พรรคประชาชนจัดเวที “Hack งบกรุงเทพ” ดึงประชาชนร่วมตรวจงบ กทม. ปี 69 แนะแนวจับผิดงบไร้ประสิทธิภาพ-ส่อทุจริต
วันที่ 3 สิงหาคม 2568 ที่อาคารรัฐสภา พรรคประชาชนจัดกิจกรรม “Hack งบกรุงเทพ” เพื่อเปิดรายละเอียดงบประมาณกรุงเทพมหานคร (กทม.) ประจำปี 2569 พร้อมกับเปิดพื้นที่ให้ประชาชนเข้ามาร่วมกันอ่านและตรวจสอบเอกสารงบประมาณ กทม. และสะท้อนความเห็นต่อการใช้งบประมาณทั้งในระดับพื้นที่และงบของสำนักต่างๆ โดยมีทั้ง สส. กรุงเทพฯ และ ส.ก. พรรคประชาชน เข้าร่วมกิจกรรมและนำเสนอข้อมูลงบประมาณ กทม. ที่น่าสนใจหลายรายการ
กิจกรรมในวันนี้เริ่มต้นด้วยการบรรยายภาพรวมงบประมาณ กทม. ปี 2569 โดย วรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ระบุว่า ปัจจุบันรายรับภาครัฐรวมกันอยู่ที่ปีละราว 4.2 ล้านล้านบาท เป็นรายได้ที่เก็บโดยท้องถิ่น 2% ก้อนใหญ่คือภาษีที่เก็บโดยรัฐบาลส่วนกลาง 98% แต่ที่สำคัญกว่าคือรายจ่าย 4.2 ล้านล้านบาท ท้องถิ่นเป็นคนตัดสินใจใช้จ่ายเพียง 20% รัฐบาลส่วนกลางตันสินใจ 80% กล่าวคือ รัฐบาลส่วนกลางคิดแทนคนทุกจังหวัดว่าแต่ละจังหวัดต้องการอะไร ซึ่งเป็นเรื่องที่สะท้อนปัญหาใหญ่ของประเทศไทย ที่ทำให้ปัญหาใกล้บ้านประชาชนยังไม่ได้รับการแก้ไขหรือไม่ได้รับการพัฒนาอย่างที่ควรจะเป็น
ในส่วนของงบประมาณท้องถิ่น หนึ่งในนั้นคืองบประมาณของ กทม. ซึ่งแบ่งเป็นสองส่วนใหญ่ คืองบประมาณจากข้อบัญญัติงบประมาณ กทม. 92,000 ล้านบาท และเงินอุดหนุนจากรัฐบาลที่ผ่านโดยสภาผู้แทนราษฎร 29,000 ล้านบาท โดย กทม. มีรายได้ที่จัดเก็บได้เองราว 20% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แต่ส่วนที่ใหญ่กว่าถึง 3 ใน 4 มาจากภาษีที่รัฐบาลกลางจัดเก็บให้ โดยส่วนที่ใหญ่ที่สุดคือภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ขณะที่รายจ่ายของ กทม. 92,000 ล้านบาท ก้อนใหญ่ที่สุดคือระดับสำนักที่ดูแลภาพรวมทั้ง กทม. ราว 49,000 ล้านบาท อยู่ในระดับเขต 23,000 ล้านบาท และยังมีงบกลาง กทม. ราว 17,000 ล้านบาท
วรภพกล่าวต่อไปว่า ในส่วนของงบกลาง กทม. 17,000 ล้านบาท มีส่วนที่ กทม. มีอิสระในการใช้จ่ายจริงๆ อยู่แค่ 5% หรือราว 930 ล้านบาท ที่เหลือเป็นส่วนที่รัฐบาลฝากให้ กทม. จ่ายเงินบำเหน็จ/บำนาญ เงินช่วยเหลือลูกจ้าง และเงินที่เตรียมไว้สำหรับการทำตามนโยบายของรัฐบาลอีก 4,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนนี้ ส.ก. พรรคประชาชนได้พยายามผลักดันให้การใช้งบกลางต้องรายงานให้สภา กทม. รับทราบด้วย จากเดิมที่เป็นอำนาจเบ็ดเสร็จของผู้ว่าราชการ กทม.
