
ศาลอาญาสั่งจำคุก วีระกานต์ จตุพร ณัฐวุฒิ หมอเหวง อดิศร คนละ 4 ปี 4 เดือน ไม่รอลงอาญา #คดีอดีตแกนนำนปชปี52 ขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ขณะนี้รอยื่นประกัน
วันที่ 7 ตุลาคม 2568 เวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลมีนัดอ่านคำพิพากษาครั้งที่ 2 ในคดีหมายเลขดำ อ.968/2561 ซึ่งพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมแกนนำและแนวร่วมรวม 13 คน ในข้อหามั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง และฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548
คดีนี้เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 31 มกราคม ถึง 9 เมษายน 2552 เมื่อกลุ่ม นปช. ได้จัดการชุมนุมขับไล่รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยปิดทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาล เพื่อขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี รวมทั้งมีผู้ชุมนุมบางส่วนบุกไปยังบ้านพักของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีในขณะนั้น เพื่อกดดันให้ พล.อ.เปรม พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี นอกจากนี้ ยังมีการปิดล้อมสถานที่ราชการหลายแห่งในกรุงเทพมหานคร
จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธและได้รับการประกันตัวในชั้นพิจารณาคดี โดยเมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา ศาลอาญาได้เลื่อนอ่านคำพิพากษาครั้งแรก เนื่องจาก นายอดิศร เพียงเกษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย จำเลยที่ 11 อยู่ระหว่างสมัยประชุมสภา ขณะที่ นายพงศ์พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง จำเลยที่ 10 มีพฤติการณ์หลบหนี ศาลจึงออกหมายจับและปรับนายประกัน
รายชื่อจำเลยทั้ง 13 คน ได้แก่
1. นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ 2. นายจตุพร พรหมพันธุ์ 3. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 4. นพ.เหวง โตจิราการ 5. นายสิระ หรือสรวิชญ์ พิมพ์กลาง 6. นายณรงศักดิ์ มณี 7. นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท 8. นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ 9. นายพายัพ ปั้นเกตุ 10. นายพงศ์พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง 11. นายอดิศร เพียงเกษ 12. นายพีระ พริ้งกลาง (เสียชีวิต) 13. นายเมธี อมรวุฒิกุล อดีตนักแสดงชื่อดัง จำเลยให้การปฏิเสธ
ทั้งนี้ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่าย ที่นำสืบหักล้าง แล้วเห็นว่า ฝ่ายโจทก์มี พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รอง ผบช.น. ในฐานะผู้บัญชาการสถานการณ์ และหัวหน้าผู้เจรจา และเจ้าพนักงานตำรวจ ที่ร่วมสืบสวนสอบสวนคดี เบิกความสอดคล้องทำนองเดียวกัน รวมทั้งหลักฐานจากกล้องวงจรปิด ซึ่งบันทึกภาพเหตุการณ์ต่างฯ ให้เห็นพฤติการณ์ของพวกจำเลย
ซึ่งแม้จะเป็นการชุมนุมโดยสันติ ปราศจากอาวุธตามสิทธิ โดยมีจำเลยที่ 1,2,3,4 และ 11 เป็นแกนนำ และเป็นผู้สั่งการแต่การชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่สร้างความเดือดร้อน และละเมิดสิทธิแก่ประชาชนทั่วไป
โดยพวกจำเลยจัดชุมนุมปราศรัยชักชวนให้ประชาชนมาร่วมชุมนุม ปราศรัยทั่วกรุงเทพฯ ยึดและเผารถโดยสารประจำทางนับสิบคัน สร้างความเสียหายธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง และร้านสะดวกซื้อ ปิดทางเข้าสถานที่ราชการหลายแห่ง
ซึ่งพยานโจทก์ ล้วนเบิกความไปตามจริง ปฏิบัติตามหน้าที่ ไม่รู้จักพวกจำเลยเป็นการส่วนตัว จึงไม่มีเหตุที่จะเบิกความใส่ร้ายปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ส่วนพยานหลักฐานจำเลย ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้
การกระทำของพวกจำเลยเป็นความผิดหลายกรรม ต่างกัน ให้ลงโทษฐานมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดการวุ่นวายในบ้านเมือง โดยผู้กระทำผิดเป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการ และเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกการมั่วสุมดังกล่าวแล้วไม่เลิก
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา215 วรรคสาม อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
พิพากษาจำคุก นายวีระกานต์ จำเลยที่ 1 นายจตุพร จำเลยที่ 2 นายณัฐวุฒิ จำเลย ที่ 3 นพ.เหวง จำเลยที่ 4 และ นายอดิศร จำเลยที่ 11 คนละ 6 ปี และ ฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน จำคุกคนละ 6 เดือน คำเบิกความของจำเลยทั้งห้า เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาบ้าง ลดโทษให้คนละ 1ใน3 คงจำคุกจำเลยที่ 1, 2, 3, 4 และที่ 11 คนละ 4 ปี 4 เดือน ไม่รอลงอาญา
ส่วนจำเลยที่ 5, 7, 8, 9 และที่ 13 มีความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ จำคุกคนละ 6 เดือน ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก จำเลย 5, 7, 8, 9 และที่ 13 คนละ 4 เดือน ไม่รอลงอาญา และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 6 และที่ 10
ต่อมาทนายความยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ ขอปล่อยชั่วคราวจำเลยระหว่างอุทธรณ์ โดยจำเลยทั้งหมดใช้หลักทรัพย์ในการขอปล่อยชั่วคราว 2 แสนบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล