็นเรื่องที่สุดแสนจะทนทานได้ แม้นว่าเผด็จการทหารบางระยะใช้พลเรือน ใช้นักวิชาการ ใช้ข้าราชการ โดยเฉพาะยุคจอมพลสฤษดิ์ หรือแม้กระทั่งจอมพล ป. หรือแม้กระทั่งจอมพลถนอมก็ตาม แต่อย่างไรก็ตามการวิเคราะห์การเมืองก็ยังเป็น การวิเคราะห์ความขัดแย้งหลัก คือเป็นความขัดแย้งระหว่างเผด็จการทหารที่ครองอำนาจกับประชาชน


เพราะฉะนั้น อุดมการณ์ของขบวนการ 14ตุลา16 ก็คือขับไล่เผด็จการทหารและต้องการรัฐธรรมนูญ นี่เป็นเรื่องที่เราต้องตราตรึงเอาไว้ แม้นว่าผู้คนในยุค 14ตุลา ระยะหลังจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่เราต้องยอมรับว่าที่ประชาชนมาร่วมเป็นจำนวนมาก ดิฉันว่าหลายแสน อาจจะเป็นร่วมล้าน เป็นครั้งที่ประชาชนมากมายแสดงอานุภาพ เพราะเขาได้ผนึกกำลังทั้งฝั่งจารีต ฝั่งจารีตก็เข้ามาร่วมนะ มีทั้งอนุรักษ์นิยม เสรีนิยม สังคมนิยม เพราะในช่วงนั้นมีการปฏิวัติเกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นการปฏิวัติปลดแอกจากจักรวรรดินิยม เป็นการปฏิวัติไปสู่สังคมนิยมอยู่เป็นจำนวนมาก


ดังนั้น เรียกว่าจอมพลถนอม จอมพลประภาส และแม้กระทั่งลูกชาย ก็กลายเป็นผู้ปกครองที่ขัดแย้งกับประชาชนเกือบหมดประเทศเลย อาจจะมีเครือข่ายในทหารจำนวนหนึ่ง แล้วก็มีเครือข่ายข้าราชการจำนวนหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม 26 ปี กระทั่งฝ่ายจารีตสุดโต่ง แม้กระทั่งอนุรักษ์นิยมเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็ออกมาต่อต้านเต็มที่เลย แล้วก็จริง ๆ ขบวนการนักศึกษาที่เป็นผู้นำศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) และคุณธีรยุทธ บุญมี จริง ๆ แล้วในที่สุดก็พิสูจน์ว่าเขาเป็นพลังของฝ่ายอนุรักษ์นิยม แต่ว่าในตอนนั้นมีเป้าหมายร่วมกันก็คืออุดมการณ์ขับไล่เผด็จการทหาร เรียกร้องรัฐธรรมนูญถือเป็นพลังก้าวหน้า


เพื่อให้ไปได้เร็ว ดิฉันก็จะมาถึง 6ตุลา19 ผ่านมา 3 ปี มันมีความเบ่งบานของเสรีภาพ สามารถมีการตั้งพรรคการเมืองสังคมนิยมก็ได้ เสรีนิยมก็ได้ พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคจารีตก็ได้รับเสียงข้างมากในการเลือกตั้ง จนกระทั่งตั้งรัฐบาลได้ของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช คุณคึกฤทธิ์ ก็ไปตั้งอีกพรรคหนึ่งเป็นพรรคกิจสังคม แล้วตอนนั้นก็ตั้งสภาสนามม้า นั่นก็คือเสรีภาพเบ่งบาน แต่ว่าอุดมการณ์ในการขับไล่เผด็จการทหารและต่อต้านการสืบทอดอำนาจยังดำรงอยู่


เนื่องจากมันอยู่ในยุคสงครามเย็น และชัยชนะของการปฏิวัติสังคมนิยมรอบข้าง มันจึงทำให้ฝ่ายจารีตและกระทั่งเสนาอำมาตย์จำนวนหนึ่งซึ่งเป็นฐานะผู้ปกครอง คือเปลี่ยนมือจาก “ถนอม-ประภาส” ก็มาเป็นเครือข่ายของจารีตอำนาจนิยม เป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน ดิฉันอยากจะเรียนว่า ถ้าใครวิเคราะห์ความขัดแย้งหลักไม่ถูกก็จะมีจุดยืนไม่ถูก เมื่อในขณะนั้นความจริงแล้ว “คู่ขัดแย้งหลัก” ก็ยังเป็น “ประชาชนกับผู้ปกครอง” ลองคิดดูว่ามีการเรียกร้องค่าแรงจาก 12 บาท ขึ้นมาได้ตั้งเยอะแยะ แล้วมีการตั้งกลุ่มอะไรต่าง ๆ มากมาย แล้วก็เกิดการแตกแยก มีการแทรกแซง จากการที่ฝ่ายทหารเข้ามาแทรกแซงในฐานะเป็น “รัฐซ้อนรัฐ” มันเริ่มตั้งแต่หลัง 14ตุลา16 เป็นต้นมา จึงมีการก่อม็อบของฝ่ายจารีตอำนาจนิยมเพื่อมาปะทะ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มกระทิงแดง กลุ่มลูกเสือชาวบ้าน กลุ่มนวพล กลุ่มอะไรต่าง ๆ แล้วก็มีสื่อของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สื่อยานเกราะ” เป็นต้น


อุดมการณ์ของ 6ตุลา19 ดิฉันมารวบรัดตรงที่อุดมการณ์เลย อุดมการณ์ของ 6ตุลา19 ก็ยังไม่ต้องการให้เผด็จการสืบทอดอำนาจ แต่คนที่ไปตีความว่าอุดมการณ์ของพวกนักศึกษาปัญญาชน ก็คือต้องการล้มสถาบัน เป็นคอมมิวนิสต์หมด ดิฉันเชื่อว่าสายจัดตั้งของพคท.ก็มีจำนวนหนึ่ง แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด เพราะว่ากระแสสังคมนิยมมันไม่ได้มาจากสายจัดตั้งเท่านั้น มันมาจากฐานะที่เป็นโลกาภิวัฒน์เลย ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม กัมพูชา ลาว ที่มีการปฏิวัติ แล้วก็การปฏิวัติของจีน ทั้งหมดเหล่านี้มันมีกระแสที่มาจากสากล แล้วมีกระแสที่มีการจัดตั้งฝ่ายซ้าย แต่จริง ๆ ขีดความสามารถของพรรคคอมมิวนิสต์ที่จะเข้ามาควบคุม ในทัศนะของดิฉันอาจจะต่างจากคนอื่น ก็คือน้อยมาก มีเฉพาะบางคน


ถามว่าผู้นำนักศึกษาจำนวนหนึ่งอยู่ในสายจัดตั้งทั้งหมดมั้ย ดิฉันว่าไม่ใช่ ที่สำคัญคือนักศึกษาที่มาร่วมชุมนุม ต่อให้มีสายจัดตั้งอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ให้แกนนำมีความสัมพันธ์ แต่ว่านักศึกษาที่อยู่ในสนาม มีอาวุธ 3-4 กระบอก นั่นเขาไม่เรียกว่าการต่อสู้ด้วยอาวุธ มันเป็นการป้องกันตัวแค่นั้น ยังไงก็ไม่ใช่การล้มล้างประเทศ แต่ด้วยความหวาดกลัวก็มีการจัดการรุนแรง อุดมการณ์ของ 6ตุลา19 ที่เขาไม่ยอมเลิกก็คือสืบทอดมาจาก 14ตุลา16 เพราะฉะนั้น 6ตุลา19 เป็นการวางแผนจากฝ่ายจารีตนิยม ก็คือ มันเป็นไปได้ยังไง ฝ่ายจารีตอำนาจนิยมรวมตัวกับประชาชน นักศึกษา เพื่อขับไล่เผด็จการ แล้วไปเรียกเขามา นี่เป็นการวางแผนเพื่อที่จะให้มีการก่อม็อบขับไล่ เพื่อจะได้ปราบปราม อันนี้ดิฉันเชื่ออย่างนั้น


