วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2568

พรรคประชาชนเตรียมเสนอชื่อ “ณัฐวุฒิ บัวประทุม” เป็นประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ

 


พรรคประชาชนเตรียมเสนอชื่อ “ณัฐวุฒิ บัวประทุม” เป็นประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ


หลังจากเมื่อวานนี้ (15 ตุลาคม 2568) ประชุมรัฐสภามีมติรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่


วันนี้ (16 ต.ค. 68) พรรคประชาชนเปิดเผยว่าในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งแรกสัปดาห์หน้า พรรคประชาชนมีแผนจะเสนอชื่อ ณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ เป็นประธานคณะกรรมาธิการ เนื่องจากร่างของพรรคประชาชนถูกกำหนดให้เป็นร่างหลักในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ หลังจากนี้ พรรคประชาชนจะเดินหน้าทำงานเต็มที่และแสวงหาความร่วมมือกับทุกฝ่ายในชั้นคณะกรรมาธิการ เพื่อให้ได้มาซึ่งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ตอบโจทย์ประชาชนมากที่สุด


สำหรับรายชื่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างแก้รัฐธรรมนูญ จำนวน 43 คน แบ่งเป็น สว. 12 คน และ สส. 31 คน


โดยในส่วนสว.12 คน ประกอบด้วย นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ, นายเอนก วีระพจนานันท์, นายชวภณ วัธนเวคิน, นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล, นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์, น.ส.รัชนีกร ทองทิพย์, นายกฤษณุ เหลืองพิบูลกิจ, นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร, นายกิตติพันธ์ อนันตกูลจิรโชติ, พ.ต.ท.สุริยา บาราสัน, นายวอน หินดี และนายจำลอง อนันตสุข


สส. พรรคประชาชน 9 คน นำโดย นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หัวหน้าพรรค พร้อมด้วย นายณัฐวุฒิ บัวประทุม, นายสหัสวัต คุ้มคง, นายปรีติ เจริญศิลป์, นายอนุสรณ์ แก้ววิเชียร, นายภัณฑิล น่วมเจิม, นายเชตวัน เตือประโคน, นายรอมฎอน ปันจอร์ และน.ส.พนิดา มงคลสวัสดิ์


พรรคเพื่อไทย 9 คนมี นายชูศักดิ์ ศิรินิล และ นายจาตุรนต์ ฉายแสง นำทีม พร้อมด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว, นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์, นายสุธรรม แสงประทุม, นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์, น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล, นายก่อแก้ว พิกุลทอง และนายเอกพร รักความสุข


พรรคภูมิใจไทย 4 คน ประกอบด้วย นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล, นายเชวงศักดิ์ เร่งไพบูลย์วงษ์ และน.ส.แนน บุญธิดา สมชัย


ส่วนพรรคอื่น ๆ รวม 9 คน ประกอบด้วยพรรครวมไทยสร้างชาติ นายวิทยา แก้วภราดัย, น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ พรรคกล้าธรรม นายกฤดิทัช แสงธนโยธิน, นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ พรรคประชาธิปัตย์ นายชัยชนะ เดชเดโช, นายทรงศักดิ์ มุสิกอง พรรคพลังประชารัฐ นายกระแสร์ ตระกูลพรพงศ์ พรรคชาติไทยพัฒนา:นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ พรรคประชาชาติ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง


ทั้งนี้ คณะ กมธ.ชุดนี้จะเริ่มทำงานทันทีเพื่อพิจารณารายละเอียดของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนเข้าสู่วาระ 2 โดยคาดว่าจะเป็น คณะกรรมาธิการชุดประวัติศาสตร์ ที่มีทั้งนักการเมืองรุ่นใหม่–รุ่นใหญ่ และ สว.จากหลายสายการเมืองมานั่งร่วมโต๊ะวางกรอบทิศทาง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #กรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2568

“ภัทรพงษ์” ถามกระทู้ “สุชาติ” กรณีสารพิษน้ำกก-สาย ยกทัพหลวงไปเยือนแบบใด แก้ปัญหาและตอบคำถามไม่ได้สักข้อ วอนเลิกแก้ปัญหาด้วยการโยนงานให้กระทรวงอื่นได้แล้ว


ภัทรพงษ์” ถามกระทู้ “สุชาติ” กรณีสารพิษน้ำกก-สาย ยกทัพหลวงไปเยือนแบบใด แก้ปัญหาและตอบคำถามไม่ได้สักข้อ วอนเลิกแก้ปัญหาด้วยการโยนงานให้กระทรวงอื่นได้แล้ว


วันที่ 16 ตุลาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน ตั้งกระทู้สดด้วยวาจาถาม สุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถึงกรณีการแก้ไขปัญหาสารพิษในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ที่เกิดจากการทำเหมืองในประเทศเมียนมา


โดยภัทรพงษ์ระบุว่าจากการลงพื้นที่ของรองนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2568 โดยระบุว่าเป็นการ “ยกทัพหลวง” ไปช่วยประชาชน ตนสงสัยว่าถ้าทัพหลวงทำได้แค่นี้ ตัวแม่ทัพเองต้องพิจารณาตนเองแล้วหรือไม่ เพราะปัญหาหลักไม่ได้ถูกแก้ไข และไม่ได้ถูกพูดถึงเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำประปาเป็นพิษ 18 หมู่บ้าน ที่มีการตรวจพบสารตะกั่วเกินมาตรฐานและปัญหาหนักขึ้นเรื่อย ๆ เดือนมิถุนายนตรวจพบ 4 หมู่บ้าน กรกฎาคมตรวจพบ 6 หมู่บ้าน และสิงหาคมที่ผ่านมาพบ 18 หมู่บ้าน


ปัญหาต่อมาที่ไม่ได้พูดถึงเลยคือการตรวจปัสสาวะในประชาชน ที่พบกลุ่มเสี่ยงมีสารหนูเกินเกณฑ์ปลอดภัย 7 ราย ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีพูดเองว่าก่อนลงพื้นที่ได้ให้อธิบดีทำการบ้านให้หลายต่อหลายครั้ง แต่กลับไม่พูดถึงปัญหานี้เลย ปัญหาต่อมาก็คือการเตรียมการรับมือกับข้าวนาปีกว่า 100,000 ไร่ที่กำลังจะเก็บเกี่ยวในไม่กี่วันที่จะถึงนี้ ที่ปลูกด้วยน้ำที่ปนเปื้อนจากสารโลหะหนักเกินมาตรฐานจากน้ำกก น้ำสาย และน้ำลวก แต่ตอนนี้กลับยังไม่มีมาตรการตรวจสอบที่ชัดเจน และไม่มีมาตรการในการเยียวยาในกรณีที่ตรวจเจอสารโลหะหนักเกินมาตรฐานเลย