ขณะที่งบประมาณในระดับสำนัก 49,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นงบบุคลากร 18,000 ล้านบาท เป็นงบด้านการพัฒนาเมือง 14,000 ล้านบาท (ส่วนใหญ่เป็นเรื่องถนนและจราจร) เป็นงบทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม 10,000 ล้านบาท (ใช้ในการระบายน้ำ ป้องกันน้ำท่วม จัดการขยะ) งบด้านสาธารณสุข 2,800 ล้านบาท งบการศึกษา 700 ล้านบาท และงบด้านสาธารณภัย 544 ล้านบาท ส่วนงบประมาณระดับเขต 23,000 ล้านบาท ก้อนใหญ่ที่สุดเป็นด้านบุคลากร 9,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นเรื่องของการซ่อมแซมและอุดหนุนโรงเรียน
วรภพกล่าวต่อไปว่า การจัดงบประมาณของ กทม. ควรให้ความสำคัญกับอะไร เป็นคำถามที่ควรถกเถียงกันได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่พรรคประชาชนจัดกิจกรรมวันนี้ขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนมาร่วมกันสะท้อนความเห็นที่มีต่อการจัดสรรงบประมาณของ กทม. ในปีนี้
ขณะที่ ภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย ส.ก.เขตบางซื่อ พรรคประชาชน ได้กล่าวถึงบทบาทของ ส.ก. ในการจัดทำงบประมาณ โดยระบุว่า หน้าที่หลักของ ส.ก. คือการตรวจสอบงบประมาณและการทำงานของฝ่ายบริหาร คือฝั่งผู้ว่าราชการ กทม. โดยเมื่อฝ่ายบริหารเสนอร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีเข้ามา ส.ก. จะต้องนำไปศึกษา หาโครงการที่มีความผิดปกติหรือไม่เหมาะสมมาอภิปรายในวาระหนึ่ง แล้วลงมติรับหรือไม่รับร่างข้อบัญญัติงบประมาณ ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ (4 สิงหาคม 2568) จากนั้น ส.ก. จะเข้าไปตรวจสอบต่อในชั้นกรรมการและอนุกรรมการวิสามัญ ซึ่ง ส.ก. พรรคประชาชนจะนำข้อมูลที่ทุกคนช่วยกันแงะงบประมาณในวันนี้ไปสะท้อนต่อในห้องอนุกรรมการงบประมาณ จากนั้นจะนำไปสู่การอภิปรายในวาระที่ 2 และ 3 ก่อนจะมีการลงมติแล้วออกมาเป็นงบประมาณที่ใช้จริง
ด้าน ภัณฑิล น่วมเจิม สส.กรุงเทพฯ เขต 4 (คลองเตย วัฒนา) พรรคประชาชน ได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเกณฑ์ที่ควรใช้ในการวิเคราะห์และตรวจสอบงบประมาณ โดยระบุว่า ประการแรกที่ต้องพิจารณาคือภารกิจของหน่วยงานคืออะไร ทำตรงเรื่องของตัวเองหรือไม่ เพราะมีหน่วยงานราชการในไทยที่ทำไม่ตรงกับภารกิจหลักของตนเองเยอะมาก คำถามต่อมาคือใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสินใจ มีการเทียบราคา พิจารณาถึงความคุ้มค่าและความจำเป็นหรือไม่
“คนที่ชงงบประมาณขึ้นมาไม่ใช่เงินของเขา ความรอบคอบจึงไม่มีทางเหมือนประชาชน เราต้องสวมหมวกว่าเราเป็นคนจ่ายภาษี คนทำงบประมาณมาไม่มีทางรอบคอบเหมือนเจ้าของเงิน ขอให้เข้าไปตรวจสอบ ตั้งคำถามทุกบรรทัดของงบประมาณว่าใช้เงินไปแล้วจะได้อะไร ที่สำคัญคือใช้เกณฑ์อะไรในการประเมินผลสัมฤทธิ์เหล่านั้น เช่น จะติดโซลาร์เซลล์ ต้องตั้งคำถามว่าจะประหยัดค่าไฟได้เท่าไร เอาหลักคิดของคนธรรมดามาใช้กับสิ่งที่จะใช้เงิน ก็จะเป็นเรื่องไม่ยากจนเกินไปในการวิเคราะห์งบประมาณ” ภัณฑิลกล่าว
ภัณฑิลกล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังมีเกณฑ์อื่นๆ ที่จะใช้พิจารณาได้ เช่น เรื่องนี้จำเป็นเร่งด่วนหรือไม่ ราคาและจำนวนสามารถตรวจสอบได้หรือไม่ ทำได้จริงหรือไม่ เป็นการก่องบประมาณผูกพันและใช้เวลานานหรือไม่ มีความสามารถในการเบิกจ่ายหรือไม่ ตัวคูณคิดมาอย่างไร เทียบกับหน่วยงานอื่นแล้วตรงกับค่าเฉลี่ยหรือไม่ เป็นต้น