แต่ว่าถ้าเรามาพูดเฉพาะเรื่องของอุดมการณ์ก็แสดงให้เห็นว่า อุดมการณ์ 6ตุลา19 นั้น ในความคิดของดิฉันนะ ไม่ใช่เป็นอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ แต่เป็นอุดมการณ์ที่ไม่ต้องการให้การต่อสู้ 14ตุลา16 เสียเปล่า ขับไล่ไปแล้วเอากลับมา ดังนั้น นักศึกษาและประชาชนที่ไม่ถูกจัดการโดยฝ่ายจารีตอนุรักษ์นิยม ก็ยังสามารถจัดชุมนุมได้ เขาทดสอบโดยเอาจอมพลประภาสมาก่อน แต่ว่าก็มีคนช่วยจัดการให้จอมพลประภาสกลับไป มีนักข่าวสายทหารยังมาตามดิฉันให้ไปดูเลยว่าเขาขึ้นเครื่องบินไปแล้ว แต่ก็มีหนังสือพิมพ์บางส่วนกลายเป็นว่าดิฉันไปเป็นพวกประภาสไปเสียอีก ก็มีเหมือนกัน สมัยนั้นก็ใส่ร้ายป้ายสีก็คือมีทั้งซ้ายสุดโต่ง ขวาสุดโต่ง รบกัน คนที่ไม่ได้เป็นทั้งขวาทั้งซ้ายก็เลยมีปัญหา ความจริงดิฉันบอกก็ได้เพราะว่าท่านเสียชีวิตไปแล้ว และก็เป็นมิตรอันดี คือ “คุณศรี อินทปันตี” คนที่เขียนว่า “ชนชั้นใดเขียนกฎหมาย ก็แน่ไซร้เพื่อชั้นนั้น” แต่คุณศรี อินทปันตี เป็นนักข่าวสายทหารด้วย แต่ก็มาบอกอาจารย์ว่า อาจารย์ช่วยไปดูเผื่อจะได้บอกให้คนรู้ว่าประภาสไปแล้วจริง ๆ เราก็เลยโดน กลายไปเป็นสายทหารไปด้วย


ในทัศนะดิฉัน เหตุการณ์ 6ตุลา19 เป็นการวางแผนของฝ่ายจารีตอำนาจนิยมในการจัดการกับนักศึกษาประชาชนเพราะรู้ว่าความจริงอุดมการณ์ปัญญาชนก็คือ เขาไม่ต้องการให้ทรราชกลับมา เพราะถ้ากลับมาก็แปลว่า 14ตุลา16 ผิดพลาดซิ! เพราะฉะนั้นมันเป็นไฟต์บังคับแล้วว่า ถ้า “ถนอม-ประภาส” กลับมา นักศึกษาต้องรักษาอุดมการณ์ นั่นก็คือ อุดมการณ์ 14ตุลา16 ขับไล่เผด็จการและการสืบทอดอำนาจ เป็นอุดมการณ์ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ 6ตุลา19 ถ้าสมมุติว่าเขาจะทำเพื่อล้มล้างหรือพูดตรง ๆ ว่าเป็นคอมมิวนิสต์นะ ทำไมจะต้องมาทำเอาในช่วงเวลาที่เขามีเหตุผลของการที่จะขับไล่จอมพลถนอม


ทีนี้มา พฤษภา35 ดิฉันจะต้องมาให้ไวหน่อย ไม่อย่างนั้นมันก็จะยาว เพราะถ้าพูดเรื่องผู้คน จะมาก แต่ตัวละครของ 14ตุลา16 กับตัวละคร 6ตุลา19 เป็นการนำโดยนักศึกษาปัญญาชน แล้วก็สมทบด้วยฝ่ายต่าง ๆ แต่ตอน 6ตุลา19 นักศึกษาค่อนข้างโดดเดี่ยว เพราะฝ่ายอนุรักษ์นิยมมีการจัดตั้งลูกเสือชาวบ้าน จัดตั้งกระทิงแดง จัดตั้งอะไรต่าง ๆ เพื่อที่จะมาจัดการกับนักศึกษา นักศึกษาเข้าไปอยู่ในที่จำกัด ตามหลักคุณทำความรุนแรงกับเขาไม่ได้ แต่นี่เป็นวิธีการที่พระบางรูป (กิตติ วุฑโฒ) บอกว่า “ฆ่าคอมมิวนิสต์แล้วไม่บาป” ก็มีการไปเตรียมจัดการด้วย หลายคนก็บอกว่าพระนี่ก็สัมพันธ์กับ CIA


พอมา พฤษภา35 คืออย่าลืมว่าปี 2534 มีการทำรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง การทำรัฐประหารปี 2534 เป็นการทำที่ถูกพวกจารีตตีความว่าเป็นความขัดแย้งระหว่าง จปร.รุ่น 7 กับรุ่น 5 ก็คือ พล.อ.สุจินดา คราประยูร (รุ่น 5) กับ พล.อ.จำลอง ศรีเมือง (รุ่น 7) เขามีความขัดแย้งอยู่ แต่ว่าคุณจำลองเขาได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯ แล้วเขาก็มีมวลชนจำนวนมาก การทำรัฐประหาร 2534 ตอนมีรัฐประหารก็ไม่มีใครไปต่อต้านนะ แต่พอมีการตระบัดสัตย์/เสียสัตย์ โดยที่ “สุจินดา” ต้องการสืบทอดอำนาจ ก็มีการออกมาต่อต้าน นำโดยพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็น พรรคความหวังใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้นนะ แล้วก็พรรคพลังธรรมของ จำลอง ศรีเมือง แล้วก็มีประชาชนกลุ่มต่าง ๆ โดยเฉพาะคนในกรุงเทพฯ ตอนนั้นบางคนก็เรียก “ม็อบมือถือ” มีความผิดหวังของคนเล่นหุ้นเพราะว่าหุ้นที่ขึ้นจากสูงลงต่ำเลย ตอนช่วงนั้นมีเพจเจอร์ มีมือถือใช้ติดต่อแล้ว


ก็เป็นเรื่องของพรรคการเมือง ของประชาชนชนชั้นกลาง ไปจนกระทั่งแรงงานนอกระบบ ชนชั้นล่าง เป็นการต่อสู้ แต่อุดมการณ์คืออะไร อุดมการณ์ก็คือไม่ยอมให้รัฐประหารสืบทอดอำนาจ คือคุณทำรัฐประหาร 2534 ไปแล้ว พอมามีเลือกตั้งอย่างรวดเร็ว คือเขายังฉลาด เอาคุณอานันท์ ปันยารชุน มาเป็นนายกรัฐมนตรี พอมีการเลือกตั้งอย่างรวดเร็ว มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตรา ไม่ต้องการนายกฯ คนนอก ก็ไม่สำเร็จ ตรงนั้นพอมีการตระบัดสัตย์ แปลว่า “สุจินดา” จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ นี่คือการสืบทอดอำนาจ


ดังนั้น พฤษภา35 ก็ยังเป็นอุดมการณ์แบบเดียวกับ 14ตุลา16 ก็คือขับไล่เผด็จการ ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ 3 เหตุการณ์ในการลุกขึ้นต่อสู้ของประชาชนเป็นอุดมการณ์เดียวกัน จนกระทั่งมาถึงยุคใหม่ หลังการลุกขึ้นสู้ของประชาชนปี 2535 เราได้รัฐธรรมนูญ 2540 ดูเหมือนประเทศมันจะรุ่งเรือง เหมือนกับดูดี แต่ในรัฐธรรมนูญ 2540 ดิฉันอยากจะเรียนว่า บทบาทสำคัญที่คุณอานันท์ ปันยารชุน มีส่วนร่วม คุณอานันท์ ปันยารชุน ก็เป็นอนุรักษ์นิยม แต่ไม่ใช่อนุรักษ์นิยมสุดโต่ง คือการเมืองเป็นอนุรักษ์นิยม แต่ความคิดเป็นเสรีนิยม แล้วก็ไม่ใช่เป็นพวกสุดโต่ง


เพราะฉะนั้นรัฐธรรมนูญ 2540 ในแง่สิทธิเสรีภาพมีมาก แต่มันได้สร้างองค์ประกอบที่ข้าราชการและชนชั้นนำสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการเมืองการปกครอง เพื่อควบคุมการเมืองที่มาจากประชาชนอีกที คือ “องค์กรอิสระ” เป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีศาลรัฐธรรมนูญ มันเกิดมาจากรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งมันควรจะเป็นเครื่องมือของประชาชน เพราะว่าให้วุฒิสมาชิกมาจากกรเลือกตั้ง ความหวังของเขาในขณะนั้น พรรคประชาธิปัตย์ต้องได้ประโยชน์ เพราะว่าเขาต้องการจะสลายพรรคการเมืองท้องถิ่น ที่ประเภทว่ามี 5 เสียงได้เป็นรัฐมนตรีช่วย 10 เสียงได้เป็นรัฐมนตรี อะไรอย่างนั้น อยากให้เป็นการเมืองของประเทศศิวิไลซ์ที่มีพรรคใหญ่ 2 พรรค เช่น อังกฤษ, สหรัฐอเมริกา เป็นต้น มันจะเป็นโอกาสทองของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล


แต่กาลมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น และวุฒิสมาชิกเขาก็มองว่าโอเคมาจากการเลือกตั้ง แต่คุณวุฒิของวุฒิสมาชิกมันสูงกว่าสส. ควรจะได้คนที่มีคุณภาพจำนวนหนึ่ง แล้วเอาวุฒิสมาชิกมาเลือกองค์กรอิสระ แต่ในที่สุด องค์กรอิสระและศาลต่าง ๆ ที่ขึ้นมาเป็นอิสระ อิสระจากอะไร ความหมายของเขาคือ อิสระจากนักการเมืองและรัฐบาล ในที่สุดมันก็เป็นอิสระจากประชาชน เพราะนักการเมืองมาจากประชาชน แต่ว่าตอนนั้นอาศัยว่าวุฒิสมาชิกมาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นก็คิดว่ามันคงจะดี ทำให้คนจำนวนหนึ่งรวมทั้งสายกรรมกรก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญปี 2540 แต่ว่าคุณอานันท์ ปันยารชุนและคณะ ก็พยายามไปทำงานกับพวก NGO ต่าง ๆ เพื่อที่จะให้มาโบกธงเขียวคือช่วยสนับสนุนการร่างรัฐธรรมนูญ


เพราะฉะนั้น รัฐธรรมนูญ 2540 จะว่าไปดูเหมือนดีที่สุด จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้เต็มที่ แต่ในที่สุดร่างของรัฐธรรมนูญ 2540 ก็ได้กลายเป็นเรื่องทอดสะพานที่ทำให้อำนาจรัฐใช้ร่างอันนี้ ก็คือมีองค์กรอิสระทั้งหลาย มาจัดการพรรคการเมืองและนักการเมืองอีกที จึงกลายเป็นสว.มาจากการแต่งตั้ง มีสนช.มาจากการแต่งตั้ง แล้วก็เลือกองค์กรอิสระ แล้วก็พวกศาลที่แยกไปจากศาลธรรมดาต่าง ๆ เอามาจัดการ ไม่ว่าจะเป็น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ศาลรัฐธรรมนูญ อะไรต่าง ๆ มาควบคุมนักการเมืองอีกที ก็เรียกว่าฝ่ายจารีตสามารถปรับใช้รัฐธรรมนูญ 2540 ให้เป็นประโยชน์หลังจากการทำรัฐประหาร


คำถามว่า รัฐประหารปี 2549 กับรัฐประหารปี 2557 การต่อต้านยังสืบทอดอุดมการณ์ 14ตุลา16 หรือเปล่า? ในทัศนะของอาจารย์ สถานการณ์ในปี 2549 ซึ่งพรรคไทยรักไทยประสบความสำเร็จอย่างมาก ในการที่สามารถเรียกว่า บางคนเขาใช้คำว่า “ทำการตลาด” แต่หมายถึงว่าทำให้ประชาชนสนับสนุนเป็นจำนวนมากทั้งที่เป็นพรรคใหม่ เอาชนะพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเคยครองอำนาจน่าจะได้ยาวนาน เพราะในสมัยก่อนถือเป็นพรรคที่ต่อต้านทหาร จึงครองใจประชาชนจำนวนหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคตัวแทนฝ่ายอนุรักษ์นิยม


มันจึงกลายเป็นว่าหมดยุคสงครามเย็น หมดยุคคอมมิวนิสต์ มันก็เลยกลายเป็นว่าจารีตอำนาจนิยมมาเป็นศัตรูกับนายทุน มันตลกมากเลยนะ เพราะว่าฝ่ายจารีตอำนาจนิยม พอหลังจากปี 2535 สิ่งที่เขาขยับก็คือ แทนที่จะแยกกันกับทหาร ก็กลายเป็นว่าผนึกกำลังร่วมได้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้โครงสร้างชั้นบนของสังคมไทย การควบคุมประเทศยังอยู่ในโครงข่ายของจารีตอำนาจนิยม เพราะเขาสามารถผนึกกำลังทั้งพลเรือน ทหาร ทั้งกระบวนการยุติธรรม ทั้งกองทัพ ให้อยู่ในเครือข่ายเดียวกันเพราะเขามีบทเรียนว่า หลัง 2475 กองทัพแยกไปจากจารีต แต่ว่าหลังจาก 2490 เป็นต้นมา แม้นตอนต้นจะรวมกับจารีตขึ้นต่อได้โดยเฉพาะยุคจอมพลสฤษดิ์ แต่ว่าพอมาตอนหลัง ๆ เขาควบคุมไม่ได้ เพราะฉะนั้น โครงสร้างของจารีตอำนาจนิยมแข็งแกร่งเพื่อต่อต้าน กลายเป็นว่าเพื่อต่อต้านนักการเมืองหรือพรรคการเมืองที่ได้รับการสนับสนุนท่วมท้นจากประชาชน


มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องสงครามเย็น แต่กลายเป็นว่าเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้น เขากลายเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน เพราะพรรคการเมือง/นักการเมือง มาจากประชาชน จนถึงบัดนี้ยังมีการยุบพรรค เพิ่งยุบพรรคไปหยก ๆ เพิ่งถอดนายกฯ ไปหยก ๆ เขาคิดว่าเขาทำสงครามกับคุณทักษิณ ทำสงครามกับคุณธนาธร แต่จริง ๆ ไม่ใช่ นี่เป็นความขัดแย้งระหว่างผู้มีอำนาจกับประชาชน เพราะว่าเราอยู่ในระบอบประชาธิปไตย นี่ไม่ใช่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การลุกขึ้นสู้ของประชาชนก็คือไม่ต้องการเผด็จการ รักประชาธิปไตย และต้องการคืนอำนาจให้กับประชาชน มันยังอยู่ในระบอบนี้


ถามว่าอุดมการณ์ 14ตุลา16 พอมาถึงปี 2549 มันยังเหมือนเดิมมั้ย? ประชาชนแบ่งแล้วนะคะ ส่วนหนึ่งก็คือปัญญาชนที่แท้ ๆ เขาค่อนข้างเป็นเสรีนิยมแต่เป็นอนุรักษ์นิยม ก็ยินดีที่จะสนับสนุนการทำรัฐประหารปี 2549 ทั้ง ๆ ที่ปี 2549 นั้น ขอคืนพระราชอำนาจให้มีนายกรัฐมนตรีมาจากพระราชทาน ดังนี้เป็นต้น พอมาถึงจุดนี้ประชาชนจำนวนหนึ่งถึงจะรู้ตัว ก็ถอยออกมา แต่ว่าคนจำนวนมากรวมทั้งดิฉันด้วย ตั้งแต่วันที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล คาดหัว เริ่มก่อม็อบ เราก็รู้แล้วว่าอันนี้ ปัญญาชนที่ไปร่วม ถ้าจะเรียกว่าเป็นปฏิกิริยาก็ได้ ก็คือเป็นปฏิปักษ์กับประชาชน