ภัทรพงษ์กล่าวต่อไปว่าตนจึงขอถามว่ารัฐบาลมีแนวทางที่จะจัดการด้วยมาตรการเร่งด่วนอย่างไรบ้าง กับการจัดการแหล่งน้ำเป็นพิษภายในประเทศ ในทั้งสามประเด็นหลัก คือ น้ำประปาเป็นพิษ 18 หมู่บ้านที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กรณีการตรวจพบบุคคลที่มีสารหนูเกินเกณฑ์มาตรฐานในปัสสาวะ และการรองรับข้าวนาปีที่กำลังจะเก็บเกี่ยวและมาตรการเยียวยาหากตรวจพบเจอสารโลหะหนักเกินมาตรฐาน


ทางด้านสุชาติระบุว่าสำหรับปัญหาน้ำประปาเป็นพิษ 18 หมู่บ้าน ทางตนได้มีการประสานกับหน่วยงานของกระทรวงมหาดไทยแล้ว รวมทั้งผู้ว่าการประปาส่วนภูมิภาค แหล่งน้ำในจังหวัดเชียงใหม่ที่ใช้น้ำประปาผลิตนั้น ใช้จากแม่น้ำอายมาผลิต ส่วนแหล่งน้ำที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทำได้เอง เช่น แหล่งน้ำบาดาล ซึ่งจะมีการเจาะน้ำบาดาลขึ้นมาช่วยเรื่องผลผลิตสินค้าเกษตร ส่วนนี้ได้ลงไปสำรวจและได้พูดคุยคุยกันแล้ว


ส่วนแหล่งน้ำผิวดินที่มีการจัดเตรียมมาทดแทนน้ำประปา อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลก็ได้ลงพื้นที่ไปด้วย และตนก็ได้ประสานกับผู้ว่าการประปาส่วนภูมิภาคและรองผู้ว่าการประปาส่วนภูมิภาคอยู่ประจำ หากน้ำประปาเป็นพิษหรือมีผลต่อประชาชน การประปาส่วนภูมิภาคในเขตจังหวัดเชียงใหม่หรือผู้ว่าการประปาส่วนภูมิภาคจะต้องตอบคำถามและชี้แจงให้ประชาชนได้รับความกระจ่าง


สุชาติกล่าวต่อไปว่าส่วนเรื่องการตรวจสุขภาพประชาชน วันนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้มีการรายงานว่าสาธารณสุขจังหวัด กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข ก็ได้มีการลงไปตรวจและดูแลประชาชนที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพอยู่ ส่วนเรื่องของข้าวนาปี ได้มีการประสานกับ ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ติดตามแก้ปัญหาเรื่องของพืชผลการเกษตรอยู่


ทั้งนี้ ถ้าเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตนได้เตรียมแหล่งน้ำสำรองให้กับการประปาส่วนภูมิภาคไว้แล้ว ส่วนกรมควบคุมมลพิษก็มีการทำงานและชี้แจงกับประชาชนว่ามีจุดตรวจประมาณ 15 จุดเก็บมลพิษในแม่น้ำกก แม่น้ำสายและแม่น้ำลวกอีก 5 จุด โดยมีการชี้แจงผลทุกครั้งที่มีการตรวจ เรื่องนี้เป็นเรื่องของกระทรวงที่เกี่ยวข้องประมาณ 4-5 กระทรวง ซึ่งในส่วนนี้มีการหารือกันอยู่และเป็นวาระเร่งด่วนของรัฐบาลอยู่แล้ว


จากนั้นภัทรพงษ์ได้ถามกระทู้ต่อ โดยระบุว่าจากคำตอบของรองนายกรัฐมนตรี ตนยังไม่เห็นความห่วงใย เพราะในเรื่องของน้ำประปารองนายกรัฐมนตรีพูดถึงประปาส่วนภูมิภาคเสียมาก แต่ต้องเข้าใจในพื้นฐานของจังหวัดเชียงรายว่า 85% ของการใช้น้ำในจังหวัดเชียงรายคือประปาหมู่บ้าน ที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อีก 15% คือประปาส่วนภูมิภาค ซึ่งตอนนี้ปัญหาที่ถูกละเลยคือประปาหมู่บ้าน และที่รัฐมนตรีบอกว่าถ้าอยู่ใต้สังกัดกรมทรัพยากรน้ำบาดาลหรือกรมทรัพยากรน้ำรัฐมนตรีได้สั่งการไปแล้ว แต่เมื่อสองวันที่ผ่านมา กรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้ลงพื้นที่ไปดูปัญหาในเรื่องของน้ำประปาเป็นพิษ แต่ก็ดูเพียงแค่ 3 จากทั้งหมด 18 หมู่บ้านเท่านั้น


เรื่องของสารหนูเกินในคน รองนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้ตอบคำถาม เรื่องของข้าว 100,000 ไร่ที่กำลังจะเก็บเกี่ยวในอีกไม่กี่วันโยนให้ธรรมนัส รองนายกรัฐมนตรีอาจจะลืมไป แต่ก็ไม่น่าจะลืม เพราะรองนายกรัฐมนตรีก็เป็นประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่เพิ่งมีการประชุมกันเมื่อวานนี้ โดยมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข และทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องนั่งอยู่ในกรรมการชุดนั้นด้วย แต่ทำไมรองนายกรัฐมนตรีถึงตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้ เพราะไม่มีในวาระการประชุมใช่หรือไม่


ภัทรพงษ์กล่าวต่อไปว่าการจัดการปัญหาที่ต้นตอคือการเจรจาระหว่างประเทศ ทุกครั้งที่มีคำถามจากภาคประชาชน ว่ารองนายกรัฐมนตรีว่าจะจัดการที่ต้นตอโดยการเจรจาระหว่างประเทศอย่างไร รองนายกรัฐมนตรีกลับไม่ตอบคำถามนี้ แต่โยนให้ กรรณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ที่ลงพื้นที่ไปด้วยเป็นคนตอบแทนตลอด วันนี้ตนจึงขอฟังชัดๆ จากรองนายกรัฐมนตรี ว่ามีแนวทางจัดการปัญหาที่ต้นต่อเพื่อแก้ปัญหามลพิษข้ามแดนนี้อย่างไร


จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ตอบคำถามครั้งที่สอง โดยระบุว่าจากการลงพื้นที่วันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีข้าราชการลงไปสำรวจพื้นที่หลายจุด ซึ่งตนก็อยากให้ผู้ถามกระทู้ลงไปด้วยกันจะได้เห็นกับตาแล้วจะได้ทำงานร่วมกัน ส่วนเรื่องการตรวจสุขภาพที่ผู้ถามกระทู้วิตกกังวล หน่วยงานที่ตรวจสอบก็ยืนยันแล้วว่าไม่พบสารปนเปื้อนเกินควร ตนได้ข้อมูลมาแบบนี้


