‘พริษฐ์’ ยันเดินหน้าหารือ ‘นายกรัฐมนตรี - ปธ.สภา - ศาลรัฐธรรมนูญ’ มอง
กมธ.ร่วมฯ ไม่ควรลากยาว ชี้ ทางออกที่ดีที่สุด เพื่อให้ได้
รธน.ฉบับใหม่ทันเลือกตั้งครั้งหน้า ต้องใช้ ‘ประชามติ 2 ครั้ง’
วันที่
6 พฤศจิกายน 2567 ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ
สส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคประชาชน เปิดเผยก่อนการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.)
ร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ...ว่า ต้องรอดูว่า กรอบเวลาพิจารณาร่างดังกล่าว จะใช้เวลาสั้นหรือนานแค่ไหน
แต่หวังว่าการประชุมร่วมกันของสองสภาไม่ควรใช้เวลานาน
เนื่องจากมีเพียงประเด็นเดียวที่ยังมีความเห็นต่างกัน
คือเรื่องการใช้กติกาเสียงข้างมากหนึ่งชั้นหรือเสียงข้างมากสองชั้น
สำหรับการทำประชามติที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
นายพริษฐ์
ย้ำความเห็นของตัวเองว่า หากรัฐบาลยังยึดแผนเดิม ที่จะให้มีการทำประชามติ 3 ครั้ง
และการผูกเงื่อนไขไว้ว่า จะไม่ทำประชามติครั้งแรก จนกว่าจะมีการแก้ พ.ร.บ.
ประชามติเสร็จนั้น ตนเกรงว่าจะมีความเป็นไปได้น้อยมาก
ที่เราจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งถูกจัดทำโดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)
ให้ถูกบังคับใช้ได้ทันก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป
เนื่องจากความประสงค์ของรัฐบาล
คืออยากให้เกิดขึ้นพร้อมกับการเลือกตั้งท้องถิ่นช่วงต้นปี 68 แต่ในเมื่อวันนี้ที่ร่าง
พ.ร.บ.ประชามติ ยังไม่ได้ข้อสรุป จึงทำให้กรอบเวลาดังกล่าว
มีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะเป็นจริงได้ ซึ่งหนทางเดียวที่จะเป็นไปได้นั้น
ก็คือการลดจำนวนการทำประชามติจาก 3 ครั้ง เหลือ 2 ครั้ง ตามที่พรรคประชาชนยืนยันมาตลอด ว่าเพียงพอแล้ว
นายพริษฐ์
ยังกล่าวถึงการขอเข้าพบ 3
บุคคลที่มีส่วนสำคัญในเรื่องนี้ คือ
1.
ประธานรัฐสภา ซึ่งได้มีการยืนยันว่า จะมีการพบกันในวันที่ 27 พ.ย.67
นี้ คาดว่าในการหารือครั้งนี้ เราจะสามารถคลายข้อกังวล
เรื่องการบรรจุร่างดังกล่าวไม่ได้ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 และหวังว่าประธานรัฐสภา จะทบทวนการตัดสินใจ และบรรจุร่างดังกล่าว
2. นายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นหัวหน้าฝ่ายรัฐบาล ตนตั้งใจว่าจะเข้าไปหารือ
ในการเชิญชวนให้ทุกพรรคการเมืองเห็นตรงกันในการทำประชามติ 2 ครั้ง
เพื่อให้ สส.จากทุกพรรคลงมติเห็นชอบกับแนวทางนี้
และเห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะให้ สสร.ขึ้นมาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
รวมถึงขอความร่วมมือจากทุกพรรคการเมือง ในการโน้มน้าว
สว.ให้เห็นชอบด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งก็ได้รับทราบว่า นายกรัฐมนตรียินดีที่จะให้เข้าพบ
3.
ศาลรัฐธรรมนูญ แม้ตนจะยืนยันว่าคำวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564
ไม่ได้ระบุว่า ต้องทำมาจากประชามติ 3 ครั้ง
แต่เพื่อให้เกิดความชัดเจนกับทุกฝ่าย
จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งหากศาลรัฐธรรมนูญจะมาขยายความเพิ่มเติม
ว่าหมายถึงขั้นตอนอย่างไร และหมายถึงการทำประชามติกี่ครั้ง เพื่อให้ทุกฝ่ายสบายใจ
ในการเดินหน้าตามประชามมติ 2 ครั้ง
สำหรับกรณีที่เสียง
สส.ขาด ในการประชุมนัดแรก วาระเลือกประธาน กมธ.นั้น มีการแก้ไขปัญหาอย่างไร
เพื่อให้คะแนนเสียงของสองสภาเท่ากัน นายพริษฐ์ ระบุว่า การลงมติเป็นการลงมติแบบลับ
แต่หากดูจากผลการลงมติก็จะพอคำนวณได้ว่า คะแนนจาก สว. ซึ่งถูกเสนอชื่อเป็นประธาน
ได้รับมากกว่าจำนวน สว.ที่เข้าประชุมในวันนั้น หมายความว่า คงมี กมธ.สัดส่วน
สส.ไปลงมติให้ แต่เราไม่สามารถรู้ได้ว่ามีใครบ้าง ส่วนเรื่องการเติมรายชื่อนั้น
ข้อบังคับไม่ได้เปิดไว้ เพราะ กมธ. มีฝั่งละ 14 คน
จึงขึ้นอยู่กับว่าในการประชุมแต่ละครั้งมีตัวแทนจากฝั่งละกี่คน
สำหรับข้อกังวลที่
กมธ.สัดส่วนพรรคภูมิใจไทย อาจจะหนุนเสียงข้างมากสองชั้น ซึ่งสอดคล้องกับ สว. นั้น
นายพริษฐ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกันในรายละเอียด เพราะการคุยกันครั้งก่อน
ไม่ได้ลงลึกเรื่องเนื้อหา แต่หากวิเคราะห์จากการลงมติในที่ประชุมสภาใหญ่
จะเห็นว่าทุกพรรคยืนยัน ตามร่างของ สส. มีเพียงพรรคภูมิใจไทยพรรคเดียว
ที่งดออกเสียงในวันนั้น จึงอาจจะอนุมานได้ว่า
หากจะมีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งที่ดูเหมือนจะเห็นด้วยกับการลงมติเสียงส่วนใหญ่ของ
สว.ก็อาจจะเป็นพรรคภูมิใจไทย แต่จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ต้องไปคุยกันในชั้น กมธ.
