วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

จม.จากแดน4 “อานนท์” เขียน “ความรู้สึกในห้องพิจารณาคดีลับ” บอกลูก 3 ธ.ค. นี้ วันพิพากษาอีกคดีก่อนโดนย้ายไปคลองเปรม พ่อจะเดินไปเผชิญด้วยความกล้าหาญในทุกคดีจากนี้ จนกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง

 


จม.จากแดน4 “อานนท์” เขียน “ความรู้สึกในห้องพิจารณาคดีลับ” บอกลูก 3 ธ.ค. นี้ วันพิพากษาอีกคดีก่อนโดนย้ายไปคลองเปรม พ่อจะเดินไปเผชิญด้วยความกล้าหาญในทุกคดีจากนี้ จนกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง


วันที่ 30 พ.ย. 2567 เพจ “อานนท์ นำภา” โพสต์จดหมายจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และข้อความในจดหมายฉบับวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ระบุว่า


เสียดายเมื่อวานที่พ่อไม่ได้อุ้ม ได้กอดก่อนกลับจากศาล ศาลให้พาตัวออกจากห้องก่อนกำหนด เจ้าขาลในอ้อมอกแม่และอ้อมแขนของลุงป้าน้าอาที่มาให้กำลังใจดูร่าเริงสมวัย อาจบางทีเราเข้าใจว่ามีกำลังใจเต็มเปี่ยมแต่พอได้รับกำลังใจใหม่ๆกลับทำให้เรารู้ว่าเราต้องการกำลังใจ ทุกแววตาที่ปรารถนาดี ทุกความห่วงใยที่ได้รับหน้าห้องพิจารณาลับ คือกำลังใจ คือพลังใจ คือถ้อยคำย้ำเตือนว่าการต่อสู้ของเรายังดำเนินอยู่และจะยัง ดำรงเช่นนี้จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง


29 พฤศจิกายน 2567 ถึงปราณและขาล ที่คิดถึง


ในห้วงเวลาที่ชีวิตเผชิญกับวิกฤติ มนุษย์เรามีความจำเป็นต้องกล้าหาญ เป็นความกล้าหาญที่จำเป็นอย่างยิ่งและเราย่อมตระหนักรู้ได้เมื่อบังเกิดความกล้าหาญนั้นแล้ว เราอาจพร่ำบ่นคำว่ากล้าหาญได้เป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความมืดมนอลธการ เผชิญกับวิกฤติ เราจึงอาจรู้ว่าระหว่างเสียงที่เปล่งออกมาจากปากกับเสียงที่เปล่งออกมาจากหัวใจมันเป็ยความกล้าหาญคนละอย่างกัน


พ่อรู้สึกภูมิใจทุกครั้งที่ความกล้าหาญบังเกิดขึ้นในยามจำเป็นต้องกล้าหาญเพราะหากปราศจากความกล้าหาญในยามจำเป็น หลายอย่างอาจไม่เกิดขึ้น ผลลัพท์อาจเปลี่ยนไป “จำเป็นต้องกล้าหาญ” จึงเป็นความกล้าหาญที่แท้จริง


ภาวนาให้ความกล้าหาญเช่นว่านี้ยังดำรงอยู่ และบังเกิดขึ้นทุกครั้งที่จำเป็นต้องใช้ ขอบคุณทุกกำลังใจ ที่ทำให้ความกล้าหาญในยามจำเป็น งดงามและเปี่ยมพลัง


3 ธันวาคม 2567 วันพิพากษาพ่ออีกคดีก่อนโดนย้ายไปคลองเปรม พ่อจะเดินไปเผชิญด้วยความกล้าหาญและกล้าหาญในทุกคดีจากนี้จนกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง


รักและคิดถึงลูกทั้งสอง

อานนท์ นำภา


สำหรับ อานนท์ นำภา ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ภายหลังศาลอาญาพิพากษาจำคุก 4 ปี ปรับเป็นเงิน 20,000 บาท โดยไม่รอลงอาญา ในคดี #มาตรา112 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 เหตุจากการขึ้นปราศรัยใน #ม็อบ14ตุลา63


จากนั้น 17 ม.ค. 67 ศาลอาญาสั่งจำคุก "อานนท์ นำภา" เพิ่มอีก 4 ปี จากคดีมาตรา 112 กรณีโพสต์เฟซบุ๊กปี 2564 โดยให้บวกโทษเก่าอีก 4 ทำให้อานนท์มีโทษจำคุกรวมแล้ว 8 ปี


ต่อมา เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2567 เวลา 09.00 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดฟังคำพิพากษาคดีของ อานนท์ นำภา หลังถูกฟ้องใน 4 ข้อกล่าวหา ได้แก่ หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ และ ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุมาจากการปราศรัยถึงข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ในกิจกรรม ‘เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาชน’ หรือ #ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์2 ที่ลานหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2564


โดยศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดทุกข้อหาตามฟ้อง พิพากษาจำคุกรวม 3 ปี 1 เดือน ปรับ 150 บาท ก่อนลดเพราะให้การเป็นประโยชน์ เหลือจำคุก 2 ปี 20 วัน และปรับ 100 บาท


ทำให้ปัจจุบันนี้ อานนท์ถูกลงโทษจำคุกรวมทั้งสิ้น 10 ปี 20 วัน เมื่อรวมกับสองคดีในข้อหามาตรา 112 ที่ศาลอาญามีคำพิพากษาลงโทษจำคุกคดีละ 4 ปี ไปเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2566 และ 17 ม.ค. 2567


ทั้งนี้ภายในเดือน ธันวาคม 2567 นี้ อานนท์ นำภา มีนัดฟังคำพิพากษาอีก 2 คดี คือวันที่ 3 ธันวาคม 2567 ที่ศาลอาญา รัชดา คดีเขียนจดหมายถึงกษัตริย์ และวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ที่ศาลอาญา รัชดา คดีแฮรี่พอร์ตเตอร์ 1 กรณีแต่ปราศรัยที่หน้าร้านแมคโดนัล อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2563


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อานนท์นำภา #นิรโทษกรรมประชาชน

“ภูมิธรรม” ชี้ ปมฝ่ายต่อต้านกัมพูชากดดันฟ้องศาลโลกทวงเกาะกูด ไม่กระทบความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ย้ำ การเจรจาเดินหน้าได้ หากรัฐบาลมาจากตัวแทนปชช.และเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ

 


“ภูมิธรรม” ชี้ ปมฝ่ายต่อต้านกัมพูชากดดันฟ้องศาลโลกทวงเกาะกูด ไม่กระทบความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ย้ำ การเจรจาเดินหน้าได้ หากรัฐบาลมาจากตัวแทนปชช.และเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ


วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 ที่กองพลทหารราบที่ 7 จ.เชียงใหม่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เสนอให้ใช้มาตรา152 เปิด อภิปรายเรื่องบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในไหล่ทวีป (เอ็มโอยู 2544) ในรัฐสภาทำข้อเสนอแนะให้รัฐบาลป้องกันม็อบลงถนน ว่า ถือเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ แต่เรื่องนี้ต้องมาดูตามความเป็นจริง ต้องดูพรรคร่วมรัฐบาลด้วยจะว่าอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องร่วมกันคิด แต่ขณะนี้ยังไม่ไปถึงตรงนั้น ตอนนี้เราก็ใช้วิธีการชี้แจง หลายช่องทาง การแก้ปัญหาไม่ได้มีแค่ไม่วิธีเดียว ถ้าทำไม่ได้ก็เปลี่ยนวิธี สิ่งที่นายนพดลเสนอ ก็น่าจะเสนอได้


เมื่อถามอีกว่า นายจักรภพ เพ็ญ อดีตรมต.ประจำสำนักนายก ฯ เสนอให้รัฐบาล ยื่นเงื่อนไขเจรจาแบ่งผลประโยชน์เอ็มโอยู 2544 ภายใต้เงื่อนไขเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายทางทะเล และสนธิสัญญา จะทำให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะกรรมการเทคนิคร่วมฝ่ายไทย (เจทีซี) ส่วนที่ว่าตนนั่งเป็นประธานยังต้องรอมติ คณะรัฐมนตรี (ครม.) สุดท้ายต้องคุยกันก่อน เมื่อจัดตั้งได้ ก็ต้องมีการหารือกัน ยืนยันว่า การเจรจาก็อยู่ภายใต้กรอบ เจทีซี และ เอ็มโอยู 2544 ตรงนั้นชัดเจนอยู่แล้ว ว่าจะไม่ไปกระทบ สิ่งที่เกี่ยวข้อง และต้องเป็นความเห็นชอบของประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย รวมถึงกฎหมายทางทะเล กฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงกรอบนโยบายต่าง ๆ ที่เราต้องคำนึงด้วย


เมื่อถามอีกว่าที่ผ่านมาได้มีการหารือการประชุมความร่วมมือทวิภาคี กับประเทศกัมพูชาในเรื่องนี้หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ในภาพรวมพูดคุยในเรื่องต่าง ๆ ส่วนตรงนี้ไม่มีอะไร เราไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเขายอมรับและทราบอยู่แล้วว่าเกาะกูดเป็นของเรา และอยู่กับเรามาตั้งแต่ต้น ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร


เมื่อถามอีกว่ากลุ่มต่อต้านรัฐบาลกัมพูชากดดันให้ฟ้องศาลโลกเพื่อทวงคืนเกาะกูดจากไทย จะส่งผลให้การเจรจาไม่ราบรื่นหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมดาของประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง เพียงแต่อยากให้ตรวจสอบภายในกรอบที่อยู่ภายใต้ของกฎหมาย ตนขอย้ำว่าไม่มีปัญหาอะไรถ้ารัฐบาล ที่มีหน้าที่โดยตรงและเป็นตัวแทนประชาชน ส่วนความเห็นของประชาชนบางส่วน ที่มีความแตกต่างกัน ก็เป็นเรื่องธรรมดาในระบอบประชาธิปไตย


เมื่อถามว่าการประชุมความร่วมมือทวิภาคี กับประเทศกัมพูชา จะมีตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข่าวปลอมส่งผลกระทบความสัมพันธ์ 2 ประเทศหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เป็นแค่เพียงการพูดคุยเกี่ยวกับข่าวปลอมที่ส่งผลกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ไม่ถึงกับตั้งคณะกรรมการ เพียงแต่ให้แต่ละประเทศช่วยกันชี้แจง เพราะบางครั้งมีเสียงลือ เสียงเล่าอ้าง อยากให้ทั้ง 2 ประเทศช่วยกันตรวจสอบในข้อเท็จจริง เพราะข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อนจะส่งผลให้ทั้ง 2 ประเทศ ไม่เข้าใจกัน และไม่ส่งผลดี รวมถึง เอ็มโอยู 2544 และเรื่องอื่นด้วย


เมื่อถามย้ำว่าร่วมถึงการปั่นข่าวว่าประเทศกัมพูชา เคลมหมูเด้ง เคลม น.ส.ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า ศิลปินนักแสดง ด้วยหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า อย่าฟังเสียงเล็กเสียงน้อยแล้วเอามาเป็นประเด็น


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กัมพูชา #เกาะกูด #MOU44

โฆษกสธ. เผยสธ.เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน 4 จังหวัดชายแดนใต้รับมือวิกฤตน้ำท่วม พร้อมจัดตั้งศูนย์พักพิงให้ความช่วยเหลือกว่า 2,000 ราย ระดมส่งทีมแพทย์และสาธารณสุขกว่า 500 ทีมลงปฏิบัติการภาคสนามกระจายทุกพื้นที่


โฆษกสธ. เผยสธ.เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน 4 จังหวัดชายแดนใต้รับมือวิกฤตน้ำท่วม พร้อมจัดตั้งศูนย์พักพิงให้ความช่วยเหลือกว่า 2,000 ราย ระดมส่งทีมแพทย์และสาธารณสุขกว่า 500 ทีมลงปฏิบัติการภาคสนามกระจายทุกพื้นที่


วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมืองเปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ยังอยู่ในสภาวะที่น่าเป็นห่วง น้ำขึ้นสูงขึ้น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นห่วงมากและสั่งการให้ทุกผ่ายในกระทรวงสาธารณสุขทำงานให้เต็มที่ จากข้อมูลของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่รายงานเข้ามาส่วนกลาง สรุปว่า สถานการณ์น้ำท่วมที่พัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสตูล มีผู้บาดเจ็บ 4 ราย เสียชีวิต 7 ราย ปัจจุบันเปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน หรือ eoc 4 จังหวัด คือ สงขลา นราธิวาส ปัตตานี และยะลา


ขณะเดียวกัน สำนักงานป้องกันและควบคุมโรคเขตที่ 12 (สคร.12) ร่วมกับ สสจ. สงขลา ประเมินความเสี่ยงศูนย์พักพิงชั่วคราวอำเภอหาดใหญ่ สงขลาจำนวน 2 แห่งเพื่อให้ข้อเสนอแนะในการเตรียมความพร้อมและสำรวจทรัพยากรคงคลังของวัสดุอุปกรณ์เวชภัณฑ์ และเวชภัณฑ์ที่ไม่ใช่ยาตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในพื้นที่ประสบอุทกภัยอย่างทันท่วงทีในพื้นที่น้ำท่วม ควรสื่อสารความเสี่ยง การเฝ้าระวังโรคที่มากับน้ำท่วมการป้องกันตนเองเรื่อง พลัดตกหกล้ม เนื่องจากการลื่นของพื้น การถูกไฟฟ้าช็อต และการลงเล่นน้ำในสถานที่ต่างๆ การจัดศูนย์พักพิงในภาวะวิกฤตน้ำท่วมเป็นเรื่องเร่งด่วนเพื่อรองรับผู้ประสบภัย


“รายงานล่าสุดแจ้งว่า มีการเปิดศูนย์พักพิงที่จังหวัดยะลา นราธิวาส สงขลา รวม 47 ศูนย์พักพิง รองรับผิดประสบภัย 4,500 ราย ผู้รับบริการ 2,217 ราย ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงว่า ผู้เดือดร้อนจากน้ำท่วมจะไม่มีที่พักพิง”


น.ส.ตรีชฎากล่าวว่า ระยะ 2 - 3 วันที่ผ่านมานี้ บุคลากรทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข ได้ระดมมาตรการเพื่อรับมือกับสถานการณ์โดยฉับพลัน เช่น เคลื่อนย้ายกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ประสบภัยไปยังศูนย์อพยพหรือโรงพยาบาลที่มีความปลอดภัย เคลื่อนย้ายผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่มีความเสี่ยงสูง ไปยังโรงพยาบาลที่มีความปลอดภัย ประสานระบบส่งต่อทีมแพทย์ฉุกเฉินทางอากาศ (Sky Doctor) สำรองเตียงในโรงพยาบาลที่ไม่เสี่ยงอุทกภัย เพื่อรองรับประชาชนในพื้นที่ประสบภัย  กรณีปิดหน่วยบริการ ให้มีจุดบริการทดแทน พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ รวมทั้งประชาสัมพันธ์และสื่อสารความเสี่ยงกับประชาชนในพื้นที่ในการป้องกันภัยจากอุทกภัยที่สำคัญ ได้แก่ การจมน้ำ ไฟดูด แมลงและสัตว์มีพิษกัดต่อย


โฆษกกระทรวงสธ. ฝ่ายการเมืองกล่าวต่อไปว่า ผู้รับผิดชอบได้ดำเนินการส่งทีมด้านการแพทย์และสาธารณสุขไปดูแลประชาชนรวม 503 ทีม แบ่งเป็นทีมสอบสวนโรค 191 ทีม ทีมเยียวยาจิตใจ 112 ทีมอนามัยสิ่งแวดล้อม 2 ทีม ทีมการแพทย์ฉุกเฉิน หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ 68 ทีม และกู้ชีพกู้ภัย 130 ทีม สามารถดูแลประชาชนรวม 2,011 คน นอกจากนี้ ที่โรงพยาบาลปัตตานี มีการเปิดโรงครัวสำหรับผู้ป่วย ญาติ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลและญาติที่ไม่สามารถกลับบ้านได้ ที่น่าดีใจก็คือ คณะพยาบาลศาสตร์ มอ.ปัตตานีได้ส่งอัตรากำลังมาช่วยโรงพยาบาลในการขยายหอผู้ป่วยในครั้งนี้ด้วย ด้วยความร่วมมือกันหลายๆ จึงขอให้พี่น้องประชาชนที่ได้วางใจว่า กระทรวงสาธารณสุขจะดูแลผู้ที่กำลังเดือดร้อนอยู่ในขณะนี้อย่างดีที่สุด