ส่วนที่มีการประชุมเมื่อวาน มีวาระเรื่องแม่น้ำกก โดยมีการตั้งคณะทำงานเจรจาร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาอยู่ในการประชุมอยู่แล้ว รวมถึงคณะทำงานติดตามสถานการณ์ปัญหาสิ่งแวดล้อมและผลกระทบสุขภาพในพื้นที่แม่น้ำกกอีกอนุกรรมการหนึ่ง ส่วนเรื่องข้าว 100,000 ไร่ การแก้ปัญหาก็ต้องทำความเข้าใจกับผู้ซื้อ ซึ่งตนไม่ได้อยู่กระทรวงที่ซื้อขายในการเจรจา ส่วนเรื่องการต่างประเทศก็ต้องใช้วิธีการเจรจาระหว่างประเทศ


สุชาติกล่าวต่อไปอีกว่าปัญหาแม่น้ำกกไม่ใช่ปัญหาของกระทรวงเดียวแต่เป็นปัญหาระหว่างกระทรวงต่างประเทศที่ต้องหารือกัน รวมถึงกระทรวงมหาดไทยในเรื่องของการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ต้องดูแลเรื่องพืชผลการเกษตร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคือดูแลการตรวจวัดน้ำและการควบคุมคุณภาพน้ำ ดังนั้น ผู้ตั้งกระทู้ควรตั้งคำถามให้ตรงกระทรวงที่รับผิดชอบ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่ทำอยู่ตั้งอนุกรรมมาสองชุดแล้วในการติดตามเจรจา ซึ่งรัฐบาลก่อนก็ได้มีการเจรจามารอบหนึ่งแล้ว


จากนั้น ภัทรพงษ์ได้ถามกระทู้ต่อเป็นรอบสุดท้าย โดยระบุว่าที่รองนายกรัฐมนตรีบอกว่าห่วงใยไม่แพ้ตน แต่ตอนนี้รองนายกรัฐมนตรีเองยังไม่รู้ว่ามีการตรวจสารหนูและพบคนที่มีสารหนูเกินเกณฑ์มาตรฐานไปแล้ว รองนายกรัฐมนตรีไม่ทราบเลยหรือว่า 7 คนที่ตรวจเกินอยู่ที่ จ.เชียงราย ไม่ได้ตรวจโดยกรมอนามัยแต่ตรวจโดยกรมควบคุมโรค ตรวจ 322 คนในจังหวัดเชียงรายแล้วเจอ 7 คน ข้อมูลแค่นี้รองนายกรัฐมนตรีไม่รู้ได้อย่างไรทั้งที่เพิ่งประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมา


ประเด็นในวันนี้คือรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ต้องดูข้อมูลให้ครบทั้งหมดถึงจะแก้ปัญหาได้ ส่วนเรื่องการเจรจาระหว่างประเทศ รองนายกรัฐมนตรีตอบมาเหมือนกับไม่รู้ ตอนอภิปรายระหว่างการแถลงนโยบายตนก็บอกไปแล้ว ว่าระหว่างวันที่ 12-16 ตุลาคม 2568 จะมีเวทีอาเซียนว่าด้วยข้อตกลงบริหารจัดการภัยพิบัติและภาวะฉุกเฉิน และวันที่ 21-23 ตุลาคม 2568 ก็จะมีอีกเวทีหนึ่ง คือ China ASEAN Environmental Cooperation ตามกรอบ LMEC ซึ่งตรงกับอำนาจหน้าที่ ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยตรง เพราะมีทั้งจีน ไทย เมียนมา และมีแผนการปฏิบัติในเรื่องมลพิษทางน้ำอย่างชัดเจนมาก


ภัทรพงษ์กล่าวต่อไปว่าอย่างแรกที่รองนายกรัฐมนตรีต้องทำ คือเลิกโยนปัญหาให้ สนทช. ที่ไม่มีแผนการปฏิบัติ ภารกิจ หรือกรอบที่จะทำในเรื่องนี้ และควรเลิกโยนปัญหาให้กระทรวงการต่างประเทศ เพราะเรื่องสิ่งแวดล้อมและมลพิษข้ามแดนระหว่างประเทศ คนที่เป็นแกนหลักในการเจรจาระหว่างประเทศคือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่วนกระทรวงต่างประเทศทำหน้าที่สนับสนุนในการเจรจาเพียงเท่านั้น นี่คือประเด็นที่รัฐบาลต้องเดินให้ถูกทางเพื่อแก้ปัญหานี้ได้ โดยก่อนที่จะมีการประชุม ต้องมีการตั้งวาระเข้าไปพร้อมกับกรอบระยะเวลาที่ต้องการให้ประเทศสมาชิกแต่ละประเทศปฏิบัติ นี่คือสิ่งที่ต้องดำเนินการในทางการทูตล่วงหน้าก่อนที่จะมีการพูดคุยอย่างเป็นทางการด้วย


คำถามสุดท้าย ตนขอถามรองนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไป แน่นอนว่าคณะกรรมการชุดนี้คือการให้แต่ละกระทรวงมาทำงานร่วมกัน วางแผนตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ สามารถแบ่งหน้าที่ตามอำนาจของแต่ละกระทรวง ตั้งโครงการตามงบกลางเพื่อใช้แก้ปัญหาตามมติของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อขอมติคณะรัฐมนตรี ใช้อำนาจตามกฏหมายส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.แร่ ของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่สามารถออกมาตรการในการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานของผู้นำเข้าและส่งออกแร่ รวมถึงกฎหมายโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม ที่สามารถออกประกาศจากกระทรวงสาธารณสุขโรค เกี่ยวกับโรคที่ต้องเฝ้าระวังจากสารโลหะหนัก และประกาศเขตพื้นที่โดยต้องเฝ้าระวังกรณีพบสารโลหะหนักเกินมาตรฐานได้


หรือกระทั่งเรื่องง่ายๆ อย่างการมีฐานข้อมูลที่รวมข้อมูลจากทุกกระทรวงมาไว้ที่เดียวและเปิดเผยให้ประชาชนทราบ ไม่ว่าจะเป็นผลการตรวจน้ำ น้ำประปา พืชผลทางการเกษตร และผลการตรวจสุขภาพ จุดไหนที่เกินมาตรฐานก็บอกประชาชนด้วยว่าหน่วยงานไหนกำลังดำเนินการอะไรอย่างไร ถ้าทำเรื่องแค่นี้ได้ก็ไม่ต้องมาเสียหน้าเหมือนที่บอกตนว่าไม่มีการตรวจพบสารหนูเกินมาตรฐาน โดยที่ไม่ได้เช็คกับกรมควบคุมโรคก่อนมาตอบกระทู้สดในวันนี้


