วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

‘พริษฐ์’ ยันเดินหน้าหารือ ‘นายกรัฐมนตรี - ปธ.สภา - ศาลรัฐธรรมนูญ’ มอง กมธ.ร่วมฯ ไม่ควรลากยาว ชี้ ทางออกที่ดีที่สุด เพื่อให้ได้ รธน.ฉบับใหม่ทันเลือกตั้งครั้งหน้า ต้องใช้ ‘ประชามติ 2 ครั้ง’

 


พริษฐ์’ ยันเดินหน้าหารือ ‘นายกรัฐมนตรี - ปธ.สภา - ศาลรัฐธรรมนูญ’ มอง กมธ.ร่วมฯ ไม่ควรลากยาว ชี้ ทางออกที่ดีที่สุด เพื่อให้ได้ รธน.ฉบับใหม่ทันเลือกตั้งครั้งหน้า ต้องใช้ ‘ประชามติ 2 ครั้ง’


วันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคประชาชน เปิดเผยก่อนการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ...ว่า ต้องรอดูว่า กรอบเวลาพิจารณาร่างดังกล่าว จะใช้เวลาสั้นหรือนานแค่ไหน แต่หวังว่าการประชุมร่วมกันของสองสภาไม่ควรใช้เวลานาน เนื่องจากมีเพียงประเด็นเดียวที่ยังมีความเห็นต่างกัน คือเรื่องการใช้กติกาเสียงข้างมากหนึ่งชั้นหรือเสียงข้างมากสองชั้น สำหรับการทำประชามติที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ


นายพริษฐ์ ย้ำความเห็นของตัวเองว่า หากรัฐบาลยังยึดแผนเดิม ที่จะให้มีการทำประชามติ 3 ครั้ง และการผูกเงื่อนไขไว้ว่า จะไม่ทำประชามติครั้งแรก จนกว่าจะมีการแก้ พ.ร.บ. ประชามติเสร็จนั้น ตนเกรงว่าจะมีความเป็นไปได้น้อยมาก ที่เราจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งถูกจัดทำโดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ให้ถูกบังคับใช้ได้ทันก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป


เนื่องจากความประสงค์ของรัฐบาล คืออยากให้เกิดขึ้นพร้อมกับการเลือกตั้งท้องถิ่นช่วงต้นปี 68 แต่ในเมื่อวันนี้ที่ร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ยังไม่ได้ข้อสรุป จึงทำให้กรอบเวลาดังกล่าว มีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะเป็นจริงได้ ซึ่งหนทางเดียวที่จะเป็นไปได้นั้น ก็คือการลดจำนวนการทำประชามติจาก 3 ครั้ง เหลือ 2 ครั้ง ตามที่พรรคประชาชนยืนยันมาตลอด ว่าเพียงพอแล้ว


นายพริษฐ์ ยังกล่าวถึงการขอเข้าพบ 3 บุคคลที่มีส่วนสำคัญในเรื่องนี้ คือ


1. ประธานรัฐสภา ซึ่งได้มีการยืนยันว่า จะมีการพบกันในวันที่ 27 พ.ย.67 นี้ คาดว่าในการหารือครั้งนี้ เราจะสามารถคลายข้อกังวล เรื่องการบรรจุร่างดังกล่าวไม่ได้ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 และหวังว่าประธานรัฐสภา จะทบทวนการตัดสินใจ และบรรจุร่างดังกล่าว


2. นายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นหัวหน้าฝ่ายรัฐบาล ตนตั้งใจว่าจะเข้าไปหารือ ในการเชิญชวนให้ทุกพรรคการเมืองเห็นตรงกันในการทำประชามติ 2 ครั้ง เพื่อให้ สส.จากทุกพรรคลงมติเห็นชอบกับแนวทางนี้ และเห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะให้ สสร.ขึ้นมาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รวมถึงขอความร่วมมือจากทุกพรรคการเมือง ในการโน้มน้าว สว.ให้เห็นชอบด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งก็ได้รับทราบว่า นายกรัฐมนตรียินดีที่จะให้เข้าพบ


3. ศาลรัฐธรรมนูญ แม้ตนจะยืนยันว่าคำวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 ไม่ได้ระบุว่า ต้องทำมาจากประชามติ 3 ครั้ง แต่เพื่อให้เกิดความชัดเจนกับทุกฝ่าย จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งหากศาลรัฐธรรมนูญจะมาขยายความเพิ่มเติม ว่าหมายถึงขั้นตอนอย่างไร และหมายถึงการทำประชามติกี่ครั้ง เพื่อให้ทุกฝ่ายสบายใจ ในการเดินหน้าตามประชามมติ 2 ครั้ง


สำหรับกรณีที่เสียง สส.ขาด ในการประชุมนัดแรก วาระเลือกประธาน กมธ.นั้น มีการแก้ไขปัญหาอย่างไร เพื่อให้คะแนนเสียงของสองสภาเท่ากัน นายพริษฐ์ ระบุว่า การลงมติเป็นการลงมติแบบลับ แต่หากดูจากผลการลงมติก็จะพอคำนวณได้ว่า คะแนนจาก สว. ซึ่งถูกเสนอชื่อเป็นประธาน ได้รับมากกว่าจำนวน สว.ที่เข้าประชุมในวันนั้น หมายความว่า คงมี กมธ.สัดส่วน สส.ไปลงมติให้ แต่เราไม่สามารถรู้ได้ว่ามีใครบ้าง ส่วนเรื่องการเติมรายชื่อนั้น ข้อบังคับไม่ได้เปิดไว้ เพราะ กมธ. มีฝั่งละ 14 คน จึงขึ้นอยู่กับว่าในการประชุมแต่ละครั้งมีตัวแทนจากฝั่งละกี่คน