ถามว่าเราเลือกอะไร ดิฉันเลือกสืบทอดอุดมการณ์จาก 14ตุลา16, 6ตุลา19, พฤษภา35 มาจนถึง 2549 เพราะฉะนั้นปัญญาชนจึงแบ่งจำนวนหนึ่งก็คือ ส่วนหนึ่งบอกว่ารัฐประหารเป็นความจำเป็นเพราะตัวร้ายกว่าก็คือนายทุนสามานย์หรือคุณทักษิณ ชินวัตร แต่ดิฉันไม่คิดอย่างนั้น ดังนั้นอุดมการณ์ 14ตุลา16, 6ตุลา19, พฤษภา35 จากปัญญาชน จากพรรคการเมือง/นักการเมือง ก็ลงมาสู่ประชาชนและมาสู่รากหญ้า ปัญญาชนจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีใน 14ตุลา16 แม้กระทั่งเข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ก็ยังไม่ได้รักษาอุดมการณ์ 14ตุลา16 ในทัศนะดิฉัน ก็คือสนับสนุนการทำรัฐประหารว่าเป็นสิ่งจำเป็น


แต่ว่าคนจำนวนมากที่ต่อต้านรัฐประหารปี 2549 นั่นก็คือเป็นการสืบทอดอุดมการณ์ 14ตุลา16 นั่นคือเหตุผลว่าทำไมดิฉันถึงมาอยู่กับ “คนเสื้อแดง” ซึ่งตรงนี้ การมาอยู่กับคนเสื้อแดงมันต่างจากยุคสมัยของ 14ตุลา16, 6ตุลา19, พฤษภา35 ซึ่งเป็นเหตุการณ์รวดเร็วแล้วก็เลิก ซึ่งอันนี้มันเป็นการต่อสู้ยืดเยื้อ เพราะว่ารัฐประหาร 2549 นี้ กระทำต่อประชาชนและพรรคการเมืองอย่างต่อเนื่อง มันกลายเป็นเรื่องที่ยืดเยื้อ แล้วมันก็เลยทำให้แบ่งคนเป็นเหลืองแดง เป็นพวกจารีตอำนาจนิยม VS กับพวกเสรีประชาธิปไตย


แต่ในทัศนะดิฉัน คุณทักษิณจะเลวหรือดียังไง ต้องเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม แต่คุณจะยอมให้การรัฐประหารมาจัดการ ดิฉันไม่เห็นด้วย ตอนนี้ก็เหมือนกัน ต่อให้คุณทักษิณข้ามขั้วไปแล้ว พรรคเพื่อไทยข้ามขั้วไปแล้ว แล้วถ้ามีการรัฐประหาร เราจะเห็นด้วยมั้ย อาจารย์ไม่เห็นด้วยหรอก เพราะว่าอย่างที่บอก ยังไงเขาก็ได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชน แปลว่าจุดยืนดิฉันไม่เคยเปลี่ยน จาก 14ตุลา16 มาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน


มาจนถึงรัฐประหารปี 2557 มันก็เป็นความต่อเนื่องจากปี 2549 เพราะเขาคิดว่ามันไม่ได้ผล ก็ต้องมาทำ 57 เพื่อให้ได้ครองอำนาจ รักษาอำนาจโดยที่ตัวเองไม่ถูกเช็คบิลจากคดีความปี 2553 และแม้กระทั่งเรื่องตากใบ ทั้งที่ตากใบก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคคุณทักษิณ ชินวัตร แต่ดิฉันอยากจะบอก ประเทศนี้ องค์กรของทหารไม่ว่าจะเป็นยุคต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ หรือ กอ.รมน. หรือกระทั่งในกองทหารปัจจุบัน เขาเป็น “รัฐซ้อนรัฐ” นะ เวลาเขาทำอะไร ตัวนายกฯ หรือรัฐบาล บางทีไม่รู้เรื่อง ดิฉันไม่ได้ไปปกป้องรัฐบาลคุณทักษิณ แล้วดิฉันอยากให้คดีตากใบเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทุกคดีเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปี 2553 แต่การทำรัฐประหารปี 2557 เป็นการปิดประตูกระบวนการยุติธรรมที่จะคืบคลานไปถึงผู้สั่งการ คืบคลานไปถึงนายทหารผู้ปฏิบัติการ รวมทั้งคดีตากใบด้วย มันก็หยุด ของคนเสื้อแดงก็หยุด


มาถึงยุคใหม่ของปัญญาชน 2563 เป็นต้นมา ดิฉันคิดว่านะ ประชาชนส่วนที่เข้าใจ ปัญญาชนส่วนที่เข้าใจ โดยเฉพาะมาปี 2563 เราจะเห็นว่านักศึกษาปัญญาชนออกมา การออกมาของนักศึกษาปัญญาชน โดยเฉพาะช่วงแรกเขาบอกขับไล่ “ประยุทธ์” ดิฉันจำได้ว่ามันมีคำพูดอะไรนะ ฟังแล้วมันอาจจะไม่เพราะหูเท่าไหร่ในตอนที่เป็นคำขวัญเวลาเขาออกมาปี 2563 ถ้าคนฟังจำได้ก็จะมีเสียงขับไล่ ก็คือขับไล่แล้วไม่ต้องการให้สืบทอดอำนาจ ส่วนประเด็นอื่น ๆ มันก็พ่วงเข้ามา แม้กระทั่งมีการเสนอให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ แต่หลัก ๆ ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นเลย “ประชาชนปลดแอก” เราจะได้ยินเสียงเวลามีม็อบที่ขับไล่ลุงตู่ออกไป ในทัศนะดิฉันก็คือ อุดมการณ์ขับไล่เผด็จการ ต่อต้านการสืบทอดอำนาจของผู้ครองอำนาจจากการทำรัฐประหาร แล้วคืนอำนาจให้ประชาชน มันยังมาต่อเนื่อง


แน่นอน! ปัญญาชนในช่วงปี 2549 จำนวนหนึ่งกลายไปเป็นเสื้อเหลืองเกือบหมดเลย ขนาดพรรคคอมมิวนิสต์ฝ่ายซ้ายก็ยังเป็นเสื้อเหลือง เพราะว่า ในทัศนะดิฉันนะ เขาไม่รู้ว่าอะไรคือความขัดแย้งหลัก ใครคืออำนาจจริงของการปกครองประชาชน การปกครองประชาชน ถามว่าคุณทักษิณมีอำนาจอะไรต่อให้เป็นนายกฯ ยาวนาน ไม่งั้นจะโดนรัฐประหาร แล้วโดนจัดการซ้ำแล้วซ้ำอีกหรือ? แล้วนี่ต่อไปนี่เป็นคุณอุ๊งอิ๊ง คุณอุ๊งอิ๊งก็ไม่ได้มีอำนาจ ยังไม่รู้ว่าจะไปวันไปพรุ่งเมื่อไหร่ ความขัดแย้งหลักก็คือยังเป็นความขัดแย้งระหว่างผู้ถือครองอำนาจที่แท้จริง แล้วมาจัดการกับประชาชน พูดตรง ๆ ว่า “กดขี่” มันอาจจะปราบปรามด้วยอาวุธ อาจจะจัดการด้วยการใช้กฎหมาย เครื่องมือสองอย่างนี้ก็ทรงพลังอย่างยิ่ง แล้วสามารถแทรกแซงกระบวนการทั้งข้าราชการพลเรือน ข้าราชการทหารได้


อย่างคดี “เสื้อแดง” นะ พอหลังรัฐประหาร 2557 ถูกฟรีซแช่แข็งเลย โยนใส่ตู้แช่แข็ง หาไม่เจอแล้ว อยู่ลึก เหมือนกับตู้แช่แข็งบ้านอาจารย์ล่ะมั้ง เวลาจะหาอะไรเนี่ย คือแช่แข็งไปเลย เพื่อไม่ต้องการที่จะให้ไปกระทบกระเทือน แล้วทำให้ต่อไปอนาคตจะฆ่าปราบปรามประชาชนง่าย ๆ ไม่ได้อีก ถ้าเขาทำถูกมาตลอด มันไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องพยายามจะรักษาอำนาจ แต่ถ้าเขาทำไม่ถูก เขาก็ต้องพยายามจะรักษาอำนาจไว้เพื่อที่จะไม่ให้ใครมาจัดการเขาได้


เพราะฉะนั้น ในทัศนะดิฉัน 14ตุลา16, 6ตุลา19, พฤษภา35, รัฐประหาร 19 กันยายน 2549, รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 การลุกขึ้นมาต่อสู้ของประชาชนต่อการรัฐประหาร มันยังเป็นอุดมการณ์เดียวกัน ดังนั้น ดิฉันก็จะจบได้แล้วล่ะ มันคงจะยาวก็คือ ดิฉันมาอยู่ในฐานะของการร่วมมือกับพรรคการเมืองที่ถูกกระทำ จนกระทั่งเราเกิดเป็น นปก. แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ เป็น นปก. แล้วจนกระทั่งมาเปลี่ยนเป็น แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ บางคนบอกแห่งชาติซิเพราะมันเยอะ รวมกัน ความจริงอาจารย์ไม่ชอบคำว่า “แห่งชาติ” แต่ว่ามันคือแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ ชื่อมันก็คืออุดมการณ์มาตั้งแต่ 14ตุลา16 อาจารย์ต้องทิ้งเพื่อนคนดัง ๆ หลายคน เอาล่ะพูดได้ตั้งแต่ ธีรยุทธ บุญมี, ประสาร มฤคพิทักษ์ หรือคนจำนวนมากซึ่งเขาก็ดูยิ่งใหญ่นะ และแม้กระทั่งคนที่เคยคบหาสมาคมก็ไม่ได้เจอกันเลยอย่างคุณอานันท์ ปันยารชุน อาจารย์สุลักษณ์ ก็อาจจะเจอกันบ้างเพราะเขาเป็นผู้ใหญ่ เราก็ยังให้ความเคารพ เขาก็ยังมีข้อดี ก็คือรักความจริง รักความยุติธรรม และรักคนรุ่นใหม่ นี่พูดถึงคนสองคน


แต่ในแนวทางตั้งแต่ตอนต้น กลุ่มที่เป็นเสื้อเหลืองทั้งหลาย NGO ที่เป็นเสื้อเหลืองทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ยังมองหน้ากันไม่สนิทเลย จนกระทั่งมาบัดนี้ มันมีการที่นปช.ก็ล่มสลาย ก็ต้องพูดตรง ๆ ว่าเมื่อไม่มีการประชุม ไม่มีการนำ องค์กรนำก็ล่ม เพราะคน ๆ เดียวทำอะไรไม่ได้ เมื่อเราถามประชาชน จริง ๆ ประชาชนไม่อยากให้เลิกนปช. แต่อยากให้มีการเลือกตั้งกันใหม่ แต่มันผ่านไปแล้ว มันจบ แต่กลายเป็นว่าเราเสนออย่างนี้ อดีตประธานนปช. คุณจตุพร พรหมพันธุ์ โกรธ!!! อาจารย์เป็นคนเดินแนวทางมวลชนนะ มีสื่อเขาถาม บอกเดี๋ยวต้องไปถามประชาชน แล้วอาจารย์ก็เป็นคนตรง ๆ นะ ก็ต้องบอกว่า เขาไม่อยากให้ยุบ เขาอยากให้ปรับองค์กรนำใหม่ ไม่ได้บอกว่าให้ไล่ประธานด้วยซ้ำ จริง ๆ เราก็คิดเห็นตรงกันว่าหมดเวลาแล้ว ก็ไปทางหนึ่ง และรวมทั้งส่วนหนึ่งซึ่งเป็นสายพรรคการเมือง


อยากจะบอกว่าตั้งแต่เป็นประธานนปช.มา นอกจากไม่ได้รับการสนับสุนจากแกนนำสายพรรคการเมืองเท่าที่ควร ยังถูกด่าเยอะด้วย ถ้าไปดูการ์ตูน อรุณ วัชระสวัสดิ์ มงกุฎหนามกับทาสีแดงไปจนสุดห้อง แต่อาจารย์คิดว่าไม่เป็นไร เพราะอะไร เพราะอาจารย์ยังยืนอยู่กับอุดมการณ์ 14ตุลา16 ไม่เอาเผด็จการ ไม่เอารัฐประหาร ไม่ว่าอะไรมาแลกก็ไม่ได้ ยังยืนหยัดตรงนี้ ไม่ต้องการการสืบทอดอำนาจ ดังนั้น มาจนถึงบัดนี้ มันมีการประนีประนอม มียุทธวิธี มีการข้ามขั้ว อาจารย์ก็ต้องยังยืนอยู่อย่างเดิม เพราะนี่คือ 51 ปีของการต่อสู้ และอาจารย์เชื่อว่าคนรุ่นใหม่ ประชาชนรวมทั้งคนเสื้อแดงจำนวนมากก็ยังสืบทอดรักษาอุดมการณ์นี้ ตัวดิฉันเองยังยืนหยัดอยู่ตรงนี้แม้นจะมีความผูกพันกันในฐานะมิตรร่วมรบก็ตาม แต่หลักการและอุดมการณ์นั้นเป็นสิ่งที่มีค่าที่เราต้องส่งต่อเพื่อให้คนรุ่นใหม่


ฉะนั้นวันนี้อยากจะยืนยันว่า 51 ปีของ 14ตุลา16 อุดมการณ์ในการขับไล่เผด็จการ อุดมการณ์ในการรักประชาธิปไตย มันยังต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน บางคนไม่เอาแล้ว แต่ขอให้รู้ด้วยว่าคนจำนวนหนึ่งนั้น เขายินดีเสียสละชีวิต จนกระทั่งเขาต้องสูญเสียชีวิตไป ไล่มาตั้งแต่ 14ตุลา16 ไม่รู้กี่ร้อยศพแล้วจนถึงปัจจุบัน แล้วคนที่เป็น ๆ ที่ยังรักษาอุดมการณ์เพราะนึกถึงคนที่เสียสละเหล่านี้ที่เขาได้ตายไป แต่เขายังมีชีวิตอยู่ ก็ต้องทำงานสืบทอดอยู่ มันก็มี


แต่คนที่ไม่ได้คิดอะไร โดยเฉพาะแกนนำในส่วนที่มาจากสายการเมือง ก็คิดต่างและไม่ได้สนับสนุนแม้กระทั่งอาจารย์จะเป็นประธานนปช.มาหลายปีแล้วก็ตาม แล้วก็พยายามที่จะทำให้มวลชนเสื้อแดงมีความมั่นคงทั้งแนวทางนโยบาย ทั้งในการจัดตั้ง แต่ยังไงดิฉันก็อยากภาคภูมิใจว่า จาก 14ตุลา16 มาจนถึงปัจจุบัน อุดมการณ์ในการต่อต้านเผด็จการ ต่อต้านการสืบทอดอำนาจนั้น มันได้ดำรงอยู่และมันได้ขยาย แน่นอน มีคนมาแล้วมีคนไป อย่าว่าแต่คนรุ่นหลังเลย คนรุ่น 14ตุลา16 ที่เราต้อง “หันหน้าคนละทาง สร้างดาวคนละดวง” ก็มี เราก็ผ่านมาแล้ว