“รายงานล่าสุดจากนายรุซตา สาและ ผู้อำนวยการรพ.ปัตตานี ว่า สถานการณ์ จากรพ.ปัตตานี วันนี้ระดับน้ำรอบ ๆ รพ. สูงกว่าเมื่อวาน ประมาณ 5-10 ซม. ระบบสนับสนุนประปามีน้ำเพียงพอ 48 ชม. และทางผู้ว่าฯ จะมีการสนับสนุนรถมาเติมกรณีร้องขอระบบออกซิเจนเพียงพอ  อย่างไรก็ตามมีการตามบริษัทให้มาเติมในวันนี้เพื่อเติมเต็ม ด้านโภชนา วันนี้ได้รับสนับสนุนวัตถุดิบ ข้าวสาร ไก่ ไข่ จากแพทยสมาคมฯ และ CPF ส่งวัตถุดิบ ไข่ 10,000 ฟอง ไก่ 200 ตัว เพื่อทำอาหารให้กับบุคลากร ผู้ป่วย และญาติ และอาจจะเปิดครัวใหญ่ เพื่อทำอาหารกระจายยังทุกรพ ใน 3 จังหวัด  ทีม refer  รพ.ปัตตานี สามารถเปิดบริการได้เต็มศักยภาพ” นางสาวตรีชฎากล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #น้ำท่วมภาคใต้ #น้ำท่วม67








อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : เตือน “เพื่อไทย” ไม่เหลือสักใบอนุญาต

 


อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : เตือน “เพื่อไทย” ไม่เหลือสักใบอนุญาต


[ถอดเทป] จากรายการ คมชัดลึก ทาง NationTV ช่อง 22

เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2567 ดำเนินรายการโดย วราวิทย์ ฉิมมณี

ลิ้งค์ยูทูป : https://www.youtube.com/watch?v=FBIMIomQr_U


ผู้ดำเนินรายการ : ประเด็นเรื่องใบอนุญาต 2 ใบในทางประชาธิปไตย ใบอนุญาตแรกคือเสียงจากประชาชน ใบอนุญาตที่สองซึ่งดูเหมือนจะมีความสำคัญมากกว่าในการเมืองไทยก็คือ ชนชั้นนำ กลุ่มจารีต กลุ่มทุนอะไรก็ตามที่บังคับวิถีทางการเมืองได้ “คุณจักรภพ” พูดว่า “ใบอนุญาตจากผู้มีอำนาจเดิมจำเป็นต้องมีเพื่อมาเพิ่มอำนาจให้กับประชาชน ชีวิตทางการเมืองต้องอยู่รอดก่อนถึงจะไปทำประโยชน์ได้” อาจารย์เข้าใจคุณจักรภพมั้ย?


ไม่เห็นด้วย! คืออย่างนี้นะ คุณจักรภพมีมุมมอง คือบางอย่างเราพูดเหมือนคล้าย แต่ว่ามันไม่เหมือน อาจารย์เคยพูดว่า พรรคเพื่อไทยข้ามขั้วมาแล้ว แต่พรรคเพื่อไทยไม่สามารถทำอะไรได้อิสระ ยกเว้นว่าคุณทำได้เท่าที่เขาอนุญาต แม้กระทั่งดิจิทัลวอลเล็ต คุณจะแจก 1 หมื่นทั้งหมด ไม่ต้องการเมืองนะ เรื่องเศรษฐกิจนะ เขาก็ไม่ให้คุณ แล้วเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ให้! หรือว่าเรื่องนิรโทษฯ รวม 112 แบบมีเงื่อนไข คือจุดตรงกลางนะ ก็ไม่ได้ คือการเมืองก็ไม่ได้ เศรษฐกิจก็ไม่ได้ สังคมก็ไม่ได้ อาจารย์เคยพูดว่า “คุณทำได้เท่าที่เขาอนุญาต”



แต่ที่คุณจักรภพพูดประมาณว่าต้องเอาชีวิตรอดเอาไว้ก่อน อาจารย์ไม่เห็นด้วย อาจารย์ว่าชีวิตทางการเมืองของนักการเมืองและพรรคการเมือง ไม้ใช่ชีวิตทางกายภาพแบบนี้ พรรคไทยรักไทยเขาพยายามมากี่ครั้ง แล้วคุณตายมั้ย? คุณไม่ตายเพราะอะไรรู้มั้ย? เพราะ “ประชาชน” ประชาชนมองว่าคุณเป็นพวกที่ถูกกระทำ เป็นฝ่ายประชาธิปไตย คุณไม่ตาย! แม้ครั้งหลัง ๆ คุณได้คะแนนเสียงน้อยลง แต่คุณยังไม่ตาย แต่คุณจำเอาไว้เลยนะ พรรคการเมืองจะตายเพราะประชาชน ไม่ใช่ใบอนุญาตจากผู้ยิ่งใหญ่ที่ไหน ในทัศนะอาจารย์นะ


แต่ว่าถ้าเป็นชีวิตคุณรอดเช่น เพื่อจะได้กลับมาในประเทศไม่ว่าจะเป็นคุณทักษิณหรือใครก็ตาม แล้วก็คิดว่าจำเป็นต้องเอาใจเพื่อจะได้ใบอนุญาตให้มามีชีวิตอยู่ แล้วผมก็จะทำให้ดีอันนี้เป็นเรื่องของบุคคล ไม่ใช้พรรคการเมือง เพราะฉะนั้นคุณเข้าใจผิดอย่างหนึ่ง มีพรรคบางพรรค เราก็ไม่ได้อยากจะไปทับถม ถามว่าตายลงแล้วเหี่ยวแห้งลงมั้ย? เพราะประชาชนไม่นิยม ไม่มีใครไปฆ่าเลยนะ แต่อยู่ฝั่งเดียวกับจารีตอำนาจนิยมด้วย แต่ว่าประชาชนไม่นิยม พรรคการเมืองจะตายหรือไม่อยู่ที่ประชาชน แต่ตัวคุณเองต่างหากที่คิดว่าจะตายหรือไม่ตายก็คือว่าต้องหวังผู้ที่มีอำนาจจะอนุญาตให้อยู่


ทีนี้เขาใช้คำว่า “ต้องมีใบอนุญาต ให้มีชีวิตอยู่ เพื่อไปเพิ่มอำนาจให้ประชาชน” ไม่จริง!!! อาจารย์ว่านะ บางทีเราพูดกันเรื่องว่าตระบัดสัตย์แล้วรู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญ อาจารย์อยากจะพูดว่าสำหรับนักการเมืองเขาพลิกลิ้นได้ตลอด มีเหตุผลตลอดที่จะทำอะไร สถานการณ์เปลี่ยนก็ต้องทำอย่างนี้  อาจารย์เจอมานักต่อนักแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นรัฐบาล เคยพูดกันไว้อย่างไร พออีกทีก็พูดอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น อาจารย์ว่าประชาชนเขาไม่เชื่อหรอกว่า อ๋อผมได้ใบอนุญาตแล้วน่ะ แล้วผมก็จะมาทำเพื่อประชาชน ตอนนี้คุณทำอะไรได้แค่ไหน คุณทำไปเลย ไม่ต้องมาบอกว่าทำเพื่อประชาชน เพราะว่านี่แหละชีวิตคุณจะรอด/ไม่รอด อยู่ที่คุณทำงานแล้วประชาชนมองเห็นหรือเปล่า? ประชาชนพ.ศ.นี้หลอกกันไม่ได้แล้วนะ อดีตแกนนำ ไม่ว่าเหลือง-แดง จะมาหลอกประชาชนไม่ได้!!!



ผู้ดำเนินรายการ : กรณีคุณทักษิณขึ้นเวทีที่อุดรฯ ประกาศ 200 เสียง คุณจักรภพมองว่า คือสัญญาณอย่างหนึ่ง เพราะตอนปี 2548 ได้ 377 อยู่ได้ปีเดียว คือการจบชีวิตในทางการเมือง การประกาศ 200 เสียง ส่งสัญญาณให้รู้ว่าจะประนีประนอม จะแบ่งปันอำนาจเหมือนก่อนหน้านี้ เพราะสุดท้ายจะจบแบบนั้น


อาจารย์ว่าเขาเข้าใจผิด!!!


