วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2568

นายกฯ โพสต์ ยืนยัน ไทยพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีน ชวนร่วมฉลองตรุษจีนร่วมกัน

 




นายกฯ โพสต์ ยืนยัน ไทยพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีน ชวนร่วมฉลองตรุษจีนร่วมกัน


วันนี้ (17 มกราคม 2568) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้โพสต์ข้อความผ่าน Facebook บัญชีผู้ใช้ Ing Shinawatra ความว่า


ที่ผ่านมามีข่าวที่สร้างผลกระทบในทางลบต่อประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกหลวง ทัวร์ศูนย์เหรียญ ปัญหาทุนจีนสีเทา


ถึงแม้กรณีต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดจากการหลอกลวงของคนไทย แต่เมื่อเกิดขึ้นในประเทศไทย ก็สร้างความวิตกกังวลให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนถึงมาตรฐานความปลอดภัย โดยเฉพาะปัญหาการค้ามนุษย์ในประเทศไทย


ในฐานะนายกรัฐมนตรี ดิฉันไม่ได้นิ่งนอนใจค่ะ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ตรวจสอบการทำงาน และร่วมกันหารือเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางเข้าและออกจากประเทศไทย และได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานทำงานบูรณาการร่วมกันปราบอาชญากรรมข้ามชาติอย่างเด็ดขาด


ดิฉันขอให้หน่วยงานความมั่นคง ยกระดับการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้น และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาทำการประชาสัมพันธ์ สร้างแรงจูงใจให้มาเที่ยวเมืองไทย ซึ่งตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ผ่านมา ไม่ได้ลดลงอย่างที่เป็นข่าว จนถึงปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวชาวจีน 1.7 ล้านคน ซึ่งมากกว่าปีที่แล้วค่ะ


ดิฉันขอยืนยันว่าประเทศไทยพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนทุกท่าน และขอเชิญชวนพี่น้องชาวจีนเดินทางมาประเทศไทยเพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนที่จะมาถึงนี้ และในโอกาสที่ปีนี้ครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศไทยด้วยกันค่ะ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นายกฯแพทองธาร #ตรุษจีน68





“พิชัย” ควง “สุชาติ” นำพาณิชย์ ปรับลด-ปลดล็อกสต๊อกข้าว เปิดโอกาสรายย่อย ลดต้นทุนส่งออกข้าว เริ่มบังคับใช้สิ้นเดือนนี้

 


“พิชัย” ควง “สุชาติ” นำพาณิชย์ ปรับลด-ปลดล็อกสต๊อกข้าว เปิดโอกาสรายย่อย ลดต้นทุนส่งออกข้าว เริ่มบังคับใช้สิ้นเดือนนี้


วันที่ 17 มกราคม 2568 ณ ห้องประชุมชั้น 6 กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าวพุทธศักราช 2489 ครั้งที่ 1/2568 เพื่อทลายทุนผูกขาด เพิ่มโอกาสให้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยในการส่งออกเสรีข้าว ตามนโยบายของรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร โดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน และนางอารดา เฟื่องทอง ร่วมด้วย


นายพิชัย กล่าวว่า คณะกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบการแก้ไขปรับปรุงกฎระเบียบการขออนุญาตประกอบการค้าข้าว เพื่ออำนวยความสะดวก เพิ่มโอกาสให้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยในการส่งออกข้าว ได้แก่


1. ปรับเงื่อนไขการสต๊อกข้าวของผู้ส่งออก ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ได้ภายในสิ้นเดือนนี้ (ม.ค.68) โดย 

1.1 กลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์ ไม่ต้องสต๊อกข้าว

1.2 ผู้ประกอบการรายย่อย ที่เป็นบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 10 ล้านบาท ปรับลดสต๊อกข้าวจาก 500 ตัน เหลือ 100 ตัน


2. ปรับค่าธรรมเนียมหนังสืออนุญาตให้ประกอบการค้าข้าวประเภทผู้ส่งออกทั่วไป และผู้ส่งออกข้าวสารบรรจุหีบห่อ

2.1 กลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์ ไม่เก็บค่าธรรมเนียม ในการขออนุญาต