อยากให้กำลังใจคนที่ยังยึดมั่นในหลักการและแนวทางนี้อยู่ว่า ขณะนี้มีคนส่วนใหญ่ยังสืบทอดอุดมการณ์ตั้งแต่ 14ตุลา16 เป็นต้นมา และอยากให้คนเห็นต่างเข้าใจด้วยว่า คนที่เขาไม่ได้อยู่เพื่อผลประโยชน์ของตน และคนที่ได้ตายไปแล้วบนถนนเส้นนี้เพื่อให้อำนาจเป็นของประชาชน มีอยู่จริงนะ!!! ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ และไม่ใช่นักฉวยโอกาสใด ๆ ด้วย ก็ให้กำลังใจคนรุ่นใหม่และคนที่ยังมีอุดมการณ์ในการต่อต้าน เพราะว่าคุณไม่ได้โดดเดี่ยว อาจารย์เชื่อว่ามีเป็นจำนวนมาก มีตั้งแต่คนแก่ จนกระทั่งคนหนุ่มสาว วันนี้ลาไปก่อนนะคะ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ธิดาถาวรเศรษฐ #อุดมการณ์14ตุลา16 #ต่อต้านเผด็จการ #ต่อต้านรัฐประหาร

นายกฯ ย้ำทุกเรื่องตัองคุยกัน หลังบางพรรคร่วมรัฐบาลไม่เห็นด้วย “รายงานนิรโทษกรรม” ปัดตอบปม ‘ธีรยุทธ’ ยื่นศาลรัฐธรรมนูญร้อง ‘ทักษิณ-เพื่อไทย’ ล้มล้างการปกครอง

 


นายกฯ ย้ำทุกเรื่องตัองคุยกัน หลังบางพรรคร่วมรัฐบาลไม่เห็นด้วย “รายงานนิรโทษกรรม” ปัดตอบปม ‘ธีรยุทธ’ ยื่นศาลรัฐธรรมนูญร้อง ‘ทักษิณ-เพื่อไทย’ ล้มล้างการปกครอง


วันที่ 16 ตุลาคม 2567 เวลา 10.45 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงาน ภายหลังน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานงานแถลงข่าว Kick Off เปิดตัว โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล ก่อนเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า ไม่ได้หยุดยืนให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่รออยู่ โดยสื่อมวลชนพยายามสอบถามกรณีพรรคร่วมรัฐบาลไม่เห็นด้วยกับผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)นิรโทษกรรมตรงนี้จะต้องมีการพูดคุยกันอย่างไร ว่า ทุกเรื่องต้องพูดคุยกัน


เมื่อถามว่าจะนำเรื่องดังกล่าวไปคุยกันในวงการรับประทานอาหารร่วมกันกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลในวันที่ 21 ต.ค. นายกฯ หันมาตอบว่าดีไหมค่ะ”


เมื่อถามต่อว่า นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอิสระ ยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯและพรรคเพื่อไทย เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิ์และเสรีภาพอันนำไปสู่การล้มล้างการปกครอง นายกฯ กล่าวว่า “ ไม่เข้าใจคำถามนักข่าว งง เอ๊ะ! ใครนะ ใครฟ้องนะ” ก่อนเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #รัฐบาลแพทองธาร #นิรโทษกรรมประชาชน

วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2567

”ตากใบต้องไม่เงียบ“ ตัวแทน 49 เครือข่าย อ่านแถลงการณ์ หน้าหอศิลป์ กทม. เร่งนำผู้ต้องหามอบตัวสู้คดี ยุติการลอยนวลพ้นผิด ชี้หากคนผิดไม่ได้รับโทษ อาจส่งผลต่อกระบวนการการสร้างสันติภาพในชายแดนใต้

 


”ตากใบต้องไม่เงียบ“ ตัวแทน 49 เครือข่าย อ่านแถลงการณ์ หน้าหอศิลป์ กทม. เร่งนำผู้ต้องหามอบตัวสู้คดี ยุติการลอยนวลพ้นผิด ชี้หากคนผิดไม่ได้รับโทษ อาจส่งผลต่อกระบวนการการสร้างสันติภาพในชายแดนใต้


เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 67 เวลา 19.00 น. ที่หน้าหอศิลป์ กทม. เขตปทุมวัน ตัวแทน 49 เครือข่าย นำโดย นายมูฮัมหมัดกัสดาฟี กูนา จากกลุ่ม The Patani พร้อมประชาชนประมาณ 60 คน ได้จัดกิจกรรมอ่านแถลงการณ์ ตากใบต้องไม่เงียบ 


นายมูฮัมหมัดกัสดาฟี กูนา จากกลุ่ม The Patani เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า วันนี้มาในฐานะเครือข่ายที่ชื่อว่า “ตากใบต้องไม่เงียบฃโดยพวกตนเดินทางมาไกล ประมาณ 1,000 กิโลเมตร เพื่อสื่อสารให้คนทั้งประเทศได้รับทราบว่าปัญหาดังกล่าวตากใบนั้น อยากให้ทุกคนรับทราบและการรับรู้ถึงความยุติธรรม เราจึงต้องเรียกร้องร่วมกัน เพราะการสร้างมาตรฐานด้วยความเชื่อมั่นของกลไกความยุติธรรม ตนจึงคิดว่ากรุงเทพจึงเป็นเสียงที่ดังกว่า แต่เราก็ไม่ได้ทิ้งพื้นที่ 


วันนี้จึงมาสื่อสารให้คนใจกลางกรุงเทพว่าตากใบจะต้องไม่เงียบ แม้ว่าจะใกล้หมดอายุความอีก 10 วัน ประเด็นนี้ตนจึงอยากจะสื่อสารเพราะว่าผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับผลกระทบ พวกเขายังอยู่ในความทรงจำที่ไม่ควรเกิดขึ้น และสิ่งเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ความจริงจังในความเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหรือจำเลยที่เป็นชนชั้นนำของประเทศ จำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ถ้ารัฐบาล นำผู้ต้องหามาลงโทษไม่ได้ ก็จะส่งผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหาสันติภาพ พวกตนอยากเห็นว่ารัฐบาลจะต้องมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้และนำผู้ต้องหามาลงโทษให้ได้ 


พวกตนหวังว่าจำเลยจะเข้าสู่กลไกกระบวนการยุติธรรมและกลไกศาล เพื่อสร้างบรรทัดฐานและความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าการกระทำหรืออาชญากรรมโดยรัฐ รัฐจะต้องจริงจังในการแก้ไขปัญหา รวมถึงการสร้างสันติภาพ ในชายแดนใต้ด้วย


เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จากกรณี พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี ลาออกจากพรรคเพื่อไทยมีความคิดเห็นเช่นไร นายมูฮัมหมัดกัสดาฟี กูนา กล่าวว่า พวกตนได้ติดตามการทำงานของรัฐบาลตลอดเวลา ตนจึงเห็นว่า สส.ที่เป็นฝั่งรัฐบาลได้ลาออก ตนมองว่าการลาออกไม่ใช่การตัดความรับผิดชอบ ซึ่งคนของพรรคก็ต้องมีความรับผิดชอบและต้องมีการรับผิดชอบในกระบวนการยุติธรรม ตนอยากให้คนทั้งประเทศเรียกร้องให้จำเลยทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แม้กระทั่งฝ่ายการต่างประเทศหรือนายกรัฐมนตรีก็ต้องสื่อสารเรียกความเชื่อมั่นให้ได้ ซึ่งหมายถึงการเรียกความเชื่อมั่นในการสร้างสันติภาพในพื้นที่ด้วย


ตนอยากให้กรณีตากใบเป็นบทเรียน การสูญเสียโดยโศกนาฏกรรมของรัฐ ไม่ควรเกิดขึ้น ในแต่ละยุคแต่ละสมัย สิ่งเหล่านี้ขอให้เคสตากใบเป็นกรณีกรณีสุดท้ายของประเทศเราเราคิดว่าไม่ควรเกิดขึ้น และหากมันเกิดขึ้นแล้วก็ควรจะมีนำคนผิดมาลงโทษอย่างจริงจัง เพื่อสร้างบรรทัดฐานในคนไทยประชาธิปไตยและกระบวนการยุติธรรม


ถ้าหากคดีหมดอายุความและไม่สามารถนำคนผิดมาลงโทษได้นั้นทางแกนนำจะทำอย่างไรต่อไป นายมูฮัมหมัดกัสดาฟี กูนา กล่าวว่า ตนมองในฐานะส่วนตัว ถึงแม้ว่าคดีความหมดไปรายชื่อผู้เสียชีวิตจะเรื่องราวตากใบจะไม่สูญหายจากความทรงจำในพื้นที่และสิ่งเหล่านี้มันจะอยู่กับคนที่นี่เพื่อสร้างรอยแผล และมันจะเกิดปัญหาความขัดแย้งในอนาคตต่อไป สิ่งเหล่านี้รัฐบาลต้องจริงจังสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศการทำกิจกรรมในวันนี้ มีการนำรายชื่อผู้เสียชีวิต จำนวน 85 คน มาไว้วาง้ป็นสัญลักษณ์ สันติภาพ จากนั้น น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือ มายด์ ได้รับหน้าที่เป็นพิธีกรเชิญชวนให้ประชาชนที่มาร่วมกิจกรรมวางดอกไม้บนรายชื่อผู้เสียชีวิต จากนั้นเข้ากลุ่มได้มีการอ่านแถลงการณ์ 49 องค์กร ก่อนจะยุติการชุมนุมในเวลา 19:30 น. 


สำหรับ แถลงการณ์ "ตากใบต้องไม่เงียบ"

ฉบับที่ 1 วันที่ 15 ตุลาคม 2567


จากเหตุโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2547 ถือเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงโดยรัฐที่ร้ายแรงครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ปาตานีหรือจังหวัดชายแดนภาคใต้และเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์การสลายการชุมนุมทางการเมืองของประเทศไทยที่มีประชาชนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ซึ่งกรณีตากใบมีผู้เสีย ชีวิตรวมทั้งสิ้น 85 คน อันส่งผลกระทบอย่างมากต่อความรู้สึก ความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมและความเชื่อใจในระบบการเมืองไทยของผู้คนในพื้นที่ปาตานี/จังหวัดชายแดนภาคใต้


โศกนาฏกรรมตากใบเหลือเวลาอีกเพียง 10 วันจะครบรอบ 20 ปี นั่นหมายถึงคดีความตากใบกำลังจะสิ้นสุดอายุความโดยที่ไม่มีผู้ใดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่อย่างไรก็ตามในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาผู้เสียหายในเหตุการณ์สลายการชุมนุมตากใบจำนวน 48 คนได้พยายามรวบรวมความกล้าหาญท่ามกลางความยากและซับซ้อนในการทวงคืนความยุติธรรมต่อเหตุการณ์ที่มีอำนาจรัฐเป็นผู้เกี่ยวข้อง ในบริบทปัญหาความขัดแย้งรุนแรงในพื้นที่ เพื่อเข้าไปร่วมแจ้งความดำเนินคดีอาญาต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจต่อเหตุการณ์สลายการชุมนุน ณ เวลานั้น


เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2567 ศาลจังหวัดนราธิวาสได้ประทับรับฟ้องจำเลยจำนวน 7 คน แต่จำเลยทั้ง 7 คนไม่ได้มาตามนัด ศาลจึงพิจารณาออกหมายจับ


ต่อมาศาลจังหวัดนราธิวาส มีนัดสอบคำให้การในวันที่ 15 ตุลาคม 2567 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ผู้เสียหายจะเข้าถึงความยุติธรรม ปรากฏว่าจำเลยทั้งหมดไม่ได้มาตามนัด ศาลจังหวัดนราธิวาสจึงไม่สามารถดำเนินการพิจารณาคดีต่อได้ ศาลจังหวัดนราธิวาส จึงนัดหมายอีกครั้งในวันที่ 28 ตุลาคม 2567 เพื่อสรุปคดีหรือลงคำสั่งศาลในครั้งสุดท้าย


ผู้เสียหายและพี่น้องประชาชนรู้สึกผิดหวังต่อรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและตั้งคำถามถึงความพยายามในการจับกุมจำเลยทั้งหมดมายังศาลจังหวัดนราธิสส หากคดีต้องสิ้นสุดอายุความลงในวันที่ 25 ตุลาคม 2567 นี้ โดยไม่สามารถจับกุมเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำต่อประชาชน จะส่งผลด้านลบในระยะยาวต่อกระบวนการสร้างสันติภาพในพื้นที่ปาตานีหรือจังหวัดชายแดนภาคใต้รวมถึงเป็นบรรทัดฐานสร้างวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดในสังคมไทยภาพรวม


เครือข่าย "ตากใบต้องไม่เงียบ" ขอร่วมเรียกร้องให้รัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเร่งดำเนินการประสานงานทางการทูตต่อประเทศญี่ปุ่น ประเทศอังกฤษและประเทศ อื่นๆที่คาดว่าจำเลยหลบหนีการจับกุม เพื่อนำตัวกลับมาดำเนินคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ทันก่อนคดีจะสิ้นสุดอายุความ รวม ถึงขอให้รัฐบาลเพิ่มความพยายามในการดำเนินการเพื่อคืนความยุติธรรมให้ผู้เสียหายจากโศกนาฏกรรมตากใบต่อไป


"ยุติอาชญากรรมรัฐ ยุติวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด"


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คดีตากใบ  #พิศาล #20ปีคดีตากใบ




“รอมฎอน” ร่วมสังเกตการณ์คดีตากใบ ผิดหวังไร้จำเลยปรากฏตัวต่อศาล ลั่นถ้าความยุติธรรมในประเทศไม่ทำงาน เตรียมเดินหน้าใช้ศาลอาญาระหว่างประเทศแทน ชี้ “พล.อ.พิศาล” ลาออกแล้ว ถือเป็นผลดีกับรัฐบาลจะได้จัดการให้เด็ดขาด

 


“รอมฎอน” ร่วมสังเกตการณ์คดีตากใบ ผิดหวังไร้จำเลยปรากฏตัวต่อศาล ลั่นถ้าความยุติธรรมในประเทศไม่ทำงาน เตรียมเดินหน้าใช้ศาลอาญาระหว่างประเทศแทน ชี้ “พล.อ.พิศาล” ลาออกแล้ว ถือเป็นผลดีกับรัฐบาลจะได้จัดการให้เด็ดขาด 


วันที่ 15 ตุลาคม 2567 ที่ศาลจังหวัดนราธิวาส รอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์คดีตากใบ ในการนัดเบิกคำให้การครั้งที่สอง หลังจากที่นัดครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 ที่ผ่านมาจำเลยทั้ง 7 คนไม่มาศาล โดยวันนี้ทางจำเลยก็ไม่ได้เดินทางมาที่ศาลเช่นเดียวกัน ซึ่งผู้พิพากษาได้มีคำสั่งให้นัดพร้อมประชุมคดีอีกครั้งในวันที่ 28 ตุลาคม 2567 


รอมฎอน กล่าวหลังร่วมนัดสังเกตการณ์คดีว่า สิ่งที่น่ากังวล คือ ในวันนัดพร้อมนั้น จะเป็นวันเลยกำหนดอายุความที่จะสิ้นสุดในเวลา 00.00 น. ของวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ไปแล้ว ทั้งนี้ ในอายุความที่เหลืออยู่อีก 10 วัน จำเลยยังมีโอกาสที่จะแสดงตัวต่อศาล หรือมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อให้คดีมีการพิจารณาต่อไปได้


อย่างไรก็ดี ศาลได้เปิดโอกาสให้คู่ความแถลงต่อศาล รวมทั้งให้ตนในฐานะผู้สังเกตการณ์จากอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติได้แถลงให้ความเห็นต่อศาลด้วย โดยในส่วนของญาติผู้เสียหายซึ่งเป็นญาติของโจทก์ที่ 3 ได้สะท้อนความรู้สึกที่อึดอัดคับข้องใจเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐในการนำตัวจำเลยที่ถูกออกหมายจับมาดำเนินคดีว่า มีการเลือกปฏิบัติและใช้สองมาตรฐานหรือไม่ เพราะในขณะที่ประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้ที่ตกเป็นจำเลยหรือผู้ต้องหาจะถูกเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติแบบหนึ่ง แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงถูกออกหมายจับกลับไม่มีความจริงจังมากนัก ทำให้รู้สึกหมดศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรมในการฟื้นความยุติธรรมให้ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ตากใบ