ผู้ดำเนินรายการ : อาจารย์ไม่เคยคิดว่า “พรรคเพื่อไทย” ที่ผ่านมา 3-4 รอบ นั่นคือความตายในทางการเมือง เขาไม่เคยตายมาก่อน


เขาไม่ได้ตาย! อันเนี่ยเขาตาย! ตายตอนข้ามขั้วเนี่ยแหละ


ผู้ดำเนินรายการ : แล้วคำว่า “ใบอนุญาต” นี้ จะตีความว่าเป็นใบอนุญาตหรือเปล่า เพราะอาจารย์บอกว่า เขาจะทำได้เฉพาะสิ่งที่เขาอนุญาต


ใช่!!! ไม่ได้เป็นใบ ๆ นะ เช่น MOU ผมขออนุญาตทำนะ ทุกเรื่องเลยค่ะ คืออะไรที่ไม่สอดคล้องกับฝั่งจารีตอำนาจนิยม คุณทำไม่ได้ เขาจะเคาะหัวไปทีละเรื่อง ๆ เพราะฉะนั้น ความเป็น/ความตาย ของพรรคการเมืองอยู่ที่ความนิยมของประชาชน แต่ถ้าคุณคิดว่าคราวนั้นที่คุณตาย คล้าย ๆ กับไม่ปฏิบัติตามผู้มีอำนาจ มาถึงตอนนี้มันจะตายทีเดียว 2 อย่างเลย เพราะว่าเกิดไปทำแล้วผู้มีอำนาจไม่เอา และประชาชนก็ไม่เอา โอ้ย...ตอนนี้ตายสนิทเลยถ้าเป็นอย่างนั้น ตอนนี้ไม่ต้องพูดแล้ว ข้ามขั้วมาแล้ว ทำงานอย่างเดียว ไม่ต้องพูดว่าจะทำอย่างงั้นอย่างงี้ ซึ่งไม่มีใครเชื่อหรอก



ผู้ดำเนินรายการ : จะทำได้มากน้อยขนาดไหนก็ต้องขึ้นอยู่กับใบอนุญาต


ใช่ ขึ้นอยู่กับว่าเขาอนุญาต คือว่าสิ่งที่ทำนั้นต้องเป็นสิ่งที่ สมมุติว่าทางเศรษฐกิจก็ประมาณเหมือนกับที่ “บิ๊กตู่” ทำไว้ เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ช่วยคนเปราะบาง หรือ โครงการคนละครึ่ง แล้วองค์กรที่จะมาควบคุมจะเป็นองค์กรที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน เพราะวิธีคิดของจารีตคือไม่เอาประชาชนเป็นสำคัญ ดังนั้นองค์กรที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนไม่ว่าจะเป็นสภาพัฒน์ฯ แบงค์ชาติ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการอะไรต่าง ๆ ดูดี ดูเป็นเทวดามากกว่านักการเมืองหมด แต่อาจารย์ยอมรับนะว่านักการเมืองที่แย่จริง ๆ ก็มีเยอะด้วย แต่ว่าข้าราชการประเทศไทยลองไปแตะดูซิ คุณไปแตะตำรวจ ไปแตะกระทั่งองค์กรพุทธศาสนา แตะไปนะมีน้ำเหลืองไหลเยิ้มทั้งนั้นเลย จริง ๆ แล้วไม่ใช่มีแต่นักการเมืองที่ว่าแย่


อาจารย์มองว่าในทางความคิดนะ อาจารย์ไม่เห็นด้วยกับคุณจักรภพที่มองว่าเพราะไม่ปฏิบัติตามเขาเลยตายทั้ง 377 เสียง แล้วถามหน่อยว่าหลังจากนั้นคุณชนะไหม? คุณยังชนะ คุณยังกลับมาได้ เพราะชีวิตพรรคการเมืองเป็นชีวิตที่ต้องได้รับความนิยมจากประชาชน แม้กระทั่งพรรคใหม่ ถ้าหากว่าโดนใจก็เติบโตเร็ว ถ้าจะมองว่าคนไม่เปลี่ยน ไม่จริง! คนเปลี่ยนไปแล้ว พรรคเก่าแก่อย่าง “ประชาธิปัตย์” หรือแม้กระทั่ง “เพื่อไทย” ก็ถือว่าเป็นพรรคเก่าเหมือนกัน ก็มีการเปลี่ยนแปลงโหวตเตอร์ วิธีคิดแบบจารีตที่ต้องสยบกับอำนาจที่เหนือกว่าอำนาจประชาชนแล้วคิดว่าเพื่อมีชีวิตรอด อาจารย์ว่าคิดผิดนะ



ผู้ดำเนินรายการ : แต่เนื่องจากมีปัจจัยใหม่คือ “พรรคส้ม” อาจเป็นสิ่งที่ทำให้ “เพื่อไทย” มั่นใจว่าใบอนุญาตนี้มีและศักดิ์สิทธิ์ จะอยู่ตลอดไปตราบใดที่เอาชนะ “พรรคส้ม” ได้ นี่คือตัวชี้วัด ถ้าไม่มี “เพื่อไทย” อำนาจเก่าจะใช้ใครสู้กับ “พรรคส้ม”


อันนี้ตรงนี้อาจารย์ต้องยอมรับว่าเป็นการวางแผนไว้ก่อนของฝั่งจารีตอำนาจนิยมที่จะเอาคุณทักษิณมาตั้งแต่ปลายยุค “บิ๊กตู่” แล้วจะเอาเพื่อไทยมาร่วมมือกัน เพราะถ้าเราย้อนดูภาพการเมืองยุคนั้น เราก็จะเห็นว่ามีการไปเตรียมการทั้งการแก้กฎหมายอะไรต่าง ๆ รวมทั้งแม้กระทั่งการที่แก้ให้มีการเลือกบัญชีรายชื่อด้วย เขตด้วย (กลับมาเป็นบัตร 2 ใบ) มีการตระเตรียม ก็ต้องถือว่าเขาเก่ง แต่เขาเก่งอยู่บนพื้นฐานที่ไม่ถูกต้อง คือเขามีการเปลี่ยนเหมือนกันนะ แต่การเปลี่ยนนี้ไม่จีรัง เหตุผลเพราะว่าเขาเพียงแต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ก็คือเอา “เพื่อไทย” มา แต่เพื่อไทยสามารถที่จะต่อกรและมีประโยชน์ต่อเขาแค่ไหน? ถ้าหากว่าเพื่อไทยไม่มีประโยชน์พอ ก็คือยังคงเป็นพรรคร่วมฯ แต่ว่าคุณก็รับผิดชอบการร่วงโรยของพรรคของคุณเอง อันนี้เป็นเรื่องที่คุณต้องเลือก คุณมีชีวิตอยู่แล้วก็เป็นรัฐบาลแบบเป็ดง่อย มีแต่ร่วงโรยลงไปทุกวัน ๆ คุณเลือกที่จะเป็นแบบนั้นหรือ?


ถ้าวิธีคิดเพื่อเอาตัวรอด คิดแบบนี้คือคิดแบบเพื่อเอาบุคคลเอาตัวรอด แต่ถ้าคิดในฐานะเป็นพรรคการเมืองมันไม่ได้ ต้องถือประชาชนเป็นสำคัญ ต่อให้เป็นประเทศทางตะวันตก ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นพวกอนุรักษ์นิยม เขาก็ยังให้ความสำคัญกับประชาชน เพราะฉะนั้นคำว่าประชาชนไม่สำคัญ นี่ไม่ใช่การเมืองในระบอบประชาธิปไตยเลย


ผู้ดำเนินรายการ : มันเป็นการมุมมองวิเคราะห์การเมืองไทยแบบไม่ได้มองโลกความเป็นจริงที่มีความสลับซับซ้อนสำหรับสังคมไทยหรือเปล่า คำว่า “รัฐเชิงลึก deep state” หรืออะไรก็ตาม ดู “พรรคส้ม” ถูกยุบไปแล้ว 2 ครั้ง เลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 ก็ไม่ได้ตั้งรัฐบาล


แต่เขาไม่ตายหรอก อาจารย์ก็ยังไม่รู้ว่ายุทธศาสตร์ก็ต้องมีทั้งสองด้าน คือแน่นอนฝั่งประชาชนถูกกระทำมาก โดยเฉพาะฝ่ายประชาธิปไตย แต่คำถามว่าใครจะเชื่อว่าครั้งที่แล้ว พรรคก้าวไกล จะมาเป็นอันดับ 1 ขนาดนี้ อาจารย์ยังคิดไม่ถึงเลย แล้วพรรคประชาธิปัตย์ ตัวแทนฝ่ายจารีต จะคะแนนเสียงจะต่ำถึงขนาดนั้น อาจารย์คิดไม่ถึงทั้งสองข้าง แปลว่ามันเป็นพลวัต ประชาชนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ถ้าคุณจะหมุนทวนกงล้อที่จะหมุนไป คุณจะออกแรงไปได้กี่มากน้อย อาจจะได้ผลระดับหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงก็คือว่า พัฒนาการของสังคมโลกถึงอย่างไร อำนาจประชาชนต้องเป็นอำนาจที่สำคัญ จะบอกว่าใบอนุญาตหรือขออนุญาตจากอำนาจที่เป็น “รัฐพันลึก” หรืออะไรต่าง ๆ เหล่านั้นจะสำคัญกว่า ก็คือคิดแค่เอาตัวรอด คุณเข้าใจผิดแล้วถ้าอย่างนั้น อันนั้นไม่ใช่วิถีทางของพรรคการเมือง อันนั้นแหละพรรคการเมืองจะตาย