ภัทรพงษ์กล่าวต่อไปว่าจากคำพูดของรองนายกรัฐมนตรีในวันนั้น ที่บอกว่านายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ตัวเองดำเนินการภารกิจเรื่องมลพิษโดยตรง รัฐบาลมีการวางแผนจัดการมลพิษแบบบูรณาการร่วมกันทุกกระทรวงอย่างไร และใช้กลไกอะไรในการวางแผนจัดการ และการวางแผนการใช้งบกลางเพื่อแก้ปัญหามลพิษทางน้ำจากการทำเหมืองในประเทศเมียนมาที่ส่งผลกระทบมาในประเทศไทยอย่างไร ตรงนี้ตนขอให้ตอบอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลมีโครงการอะไรจากกระทรวงอะไรบ้าง และขอกรอบเวลาที่ตั้งให้แต่ละกระทรวงว่าจะต้องนำโครงการเข้าสู่คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาภายในเมื่อไหร่บ้าง


ทางด้านสุชาติได้ตอบคำถามโดยระบุว่าเรื่องแม่น้ำกกเมื่อวานนี้ที่มีการประชุม ได้มีการตั้งคณะทำงานที่เกี่ยวข้องสองคณะ เป็นคณะทำงานประสานงานความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาภูมิภาคแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย โดยมีรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธานในคณะทำงานนี้ อีกคณะหนึ่งคือคณะติดตามสถานการณ์ปัญหาสิ่งแวดล้อมและผลกระทบต่อสุขภาพในพื้นที่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย โดยมีอธิบดีกรมควบคุมมลพิษเป็นประธานคณะทำงาน เพื่อติดตามการแก้ปัญหาในเรื่องการเจรจาโดยใช้รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน ส่วนผู้ที่ติดตามเรื่องของความเดือดร้อนเช่นสารตกค้างในน้ำและพืชผลการเกษตร มีอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งเมื่อเช้าได้มีการพูดคุยกัน แล้วตนยังบอกด้วยว่าให้มีการหาข้อมูลจากผู้ตั้งกระทู้ถามด้วย


ส่วนสิ่งที่ผู้ตั้งกระทู้ถามมาในเรื่องของการประชุม LMEC หรือ China-ASEAN กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้เตรียมข้อมูลไว้แล้ว ต้องมีการประชุมหารือกันแน่นอน ทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่าสารพิษมาจากเส้นทางอย่างไรหรือเพราะเหตุใด ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องของการเจรจาและการพิสูจน์ ทั้งนี้ ตนขอฝากผู้ตั้งกระทู้ถามขอให้เสียสละเวลารับโทรศัพท์ ให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง อธิบดีที่เกี่ยวข้อง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสอบถามหาข้อมูล หรือหากมีการชวนลงพื้นที่ก็ขอให้สละเวลาเพื่อประชาชนด้วย


จากนั้น ภัทรพงษ์ได้ตอบรองนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่าในส่วนของการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ขอให้ไม่ต้องห่วง เพราะมีการตั้งคณะอนุกรรมาธิการขึ้นมาทำในเรื่องนี้อยู่แล้ว โดยมีฐานข้อมูลและระบบฐานข้อมูลทุกอย่างที่รวบรวมมาจากทุกหน่วยงาน ในส่วนนี้ทางรัฐบาลสามารถเอาสิ่งที่อนุกรรมาธิการทำไปใช้ต่อได้


จากการตั้งกระทู้ถามในวันนี้หากให้ตนสรุป สามารถกล่าวได้ว่าแม้รองนายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ไปก็ไม่มีการจัดการปัญหาอะไรอย่างเร่งด่วน ที่สมเหตุสมผลกับปัญหาที่คนเชียงใหม่และเชียงรายกำลังเจอ มีคนพบสารหนูเกินมาตรฐานก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็น จ.เชียงราย ไม่ใช่ จ.เชียงใหม่ ข้าว 100,000 ไร่ที่ใช้น้ำปนเปื้อนในการปลูกกำลังจะเก็บเกี่ยวอยู่แล้วก็ยังไม่มีมาตรการในการตรวจและแนวทางในการเยียวยา การแก้ปัญหาที่ต้นตอด้วยการเจรจาระหว่างประเทศ ตนก็ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากรองนายกรัฐมนตรี


การลงพื้นที่ที่รองนายกรัฐมนตรีบอกว่าเป็นการยกทัพหลวงมาแก้ปัญหาให้คนเชียงใหม่และคนเชียงราย ถ้าทัพหลวงทำได้แค่นี้แสดงว่าแม่ทัพนำทัพไม่เป็น ไม่มีการวางแผนใดล่วงหน้า แบบนี้ยกทัพไปที่ศึกก็พ่ายทุกศึก ผมขอเตือนรองนายกรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลที่ตอบคำถามในวันนี้ คำตอบในวันนี้และการดำเนินการในการแก้ปัญหาที่เร่งด่วนวิกฤตขนาดนี้ ไม่ต่างอะไรกับการไม่ใส่ใจและละเลยต่อปัญหา และมันกำลังจะกลายเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาล ที่ทำให้เกิดผลกระทบกับชีวิตของประชาชน” ภัทรพงษ์กล่าวทิ้งท้าย

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #สารพิษ #น้ำกกสาย

“เพื่อไทย” ออกแถลงการณ์ 7 มาตรการเชิงรุกปราบสแกมเมอร์-ฟอกเงิน-อาชญากรรมข้ามชาติ ยกความสำเร็จที่เคยทำได้ยุค “รัฐบาลแพทองธาร“ ย้ำ ”รัฐบาลอนุทิน“ ต้องเอาผลประโยชน์ประชาชนเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่หวังคะแนนนิยม

 


“เพื่อไทย” ออกแถลงการณ์ 7 มาตรการเชิงรุกปราบสแกมเมอร์-ฟอกเงิน-อาชญากรรมข้ามชาติ ยกความสำเร็จที่เคยทำได้ยุค “รัฐบาลแพทองธาร“ ย้ำ ”รัฐบาลอนุทิน“ ต้องเอาผลประโยชน์ประชาชนเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่หวังคะแนนนิยม