2.2 ผู้ประกอบการรายย่อย ที่ขออนุญาตเป็นผู้ส่งออกทั่วไปบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 10 ล้านบาท ลดค่าธรรมเนียมให้จาก 50,000 บาท เหลือ 10,000 บาท สำหรับบริษัทที่มีทุนจดทะเบียน 10-20 ล้านบาท เหลือ 30,000 บาท

2.3 สำหรับผู้ส่งออกข้าวสารบรรจุกล่องหรือหีบห่อ (ส่งออก แบบมีบรรจุภัณฑ์ ไม่เกิน 12 กิโลกรัม) ลดค่าธรรมเนียมให้จากเดิม 20,000 บาท เหลือ 10,000 บาท


สำหรับการปรับลดค่าธรรมเนียม จะต้องออกเป็นกฎกระทรวง ซึ่งต้องมีการเสนอ ครม. และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาร่างกฎกระทรวง คาดว่าจะดำเนินการได้เรียบร้อยภายในมีนาคม 2568 และหลังจากนี้จะดำเนินการต่อในระยะที่ 2 และ 3 เพื่อเป้าหมายการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายเล็กสามารถผลิตและแข่งขันกับต่างประเทศได้ ที่ท่านนายกรัฐมนตรีต้องการให้เกิดการค้าข้าวเสรี มีเป้าหมายยกเลิกสต๊อกและค่าธรรมเนียมทั้งหมด รวมถึงการร่วมมือในการจดตั้งบริษัทและการขออนุญาตเป็นผู้ประกอบการค้าข้าวและผู้ส่งออกข้าวให้เสร็จภายในการขอครั้งเดียว 


โดยในการปรับปรุงกฎระเบียบนี้ กรมการค้าภายใน ได้เปิดรับฟังความเห็นของผู้ประกอบการค้าข้าว ทั้งผู้ส่งออก โรงสี ทั้งรายใหญ่ รายกลาง รายเล็ก ภาคเกษตรกร และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องแล้ว ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งทุกฝ่ายเห็นว่าเป็นประโยชน์ช่วยลดต้นทุน และเป็นการเปิดโอกาสให้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยสามารถส่งออกข้าวได้เอง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กระทรวงพาณิชย์




“ภัณฑิล” เรียกร้องให้ภาครัฐแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวเร่ร่อน และคนขอทานในพื้นที่ กทม. เพื่อรักษาภาพลักษณ์เมืองท่องเที่ยว

 


“ภัณฑิล” เรียกร้องให้ภาครัฐแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวเร่ร่อน และคนขอทานในพื้นที่ กทม. เพื่อรักษาภาพลักษณ์เมืองท่องเที่ยว


วันที่ 17 มกราคม 2568 เวลา 10.00 น. ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายภัณฑิล น่วมเจิม สส. พรรคประชาชน แถลงข่าวเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐบูรณาการแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวเร่ร่อน และคนขอทานในพื้นที่ กทม. กรณีที่ขอทานต่างด้าวมีจำนวนมากที่ย่านอโศก –นานา ซึ่งอาจเป็นคนไร้บ้าน หรือ คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย โดยอาจจะมีแก๊งค้ามนุษย์เข้ามาดำเนินการนำคนต่างด้าวมาอาศัยในกทม.เพื่อขอทานจากคนไทยและ นักท่องเที่ยว ซึ่งทำให้เสียภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่กำลังส่งเสริมการท่องเที่ยว


นายภัณฑิล กล่าวว่า การขอทานที่นำเด็กเล็กมาอุ้มเพื่อเรียกร้องความสงสารจากบุคคลทั่วไป บางครั้งมีการกระชากมือของนักท่องเที่ยว การกระทำดังกล่าวผิดกฎหมายในหลายประเด็น อาทิ กฎหมายเกี่ยวกับคนเข้าเมืองตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 ที่นำเด็กเล็กที่มีความพิการมานั่งร่วมขอทานทั้งวัน หรือเด็กเล็กอาจจะถูกทำให้พิการ อาจเป็นลูกหลานหรือลักพาเด็กมาทำอาชีพนี้


สุดท้าย นายภัณฑิล กล่าวเรียกร้องคนไทยว่า งดการให้ที่ถือเป็นการส่งเสริมอาชีพคนขอทาน รวมทั้งผิดพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กด้วย ขณะเดียวกันก็ขอเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐบูรณาการแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวเร่ร่อนและคนขอทานในพื้นที่ กทม.