สำหรับข้อกังวลที่ กมธ.สัดส่วนพรรคภูมิใจไทย อาจจะหนุนเสียงข้างมากสองชั้น ซึ่งสอดคล้องกับ สว. นั้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกันในรายละเอียด เพราะการคุยกันครั้งก่อน ไม่ได้ลงลึกเรื่องเนื้อหา แต่หากวิเคราะห์จากการลงมติในที่ประชุมสภาใหญ่ จะเห็นว่าทุกพรรคยืนยัน ตามร่างของ สส. มีเพียงพรรคภูมิใจไทยพรรคเดียว ที่งดออกเสียงในวันนั้น จึงอาจจะอนุมานได้ว่า หากจะมีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งที่ดูเหมือนจะเห็นด้วยกับการลงมติเสียงส่วนใหญ่ของ สว.ก็อาจจะเป็นพรรคภูมิใจไทย แต่จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ต้องไปคุยกันในชั้น กมธ.


เมื่อถามว่า สว. ได้มีการให้เหตุผลเพิ่มเติมเรื่องการหนุนเสียงข้างมากสองชั้นหรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ในรอบที่แล้วยังไม่มีการคุยเรื่องเนื้อหา แต่คาดว่าในวันนี้จะได้รับฟังความเห็นของทุกฝ่ายเพิ่มเติมมากขึ้น ซึ่งตนในฐานะ กมธ.คนหนึ่ง ก็ได้ย้อนฟังการประชุม และจดเหตุผลของทุกคนไว้ จึงหวังว่าจะสามารถตอบ ข้อกังวลของ สว.ได้


ส่วนได้มีการประเมินหรือไม่ ว่าจะต้องใช้การประชุมกี่ครั้ง จึงจะได้ข้อสรุป นายพริษฐ์ มองว่า คงต้องขึ้นอยู่กับที่ประชุม แต่ส่วนตัวมองว่า ไม่ควรใช้เวลานาน เพราะหากยิ่งได้ข้อสรุปเร็ว ก็จะยิ่งทำให้แต่ละขั้นตอนเดินหน้าต่อได้เร็วยิ่งขึ้น ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่ต้องทำให้การประชุมลากยาว


นายพริษฐ์ ยังยกตัวอย่าง หากเกิดกรณีที่ กมธ.ร่วมได้ข้อสรุปที่สภาไม่เห็นชอบว่า ในเชิงรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับ สส.ยังสามารถยืนยันร่างของ สส.ได้ เพียงแต่ต้องบวกเวลาอีก 6 เดือน ที่ต้องถูกยับยั้งไว้ ซึ่งหลายคนก็กังวลว่า จะกระทบกับไทม์ไลน์ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ข้อกังวลตรงนี้จะหายไปทันที ถ้าเรากลับไปใช้กระบวนการลดจากการทำ ประชามติ 3 ครั้ง เหลือ 2 ครั้ง เพราะเวลา 6 เดือนนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อไทม์ไลน์ดังกล่าว


เนื่องจากกระบวนการนี้ ในขั้นตอนแรกไม่ใช่การจะทำประชามติเลย แต่คือการที่สภาพิจารณา ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเลือก สสร. เพราะฉะนั้น ตนเชื่อว่าหากไปตามแผนนั้น กว่ารัฐสภาจะพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จ ข้อสรุปเรื่อง พ.ร.บ.ประชามติ ก็น่าจะเรียบร้อยแล้ว และทำให้ครั้งแรกของการทำประชามติ ภายหลังร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่าน 3 วาระของสภา ไม่ล่าช้าออกไป จากปัญหาการแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ


ดังนั้น หากมองในภาพใหญ่ อย่ามองแค่บทสรุปของ กมธ.ในห้องนี้ การหันมาใช้แผนทำประชามติ 2 ครั้ง ก็ดูน่าจะเป็นทางออก ที่ทำให้เราได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ บังคับใช้ทันก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้าได้มากที่สุด และจะทำให้รัฐบาลสามารถรักษาสัญญาที่ได้ให้ไว้กับประชาชนได้ ว่าจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทันการเลือกตั้งครั้งถัดไป


เมื่อถามย้ำว่า แปลว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับผลของ กมธ.ประชามติ ใช่หรือไม่ นายพริษฐ์ ยืนยันว่า เราให้ความสำคัญกับทุกเรื่อง แต่การเสนอแบบนี้ จะไม่ทำให้เรื่องนี้ กลายเป็นอุปสรรคต่อแผน

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #กรรมาธิการ #ประชามติ #รัฐธรรมนูญ

"พริษฐ์" จี้ กกต. ทบทวนวันเลือกตั้ง อบจ. ข้องใจเคาะวันเสาร์ ห่วง ปปช.ใช้สิทธิ์ลำบาก จ่อเข้าพบ หารือ 28 พ.ย.นี้

 


"พริษฐ์" จี้ กกต. ทบทวนวันเลือกตั้ง อบจ. ข้องใจเคาะวันเสาร์ ห่วง ปปช.ใช้สิทธิ์ลำบาก จ่อเข้าพบ หารือ 28 พ.ย.นี้


วันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 ที่อาคารรัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ให้ความเห็นถึงกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดแผนการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) ให้วันเลือกตั้งเป็นวันเสาร์ที่ 1 ก.พ. 2568


นายพริษฐ์ มองว่า เป็นเรื่องน่ากังวลที่ กกต. มีมติเห็นชอบวันเลือกตั้ง อบจ. เป็นวันเสาร์ มีข้อกังวล 2 ประการ คือ คนส่วนมากทำงานวันเสาร์ และวันอาทิตย์ลางานไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง สำหรับผู้ที่ทำงานวันจันทร์ถึงวันศุกร์ แต่ไม่ได้อยู่ในภูมิลำเนา หากวันเลือกตั้งเป็นวันเสาร์ เวลาเดินทางก็จะถูกบีบให้แคบลง


นอกจากนี้ ยังไม่เห็นเหตุผลชี้แจงว่าทำไม กกต. ถึงเลือกวันเลือกตั้งเป็นวันเสาร์ เพราะจากสถิติของทุกการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 จะเป็นวันอาทิตย์ทั้งหมด จึงอยากให้ กกต. ทบทวน และเปลี่ยนวันเลือกตั้งเป็นวันอาทิตย์ เพื่อความสะดวกให้กับประชาชนในการใช้สิทธิ์เลือกตั้ง


ส่วนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร จะมีการเชิญให้ กกต. มาชี้แจงกรณีดังกล่าวหรือไม่ นายพริษฐ์ ระบุว่า


ที่ผ่านมากรรมาธิการของเราต้องการให้ กกต. มาชี้แจง ซึ่งนับไม่ถูกว่ากี่เดือนกว่าที่ กกต. จะตอบรับคำเชิญ และล่าสุด กกต. ได้ออกหนังสือว่า หากจะต้องเชิญให้เชิญมาชี้แจง ควรแจ้งก่อน 1 เดือนล่วงหน้า ทางกรรมาธิการของเราจึงได้ทำหนังสือขอเข้าพบ กกต. ในช่วงปิดสมัยประชุม ก่อนได้คำตอบรับว่าให้เข้าพบในวันที่ 28 พ.ย. นี้ จากเดิมที่กำหนดไว้ว่าเป็นวันที่ 7 พ.ย.


เรามีนัดเข้าพบกับ กกต. และจะนำทุกประเด็นเข้าหารือ แต่ในเรื่องนี้มีความจำเป็นเร่งด่วน จึงหวังว่า กกต. จะทบทวนการตัดสินใจ ก่อนวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้” นายพริษฐ์ กล่าว


สำหรับข้อสังเกตว่า นายก อบจ. ทยอยลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ จะเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ นายพริษฐ์ ยอมรับว่า หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าการลาออกก่อนครบเป็นการเพิ่มงบประมาณให้สูงขึ้น ที่ผ่านมากรรมาธิการพยายามศึกษากฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นในหลายประเด็น รวมถึงเรื่องนี้ พบว่าทางออกที่พอเป็นไปได้ คือให้วาระของนายก อบจ. และ ส.อบจ. ทุกจังหวัดเกิดขึ้นพร้อมกันทุก 4 ปี หากมีฝ่ายบริหารลาออกก่อน เช่น นายก อบจ. ก็ให้รองนายก อบจ. มาทำหน้าที่แทน


นายพริษฐ์ กล่าวว่า หากเป็นแบบนี้จะได้ประโยชน์หลายเท่า คือประชาชนจะมีความสะดวกมากขึ้นในการออกมาใช้สิทธิ เพราะทุกจังหวัดเลือกตั้งวันเดียวกัน และเลือกตั้งนายก อบจ. กับ ส.อบจ. พร้อมกัน และเป็นประโยชน์ต่อผู้จัดการเลือกตั้งที่สามารถประหยัดงบประมาณ รวมถึงประโยชน์ต่อสื่อมวลชน เพราะการรณรงค์ให้ประชาชนตื่นตัวกับการเลือกตั้งท้องถิ่นจะง่ายขึ้น หากวันเลือกตั้งเป็นวันเดียวกันทุกจังหวัดทั่วประเทศ จะง่ายขึ้นกับการวางแผนทำงาน

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กกต #นายกอบจ #พรรคประชาชน

ด่วน! "ขุนแผน" ผู้ต้องขัง ม.112 มีอาการร่างกายซีกซ้ายทั้งหมดอ่อนแรง ศูนย์ทนายฯ ส่งหนังสือให้เรือนจำ เร่งส่งตัวไปรักษาที่ รพ.ราชทัณฑ์ ทันที! เผยอันตรายถึงชีวิต เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด

 


ด่วน! "ขุนแผน" ผู้ต้องขัง ม.112 มีอาการร่างกายซีกซ้ายทั้งหมดอ่อนแรง ศูนย์ทนายฯ ส่งหนังสือให้เรือนจำ เร่งส่งตัวไปรักษาที่ รพ.ราชทัณฑ์ ทันที! เผยอันตรายถึงชีวิต เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด


วันนี้ (6 พฤศจิกายน 2567) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ทนายความของ "ขุนแผน" ได้เข้าเยี่ยมผู้ต้องขังที่เรือนจำพิเศษ จึงได้รับทราบอาการป่วยของนายเชน ผู้ต้องขังว่าตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ผู้ต้องขังได้มีอาการร่างกายซีกซ้ายเกือบทั้งหมดอ่อนแรง ไม่สามารถใช้มือซ้ายหยิบจับขวดน้ำดื่มเองได้รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง


มีอาการชาทั่วบริเวณแขนขาฝั่งซ้าย และจนถึงปัจจุบันผู้ต้องขัง ยังคงมีอาการป่วยโดยตาข้างซ้ายและมุมปากด้านซ้าย มีอาการกล้ามเนื้อตกลง


อีกทั้ง อาการป่วยดังกล่าวยังส่งผลกระทบถึงชีวิตประจำวัน โดยมีอาการลิ้นแข็งทำให้เคี้ยวอาหารและใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างยากลำบาก โดยยังไม่มีสัญญานที่ดีขึ้น ผู้ต้องขังจึงได้แจ้งแก่ทนายความให้ทราบเหตุดังกล่าวและร้องขอให้มีการส่งตัวไปรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในทัณฑ์สถานกลางโรงพยาบาลราชทัณฑ์ด้วย


ซึ่งตอนนี้ศูนย์ทนายฯเร่งส่งหนังสือ ขอให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ให้ส่งตัวผู้ต้องหาไปรักษาที่ รพ. ราชทัณฑ์ ทันที!!


เช่นเดียวกัน แอดมินเฟสบุ๊ค เพจอานนท์ นำภา โพสข้อความระบุว่า เพิ่งทราบว่าขุนแผนมีอาการตั้งแต่วันศุกร์ ใครอ่านลักษณะอาการก็รู้ว่าอันตรายถึงชีวิต แต่เรือนจำก็ไม่ได้ส่งตัวไปตรวจที่รพ.ตั้งแต่วันนั้น จนถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงการขาดความเข้าใจในการดูแลคนป่วยเป็นอย่างยิ่ง

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #มาตรา112 #ขุนแผนแสนสะท้าน

สส.สระบุรีพรรคประชาชน จี้รัฐเร่งแก้ปัญหาน้ำเสียไหลเข้าระบบประปาเทศบาล ประชาชนเดือดร้อนกว่า 6 หมื่นคน

 


สส.สระบุรีพรรคประชาชน จี้รัฐเร่งแก้ปัญหาน้ำเสียไหลเข้าระบบประปาเทศบาล ประชาชนเดือดร้อนกว่า 6 หมื่นคน


วันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 สรพัช ศรีปราชญ์ สส.สระบุรี เขต 1 พรรคประชาชน เปิดเผยถึงปัญหาน้ำเน่าเสียซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนจังหวัดสระบุรีขณะนี้ว่า น้ำเน่าเสียเริ่มจากคลองห้วยเกตุ ในพื้นที่ ต.กุดนกเปล้า ต.หนองปลาไหล อ.เมือง ผู้อยู่อาศัยริมคลองได้รับกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงจนไม่สามารถออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านได้ โดยปัจจุบันน้ำเน่าเสียไหลลงอ่างเก็บน้ำคลองเพรียว จึงเป็นเรื่องใหญ่เนื่องจากน้ำจากอ่างเก็บน้ำนี้จะถูกปล่อยไปยัง 2 ทาง คือ (1) คลองชลประทาน เป็นน้ำที่ส่งต่อเกษตรกร ตอนนี้เริ่มส่งกลิ่นและมีสีดำขุ่น (2) แม่น้ำป่าสัก เป็นแหล่งผลิตน้ำประปาของเทศบาลเมืองสระบุรี


สิ่งที่เกิดขึ้นคือจุดปล่อยน้ำของอ่างเก็บน้ำคลองเพรียวลงสู่แม่น้ำป่าสัก อยู่ตรงกันกับจุดสูบน้ำดิบที่จะมาทำน้ำประปาของเทศบาลเมืองสระบุรี ทำให้น้ำที่สูบขึ้นมาปนเปื้อนน้ำเสียและเข้าไปอยู่ในระบบน้ำประปา ประชาชนที่ใช้น้ำประปาจากเทศบาลเมืองสระบุรีกว่า 6 หมื่นคน เกิดผื่นคันผื่นแพ้ แม้ปัจจุบันเทศบาลเมืองสระบุรีได้ดำเนินการแก้ไขเบื้องต้นเรื่องการผลิตน้ำประปาแล้ว โดยปิดการจ่ายน้ำให้ประชาชนในช่วงเวลา 21:00 น. เพื่อบำรุงรักษาระบบการจ่ายน้ำ เปิดใช้บริการอีกครั้งช่วง 3:00-4:00 น. แต่วิธีนี้ก็กระทบการดำเนินชีวิตของประชาชนเพราะจำเป็นต้องสำรองน้ำไว้ใช้


ที่ผ่านมา ตนได้ติดตามการแก้ปัญหาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในจังหวัดมาแล้วหลายครั้ง รวมถึงใช้กลไกสภาฯ เช่น ปรึกษาหารือ 3 ครั้ง, นำเรื่องเข้า กมธ.สาธารณสุข, ยื่นหนังสือต่อ กมธ.ที่ดินฯ และล่าสุดยื่นกระทู้ในสภาฯ รอบรรจุเข้าวาระ


โดยก่อนหน้านี้ กมธ.สาธารณสุข ลงพื้นที่และประชุมร่วมกับทางจังหวัดสระบุรี สรุปได้ว่าจังหวัดจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแก้ไขปัญหานี้โดยเฉพาะ มีผู้แทนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ รวมถึงผู้แทนจากภาคประชาชน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีมาตรการระยะสั้นหรือเฉพาะหน้าเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนออกมาเพิ่มเติม


สรพัชกล่าวว่า ข้อเสนอของตนเพื่อแก้ไขปัญหา ในระยะเร่งด่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งหาสาเหตุของปัญหาน้ำเน่าเสียและเข้าไปตรวจสอบ ชี้แจงให้ประชาชนทราบอย่างตรงไปตรงมา หากสาเหตุมาจากโรงงานอุตสาหกรรม ต้องให้โรงงานอุตสาหกรรมจัดทำแผนการบำบัดน้ำเสีย และต้องมีวิศวกรสิ่งแวดล้อมระดับสามัญวิศวกรเซ็นรับรอง แต่หากเกิดจากน้ำเสียชุมชน ต้องให้ท้องถิ่นสำรวจพื้นที่และจัดทำแผนบำบัดน้ำเสียส่วนกลาง ก่อนปล่อยลงคลอง


ส่วนการแก้ไขปัญหาระยะยาว โรงงานอุตสาหกรรมต้องเปิดเผยข้อมูลการปล่อยมลพิษทั้งทางน้ำและทางอากาศ ตามข้อเสนอในร่างกฎหมายรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม หรือกฎหมาย PRTR ของพรรคประชาชนที่ขณะนี้บรรจุวาระในสภาฯ แล้ว กำหนดให้มีคณะกรรมการร่วมทุกหน่วยงานและต้องมีผู้แทนประชาชนร่วมเป็นกรรมการ เพื่อยกระดับการควบคุมน้ำเน่าเสียระดับจังหวัด และรัฐบาลต้องยกระดับนโยบายรัฐเรื่องการบำบัดน้ำเสียชุมชน ให้เป็นวาระหลักด้านสิ่งแวดล้อม

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน

”พิชัย“ ลุยเซี่ยงไฮ้ ถกภาคเอกชนไทยในจีน 16 บริษัท เร่งแก้อุปสรรคการค้า จับคู่นักลงทุนไทย-จีน ย้ำ สถานการณ์การลงทุนในไทยวันนี้ดีต่อเนื่อง!

 


พิชัย“ ลุยเซี่ยงไฮ้ ถกภาคเอกชนไทยในจีน 16 บริษัท เร่งแก้อุปสรรคการค้า จับคู่นักลงทุนไทย-จีน ย้ำ สถานการณ์การลงทุนในไทยวันนี้ดีต่อเนื่อง!


วันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ภายหลังหารือกับบริษัทไทยในจีน และคณะภาคเอกชนจากไทย (คณะหอการค้าไทยในจีน) จำนวน 16 บริษัท อาทิ อาหาร ขนมขบเคี้ยว น้ำตาล แป้งมัน พลาสติก ธนาคาร รังนก สุขภาพและความงาม เป็นต้น ร่วมกับผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ กงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้ ทูตพาณิชย์ และทูตเกษตร ณ สถานกงสุลใหญ่ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อแก้ปัญหาอุปสรรคการค้าให้กับผู้ประกอบการ ในช่วงระหว่างเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเข้าร่วมงาน China International Import Expo - CIIE ครั้งที่ 7 ซึ่งเป็นงานมหกรรมแสดงสินค้านานาชาติประจำปีของจีน โดยงาน CIIE ครั้งนี้ประเทศไทยนำผู้ประกอบการ 80 รายเข้าร่วม มาจากกระทรวงพาณิชย์ 20 ราย ซึ่งสินค้าไทยเป็นที่ชื่นชอบในจีน ช่วยสร้างโอกาสในการทำรายได้เข้าประเทศ


นายพิชัย กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์มีหน้าที่ต้องส่งเสริมผู้ประกอบการไทยที่อยู่ในต่างประเทศให้มีการเจริญเติบโตและพัฒนามากยิ่งขึ้น เราอยากเห็น 80% ของงานกระทรวงพาณิชย์ คือการส่งเสริมให้เกิดการค้าการลงทุนมากๆ ส่วน 20% แค่คุมสิ่งที่จำเป็นไม่ให้มีปัญหาเท่านั้น วันนี้ได้คุยกับผู้ประกอบการไทย ทำให้ได้ข้อมูลเยอะ ได้ทราบว่าเราส่งออกรังนกมาจีนถึง 60,000 กว่าล้านบาท ถ้ามีการแก้ปัญหาข้อกฎหมายบางอันได้ จะสามารถส่งออกได้มากถึง 100,000 ล้านบาท และเรื่องแบงค์ของไทย เช่น ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ ที่ได้มาตั้งสำนักงานที่จีนมานาน ระบุว่า มีนักลงทุนจีนที่สนใจจะมาลงทุนเมืองไทย อยากให้ช่วย Matching จับคู่ธุรกิจกับนักลงทุนไทย เพื่อให้มีการลงทุนจากจีนมากยิ่งขึ้นให้ประเทศไทยได้ประโยชน์ โดยเฉพาะธุรกิจไฮเทค วันนี้เราจะต้องพัฒนาไปทางด้านไฮเทค โดยเมื่อวานนี้ตนได้เดินทางไปที่บริษัทหัวเว่ย มีการเปิดศูนย์พัฒนาใหม่มูลค่ากว่า 80,000 ล้านบาท มีพนักงานมาอบรมถึง 30,000 คน และจะเปิดโอกาสให้คนไทยมาอบรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ ให้ได้เรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีต่าง ๆ วันนี้โลกเปลี่ยนต้องแข่งด้วยความฉลาด ทำอย่างไรให้คนของเราฉลาดเพียงพอ เป็นเรื่องที่สำคัญที่เราอยากเห็นให้เกิดขึ้น ต้องช่วยกันสนับสนุน