เมื่อถามว่า
สว. ได้มีการให้เหตุผลเพิ่มเติมเรื่องการหนุนเสียงข้างมากสองชั้นหรือไม่ นายพริษฐ์
กล่าวว่า ในรอบที่แล้วยังไม่มีการคุยเรื่องเนื้อหา
แต่คาดว่าในวันนี้จะได้รับฟังความเห็นของทุกฝ่ายเพิ่มเติมมากขึ้น ซึ่งตนในฐานะ
กมธ.คนหนึ่ง ก็ได้ย้อนฟังการประชุม และจดเหตุผลของทุกคนไว้ จึงหวังว่าจะสามารถตอบ
ข้อกังวลของ สว.ได้
ส่วนได้มีการประเมินหรือไม่
ว่าจะต้องใช้การประชุมกี่ครั้ง จึงจะได้ข้อสรุป นายพริษฐ์ มองว่า
คงต้องขึ้นอยู่กับที่ประชุม แต่ส่วนตัวมองว่า ไม่ควรใช้เวลานาน
เพราะหากยิ่งได้ข้อสรุปเร็ว ก็จะยิ่งทำให้แต่ละขั้นตอนเดินหน้าต่อได้เร็วยิ่งขึ้น
ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่ต้องทำให้การประชุมลากยาว
นายพริษฐ์
ยังยกตัวอย่าง หากเกิดกรณีที่ กมธ.ร่วมได้ข้อสรุปที่สภาไม่เห็นชอบว่า
ในเชิงรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับ สส.ยังสามารถยืนยันร่างของ สส.ได้
เพียงแต่ต้องบวกเวลาอีก 6
เดือน ที่ต้องถูกยับยั้งไว้ ซึ่งหลายคนก็กังวลว่า
จะกระทบกับไทม์ไลน์ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ข้อกังวลตรงนี้จะหายไปทันที
ถ้าเรากลับไปใช้กระบวนการลดจากการทำ ประชามติ 3 ครั้ง เหลือ 2
ครั้ง เพราะเวลา 6 เดือนนั้น
จะไม่ส่งผลกระทบต่อไทม์ไลน์ดังกล่าว
เนื่องจากกระบวนการนี้
ในขั้นตอนแรกไม่ใช่การจะทำประชามติเลย แต่คือการที่สภาพิจารณา
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเลือก สสร. เพราะฉะนั้น ตนเชื่อว่าหากไปตามแผนนั้น
กว่ารัฐสภาจะพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จ ข้อสรุปเรื่อง พ.ร.บ.ประชามติ
ก็น่าจะเรียบร้อยแล้ว และทำให้ครั้งแรกของการทำประชามติ
ภายหลังร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่าน 3 วาระของสภา ไม่ล่าช้าออกไป จากปัญหาการแก้ไข
พ.ร.บ.ประชามติ
ดังนั้น
หากมองในภาพใหญ่ อย่ามองแค่บทสรุปของ กมธ.ในห้องนี้ การหันมาใช้แผนทำประชามติ 2 ครั้ง
ก็ดูน่าจะเป็นทางออก ที่ทำให้เราได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
บังคับใช้ทันก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้าได้มากที่สุด
และจะทำให้รัฐบาลสามารถรักษาสัญญาที่ได้ให้ไว้กับประชาชนได้
ว่าจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทันการเลือกตั้งครั้งถัดไป
เมื่อถามย้ำว่า
แปลว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับผลของ กมธ.ประชามติ ใช่หรือไม่ นายพริษฐ์ ยืนยันว่า
เราให้ความสำคัญกับทุกเรื่อง แต่การเสนอแบบนี้ จะไม่ทำให้เรื่องนี้
กลายเป็นอุปสรรคต่อแผน
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #กรรมาธิการ #ประชามติ #รัฐธรรมนูญ