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ต่างด้าวเร่ร่อน #คนขอทาน

นายกฯ รับมอบเสื้อภูฟ้า ภาพวาดฝีพระหัตถ์ “ปีมะเส็ง ปีงูเล็ก” เชิญชวนคนไทยร่วมงานตรุษจีนเยาวราช และสถานที่จัดงานทั่วประเทศ

 


นายกฯ รับมอบเสื้อภูฟ้า ภาพวาดฝีพระหัตถ์ “ปีมะเส็ง ปีงูเล็ก” เชิญชวนคนไทยร่วมงานตรุษจีนเยาวราช และสถานที่จัดงานทั่วประเทศ


วันนี้ (17 มกราคม 2568) เวลา 09.30 น. ณ สนามหญ้า หน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นำนายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานจัดงานตรุษจีนเยาวราช ประจำปี 2568 เข้าพบนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อมอบเสื้อภูฟ้าสีแดงลายปีมะเส็ง  จากภาพวาดฝีพระหัตถ์ “ปีมะเส็ง ปีงูเล็ก” ของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อประชาสัมพันธ์งานตรุษจีนเยาวราช ประจำปี 2568 ณ บริเวณถนนเยาวราช กรุงเทพมหานคร จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 มกราคม - 9 กุมภาพันธ์ 2568 โดยปีนี้ "วันตรุษจีน" ตรงกับวันที่ 29 มกราคม 2568 


โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชมการแสดงเชิดสิงโต จากนักเรียนชมรมเชิดสิงโตมังกร 9 ไม้ โรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร และมอบอั่งเปาให้ชมรมเชิดสิงโต ซึ่งถือเป็นการอวยพรให้ตามประเพณีความเชื่อของคนจีน เพื่อให้มีความก้าวหน้า เจริญรุ่งเรือง มีความสุขกายสบายใจตลอดปีมะเส็ง (งูเล็ก) ปี 2568 และถือเป็นเริ่มต้นปีใหม่จีนอย่างมีความสุข พร้อมทั้งเชิญชวนประชาชนเที่ยวงานเทศกาลตรุษจีนเยาวราชที่จะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในวันที่ 29 มกราคม 2568 ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปร่วมงานในครั้งนี้ด้วย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นายกฯแพทองธาร #ตรุษจีน68









วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2568

'พริษฐ์' กมธ. พัฒนาการเมืองฯ เปิดตัวโครงการ 'เซฟสิทธิ เซฟเสียง' ชวนอาสาสมัครจับตาเลือกตั้ง อบจ. 1 ก.พ. นี้แย้มเตรียมนำเสนอรายงานข้อเสนอปรับปรุงกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ก.พ.

 


'พริษฐ์' กมธ. พัฒนาการเมืองฯ เปิดตัวโครงการ 'เซฟสิทธิ เซฟเสียง' ชวนอาสาสมัครจับตาเลือกตั้ง อบจ. 1 ก.พ. นี้แย้มเตรียมนำเสนอรายงานข้อเสนอปรับปรุงกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ก.พ.


เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2568 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธาน (กมธ.) คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร เปิดตัวโครงการ "เซฟสิทธิ เซฟเสียง" เพื่อเชิญชวนประชาชนมาร่วมเป็นอาสาสมัครจับตาดูการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ในวันเสาร์ที่ 1 ก.พ.นี้


โดยพริษฐ์ ระบุว่า ภาพรวมการทำงานของ กมธ. พัฒนาการเมืองฯ ในการเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเลือกตั้งท้องถิ่น (3 Phases)


วันนี้ ผมและ กมธ. พัฒนาการเมืองฯ ได้ร่วมกันแถลงเปิดตัวโครงการ "เซฟสิทธิ เซฟเสียง" เพื่อเชิญชวนประชาชนมาร่วมเป็นอาสาสมัครจับตาดูการเลือกตั้ง อบจ. ในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ นี้


โครงการ "เซฟสิทธิ เซฟเสียง" เป็นองค์ประกอบหนึ่งของการทำงานของ กมธ. พัฒนาการเมืองฯ ในการติดตาม ตรวจสอบ และเสนอแนะ แนวทางการเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเลือกตั้งท้องถิ่น


การเลือกตั้งท้องถิ่นถือเป็นการเลือกตั้งหนึ่งที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนอย่างมาก เนื่องจากบริการสาธารณะในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นการดำเนินการโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว


กมธ. พัฒนาการเมืองฯ เราจึงมีการทำงานเกี่ยวกับการเลือกตั้งท้องถิ่น โดยเฉพาะการเลือกตั้งระดับ อบจ. ที่จะเกิดขึ้นทั่วประเทศในวันที่ 1 ก.พ. นี้ โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วง (phases) ด้วยกัน


[ Phase 1 (ก่อนวันเลือกตั้ง) = กระตุ้นให้เกิดความสะดวกต่อประชาชนในการออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ]


ในเมื่อเราไม่สามารถโน้มน้าวให้ กกต. เปลี่ยนวันเลือกตั้งจากวันเสาร์มาเป็นวันอาทิตย์ได้สำเร็จ ทาง กมธ. เราจึงได้ดำเนินการดังต่อไปนี้ เพื่อขอความร่วมมือให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันเสาร์


1. ออกหนังสือถึง กกต. เพื่อ

- 1.1. ขอความชัดเจนจาก กกต. ถึงขอบเขตและแนวทางในการใช้กลไกของมาตรา 117 ของ พ.ร.บ. เลือกตั้งท้องถิ่น เพื่อขอให้สถานประกอบการกำหนดให้วันเสาร์ 1 ก.พ. เป็นวันหยุดเต็มวันหรือครึ่งวัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนในการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

- 1.2. ขอให้ กกต. ประสานงานเชิงรุกไปยังองค์กรเอกชน สถานประกอบการ โรงงาน และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับประเทศและในระดับจังหวัด เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกจ้างมีเวลาเพียงพอในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันเสาร์ที่ 1 ก.พ.

- 1.3. สั่งการให้ กกต. ประจำจังหวัด ประสานงานเชิงรุกกับองค์กรเอกชน สถานประกอบการ โรงงาน และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในจังหวัด เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกจ้างมีเวลาเพียงพอในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันเสาร์ที่ 1 ก.พ.

- 1.4. วางแผนล่วงหน้าและป้องกันไม่ให้มีการกำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันอื่นที่ไม่ใช่วันอาทิตย์ในการเลือกตั้งในอนาคต โดยเฉพาะในการเลือกตั้งท้องถิ่นระดับอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2568-2569 (เช่น เทศบาล อบต. กทม. เมืองพัทยา)


2. ออกหนังสือถึงองค์กรเอกชน (เช่น สภาอุตสาหกรรม / สภาหอการค้า / สมาคมธนาคารไทย / สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย) เพื่อขอความร่วมมือในการอำนวยความสะดวกให้ลูกจ้างมีเวลาเพียงพอในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันเสาร์ที่ 1 ก.พ.


3. ออกหนังสือถึงหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง (เช่น กรมโรงงานอุตสาหกรรม / การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) เพื่อขอความร่วมมือในการอำนวยความสะดวกให้คนทำงานในโรงงานและนิคมอุตสาหกรรมมีเวลาเพียงพอในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันเสาร์ที่ 1 ก.พ.


[ Phase 2 (ณ วันเลือกตั้ง) = ตรวจสอบความโปร่งใสและความถูกต้องในการนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้ง ]


ทาง กมธ. เราจัดทำโครงการ "เซฟสิทธิ เซฟเสียง" เพื่อเชิญชวนประชาชนมาร่วมเป็นอาสาสมัครจับตาดูการเลือกตั้ง อบจ. ในววันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ นี้


โครงการนี้เป็นโครงการที่ กมธ. พัฒนาการเมืองฯ ทำร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า (สำนักนวัตกรรม) และ ภาคประชาสังคม (WeVis และ We Watch)


วัตถุประสงค์คือการขอเวลาพี่น้องประชาชนคนละไม่กี่ชั่วโมง เพื่อมาร่วมเป็นอาสาสมัครปกป้องเสียงของประชาชนทุกคน โดยการจับตาดูการเลือกตั้ง อบจ. ตามหน่วยเลือกตั้งใกล้บ้าน หลังการปิดหีบลงคะแนนตอน 17.00 น.