ผู้ดำเนินรายการ : ขออนุญาตขีดเส้นตายคำว่า “สุดท้ายจะไม่เหลือสักใบเลย”


ใช่ ๆ ไม่เหลือเลยสักใบ หมายถึงเขาใช้คุณเท่าที่ใช้ได้


ผู้ดำเนินรายการ : ส่วนถ้าจะกลับมาหาประชาชนในวันข้างหน้า


ไม่มีทางแล้ว ประชาชนเขาเดินเลยคุณไปแล้ว


ผู้ดำเนินรายการ : แต่ตอนที่คุณถูกรัฐประหาร ถูกยุบพรรค


ประชาชนจะอยู่เป็นเพื่อนและประคับประคอง ปกติประชาชนจะเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็ก แต่ถ้าคุณเอาประชาชนไปเข้าคอก ประชาชนก็ไม่ใช่ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก พอเขาตีคอกได้ก็พังหมดทั้งประชาชนที่คุณเอาไปเข้าคอก ดังนั้นในทัศนะอาจารย์ ขบวนการประชาชนต้องเป็นอิสระจากพรรคการเมืองและต้องไม่เป็นเครื่องมือของพรรคการเมืองใด ๆ ถึงจะสามารถสร้างความหวังให้กับประเทศ ในขณะเดียวกันก็จะเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้กับพรรคการเมืองที่ถูกกระทำ ถ้าคุณเอาไปเข้าคอกเดียวกันหมดมันก็จบ แต่อาจารย์กำลังมองว่า ก็เข้าใจคนที่ถูกกระทำมาหลายรอบ อาจารย์เข้าใจนะในสิ่งที่พรรคเพื่อไทยทำ ลึก ๆ ส่วนตัวก็เห็นใจ แต่ว่าไม่เห็นด้วย แล้วก็มองยาวไกลก็คิดว่ามันไม่ใช่


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เพื่อไทย #ใบอนุญาต

อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : ”ส้ม“ ไม่รวม ”เหลือง“ ม็อบ ”สนธิ“ ไปไงต่อ


อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : ”ส้ม“ ไม่รวม ”เหลือง“ ม็อบ ”สนธิ“ ไปไงต่อ


[ถอดเทป] จากรายการ คมชัดลึก ทาง NationTV ช่อง 22

เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2567 ดำเนินรายการโดย วราวิทย์ ฉิมมณี

ลิ้งค์ยูทูป : https://www.youtube.com/watch?v=FBIMIomQr_U


อาจารย์คิดว่าตอนนี้สถานการณ์มันสุกงอมมากพอที่จะมีมวลชนลงถนนแล้วหรือยัง?


ถ้าเป็นประเด็น ในทัศนะอาจารย์นะ คือคุณสนธิคิดว่ามันเป็นประเด็นที่ได้ อย่างเช่น MOU44 แต่ว่าสถานการณ์โดยรวมยังไม่ได้ ยังสุกงอมไม่พอ คือ “สุกงอม” คือคุณต้องมีมวลชนมากพอ ต้องมีความเข้มแข็ง ทุกครั้งเขาใช้เวลานานนะ และถ้ารัฐบาลเกิดมีเหตุการณ์อะไร ยกตัวอย่างเช่น ครั้งแรกของเขาก็คือคุณทักษิณขายหุ้น ซึ่งความจริงก็ยังไม่เชิงที่ว่าจะสามารถขยายม็อบได้ แต่เขาก็สามารถหยิบมาได้ แล้วกปปส.ก็คือเรื่องนิรโทษสุดซอย ในตอนนี้เรื่อง MOU44 อาจารย์ดูแล้วว่าเขาซีเรียสกับเรื่องนี้มาก แล้วก็ดูเหมือนกับมีเหตุผลที่เขาจะสามารถโจมตีได้หรือว่าไม่เห็นด้วย แต่ว่าสถานการณ์โดยรวมของประชาชนคงยังต้องรอเวลา


เพราะฉะนั้น คำว่า “สุกงอม” ก็คือประชาชนก็ต้องสุกงอม ถ้าดูตรงนี้ยังไม่ถึง


คือประเด็นน่ะใช้ได้ แต่ว่าเนื่องจากเขาไม่ได้ปูพื้นฐานมาก่อนไม่เหมือนสมัยปี 2549 นั่นประเด็นหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งอาจารย์ว่าประชาชนก็เปลี่ยนไปแล้วนะ คือในปี 2548-2549 ต้องยอมรับว่าคนเข้าใจการเมืองยังน้อย สื่อออนไลน์อะไรต่าง ๆ ก็ยังไม่เหมือนทุกวันนี้ การปราศรัยหรือการชี้นำค่อนข้างมีอิทธิพล แต่สมัยนี้ในบ้านแต่ละคนก็ต่างคนต่างดูมือถือ ต่างคนต่างมีข่าวสาร ดังนั้นการสุกงอมของประชาชนในเวลานี้น่าจะยากกว่าเมื่อก่อน เพราะว่าการชี้นำโดยแกนนำอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ เพราะประชาชนอาจจะรับข่าวหลายด้าน เช่น รับฟังรายการโน้น รับฟังรายการนี้ หรือในรายการเดียวกันก็เชิญคนมาหลายส่วน ดังนั้นทำให้คนจะต้องใช้ความคิดของตัวเอง ซึ่งอาจารย์มองว่าเป็นเรื่องที่ดี นี่เป็นพัฒนาการที่ดี


ฉะนั้น ประชาชนเมื่อปี 2548 ตอนนั้น 20 ปีผ่านไป ไม่ใช่เฉพาะคนรุ่นใหม่นะ คนรุ่นเก่าด้วย ไม่เหมือนเดิมแล้ว มีความเป็นตัวของตัวเอง ถ้าเขาจะลงถนนหรืออะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เขาก็มีความเป็นตัวของตัวเองมาก เหมือนคนเสื้อแดง ไม่ต้องมีแกนนำนะ เขาอยากจะทำอะไร เขาก็ทำ เพราะว่าเขาคิดเองได้ ประชาชนก็ไม่เหมือนเดิม อีกเรื่องหนึ่งก็คือว่า พรรคการเมืองฝ่ายที่เป็นฝ่ายจารีตอำนาจนิยม คือแนวคิดแบบเดียวกับคุณทักษิณ ก็ไปรวมกันเป็นรัฐบาลหมด



ผู้ดำเนินรายการ : อันนี้คือความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมากในการเมืองสมัยนี้ เมื่อก่อนมีแค่พันธมิตรฯ กับสายคุณทักษิณ


มีประชาธิปัตย์ เป็นพรรคการเมืองที่อยู่ในสภา เป็นตัวแทนของฝั่งจารีต ในความคิดอาจารย์นะ (ก็ต้องขออภัย คนอื่นอาจจะไม่เห็นด้วย) ก็คือเขาสามารถใช้หลังพิง ตอนนั้นประชาธิปัตย์มีคนหนุนเป็นระดับ 10 ล้านเหมือนกัน แต่ว่ามาตอนนี้กลายเป็นว่าพรรคเพื่อไทยไปอยู่ฝั่งเดียวกับรัฐบาลยุคที่แล้ว ซึ่งเราถือว่าเป็นขั้วจารีตอำนาจนิยมด้วยกันทั้งหมด ทั้งประชาธิปัตย์ ทั้งรทสช. เพียงแต่พลังประชารัฐถูกเขี่ยออกมาหน่อยหนึ่งเท่านั้น ฉะนั้น ปัจจัยที่ว่ามีพรรคการเมืองหนุนอย่างเต็มที่ก็น้อยลง นอกจากประชาชนจะเปลี่ยนไป อันนี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญ


ผู้ดำเนินรายการ : กลุ่มจารีตที่เคยร่วมกับมวลชนเสื้อเหลืองต่อต้านรัฐบาลทักษิณ ปัจจุบันบางส่วนก็ไปตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ในขณะที่พรรคการเมืองฝ่ายค้าน ซึ่งปกติก็จะสอดประสานกับม็อบนอกสภา ครั้งนี้ก็ไม่เหมือนเดิมอีก กลายเป็นพรรคส้ม