วันนี้ (16 ตุลาคม 2568) เวลา 13.00 น. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ นายดนุพร ปุณณกันต์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร และโฆษกพรรค นายสยาม หัตถสงเคราะห์ ส.ส.หนองบัวลำภู นางสาวจิรัชยา สัพโส ส.ส.สกลนคร และนางสาวชยิกา วงศ์นภาจันทร์ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกันแถลงการณ์ “ข้อเสนอมาตรการเชิงรุกในการร่วมปราบปรามสแกมเมอร์ ขบวนการฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติ”


แถลงการณ์พรรคเพื่อไทย

เรื่อง ข้อเสนอมาตรการเชิงรุกในการร่วมปราบปรามสแกมเมอร์

ขบวนการฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติ


ปัญหาสแกมเมอร์ อาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งเคยได้รับการแก้ไขจนเห็นผลเป็นรูปธรรมในรัฐบาลของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร กลับมาเป็นปัญหาสำหรับพี่น้องประชาชน และประเด็นใหญ่ระดับโลกอีกครั้ง สืบเนื่องจากกรณีที่มีการกดดันจากสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเกาหลีใต้ เดินหน้าปราบปราม ติดตามขบวนการสแกมเมอร์ในกัมพูชาอย่างจริงจัง


พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้รัฐบาลเดินหน้ามาตรการเชิงรุก ยกระดับมาตรการปราบปรามขบวนการกล่าวเพื่อไม่ให้ประเทศไทยส่วนหนึ่งของอาชญากรรม  ดังนี้


1. ดำเนินมาตรการ 3 ตัด คือ ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต ตัดการขนส่งน้ำมัน เพื่อสกัด Scam Center ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยอาจพิจารณายกระดับจากโมเดลความร่วมมือระหว่างประเทศไทย-จีน-เมียนมาที่สำเร็จมาแล้วในสมัยรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร


2. กลับมาเข้มงวดเรื่องการปิดเส้นทางธรรมชาติ เพื่อป้องกันการหลอกลวงเอาคนไทยข้ามไปและการลักลอบหนีกลับเข้ามาในประเทศอย่างผิดกฎหมาย


3. เร่งสานต่องานจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา และเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศที่เกี่ยวข้องอื่นเพื่อ ตั้งศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์นานาชาติ (ศกค.) ระดมความร่วมมือจากนานาประเทศ ปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ข้ามชาติอย่างเป็นรูปธรรม แก้ไขขั้นเด็ดขาด ช่วยเหลือเหยื่อกลับบ้าน


4. เจรจากดดันเพื่อให้กัมพูชายอมรับเงื่อนไขข้อที่ 3 คือ การร่วมปราบปรามสแกมเมอร์ ซึ่งอยู่ในเงื่อนไข 4 ข้อเดิมตามมติ สมช. สมัยรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ที่ได้เคยเสนอไว้ ไปผลักดันผ่านการลงนาม Peace Agreement ในการประชุม ASEAN SUMMIT ที่จะถึงในวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์


5. ให้รัฐบาลกลับมาจริงจังเรื่องของการระงับบัญชีม้า และซิมที่ผูกกับโมบายแบงก์กิ้ง ที่ได้รับการพิสูจน์ยืนยันว่าเกี่ยวข้อง ตลอดจนการปราบปรามเว็บพนันและเว็บหลอกลวงผิดกฎหมายเพื่อป้องกันมิจฉาชีพออนไลน์ในประเทศ โดยในรัฐบาลชุดที่แล้วก็ได้ใช้มาตรการนี้ในการระงับบัญชีม้ากว่า 500,000 บัญชี และป้องกันการสูญเสียได้กว่า 20,000 ล้านบาท


6. ควรจัดให้มีการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ ตามพรก. มาตราการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 และเร่งออกกฎหมายลำดับรอง เพื่อให้สอดคล้องกับ พรก. ป้องกันและปรามอาชญากรรมด้านไซเบอร์ และพรก. สินทรัพย์ดิจิทัล


7. ให้รัฐบาลใช้ศูนย์ AOC 1441 ที่ได้ตั้งขึ้นในรัฐบาลชุดที่แล้ว เพื่อเป็น One Stop Service ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการหลอกลวงออนไลน์แบบเร่งด่วน เพื่อให้เรื่องร้องทุกข์ เรื่องระงับธุรกรรมทางการเงิน และเรื่องการประสานงานกับธนาคารและตำรวจไซเบอร์กลับมามีประสิทธิภาพอีกครั้ง


พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้อง ให้รัฐบาลอนุทิน เอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและพี่น้องประชาชนเป็นตัวตั้งในการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา แบบหวังผลจริง ด้วยการเดินหน้ามาตรการปราบปรามสแกมเมอร์คอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง ให้เป็นยุทธศาสตร์หลักในการกดดันกัมพูชาเพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนอย่างถูกต้อง ไม่ได้เพียงแต่ทำงานตามกระแสเพียงเพื่อหวังคะแนนนิยม และผลทางการเมืองเท่านั้น


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคเพื่อไทย #ปราบสแกมเมอร์ #อาชญากรรมข้ามชาติ

“ชุติพงศ์” พรรคประชาชน กมธ.ความมั่นคงฯ ชี้ "อนุทิน" เลี่ยงตอบคำถามแก๊งสแกมเมอร์ทั้งใน-นอกประเทศ ตั้งซูเปอร์บอร์ดทั้งที่มีหน่วยงานพร้อมอยู่แล้ว เหน็บ "พูดแล้วทำ" แต่นายกฯไม่พูดเลยจะได้ไม่ต้องทำ ย้ำโอกาสไทยจะสร้างบทบาทโลกอยู่ในมือผู้นำ หากยังเฉย หรือ "เกรงใจใคร" เตรียมเชิญ "ธรรมนัส-นฤมล" แจงอีกครั้ง

 


ชุติพงศ์” พรรคประชาชน กมธ.ความมั่นคงฯ ชี้ "อนุทิน" เลี่ยงตอบคำถามแก๊งสแกมเมอร์ทั้งใน-นอกประเทศ ตั้งซูเปอร์บอร์ดทั้งที่มีหน่วยงานพร้อมอยู่แล้ว เหน็บ "พูดแล้วทำ" แต่นายกฯไม่พูดเลยจะได้ไม่ต้องทำ ย้ำโอกาสไทยจะสร้างบทบาทโลกอยู่ในมือผู้นำ หากยังเฉย หรือ "เกรงใจใคร" เตรียมเชิญ "ธรรมนัส-นฤมล" แจงอีกครั้ง


วันที่ 16 ต.ค.2568 เวลา 09.20 น. ที่รัฐสภา นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคประชาชน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงปฏิกิริยาของรัฐบาลที่เกี่ยวกับการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์มีความล่าช้าไปหรือไม่ ว่า เอาง่าย ๆ เรื่องที่ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เกี่ยวข้องกับนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือนายเบน สมิธ ตามที่นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ประธานกมธ.ฯ ได้อภิปรายไปแล้ว


ซึ่งเรื่องนี้ตนยังไม่เห็นนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะพูดอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าร.อ.ธรรมนัส เกี่ยวข้องหรือไม่ รวมถึงได้ไปคุยและได้ไปหาข้อเท็จจริงแล้วหรือไม่ แต่สิ่งที่นายอนุทิน ทำตลอดมาตั้งแต่เป็นายกฯ คือการหลีกเลี่ยงตอบคำถามเรื่องสแกมเมอร์ และจะเอาอย่างไรกับสแกมเมอร์ที่อยู่ในกัมพูชา เลี่ยงที่จะตอบว่าการทำงานเป็นอย่างไร ซึ่งเมื่อวาน (15 ต.ค.) ชัดมาก เพราะนายอนุทินบอกว่ามีผู้รับผิดชอบแล้ว และไม่พูดอะไรต่อ สักพักก็ระบุว่าเซ็นตั้งซูเปอร์บอร์ดเพื่อให้แก้ไขปัญหาแล้ว


ผมต้องถามว่าหน่วยงานที่มีทุกวันนี้ ได้สั่งการไปตามปกติและหรือไม่ ได้เรียกข้อมูลจาก AOC รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทยแล้วหรือไม่ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ที่มีอำนาจยึดทรัพย์แก๊งสแกมเมอร์ ได้มีการดำเนินการอะไรไปแล้วบ้าง หรือมาตรการและกฎหมายที่มีทุกวันนี้พอแล้วหรือไม่ แม้แต่คนที่ทางสหรัฐอเมริกา อังกฤษหมายหัวไว้ อย่างนายเบน สมิธ เรื่องเหล่านี้นายอนุทินไม่ได้ฟังนายรังสิมันต์ พูดเลยหรือ เพราะทราบมาว่านายเบน สมิธ กลับมาอยู่ในประเทศไทยแล้ว และคนที่ถูกหมายหัวจากทั้ง 2 ประเทศ ทำให้เห็นแล้วว่าทำอะไรได้บ้าง แล้วนายอนุทินทำอะไรไปบ้างแล้วหรือไม่” นายชุติพงศ์ กล่าว


นายชุติพงศ์ กล่าวต่อว่า บอร์ดที่ตั้งขึ้นมาดำเนินการและมอบนโยบายอย่างไร เพราะตนยังไม่เห็นนโยบาย ไม่เห็นความจริงจัง จริงใจในการแก้ปัญหาทั้งในและนอกประเทศ ถ้าต้องถามกันตรงๆ นายอนุทินเกรงใจใครอยู่หรือไม่ หรือกังวลอะไรอยู่ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ใกล้กับคนไทย ดูดเงินจากกระเป๋าคนไทยไปเป็นแสนล้าน และเข้ามาอยู่ใกล้ศูนย์กลางอำนาจรัฐ ขนาดนี้ยังต้องรออะไร หรือรอซูเปอร์บอร์ดประชุมอีกกี่ครั้ง ขณะที่ประเทศเกาหลีใต้ประกาศออกมาแล้ววว่าจะช่วยคนของเขาออกจากประเทศกัมพูชา ขณะที่ประเทศเราอยู่ติดกัมพูชาแต่นิ่งเฉย อย่างนี้นานาชาติเขาจะมองเราอย่างไร อาจมองว่าเรานิ่งเฉย หรือเกิดอะไรขึ้นที่อยู่ดีๆสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา ประกาศว่าจะปราบเว็บพนันหรือสแกมเมอร์ของนักการเมืองไทยที่อยู่ในกัมพูชา จึงต้องถามว่านายอนุทินได้ดำเนินการอะไรบ้างในฐานะนายกฯ เพื่อทำให้เกิดความชัดเจนว่า ไม่มีคนสักคนในรัฐบาลนี้เกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ ไม่เช่นนั้นประชาชนก็เคลือบแคลงแบบนี้ต่อไปว่าการตั้งบอร์ดแบบนี้ขึ้นมาเป็นการแตะถ่วงหรือหลีกกเลี่ยงที่จะบอกว่าทำอะไรได้บ้าง


เมื่อถามว่าพรรคประชาชนเสียใจหรือไม่ที่โหวตให้นายอนุทินเป็นายกฯ แต่กลับเพิกเฉยเรื่องการปราบแก๊งสแกมเมอร์ นายชุติพงศ์ กล่าวว่า ปัญหาการเลือกนายกฯที่ผ่านมาเกิดจากรัฐธรรมนูญ ปี 60 ที่ทำให้เราไม่สามารถเลือกนายกฯของพรรคประชาชนได้ แม้เราจะมีเสียงมากที่สุด สถานการณ์ทำให้ทำให้เราต้องเลือกใครสักคนมาทำหน้าที่ยุบสภาฯ หลังจากเกิดวิกฤตศรัทธาที่มีปัญหาเรื่องคลิปเสียงหลุด และชื่อของบุคคลที่จะเป็นนายกฯมีแค่นายชัยเกษม นิติสิริ และนายอนุทิน เราพิจารณาอย่างรอบด้าน และตั้งใจอย่างเต็มที่ที่จะหาทางออกให้กับประเทศ เราจึงเลือกนายอนุทิน ภายใต้ภารกิจที่ต้องทำให้ได้ คือยุบสภา และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเราเป็นฝ่ายค้าน เราไม่ได้คาดหวังให้นายอนุทินเป็นผู้แก้ไขวิกฤตทั้งหมดในช่วงเวลาแค่ 4 เดือน แต่หวังว่านายอนุทินจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้เท่านั้นพอ


ส่วนเรื่องที่คุณอนุทินประกาศในวันแถลงนโยบายว่าใน 4 เดือนจะทำงานอย่างหนัก เป็นพรรคที่พูดแล้วทำ นายอนุทินเลยไม่พูดเลย จะได้ไม่ต้องทำในเรื่องของสแกมเมอร์และคอลเซ็นเตอร์ ถ้านายอนุทินเข้ามาแล้วบอกว่าจะทำงานแล้วทำไม่ได้ พอการเลือกตั้งมาถึงประชาชนก็จะได้พิจารณาว่าผู้ที่เข้ามาเป็นนายกฯ 4 เดือน ที่ประกาศว่าจะทำอะไรนอกเหนือ MOA และอยู่ในอำนาจของเขา แล้วทำไม่ได้ ก็จะเป็นผลงานที่คุณอนุทินฝากไว้ โดยเฉพาะเรื่องสแกมเมอร์ท่านทำไม่ได้ โอกาสทองฝังเพชรครั้งนี้อยู่ที่คุณอนุทิน จะโยนมันทิ้งปล่อยให้คนไทยลำบากต่อไป ทิ้งโอกาสที่เราจะเป็นพันธมิตรกับโลกทั้งใบ ในการแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่เรากำลังจับตาครั้งนี้ไปหรือไม่ ถ้าไม่รู้จะทำอย่างไรทางกมธ.ยินดีให้ข้อมูล แต่ก็ไม่มีการติดต่อมาแต่อย่างใด ผมคิดว่านายอนุทินต้องทำให้มากกว่าการสนับสนุนอินฟลูเอนเซอร์เปิดเสียงผี เพราะรัฐบาลต้องทำให้ได้มากกว่านั้น ” นายชุติพงศ์ กล่าว