ด้าน ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กรุงเทพฯ เขต 9 (หลักสี่ จตุจักร บางเขน) พรรคประชาชน ได้ร่วมนำเสนอตัวอย่างโครงการที่ส่อจะนำไปสู่การทุจริต พร้อมแลกเปลี่ยนวิธีการตรวจสอบพิจารณางบประมาณ โดยระบุว่า โครงการที่มีโอกาสเสี่ยงจะนำไปสู่การทุจริตมักจะเป็นไปตามทฤษฎี “สามล็อก” หนึ่งคือ “ล็อกราคา” ให้สูงขึ้นมาจนได้ราคาพรีเมียม สองคือ “ล็อกสเปก” กำหนดสเปกไม่ให้คู่แข่งเข้ามาแข่งได้ และสามคือ “ล็อกคุณสมบัติหรือผลงาน” เพราะถ้าไม่ล็อกใครจะเข้ามาแข่งก็ได้ ก็จะไม่ได้ตามที่ผู้ประสงค์ทุจริตต้องการ
โดยการล็อกราคาหรือกลไกการปั้นราคานั้นมักมีวิธีการที่ใช้กันประจำคือ การหาส่วนต่างในตารางราคาค่าวัสดุและราคาต่อหน่วยหรือปริมาณ มักใช้ในโครงการประเภทกลุ่มก่อสร้าง แต่ไม่นิยมใช้ในโครงการครุภัณฑ์ที่นับจำนวนวัสดุได้ง่ายกว่า โดยการล็อกราคาในโครงการกลุ่มก่อสร้างมันถูกซ่อนในปริมาณ เช่น ปูพื้นจริงแค่ 400 ตร.ม. แต่ของบประมาณในการปูจริง 1,000 ตร.ม. ซึ่งหากไม่มีการตรวจสอบที่หน้างานจริงอย่างละเอียดก็มักจะจับได้ยาก
ศุภณัฐกล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้การล็อกให้ได้ราคาที่สูงยังเกิดได้จากการกำหนดราคากลาง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องไปดูรายละเอียดใน TOR ว่ามีการคัดกรองคุณสมบัติของผู้ที่มาประมูลหรือไม่ และยังมีราคาที่สูงมาจากกระบวนการสืบราคาที่แม้จะมีคู่เทียบครบตามกฎหมายและระเบียบ แต่ก็ยังสามารถนำมาใช้เพื่อให้ได้ราคาที่สูงกว่าราคาตลาดปกติที่ควรจะเป็นได้
ในส่วนของ พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ กรรมการบริหารพรรคประชาชน กล่าวว่า สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นในการพิจารณางบประมาณในวันนี้ คือการมาถกกันว่าโครงการนี้ควรทำหรือไม่ควรทำ แต่กลายเป็นว่าเรายังต้องมาตรวจสอบว่าซื้ออะไรแพงเกินไปหรือไม่ ทั้งที่ผู้เสนอคำของบประมาณควรจะซื้อราคาึที่ไม่แพงอยู่แล้วมาตั้งแต่ต้น แล้วมาถกกันว่าจะพัฒนากรุงเทมหานครแบบคนไหน ทำอะไรก่อนหรือหลังภายใต้ทรัพยากรที่มีจำกัด แต่วันนี้กลายเป็นต้องมาดูว่าอะไรถูกหรืออะไรแพง
ถ้าพรรคประชาชนมีอำนาจ ตั้งแต่คำของบประมาณจะต้องถูกเปิดเผยและอยู่ในระบบดิจิทัล ให้เอไอเข้ามาตรวจสอบได้ ประชาชนและสมาชิกสภาฯ ควรรู้ตั้งแต่ก่อนผ่านสำนักงบประมาณเสียด้วยซ้ำ สะท้อนว่าปัญหางบประมาณในวันนี้เป็นเรื่องที่ต้องแก้ทั้งระบบ
พิจารณ์กล่าวต่อไปว่า ตำแหน่งผู้ว่าราชการ กทม. คือตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นตำแหน่งที่ประชาชนคาดหวังสูงมาก การเป็นนักการเมืองคือการเป็นผู้มีอำนาจในการจัดสรรงบประมาณว่าจะใช้อะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ และเท่าไหร่ แต่ตนมองว่าความรับผิดรับชอบของผู้ว่าราชการ กทม. ในวันนี้ยังน้อยเกินไป การตอบในสภา กทม. ที่ผ่านมาเพียงแค่บอกว่างบประมาณถูกนำเสนอมาโดย ส.ก. และข้าราชการ ก็อาจต้องตั้งคำถามว่าถ้าอย่างนั้นก็ให้ ส.ก. หรือข้าราชการมาเป็นผู้ว่าราชการ กทม. ดีกว่าหรือไม่ ส.ก. พรรคประชาชนพยายามทำหน้าที่ในการตรวจสอบและตั้งคำถาม ถ้าถามผิดหรือถ้าชี้ไม่ถูก ก็แก้ไขหรือบอกเราว่าพูดผิดตรงไหน แต่อย่ายกตัวลอยเหนือปัญหาแบบนี้
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #Hackงบกรุงเทพ #Hackงบ #งบ69