กลายเป็นคนละซีก คือคนอื่นเขาอาจจะมองเป็นแบบว่า “สามก๊ก” อาจารย์ว่า “สามก๊ก” นั้นคือก๊กผลประโยชน์ แต่ว่าถ้าในทางการเมือง มันยังเป็น 2 ขั้ว อาจารย์ไม่อยากเรียกก๊ก เพราะถ้าก๊กก็มีแต่เฉพาะผู้มีอำนาจ อันนั้นเป็นภาษาของคุณณัฐวุฒิ แต่ว่าขั้วความคิดไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ล้วน ๆ มันอาจจะมีผลประโยชน์อยู่ แต่ว่ามันแยกขั้วความคิด ก็ยังเป็น 2 ขั้ว ปรากฎว่าฝ่ายรัฐบาลที่เขาไม่พอใจก็อยู่ฝั่งเดียวกัน เรียกว่าเป็นขั้วจารีต (ผู้ดำเนินรายการ : เพื่อไทยถูกเหมารวมเข้าไปในขั้วนี้แล้วเหรอ?) ไม่ใช่เหมารวม ก็คุณข้ามขั้วไปแล้วนี่ เพียงแต่คุณอาจจะยังเข้ากันไม่สนิท ก็ต้องค่อย ๆ ปรับตัว แต่ก็ถือว่าอยู่ฝั่งเดียวกัน ในขณะที่ฝ่ายค้าน ซึ่งปกติถ้าม็อบลงถนนเขาจะต้องร่วมกับฝ่ายค้านใช่มั้ย แต่ฝ่ายค้านก็คนละขั้วกับคุณสนธิ พรรคประชาชนก็เป็นขั้วฝ่ายประชาธิปไตย ไม่เอารัฐประหาร ไม่เอาจารีตอำนาจนิยมเด็ดขาด ดังนั้น มันก็จะไปยากสำหรับคุณสนธิ อาจารย์มองนะ นี่ด้วยหลักการ เพียงแต่ว่าเราก็ประมาทเขาไม่ได้ว่าถ้าเขาบ่มเพาะไป แล้วรัฐบาลทำอะไรที่ทำให้เกิดปัญหา เพราะว่าเขาก็มีพลพรรคเหมือนกัน แต่ว่ามันอาจจะไม่กว้างใหญ่ไพศาล



ผู้ดำเนินรายการ : ประเด็นอะไรที่อาจารย์มองว่าจะเป็นจุดชี้ขาดที่อาจารย์ใช้คำว่า “ประมาทเขาไม่ได้เหมือนกัน” ที่จะทำให้พลังของเขากลับมาอีกครั้งหนึ่ง ที่รัฐบาลต้องระวัง


คือคุณสนธิเป็นคนเก่ง แกมีความรอบรู้ทางประวัติศาสตร์ คนที่ศึกษาประวัติศาสตร์มักจะได้เปรียบ เพราะว่าเอาบทเรียนของส่วนรวมมา มักจะทำให้เวลาทำอะไรพูดอะไรก็สามารถที่จะโน้มน้าวคนได้ แล้วก็เป็นสื่อ แรก ๆ คนก็ประมาทเขามากว่าเขาไม่เคยเป็นแกนนำเลย สื่อจำนวนหนึ่งก็ประมาทเขามาก แต่ว่าความจริงเขาเป็นคนเก่ง แม้เขาไม่เคยเป็นแกนนำ คือเขาใช้ความรู้ที่เขามีอยู่แล้วพูดไป ต้องขออภัย พอดีอาจารย์อยู่กับคนเสื้อแดงมาก่อน บางเรื่องที่เขาพูดถึงในหมู่พวกเรา มันก็จริงบ้างไม่จริงบ้าง ซึ่งบางทีเราไม่ได้ทำแต่เขาอาจจะเอาไปพูดหรืออะไรก็ตาม แต่ว่าเขาเก่งนะ คือตัวเขาเป็นคนเก่ง แล้วก็พูดโดยมีตรรกะ พยายามที่จะมีข้อมูลเข้ามา น่าเชื่อถือ มีข้อมูล ไม่ได้ใช้วาทะกรรม บางคน popular ในการปราศรัย แต่ใช้วาทะกรรมเป็นหลัก แต่คุณสนธิแกไม่ได้ใช้วาทะกรรมนะ แกพูดของแกไปเรื่อย ๆ แต่ว่าแกก็เล่าเรื่องมีข่าวสารมีอะไรที่สามารถโน้นน้าวคนได้


คือ 1) ประมาทไม่ได้ 2) มี connection ประสบการณ์ ทีนี้มวลชนที่เป็น FC ก็มีอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ว่าอาจจะแก่ ๆ แล้ว แต่เวลาเขามาทำงานการเมืองตั้งพรรคการเมืองก็ไม่ได้ผลนะ ล้มเหลวนะ คนก็ฉลาดนะ ก็คือเวลาแกลงท้องถนนเขาก็ลงด้วย แต่ว่าเป็นพรรคการเมืองลงเลือกตั้ง เขาไม่เลือก เพราะฉะนั้นประชาชนก็ฉลาดเหมือนกัน แต่ถามว่าในอดีตที่มี connection อยู่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของคุณจำลอง ศรีเมือง สันติอโศก แล้วก็กลุ่มหลวงตามหาบัว กลุ่มของคุณสมศักดิ์ โกศัยสุข ที่ประสานกับพวกสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งตอนนั้นไม่พอใจเรื่องแปรรูป เพราะเขาอยากเป็นรัฐวิสาหกิจ ไม่อยากแปรรูปเข้าตลาดหลักทรัพย์ อะไรต่าง ๆ ทำนองนี้ ก็ยังอาจจะมีคนมาร่วมด้วยระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะให้กว้างใหญ่ไพศาลก็อาจจะต้องมีพรรคการเมืองแบบเมื่อก่อน ในอดีตนี่ก็ “ประชาธิปัตย์”


ผู้ดำเนินรายการ : คือตอนพันธมิตรรุ่งเรือง ประชาธิปัตย์ก็สอดประสานกัน ตอนนปช.ออกมาชุมนุม เพื่อไทยก็สอดประสานกัน แล้วขณะนี้ไม่มีพลังจากพรรคการเมืองในสภาจากฝ่ายค้าน มันก็เลยทำให้สถานการณ์ยาก


อีกอย่างหนึ่งที่อาจารย์ตั้งข้อสังเกตก็คือว่า แม้ว่ารัฐบาลจะเป็นฝั่งจารีตอำนาจนิยมด้วยกันกับคุณสนธิ แต่แกก็มีความเห็นหมดนะ คือพรรคประชาชนแกอาจจะพูดถึงน้อยหน่อยก็ได้ แต่ว่าไม่เอาอยู่แล้ว เพราะว่าในอดีตแกคงไม่ทิ้งอันนั้นหรอก ก็คือหมายถึงกระแสที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์หรือเชิดชูอะไรอย่างนี้ก็ยังเหมือนเดิม ตอนนี้ยังจะหนักไปด้วย เพราะฉะนั้น พรรคประชาชนโดยขั้ว มันอยู่คนละขั้วกันอยู่แล้ว



แต่ว่าในฝั่งขั้วที่เป็นรัฐบาล ดูเหมือนพรรคสีน้ำเงินคุณสนธิก็ไปเล่นงานเรื่องเขากระโดง มันทำให้เกิดบรรยากาศว่า พรรคการเมืองขณะนี้มันแย่หมด มันเลวหมด อะไรประมาณนั้น อาจารย์ก็ออกจะเชิงวิตกนะว่า แล้วคุณจะเอายังไง เพราะปกติระบอบประชาธิปไตยนั้น ถึงแม้ว่ารัฐธรรมนูญตัวนี้จะเลว แต่ว่าประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน ถ้าหากว่าคุณสนธิมาตัดสินในระหว่างทาง ก็ต้องให้เกียรติประชาชนเข้ามาร่วมด้วย ในเวลานี้คุณสนธิมีความเห็น อาจารย์ก็ว่าโอคะนะ แต่ว่าก็ควรให้ประชาชนทั่วไปและพรรคการเมืองในรัฐสภา สามารถใช้เวทีดีเบต ยกตัวอย่างเรื่อง MOU44 ก็พูดในรัฐสภาในเต็มที่ พรรคประชาชนสงสัยก็ถาม หรือว่าให้มีเวทีอื่น ๆ ด้วย เพราะอย่างไรสำหรับอาจารย์นะ ไม่อยากให้ลงท้ายด้วยมีการรัฐประหารแบบเดิม ไม่อยากให้ “ธง” เขาไปทางนั้น แต่ในอดีตมันจะเป็นอย่างนั้น คือพรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล มันใช้ไม่ได้สักพรรคหนึ่งแล้ว แล้วจะให้ทำยังไง?