เมื่อถามถึงกรณีที่นายอนุทินจะโทรศัพท์พูดคุยกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้เพื่อแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา นายชุติพงศ์ กล่าวว่า ถ้าโทรไปก็ขอฝากนายอนุทิน เสนอมาตรการเชิงรุกบ้าง ไม่ใช่บอกว่ารับทราบเฉยๆ เราต้องแสดงบทบาทในฐานะประเทศที่มีชายแดนติดกับกัมพูชา ที่ต้องช่วยเหลือให้ประเทศอื่นแก้ปัญหาแก๊งสแกมเมอร์ต่อไปได้อย่างเต็มรูปแบบ โดยต้องประสานความร่วมมือเอาคนไทยที่อยู่ในกัมพูชาโดยเฉพาะในพื้นที่สแกมเมอร์ กลับออกมาให้หมดแล้วมาคัดแยก ว่าใครเป็นตัวใหญ่หรือเหยื่อ ถ้าเราช่วยได้ทั้งคนไทยและคนประเทศอื่นๆ บทบาทของไทยในเวทีโลกก็จะเป็นที่ยอมรับในเวทีโลก และย้ำว่าโอกาสทองอยู่ในมือนายอนุทิน และการพูดคุยกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ถ้าไม่มีคำตอบอะไรที่ชัดเจนให้เขา ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย


เมื่อถามว่าจะมีการเชิญร.อ.ธรรมนัส และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และหัวหน้าพรรคกล้าธรรม เข้ามาชี้แจงต่อกมธ.อีกหรือไม่ นายชุติพงศ์ กล่าวว่า เชิญมาอีกแน่นอนในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งเราเห็นความขึงขังจากร.อ.ธรรมนัส ว่าพร้อมช่วยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เว็บพนัน จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ร.อ.ธรรมนัส จะมาชี้แจงว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง พร้อมช่วยประเททศไทยในการแก้ปัญหาอย่างไร และสามารถชี้แจงได้ด้วยว่าเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับนายเบนสมิธ ถ้าร.อ.ธรรมนัส เลือกที่จะรำวงไปเรื่อย ๆ ไม่ตอบอะไรเลย และถ้านายอนุทินยังไม่ทำอะไร ยิ่งนานไปคนยิ่งสงสัยว่าการเงียบของนายอนุทินอยู่ภายใต้ความเกรงใจอะไรหรือไม่ ถ้ายิ่งช้า ยิ่งเงียบคนที่เสียหายที่สุดคือนายอนุทินและพรรคภูมิใจไทย

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #กรรมาธิการความมั่นคง #แก๊งสแกมเมอร์

"เพื่อไทย" โดย "ชูศักดิ์" นำแถลง ร่างแก้ไข รธน.เพื่อไทย ถูกปัดตกเพราะการเมือง ย้ำ! สปิริตเต็มหัวใจ เทคะแนนให้ร่างพรรคประชาชนเพื่อเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สำเร็จ

 


"เพื่อไทย" โดย "ชูศักดิ์" นำแถลง ร่างแก้ไข รธน.เพื่อไทย ถูกปัดตกเพราะการเมือง ย้ำ! สปิริตเต็มหัวใจ เทคะแนนให้ร่างพรรคประชาชนเพื่อเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สำเร็จ 


เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 เวลา 19.45 น. ที่รัฐสภา นายชูศักดิ์ ศิรินิล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พร้อมด้วยสมาชิกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่ประชุมรัฐสภามีมติไม่รับหลักการร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยในวาระแรก ว่าแม้ร่างของพรรคเพื่อไทยจะได้รับเสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่ง แต่ไม่ผ่านเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เนื่องจากได้เสียง ส.ว. เพียง 60 เสียง ขาดไป 6 เสียง ซึ่งพรรค พยายามอย่างสุดความสามารถ และยึดตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและหลักเกณฑ์ในรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ยืนยันว่าร่างของพรรคเพื่อไทยมีความเป็นกลางที่สุด เปิดโอกาสให้องค์กรต่างๆ เข้าร่วมเป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) และเป็นร่างที่สมควรได้รับการสนับสนุนมากที่สุด

นายชูศักดิ์ กล่าวต่อว่าตนเชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้ร่างของพรรคเพื่อไทยตกไป เป็นเพราะเหตุผลทางการเมือง แม้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยจะตกไป แต่พรรคเพื่อไทยก็ตัดสินใจโหวตสนับสนุนร่างของพรรคประชาชนที่ผ่านให้เป็นร่างหลัก เนื่องจากมีความใกล้เคียงกับแนวทางของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะเรื่องการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมเป็น สสร. เพื่อให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นประชาธิปไตย


​นายชูศักดิ์ กล่าวอีกว่า ตนยืนยันว่าแม้ผลจะเป็นเช่นนี้ แต่พรรคเพื่อไทยยินดีจะให้ความร่วมมือและส่งตัวแทนเข้าไปเป็นคณะกรรมาธิการ (กมธ.) อย่างเต็มที่เพื่อร่วมผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้สำเร็จ 


นอกจากนี้ นายชูศักดิ์ ได้ฝากประเด็นข้อสังเกตไว้ให้พรรคประชาชนด้วยว่า พรรคประชาชนจะต้องติดตาม ตรวจสอบ ไตร่ตรองให้ดี โดยเฉพาะรูปแบบของ สสร. ที่อาจต้องมีการผสมผสานกับแนวทางของพรรคเพื่อไทย และอาจมีการแปรญัตตินำร่างพรรคเพื่อไทยไปประกอบในวาระที่ 2 เพื่อให้เป็นทางออก นอกจากนี้ เรายังมีความกังวลเรื่องเวลาที่จำกัดในการทำประชามติ ซึ่งอาจทำให้มีเวลาในการยกร่างรัฐธรรมนูญไม่เกิน 2 เดือน