รอมฎอน กล่าวต่อไปว่า ตนในฐานะ สส. ได้แถลงต่อศาล โดยระบุว่า ยังคงมีความหวังว่า ภายในกรอบระยะเวลาเท่าที่มีอยู่ จำเลยจะสามารถให้ความร่วมมือต่อศาลได้และเจ้าหน้าที่จะสามารถนำตัวจำเลยมาศาลได้ทัน ถือเป็นความหวังที่จำเป็นต้องมี เพราะผลกระทบของคดีนี้จะกว้างไกลมาก หากไม่สามารถนำตัวจำเลยมาทำให้คดีเดินหน้าต่อไปได้ โดยเฉพาะผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับปัญหาความมั่นคงของชาติ สถานการณ์ความรุนแรง และความคืบหน้าของกระบวนการสันติภาพ 


ถ้ากระบวนการยุติธรรมไม่สามารถเดินต่อไปได้ ความเชื่อมั่นต่อสถาบันที่เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายทั้งหมดก็จะเสื่อมถอยลง สิ่งที่ต้องการมากที่สุดในการแก้ปัญหาในกรณีความขัดแย้งชายแดนใต้ คือ ความเชื่อมั่นไว้วางใจของประชาชนต่อสถาบันของรัฐ หากปราศจากความเชื่อมั่นไว้วางใจแล้วก็ย่อมเป็นการยากที่จะหาข้อตกลงที่จะอยู่ร่วมกันในอนาคตได้ รวมถึงข้อตกลงสันติภาพด้วย


รอมฎอน ยังกล่าวต่อไปว่า ตนยังได้แถลงต่อศาลอีกว่า ถ้ากระบวนการยุติธรรมภายในประเทศไม่สามารถทำงานได้อย่างที่ควรจะเป็น และความปรารถนาที่จะได้ความจริงและความยุติธรรมของประชาชนยังดำรงอยู่ ทางเลือกหนึ่งที่ประชาชนอาจจำเป็นต้องใช้ คือ การใช้กลไกกระบวนการยุติธรรมทางอาญาระหว่างประเทศหรือศาลอาญาระหว่างประเทศ แม้ประเทศไทยจะไม่ได้ให้สัตยาบรรณต่อธรรมนูญกรุงโรม แต่ก็มีบางช่องทางที่สามารถหยิบยกมาเรียกร้องให้มีการไต่สวนด้วยกลไกศาลอาญาระหว่างประเทศได้ 


แม้จะเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก แต่หนทางและความปรารถนาของประชาชนที่จะได้รับความยุติธรรมก็ยังคงมีอยู่ ถ้ากลไกภายในประเทศไม่สามารถทำงานได้ ซึ่งตนก็ตระหนักดีว่า ฝ่ายความมั่นคงมีความกังวลต่อกรณีนี้ แต่ถ้าประเทศไทยไม่สามารถอำนวยความยุติธรรมให้ประชาชนได้ การใช้กลไกดังกล่าวมาช่วยอำนวยความยุติธรรมก็เป็นเรื่องที่ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ตนต้องขอขอบคุณญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บที่ร่วมกันฟ้องคดีในครั้งนี้ ถือเป็นความกล้าหาญที่ควรต้องได้รับความชื่นชม โดยเฉพาะในความพยายามเพื่อสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้เกิดขึ้นในประเทศนี้ว่า จะต้องไม่มีใครใช้อำนาจรัฐในการฆ่าประชาชนได้อีกต่อไป


สำหรับกรณีที่ พล.อ.พิศาล รัตนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 จำเลยที่ 1 ได้มีการลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย ซึ่งทำให้ขาดสถานะจากความเป็น สส. นั้น รอมฎอนระบุว่า แม้จะมีการลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทยแล้ว แต่รัฐบาลและหัวหน้าพรรคเพื่อไทยก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบในฐานะเป็นผู้ใช้อำนาจฝ่ายบริหารในเวลานี้ได้ ทั้งหมดนี้ยังขึ้นอยู่กับการบังคับใช้กฎหมายและการพยายามทำหน้าที่อย่างถึงที่สุดของฝ่ายบริหารในการนำตัวจำเลยทั้ง 7 ในคดีที่ราษฎรฟ้องเอง และผู้ต้องหาอีก 8 คนในคดีที่อัยการสั่งฟ้อง รวมทั้งสองสำนวน 14 คนมาสู่กระบวนการยุติธรรมให้ได้


ทั้งนี้ ในกรณีใบลาออกของ พล.อ.พิศาล เข้าใจว่า รองนายกรัฐมนตรี ภูมิธรรม เวชยชัย ได้รายงานต่อหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่ทั้งรองนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีก็ยังคงมีภาระหน้าที่ที่ต้องสืบเสาะหาต้นสายปลายเหตุว่า ตอนนี้ พล.อ.พิศาล อยู่ที่ไหน จดหมายฉบับนี้ถูกเขียนที่ไ่หน และใช้กลไกในทางการทูตของฝ่ายบริหารทุกหนทางในการนำตัว พล.อ.พิศาล มาขึ้นศาลให้ได้ภายในกรอบระยะเวลาที่มีอยู่ ซึ่งตนเข้าใจว่า คนที่รับหนังสือนี้ไม่ว่า ติดต่อผ่านช่องทางไหน จะเป็นช่องทางสำคัญในการสืบเสาะและด้วยขีดความสามารถของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ก็ย่อมสามารถเสาะหาตัวได้แน่ ๆ 


“ทั้งหมดนี้เป็นภาระความรับผิดชอบของรัฐบาลที่จะต้องแสดงให้เห็นว่าได้มีความพยายามอย่างจริงจังในการกำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการนำตัวจำเลยและผู้ต้องหาเหล่านั้นมาขึ้นศาลให้ทันก่อนอายุความจะหมดลง แม้สมาชิกภาพของ พล.อ.พิศาล จะสะดุดหยุดลง แต่ก็เป็นโอกาสดีที่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และการกำชับของฝั่งรัฐบาลจะทำงานได้อย่างเต็มที่โดยปราศจากอคติและการเลือกปฏิบัติ และคาดหวังว่า อีก 10 วันที่เหลือจะได้เห็นการปฏิบัติการที่เข้มแข็ง รัดกุม และทันท่วงทีมากขึ้นจากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นหน่อยว่า รัฐบาลได้ทำงานอย่างเต็มที่แล้ว” รอมฎอน กล่าว


นอกจากนี้ รอมฎอนยังได้แสดงความเห็นต่อกรณีคณะรัฐมนตรีมีมติขยายการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงออกเป็นครั้งที่ 78 ว่า การขยายเวลาสถานการณ์ฉุกเฉินโดยไม่ได้มีการลดพื้นที่ของการประกาศลงครั้งนี้ ถือเป็นการขยายเวลาครั้งแรกในรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงว่า รัฐบาลไม่ได้มีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายพิเศษใด ๆ ทั้งสิ้น จึงถือได้ว่า เป็นความคืบหน้าที่ไม่คืบหน้า


ทั้งกรณีตากใบและการขยายเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้นำมาสู่คำถามว่า ตกลงยุทธศาสตร์ใหญ่และแนวทางนโยบายของพรรครัฐบาลจะทำอย่างไรต่อกับปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งขอเรียกร้องให้รัฐบาลมีความชัดเจนโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อการเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังอายุความของคดีตากใบสิ้นสุดลง และในฐานะหัวหน้ารัฐบาล นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ก็จะต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คดีตากใบ #พิศาล #20ปีคดีตากใบ