ภารกิจที่เราจะขอให้อาสาสมัครแต่ละคนช่วยจะมี 3 ภารกิจด้วยกัน:


1. เป็นหูเป็นตาและสังเกตการณ์หน่วยเลือกตั้งใกล้บ้าน ตั้งแต่ปิดหีบ (17.00 น.) เป็นต้นไป จนถึงการนับคะแนนเสร็จ

2. เช็คความพร้อมภาพรวมของหน่วยเลือกตั้งว่าเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ ตาม checklist ที่จัดทำให้

3. ถ่ายภาพผลการนับคะแนนของ ผู้สมัครนายก อบจ. และผู้สมัคร ส.อบจ. ณ หน่วยเลือกตั้ง


[ Phase 3 (หลังวันเลือกตั้ง) = จัดทำข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน ]


ทาง กมธ. เราได้ทำงานอย่างต่อเนื่องตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาในการศึกษาและจัดทำรายงานเพื่อรวบรวมข้อเสนอแนะในการปรับปรุงกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยวันนี้หรือสัปดาห์หน้าทาง กมธ. จะมีมติรับรองรายงานดังกล่าว เพื่อนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรในเดือน ก.พ.


ตัวอย่างของข้อเสนอแนะในรายงานรวมถึง:


1. เพิ่มการออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งของประชาชน (เช่น การเลือกตั้งตามที่อยู่อาศัยจริง การเลือกตั้งล่วงหน้า การอำนวยความสะดวกให้ผู้สูงอายุและคนพิการ)

2. ลดความสับสนในการใช้สิทธิเลือกตั้งของประชาชน (เช่น สีบัตรเลือกตั้ง ข้อมลูบนบัตรเลือกตั้ง)

3. เพิ่มความโปร่งใสในการเลือกตั้ง (เช่น ปรับปรุงการจัดเก็บและรายงานผลรายหน่วยเลือกตั้ง เพิ่มการคุ้มครองสิทธิในการสังเกตการณ์เลือกตั้ง)

4. ส่งเสริมการจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นพร้อมกัน (เช่น ระหว่างแต่ละฝ่าย (ผู้บริหาร และ สมาชิกสภา) ระหว่างแต่ละพื้นที่ ระหว่างแต่ละระดับ)


ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ. กันในวันเสาร์ที่ 1 ก.พ. นี้

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กมธพัฒนาการเมือง #จับตาเลือกตั้งอบจ #อบจ





จม.จากแดน 4 “อานนท์” เขียนถึงลูก พ่อเชื่อ “ทุกคน” รู้ภาระหน้าที่ต่อขบวนว่าจะต้องทำอะไร เป็นการตระหนักรู้ ตื่นรู้ ที่ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบอก ขอให้พลังการต่อสู้จงสถิตในทุกคน ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา

 


จม.จากแดน 4 “อานนท์” เขียนถึงลูก พ่อเชื่อ “ทุกคน” รู้ภาระหน้าที่ต่อขบวนว่าจะต้องทำอะไร เป็นการตระหนักรู้ ตื่นรู้ ที่ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบอก ขอให้พลังการต่อสู้จงสถิตในทุกคน ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา


เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 เพจ “อานนท์ นำภา” โพสต์จดหมายจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และข้อความในจดหมายระบุว่า จดหมายฉบับลงวันที่ 15 ม.ค. 2568


เจ้าขาลไม่ค่อยสบาย วานนี้ที่ศาลแม่เลยไม่ได้พามาเจอ แม่เล่าให้ฟังว่าเจ้าขาลรู้จักทักทายผู้ใหญ่ด้วยคำว่า “หวัดดีครับ” แล้ว


15 มกราคม 2568 ถึงปราณปละขาล ลูกรัก


เสียดายที่พวกเราไม่ได้เจอกันเมื่อวาน อย่างไรก็ตาม แม่เอารูปเจ้าปราณที่ไปเที่ยวช่วงปีใหม่และรูปเจ้าขาลไปประชุมศูนย์ทนายกับบรรดาลุงป้าน้าอามาให้ดูที่ศาล ทั้งปราณและขาล ดูร่าเริงสุขภาพแข็งแรง เท่านี้ก็พลอยทำให้พ่อมีกำลังใจในการต่อสู้แล้ว