ผู้สื่อข่าวถามว่า ร่างของพรรคประชาชนอาจมีความกังวลว่าอาจจะนำไปสู่การแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 อาจทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญตกไปทั้งกระบวนการหรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า การแก้ไขหมวด 1 หมวด 2 ไม่ใช่คณะกรรมาธิการจะแก้ได้ จะแก้ไขได้ก็ต่อเมื่อมี ส.ส.ยกร่างฉบับใหม่แล้ว กฎหมายไม่ได้ห้ามแก้ แต่ถ้าจะแก้ต้องทำประชามติ เชื่อว่าไม่มีการแก้ไขเพราะในอดีตที่ผ่านมาก็ไม่มีการแก้ไข ร่างของพรรคเพื่อไทยก็ไม่ห้ามไว้ เพราะถ้าจำเป็นจริงๆ ที่จะต้องแก้ไขเดี๋ยวจะไม่มีทางออก ซึ่งเหตุการณ์ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต


ส่วนความกังวลที่ว่า สว.จะขวางตั้งแต่ต้นน้ำหรือไม่นั้น นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ก็สุดแต่เขา ต้องไปเคลียร์กันให้ดี เราพยายามอธิบาย 2 วัน ยกเหตุผลมาพูด ถ้าไม่ฟังกันก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ทั้งนี้ที่ร่างของพรรคประชาชนยังถูกโจมตีว่าขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งหากมีการยื่นต่อศาลว่าขัดกับคำวินิจฉัยนั้น หลักการยื่นศาลทั่วไปจะต้องใช้มติรัฐสภาเพื่อวินิจฉัยอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ไม่ได้หมายความว่าอยู่ดีๆ จะยื่นได้ แต่ถ้าเสียงข้างมากบอกให้ถาม ก็ต้องไปคิดกันอีกเรื่องหนึ่ง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคเพื่อไทย #แก้ไขรัฐธรรมนูญ #ประชุมสภา

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2568

สว.โหวตคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ "เพื่อไทย"

 


สว.โหวตคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ "เพื่อไทย"


วันนี้ (15 ตุลาคม 2568) ที่ประชุมร่วมรัฐสภาได้ลงมติรับหลักการ (วาระ 1) ต่อร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับจากทั้งหมด 3 ฉบับ โดยร่างแรกของ พริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน มีมติ “รับหลักการ” 568 เสียง, ไม่รับ 10 เสียง, งดออกเสียง 74 เสียง


ร่างที่สองของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พรรคภูมิใจไทย ได้เสียงเห็นชอบ 629 เสียง ซึ่งมากกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา และมีเสียงสนับสนุนจาก สว. 167 เสียง เกินหนึ่งในสาม จึง “ผ่านวาระ 1”


ส่วนร่างที่สามของ ชูศักดิ์ ศิรินิล พรรคเพื่อไทย ได้เสียงเห็นชอบ 521 เสียง เกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา แต่ สว.เห็นชอบเพียง 60 เสียง ไม่ถึงหนึ่งในสาม จึง “ไม่ผ่าน” ในวาระแรก


ร่างของพรรคเพื่อไทยมีสาระสำคัญคือ เปิดทางจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยแก้ มาตรา 156 ให้รัฐสภาประชุมร่วมเพื่อพิจารณาความจำเป็นในการยกร่างใหม่ และเพิ่ม หมวด 15/1 กำหนดหลักเกณฑ์จัดตั้ง สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) 151 คน


ในจำนวนนี้ 100 คนมาจากการเลือกตั้งทั่วประเทศ โดยแต่ละจังหวัดและกรุงเทพฯ ต้องมีผู้แทนอย่างน้อยหนึ่งคน ส่วน อีก 51 คน ให้รัฐสภาแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ ภาคประชาชน และตัวแทนองค์กรต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง


คุณสมบัติผู้สมัคร สสร. ต้องเป็นคนไทยโดยกำเนิด อายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี และมีความเกี่ยวพันกับจังหวัดที่ลงสมัครไม่ต่ำกว่า 5 ปี ไม่ว่าจะเป็นการเกิด ศึกษา ทำงาน หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน เพื่อให้ผู้แทนร่างรัฐธรรมนูญเป็นคนที่รู้จักพื้นที่และสะท้อนรากของประชาชนอย่างแท้จริง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคเพื่อไทย #แก้ไขรัฐธรรมนูญ #ประชุมสภา

ศูนย์ทนายฯเผย “อัยการ” สั่งไม่ฟ้อง ม.112 “เบนจา อะปัญ” ปราศรัย #ม็อบ3กันยา64 ชี้ เป็นการแสดงความเห็นเกี่ยวกับรัฐบาล ไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทกษัตริย์

 


ศูนย์ทนายฯเผย “อัยการ” สั่งไม่ฟ้อง ม.112 “เบนจา อะปัญ” ปราศรัย #ม็อบ3กันยา64 ชี้ เป็นการแสดงความเห็นเกี่ยวกับรัฐบาล ไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทกษัตริย์


วันนี้ (15 ต.ค. 68) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า พนักงานอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีของ เบนจา อะปัญ ในข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา #มาตรา112 และข้อหา “ยุยงปลุกปลั่นฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา #มาตรา116 จากเหตุปราศรัยที่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2564 ใน #ม็อบราษฎรไม่ไว้วางใจมึง


สำหรับคำวินิจฉัยสั่งไม่ฟ้องในข้อหามาตรา 112 ระบุโดยสรุปว่า ‘คำปราศรัยเป็นการแสดงความรู้สึกผิดหวังเกี่ยวกับสถานการณ์ประเทศและวิพากษ์วิจารณ์การทำงานรัฐบาลในขณะนั้น ซึ่งเป็นการตั้งคำถามและแสดงความคิดเห็นที่ไม่พอใจเกี่ยวกับที่มาและการบริหารประเทศของรัฐบาล ไม่ได้มีเจตนาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์’ ส่วนในข้อหามาตรา 116 ระบุว่า เป็นการชุมนุมภายในกรอบความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ แสดงความเห็นและติชมโดยสุจริต ไม่ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎหมายแผ่นดินหรือทำให้กระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน


ทั้งนี้ เบนจาถูกดำเนินคดีในข้อหาตามมาตรา 112 ทั้งหมด 8 คดี กรณีที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องในคดีนี้ เป็นผลให้คดีสิ้นสุดลง และยังเหลืออีก 6 คดี ที่ยังอยู่ระหว่างพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ส่วนอีกคดีหนึ่งสิ้นสุดแล้วเนื่องจากไม่มีการอุทธรณ์คดีต่อ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #มาตรา112