นายพิชัยกล่าวต่อว่า วันนี้ประเทศไทยกลับเข้าสู่เวทีโลกอย่างเด่นชัด ได้รับการติดต่อมาโดยตลอดว่า จะมีนักลงทุนแห่กันเข้ามา ทั้งการลงทุนในเรื่อง PCB Data Center และ Food Security ที่ไทยอยากเสนอตัวเป็นคลังอาหารของโลก   เช่น ในเดือน พ.ย. นักลงทุนนักธุรกิจรายใหญ่จากอเมริกาแห่เข้ามาพบที่กระทรวงพาณิชย์ และเราเตรียมให้การต้อนรับ ให้มีการลงทุนมากขึ้น และสำหรับจีนก็จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นอีกเยอะ


วันนี้สถานการณ์การลงทุนในประเทศไทยต้องบอกว่า ประเทศไทยโชคดีที่ประเทศจีนก็รักเรา สหรัฐอเมริกาก็รักเรา รัสเซียก็รักเรา อินเดียก็รักเราประเทศใหญ่ ๆในโลกรักเราหมด เราจะเป็นตัวกลางในการทำให้การค้าการลงทุนเข้ามา กระทรวงพาณิชย์ได้รับการติดต่อจากประเทศต่างๆที่จะเข้ามาลงทุนและทำการค้ากับไทยเยอะมาก เราเห็นเราเห็นแนวโน้มเศรษฐกิจของไทยดีมาก" นายพิชัยกล่าว


โดยเมื่อวานนี้ตนได้มีโอกาสเจอกับนายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งท่านมีความสัมพันธ์ที่ดีกับไทย และนายหวัง เหวินเทา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จีน ท่านบอกว่าปีหน้าไทย-จีน จะครบรอบความสัมพันธ์ 50 ปี อยากให้มีความร่วมมือระหว่างกันให้มากขึ้น ซึ่งเศรษฐกิจจีนมีการขยายตัวเรื่อย ๆ อีกไม่นานคงมีเศรษฐกิจเป็นอันดับหนึ่งของโลกขึ้นอยู่กับเวลาว่าจะเมื่อไหร่เท่านั้นเอง ไทยเองเราก็ต้องมีนโยบายที่ดีในการร่วมมือกับจีน


ซึ่งที่ประชุมฯ ได้เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนที่ทำธุรกิจในจีน ร่วมแลกเปลี่ยนความเห็น ทั้งสถานการณ์การค้าในปัจจุบันของแต่ละบริษัท การค้าไทย-จีน โอกาสในการดำเนินธุรกิจ ปัญหาอุปสรรคทางการค้าในปัจจุบัน แนวทางการแก้ไขและผลักดันสินค้าและบริการไทย ที่เอกชนต้องการให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยผลักดัน และเสริมความร่วมมือในอนาคต โดยกระทรวงพาณิชย์ยืนยันที่จะให้การสนับสนุนภาคเอกชนอย่างเต็มที่ ในฐานะทัพหน้าในการขยายการค้า โดยพร้อมที่จะช่วยพัฒนาผู้ประกอบการในด้านต่าง ๆ


ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า ปัจจุบันจีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 มีมูลค่าการค้าระหว่างกันที่สูงที่สุดกับไทยเป็นเวลาติดต่อกันถึง 12 ปี ตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน โดยในปี 2566 มีมูลค่าการค้า 3.65 ล้านล้านบาทลดลง 0.19% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยช่วง 9 เดือน ปี 2567 (ม.ค.-ก.ย.) การค้าไทยและจีนมีมูลค่ารวม 3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.38% สินค้าส่งออกหลักของไทยไปจีน  5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง 2.ผลิตภัณฑ์ยาง 3.เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 4.เม็ดพลาสติก 5.ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และสินค้านำเข้าหลักของไทยจากจีน ได้แก่ 1.เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ 2.เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 3.เคมีภัณฑ์ 4.เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน 5.เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กระทรวงพาณิชย์ #ไทยจีน




รมว.กต.ยืนยันผลการเจรจาเพื่อใช้ประโยชน์ปิโตรเลียมในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนไทย-กัมพูชา ประชาชนไทยต้องเห็นชอบก่อน - ย้ำผลประโยชน์ต้องเป็นของประชาชน – ชี้ MOU44 เป็นกลไกทำให้การเจรจาไทยกับกัมพูชาเดินหน้าได้

 


รมว.กต.ยืนยันผลการเจรจาเพื่อใช้ประโยชน์ปิโตรเลียมในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนไทย-กัมพูชา ประชาชนไทยต้องเห็นชอบก่อน - ย้ำผลประโยชน์ต้องเป็นของประชาชน – ชี้ MOU44 เป็นกลไกทำให้การเจรจาไทยกับกัมพูชาเดินหน้าได้