คดีเมื่อวานนี้เลื่อนไปพิจารณาอีกทีเดือนพฤษภาคมเพราะต้องออกหมายจับจำเลยอีกคนที่ลี้ภัยการเมือง อย่างไรก็ตามพวกเราต้องช่วยกันให้กำลังใจทั้งคนที่อยู่ในประเทศและคนที่ออกไปต่อสู้นอกประเทศ การต่อสู้ทางการเมืองไม่ใช่เรื่องที่สามารถรวบรัดให้จบภายในวันสองวัน การผ่อนสั้นผ่อนยาว ผ่อนหนักผ่อนเบา ประคับประคองกันไปจึงเป็นเรื่องสำคัญ จำเป็น การสื่อสารถึงสถารการณ์การเมืองในไทยต่อต่างชาติเป็นสิ่งที่ต้องมีคนทำงานส่วนนี้ พ่อมั่นใจเลืหอเกินว่าคนที่เลือกเดินทาง การต่อสู้จากภายนอกประเทศจะสามารถทำภารกิจสำคัญนี้ได้ ส่วนพ่อซึ่งเลือกเส้นทางสู้ในประเทศขอให้สัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุด


ตั้งแต่วันแรกที่พวกเราตกลงปลงใจที่จะทำภารกิจนี้ พวกเราย่อมตระหนักถึงขวากหนามที่จะตามมา ทว่าบรรดาอุปสรรคขวากหนามเหล่านี้จะกลายเป็นยาพลังในการต่อสู้ของพวกเรา เพื่อสังคมที่มีสิทธิเสรีภาพ ความเท่าเทียมกัน พ่อเชื่อเหลือเกินว่า “ทุกคน” รู้ภาระหน้าที่ต่อขบวนว่าจะต้องทำอะไร แม้ในทุกสาขาอาชีพ ในทุกพื้นที่ก็ย่อมรู้ว่าต้องทำอะไร มันเป็นการตระหนักรู้ ตื่นรู้ ที่ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบอก มาสะกิดให้ต้องทำอะไร


ขอให้พลังการต่อสู้จงสถิตในทุกคน

ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา


สำหรับ อานนท์ นำภา ขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ภายหลังศาลอาญาพิพากษาจำคุก 4 ปี ปรับเป็นเงิน 20,000 บาท โดยไม่รอลงอาญา ในคดี #มาตรา112 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 เหตุจากการขึ้นปราศรัยใน #ม็อบ14ตุลา63


จากนั้น 17 ม.ค. 67 ศาลอาญาสั่งจำคุก "อานนท์ นำภา" เพิ่มอีก 4 ปี จากคดีมาตรา 112 กรณีโพสต์เฟซบุ๊กปี 2564 โดยให้บวกโทษเก่าอีก 4 ทำให้อานนท์มีโทษจำคุกรวมแล้ว 8 ปี


ต่อมา เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2567 เวลา 09.00 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดฟังคำพิพากษาคดีของ อานนท์ นำภา หลังถูกฟ้องใน 4 ข้อกล่าวหา ได้แก่ หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ และ ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุมาจากการปราศรัยถึงข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ในกิจกรรม ‘เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาชน’ หรือ #ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์2 ที่ลานหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2564


โดยศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดทุกข้อหาตามฟ้อง พิพากษาจำคุกรวม 3 ปี 1 เดือน ปรับ 150 บาท ก่อนลดเพราะให้การเป็นประโยชน์ เหลือจำคุก 2 ปี 20 วัน และปรับ 100 บาท


ทำให้รวม 4 คดี อานนท์ถูกลงโทษจำคุกรวมทั้งสิ้น 10 ปี 20 วัน เมื่อรวมกับสองคดีในข้อหามาตรา 112 ที่ศาลอาญามีคำพิพากษาลงโทษจำคุกคดีละ 4 ปี ไปเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2566 และ 17 ม.ค. 2567


โดยเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 นี้ อานนท์ นำภา มีนัดฟังคำสั่งที่ศาลอาญา รัชดา คดีเขียนจดหมายถึงกษัตริย์ โดยศาลอาญาพิพากษาจำเลยผิดตาม #มาตรา112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) ลงโทษจำคุก 3 ปี มีเหตุลดโทษตามมาตรา 78 ลดโทษ 1/3 คงจำคุก 2 ปี นับโทษต่อจากคดีอื่น ทำให้รวมโทษจำคุกอานนท์เป็น 16 ปี 2 เดือน 20 วัน ใน 5 คดี


และวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ที่ศาลอาญา รัชดา มีนัดฟังคำสั่ง ม.112 นับเป็นคดีที่ 6 #แฮรี่พอร์ตเตอร์1 โดยมีคำพิพากษา“ จำคุก 4 ปี ก่อนลดเหลือ 2 ปี 8 เดือน ตามความผิดในข้อหา ม.112 ม.116 แต่ยกฟ้องในข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียง และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ทำให้โทษจำคุกรวมล่าสุด 18 ปี 10 เดือน 20 วัน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อานนท์นำภา #มาตรา112

“เผ่าภูมิ” เผย “เงิน 10,000” เฟสสอง โอน 27 ม.ค. เช็คสิทธิ 22 ม.ค. ผ่านทางรัฐ แนะรีบผูกพร้อมเพย์ รัฐโอนซ้ำให้ 3 ครั้ง

 


เผ่าภูมิ” เผย “เงิน 10,000” เฟสสอง โอน 27 ม.ค. เช็คสิทธิ 22 ม.ค. ผ่านทางรัฐ แนะรีบผูกพร้อมเพย์ รัฐโอนซ้ำให้ 3 ครั้ง


วันที่ 16 มกราคม 2568 ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลจะสนับสนุนเงินจำนวน 10,000 บาทต่อคน แก่ผู้สูงอายุที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ ดังนี้


1. เป็นผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” สำเร็จ (ลงทะเบียนโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet สำเร็จ) ที่มีสัญชาติไทยและมีอายุตั้งแต่ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ 15 กันยายน 2567 (เกิดก่อนหรือในวันที่ 16 กันยายน 2507) และมีคุณสมบัติเพิ่มเติม ดังนี้

1.1 ไม่เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาท สำหรับปีภาษี 2566

1.2 ไม่เป็นผู้ที่มีเงินฝากรวมกันเกิน 500,000 บาท ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567

1.3 ไม่เป็นผู้อยู่ในสถานสงเคราะห์ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567

1.4 ไม่เป็นผู้ต้องขัง 4 ประเภท ได้แก่ นักโทษเด็ดขาด ผู้ต้องขังระหว่าง ผู้ต้องกักขัง และผู้ต้องกักกัน ตามฐานข้อมูลของกรมราชทัณฑ์ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567

1.5 ไม่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับเงินตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ


2. ตรวจสอบสิทธิผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ได้ตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค. 68 เป็นต้นไป โดยกรอกบัญชีผู้ใช้หรือเลขประจำตัวประชาชน (Username) และรหัสผ่าน (Password) เพื่อ “เข้าสู่ระบบ” และกด “ตรวจสอบสถานะการลงทะเบียน” โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เพื่อเข้าสู่หน้าแสดงผลผู้มีสิทธิโครงการฯ


3. ผู้สูงอายุที่มีสิทธิได้รับเงินในโครงการฯ จะได้รับเงิน 10,000 บาท ผ่านบัญชีเงินฝากที่ผูกพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น (ไม่สามารถรับเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกไว้กับเบอร์โทรศัพท์ได้) ซึ่งสามารถผูกกับบัญชีเงินฝากของธนาคารใดก็ได้โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นธนาคารของรัฐ ทั้งนี้ ขอแนะนำให้ดำเนินการผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 22 ม.ค. 68 เพื่อรอรับการจ่ายเงินในวันที่ 27 ม.ค. 68


4. ควรตรวจสอบกับธนาคารด้วยว่าบัญชีพร้อมเพย์ดังกล่าวยังคงมีสถานะปกติที่สามารถรับเงินโอนได้หรือไม่ เพื่อให้มั่นใจว่าพร้อมรับเงินในวันที่ 27 ม.ค. 68


5. ในกรณีที่จ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมายไม่สำเร็จในครั้งแรก จะมีการดำเนินการจ่ายเงินซ้ำ (Retry) ให้แก่กลุ่มเป้าหมายดังกล่าวจำนวน 3 ครั้ง ได้แก่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 28 มีนาคม และ 28 เมษายน 68


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เงินหมื่นเฟส2 #ทางรัฐ