วันที่ 6 พฤศจิกายร 2567 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงถึงความกังวลเกี่ยวกับพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันระหว่างไทยกับกัมพูชาในบริเวณอ่าวไทยว่า ผลการเจรจา หากจะสำเร็จ และยุติได้ จะต้องเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย รัฐสภาของทั้งสองประเทศ จะต้องให้ความเห็นชอบ ผ่านการเสนอจากคณะรัฐมนตรี เข้าสู่กระบวนการรัฐสภาในฐานะผู้แทนประชาชน ที่จะเป็นผู้ตัดสินว่า เห็นชอบกับผลการเจรจาหรือไม่ และข้อตกลงจะต้องสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น จึงเป็นไปไม้ได้ ที่จะให้มีการเจรจาเพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้แก่ผู้ใดผู้หนึ่งได้ตามที่มีการกล่าวอ้าง


ส่วนการใช้ประโยชน์เหนือแหล่งปิโตรเลียมนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงว่า ยังไม่สามารถกระทำได้จนกว่าการเจรจาดังกล่าวจะมีข้อยุติ โดยผลการเจรจาจะต้องเป็นที่ยอมรับได้ของประชาชนทั้งสองประเทศ ซึ่ง MOU44 กำหนดให้จะต้องเจรจา 2 เรื่องทั้ง "เขตทางทะเล" และ "การพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน" ไปพร้อม ๆ กันโดยไม่อาจแบ่งแยกได้ พร้อมยืนยันว่า หากการเจรจาสำเร็จ ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุดต้องเป็นประเทศชาติ และพี่น้องประชาชนคนไทย ที่จะมีเขตทางทะเลที่ชัดเจนกับประเทศเพื่อนบ้าน และได้ใช้พลังงานที่มีราคาถูกลงอย่างมีนัยยะสำคัญ


นายมาริษ กล่าวถึงกรณีที่มีการเรียกร้องให้มีการยกเลิก MOU44 เพราะถือเป็นการยอมรับเส้นอ้างสิทธิของกัมพูชา และทำให้ไทยเสี่ยงเสียดินแดนว่า MOU44 ไม่ได้เป็นการยอมรับเส้นอ้างสิทธิในไหล่ทวีปของกัมพูชา และไม่ได้ทำให้ไทยเสียดินแดนใด ๆ เพราะเกาะกูดอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย 100 เปอร์เซ็นต์ และจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เพราะสาระสำคัญ ใน MOU44 เป็นเพียงการตกลงร่วมกัน “เพื่อที่จะเจรจาเท่านั้น” โดยแผนผังแนบท้าย เป็นเพียง “ภาพประกอบของพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปของแต่ละประเทศ” ซึ่งเส้นอ้างสิทธิในข้อตกลงนี้ ไม่ใช่เส้นเขตทางทะเล ตามที่มีการเข้าใจผิดแต่อย่างใด 


นายมาริษ ยังย้ำอีกว่า การคงไว้ซึ่ง MOU44 เป็นผลดีมากกว่าผลเสีย เพราะข้อตกลงนี้ทำให้ ทั้งสองฝ่าย มีพันธกรณีที่จะต้องมาเจรจากัน ทั้งในเรื่อง "เขตทางทะเล" และ "พื้นที่พัฒนาร่วม" ไปพร้อม ๆ กัน


ส่วนกรณีที่รัฐบาลเมื่อปี 2552 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ยกเลิก MOU44 โดยให้ไปศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้รอบคอบก่อนนำเรื่องเข้าสู่คณะรัฐมนตรี และรัฐสภานั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงว่า ในกระบวนการศึกษาข้อมูลดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศได้ประชุมหารือ และรับฟังข้อคิดเห็นจากคณะที่ปรึกษากฎหมายต่างประเทศ ประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานด้านความมั่นคง และด้านกฎหมาย จนได้ข้อสรุป เสนอเป็นมติคณะรัฐมนตรีในปี 2557 ว่า การคง MOU44 ไว้ เป็นผลดีมากกว่าเสีย และที่สำคัญการมีเขตทางทะเลที่ชัดเจน จะนำไปสู่การเจรจาการใช้ประโยชน์เหนือแหล่งปิโตรเลียมได้อย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน


"ขอให้เชื่อมั่นว่า การเจรจาจะคำนึงถึงอธิปไตยและผลประโยชน์ของคนไทยเป็นที่ตั้ง โดยยืนยันว่า กระทรวงการต่างประเทศ จะทำงานด้วยความเป็นมืออาชีพสูงสุด" นายมาริษ ยืนยัน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #MOU44 #ไทยกัมพูชา

วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

'ณัฐพงษ์' ชี้ ปกป้องผลประโยชน์ชาติ กรณีไทย-กัมพูชา ประเด็นแท้จริงอยู่ที่ “สัมปทาน” ถามรัฐบาล 2 ข้อ ปมแผนการจัดการสัมปทานปิโตรเลียมในพื้นที่ OCA

 


'ณัฐพงษ์' ชี้ ปกป้องผลประโยชน์ชาติ กรณีไทย-กัมพูชา ประเด็นแท้จริงอยู่ที่ “สัมปทาน” ถามรัฐบาล 2 ข้อ ปมแผนการจัดการสัมปทานปิโตรเลียมในพื้นที่ OCA


เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า ปกป้องผลประโยชน์ชาติ กรณีไทย-กัมพูชา ประเด็นแท้จริงอยู่ที่ “สัมปทาน”


กรณีพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน หรือ OCA ระหว่างไทยกับกัมพูชา ขนาด 26,000 ตารางกิโลเมตร ที่กำลังเป็นประเด็นถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในสังคมขณะนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประชาชนคนไทยทั้งประเทศ เพราะเกี่ยวพันอย่างมีนัยสำคัญถึงความพยายามในการนำทรัพยากรปิโตรเลียมจากอ่าวไทยขึ้นมาใช้ประโยชน์ เป็นสมบัติชาติที่มีมูลค่ามหาศาล และรัฐบาลไทยได้พยายามดำเนินการเรื่องนี้มาไม่ต่ำกว่า 20 ปี แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ


ผมอยากชี้ชวนพี่น้องประชาชนให้เห็นถึงประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ ว่ามีมากกว่าเรื่องเกาะกูด และการปักปันเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาที่เป็นที่สนใจกันอยู่


เราเสี่ยงที่จะเสียอธิปไตยเหนือเกาะกูด จากการเจรจา OCA และการพยายามเดินหน้าโครงการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ OCA หรือไม่?


ประเด็นนี้กระทรวงการต่างประเทศได้ยืนยันชัดเจนแล้วว่าไทยไม่เคยลงนามใดๆ ที่มีผลผูกพันยอมรับเส้นแบ่งเขตแดนที่กัมพูชาอ้างสิทธิเหนือเกาะกูด และ MOU ปี 2544 อันเป็นการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน เป็นเพียงความตกลงกำหนดกรอบและกลไกการเจรจาระหว่างกัน และ “รับทราบ” การลากเส้นอาณาเขตทางทะเลของแต่ละฝ่าย ไทยรับทราบจุดยืนกัมพูชา กัมพูชารับทราบจุดยืนของไทย ว่ามีความแตกต่างกัน ไม่ใช่การที่ไทย “ยอมรับ” เส้นอาณาเขตทางทะเลที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์แต่อย่างใด


ดังนั้น จึงเป็นที่ชัดเจนแล้วทั้งในทางกฎหมายและในทางปฏิบัติว่าเกาะกูดเป็นของไทย และกัมพูชาก็ไม่เคยอ้างหรือมีข้อพิพาทเรื่องเขตแดนของเกาะกูดแต่อย่างใด ดังนั้นเกาะกูดไม่มีทางจะเป็นของชาติอื่นแน่นอน


แต่เรื่องน่ากังวลที่ยังไม่ได้พูดถึงกันมากนัก ก็คือการจัดการผลประโยชน์เหนือแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ OCA อันถือเป็นสมบัติชาติที่มีมูลค่ามหาศาล


ดังนั้น ผมข้อตั้งคำถามต่อรัฐบาล ถึงแผนการจัดการสัมปทานปิโตรเลียมในพื้นที่ OCA ดังนี้


1. หากไทยกับกัมพูชาเจรจากันเป็นผลสำเร็จ จนนำไปสู่การเปิดแหล่งปิโตรเลียมได้ สัมปทานเหนือพื้นที่ที่ไทยเคยให้แก่บริษัทต่างๆ ทั้งของไทยและต่างชาติตั้งแต่ปี 2515 แต่ถูกแช่แข็งไว้เนื่องจากยังไม่สามารถตกลงเรื่องการอ้างสิทธิทับซ้อนกันได้ จะมีการจัดการอย่างไร จะเปิดประมูลใหม่หรือไม่


2. หากมีการเปิดประมูลใหม่ รัฐบาลจะจัดการอย่างไรให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ไม่ละเมิดกติการะหว่างประเทศ และทำให้ประชาชนเชื่อได้ว่าความพยายามในการเจรจากับกัมพูชาหลายสิบปีที่ผ่านมาเพื่อเปิดแหล่งปิโตรเลียมนี้ เป็นไปเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติและประชาชนชาวไทย ไม่ใช่การเปิดช่องให้กลุ่มทุนใดกลุ่มทุนหนึ่งเข้ามาแสวงหาความมั่งคั่งจากทรัพยากรอันเป็นของคนไทยทั้งประเทศ เหมือนกับที่ประชาชนเกิดข้อครหาต่อท่าทีและนโยบายพลังงานของรัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมา


ผมยืนยันว่าพรรคประชาชนสนับสนุนให้มีการใช้ประโยชน์จากแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ OCA ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเปลี่ยนผ่านที่โลกจะเข้าสู่ยุคพลังงานสะอาดอย่างสมบูรณ์ แต่เราต้องการให้ทรัพยากรอันเป็นสมบัติของประชาชนชาวไทย ถูกจัดสรรอย่างโปร่งใส เป็นธรรม เพื่อความมั่งคั่งและความมั่นคงทางพลังงานของประชาชนทั้งชาติ


ปัญหาใหญ่ที่สุดตอนนี้ คือ ประชาชนไทยรู้สึกระแวงแคลงใจต่อเป้าประสงค์ที่แท้จริงของรัฐบาล ในการเร่งเจรจาเขตแดนพื้นที่ OCA เพื่อเปิดแหล่งปิโตรเลียม ผมเชื่อว่าหากรัฐบาลเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสัมปทาน หรือมีการแถลงแนวทางที่ชัดเจนในการบริหารทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ OCA จะช่วยคลายความกังวลและข้อครหาต่างๆ ที่มีต่อรัฐบาลลงได้มาก และทำให้การเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อน รวมถึงการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมเดินหน้าไปได้โดยราบรื่น

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #เกาะกูด #OCA