ผู้ดำเนินรายการ : นี่คือสิ่งที่เขากำลังชี้ให้เห็นประเด็นนี้ เพื่อไทยก็มีปม อัลไพน์


ไม่! เพื่อไทย มีปม MOU44 ตัวสำคัญเลย แล้วเรื่องที่ดินอัลไพน์ก็ส่วนหนึ่ง ภูมิใจไทยก็เขากระโดง ส่วนพรรคประชาชนก็ ไอ้พวกนี้เซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วจะเอายังไง? ที่อาจารย์เป็นกังวลว่า ถ้าอย่างนั้นเหมือนกับทำให้ประชาชนมองว่าระบอบนี้มันไปไม่ได้หรือยังไง เหมือนทำให้ดูว่าไม่มีทางออก ซึ่งไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น อาจารย์ก็มองว่าอาจารย์ยังไว้ใจเชื่อประชาชน เพียงแต่อาจารย์ไม่ไว้ใจกลุ่มจารีตอำนาจนิยม อย่าไปเคลิ้มตามให้มากนักก็แล้วกัน


ผู้ดำเนินรายการ : ชวนอาจารย์วิเคราะห์มวลชนแต่ละกลุ่มว่าจะกลายมาเป็นแนวร่วมมุมกลับให้กลุ่มพันธมิตรฯ เดิม คนเสื้อเหลืองเดิมที่ยังยึดมั่นกับกลุ่มพันธมิตรฯ ยึดมั่นกับตัวคุณสนธิ มากน้อยขนาดไหน “ส้ม” ที่มาจาก “แดง” มีโอกาสจะไม่พอใจรัฐบาลถึงขั้นไปรวมกับ “เหลือง” ได้มั้ย?


ไม่ได้!!! เหตุผลที่เขาอาจจะไม่พอใจพรรคเพื่อไทย เพราะพรรคเพื่อไทยข้ามขั้ว แต่ถ้าเขาไปจับมือกับคุณสนธิ เขาก็ข้ามขั้วน่ะซิ (เขาจะไม่ซ้ำรอยในสิ่งที่เขาไม่พอใจ) ใช่! แปลว่าเขาไม่มีหลักการซิ


ผู้ดำเนินรายการ : โอเค อันนี้กลุ่มแรกนะ กลุ่มที่ 2 ที่เคยเป็น “เหลือง” มาก่อน ย้ายมาเป็น “ส้ม” จะกลับไปจับมือกับ “เหลือง” ได้อีกมั้ย?


อาจารย์ก็ว่าไม่ไป เหตุผลว่าทำไมเขาถึงเลือก “ส้ม” เขารู้อยู่แล้วว่า “ส้ม” มีนโยบายอะไร เป็นทั้งเสรีนิยมที่ก้าวหน้าจนกระทั่งถึงรัฐสวัสดิการ แสดงว่าเขายอมรับสิ่งนี้ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาอาจจะเหมือนกับพันธมิตรฯ คือ เขาอาจจะไม่ชอบระบอบทักษิณ (ความคิดนี้ยังฝังอยู่) แต่ว่าพรรคส้มก็กลายเป็นทางเลือกของเขาได้ แต่ถ้าหากว่าเขาเป็นความคิดจารีตอำนาจนิยมแบบเดียวกับคุณสนธิ เขาก็ไปเลือกพรรค รทสช. หรือเลือกพรรคพลังประชารัฐ ทำไมเขาจะต้องมาเลือกพรรคประชาชน การเลือกพรรคประชาชนแปลว่าเขาต้องคิดแล้วว่ามันเหมือนกัน เพราะว่าคนเวลาขึ้นบันไดมองเห็นอะไรที่ก้าวหน้าแล้ว อาจารย์ว่าลงยาก คือระหว่างความไม่ชอบคุณทักษิณ กับระหว่างการคว่ำระบอบ อาจารย์ว่าเขาไม่เลือกคว่ำระบอบหรอก เขาอุตส่าห์เลือกมา “ส้ม” แล้ว ถ้าหากเขาไปเลือกพรรคอื่น เช่น รทสช. ลุงตู่ ซึ่งก่อนหน้านี้กลายเป็นผู้นำของพรรคการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยม เขาก็ต้องไปทางนั้นแล้ว ถ้ามาทางพรรคส้มแล้วในตรรกะ อาจารย์ว่าย้อนกลับไม่ได้



ผู้ดำเนินรายการ : อีกกลุ่มก็คือกลุ่มจารีตเดิม “เหลืองเดิม” ที่อาจจะมีตัวเลือกทางการเมืองเยอะหน่อยในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น ประชาธิปัตย์-รวมไทยสร้างชาติ-พลังประชารัฐ หรือจริง ๆ ภูมิใจไทย บางส่วนก็ยึดโยงในแง่ของแนวคิดในการปกป้องสถาบัน กลุ่มนี้ปัจจุบันบางส่วนก็อยู่ร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทย จะมีโอกาสถอยย้อนกลับมาร่วมกับมวลชนนอกสภาเพื่อล้มรัฐบาลของตัวเองมั้ย?


อาจารย์ว่ายาก (เพราะเกาะเกี่ยวด้วยผลประโยชน์อยู่) 1) คนเหล่านี้ค่อนข้างมีความเชื่อมั่น คือแกนนำเขากลายเป็นแกนนำพรรค ไม่ใช่คุณสนธิอีกแล้ว ยกตัวอย่างเช่น กปปส. อาจารย์ว่าเขาคงไม่มา ตัวแทนก็มาเป็นรัฐบาล เป็นรัฐมนตรี แต่ถ้าเป็นกลุ่มพันธมิตรฯ เดิม ส่วนมากก็อายุมาก ป่วยไข้ไปหมดแล้ว ไม่มีอิทธิพลพอ ในส่วนพรรคการเมืองสีน้ำเงิน คือคุณสนธิแกเอาหมด ตีหมดว่าดูไม่ดี แต่แกไม่ได้ตี รวมไทยสร้างชาติ


ผู้ดำเนินรายการ : คือคุณสนธิก็ไม่ได้พยายามดึงมวลชนให้แตกมาจากพรรคร่วมฯ แต่ไปซัดเขาด้วยซ้ำ คนที่อยู่ในพรรคร่วมฯ ขณะนี้ ก็เลยอาจจะเหลือแนวร่วมเขาจริง ๆ น้อยลง


ใช่! น้อยลง แต่อย่างที่อาจารย์บอก 1) เป็น FC เขา 2) อาจจะเป็นกลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง กลุ่มที่ไม่ได้ยึดโยงกับพรรคการเมือง อันนี้ก็อาจจะมาร่วมได้ ในอดีตก็จะเป็น สันติอโศก หลวงตามหาบัว สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ หรือ NGO บางส่วนที่ไม่แฮปปี้กับรัฐบาลนี้ เพราะว่าเขาก็มีปฏิสัมพันธ์กัน แต่อย่างที่อาจารย์บอกมันจะไม่ได้กว้างใหญ่ไพศาลสักเท่าไร ยกเว้นว่ารัฐบาลหรือพรรคการเมืองทำอะไรที่มันแย่จริง ๆ จนถึงขนาดว่าปลุกคนมาได้ แต่ว่ามันยากในความคิดของอาจารย์ เพราะว่าปัจจัยที่สำคัญก็คือ เวลาเปลี่ยน ประชาชนก็เปลี่ยน แล้วทิศทางที่เปลี่ยนเป็นทิศทางที่ก้าวหน้าขึ้น เวลาประชาชนก้าวหน้าขึ้น เขายากที่จะถอยหลัง


ทีนี้ผู้นำที่จารีต หรือพรรคการเมืองจารีต พวกนี้มักจะไม่ได้ปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลง สิ่งสำคัญที่สุดของการประสบความสำเร็จก็คือการปรับตัวที่จะอยู่ได้ อย่างอาจารย์เป็นนักวิทยาศาสตร์ ทฤษฎีของชาร์ลส์ ดาร์วิน ก็คือ คุณจะอยู่ได้คุณต้องปรับตัวให้เข้ากับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลง กลุ่มที่ความคิดจารีตอำนาจนิยม โดยเฉพาะสาย “บิ๊กตู่” อาจารย์ว่าเขาเก่งนะ ที่เขาคิดวิธีไปดึงพรรคเพื่อไทยมา เพราะว่าเขามองในทางยาวไกล เพราะว่าเขาทำเต็มแม็กซ์แล้วนะ เป็นรัฐบาล 5 ปี แล้วก็มาเป็นอีก แล้วก็มีพรรคการเมือง แล้วก็เขียนรัฐธรรมนูญจารีตสุด ๆ แล้ว ทำอะไรต่าง ๆ จนสุดแล้ว ก็คงจะเข้าใจว่าไม่สามารถที่จะเป็นไปตามที่เขาคิด เขาก็เลยต้องใช้ยุทธศาสตร์นี้ แต่อาจารย์มองว่าคุณสนธิแกไม่สนใจเรื่องยุทธศาสตร์นี้ เพราะว่าแกไม่ใช่พรรคการเมือง แกไม่คิดว่าแกต้องมารับผิดชอบให้การเมืองเดินไปในระบอบประชาธิปไตย แกอาจจะชื่นชมระบอบอื่นก็ได้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #สนธิลิ้มทองกุล #พรรคเพื่อไทย #ทักษิณชินวัตร

วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

“เท้ง-ณัฐพงษ์” ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมที่ อ.จะนะ-หาดใหญ่ จ.สงขลา พบปัญหาประชาชนไม่ทราบเส้นทาง-จุดอพยพ ขาดแคลนอุปกรณ์-กำลังคนช่วยเหลือ ชี้ภาคใต้ตอนล่างเกิดน้ำท่วมซ้ำซาก ระยะยาวต้องพัฒนาระบบประเมินสถานการณ์ที่แม่นยำ เพื่ออพยพประชาชนได้ทันท่วงที

 


“เท้ง-ณัฐพงษ์” ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมที่ อ.จะนะ-หาดใหญ่ จ.สงขลา พบปัญหาประชาชนไม่ทราบเส้นทาง-จุดอพยพ ขาดแคลนอุปกรณ์-กำลังคนช่วยเหลือ ชี้ภาคใต้ตอนล่างเกิดน้ำท่วมซ้ำซาก ระยะยาวต้องพัฒนาระบบประเมินสถานการณ์ที่แม่นยำ เพื่ออพยพประชาชนได้ทันท่วงที


วันนี้(29 พ.ย. 67) ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ โดยระบุว่า เดินทางมาที่อำเภอจะนะ - หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เพื่อสำรวจความเสียหายจากพื้นที่น้ำท่วม ได้เห็นการทำงานอย่างแข็งขันของเจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร และได้รับฟังปัญหาจากหน่วยงานราชการและประชาชนในพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การสนับสนุนการทำงานของราชการ ท้องถิ่น และประชาชนต่อไป ซึ่งผมต้องขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ อาสาสมัครหน้างานทุกท่านที่กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน 


ในวันนี้ปริมาณฝนยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่องและในหลายพื้นที่น้ำยังคงท่วมสูง สำหรับสถานการณ์ล่าสุดน้ำท่วมในพื้นที่ 7 จังหวัด 50 อำเภอ 321 ตำบล 1,884 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 136,219 ครัวเรือน เป็นอย่างน้อย และเนื่องจากภาวะอุทกภัยครั้งนี้ มีความรุนแรงและส่งผลกระทบในวงกว้าง ทำให้ในพื้นที่ประสบภัยขาดแคลนทั้งอุปกรณ์ที่จำเป็นในการช่วยเหลือประชาชน เช่น เรือ เสื้อชูชีพ และขาดแคลนกำลังคนด้วย และยังมีพี่น้องประชาชนบางส่วนยังไม่ทราบจุดอพยพ และไม่ทราบเส้นทางการอพยพ รวมถึงพาหนะในการอพยพที่ปลอดภัย


นอกจากนี้ การคาดการณ์ฝนและน้ำท่าล่าสุดจากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำพบว่า ในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างยังอาจมีฝนตกหนักต่อเนื่องอีก 2-3 วัน ผมจึงขอให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำหรือระดับน้ำอย่างใกล้ชิด และสำหรับพี่น้องประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ผมขอแนะนำให้เร่งย้ายไปอยู่ที่ปลอดภัยหรือที่ศูนย์อพยพแต่ละอำเภอที่หน่วยงานรัฐและเอกชนจัดเตรียมให้ เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิตของพี่น้องประชาชน


ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ถือเป็นพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากพื้นที่หนึ่งในประเทศไทยในระยะยาวต้องมีการที่จะต้องมีการศึกษาและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ เช่น 


- การพัฒนาแบบจำลองคาดการณ์น้ำท่วม เพื่อสามารถระบุพื้นที่และระยะเวลาน้ำท่วมให้มีความชัดเจน ทำให้สามารถแจ้งเตือนที่เร็วและแม่นยำมากขึ้น 


- การเตรียมพร้อมให้พื้นที่มีอุปกรณ์ที่เพียงพอในการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ไปศูนย์อพยพ รวมถึงเตรียมพื้นที่อพยพให้เหมาะสมต่อการรองรับผู้ป่วยติดเตียง ผู้หญิง และเด็กให้มากขึ้น 


- ในระหว่างน้ำท่วม จำเป็นต้องพัฒนาระบบการประเมินสถานการณ์ที่แม่นยำ และการเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ


- เมื่อน้ำลดลง แต่ปัญหาของพี่น้องของประชาชนไม่ได้ลดลงตามไปด้วย โดยเฉพาะปัญหาในการประกอบอาชีพ การซ่อมแซมบ้านเรือน  และปัญหาภาระทางการเงิน เพราะฉะนั้น ต้องมีกระบวนการฟื้นฟูเยียวยาให้กลับมาสู่สภาพปกติให้เร็วที่สุด 


ในส่วนของพรรคประชาชน คณะทำงานพรรคประชาชน จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา (หาดใหญ่) ได้เปิดพื้นที่ศูนย์ประสานงาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่พี่น้องประชาชน สำหรับกรณีให้ผู้ประสบภัยพักพิงชั่วคราว, ให้อาสาสมัครกู้ภัย แวะพักผ่อนระหว่างการเดินทางครับ 


ท้ายนี้ต้องขออภัยพี่น้องประชาชนที่ไม่สามารถเดินทางไปพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ด้วยตนเอง เนื่องจากเกิดน้ำท่วมสูงทำให้เส้นทางสัญจรไม่สามารถเดินทางได้ครับ อย่างไรก็ดี คณะทำงานจังหวัดพรรคประชาชนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังปฎิบัติหน้าที่ในพื้นที่เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนต่อไปอย่างแข็งขัน นายณัฐพงษ์ กล่าว 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #น้ำท่วม67 #น้ำท่วมใต้ #สงขลา








'รองนายกฯ ประเสริฐ' รับหนังสือสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า วอนรัฐบาลแก้ไขแก้กฎหมาย ลดความขัดแย้ง รัฐ-ประชาชน ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ


'รองนายกฯ ประเสริฐ' รับหนังสือสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า วอนรัฐบาลแก้ไขแก้กฎหมาย ลดความขัดแย้ง รัฐ-ประชาชน ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ


วันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยนายทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และผู้เกี่ยวข้อง ได้เดินทางมารับฟังข้อเรียกร้องของกลุ่มสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า ซึ่งรวมตัวชุมนุมกว่าหลายพันคน บริเวณศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ก่อนเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ที่หอประชุมทีปังกรรัศมีโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่


นายประเสริฐ ยืนยันการรับทราบปัญหาและรับหลักการของสมัชชาคนอยู่กับป่าและพี่น้องประชาชน เพื่อนำเรียนต่อนายกรัฐมนตรี และจะนำสู่กระบวนการขั้นตอนการแก้ไขปัญหาแบบมีส่วนร่วมต่อไป ภายใต้บังคับกฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และเพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการดำเนินการตามบันทึกนี้ จึงได้ลงนามบัณทึกไว้


โดยการประชุม ครม.สัญจรครั้งนี้นอกจากจะมุ่งเน้นการพัฒนาภาคเหนือแล้ว ยังเป็นเวทีสำคัญในการรับฟังปัญหาจากประชาชนโดยตรง โดยข้อเรียกร้องจากกลุ่มสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้ยื่นหนังสือร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) โครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562  พ.ศ. 2567 และร่าง พ.ร.ฎ.โครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 รวม 2 ฉบับ จะส่งผลกระทบกับประชาชนที่มีที่ทำกินและอยู่อาศัยในพื้นที่อนุรักษ์ จำนวน 462,444 ครัวเรือน หรือ 1,849,792 คน และจะส่งผลให้เกิดปัญหาความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างรัฐกับชุมชนคนอยู่ในป่ามากยิ่งขึ้น


สำหรับข้อเสนอของสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่าที่ยื่นต่อรัฐบาลมี 4 ประการ ดังนี้


1. ขอให้ยุติการนำ พ.ร.ฎ.โครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และ พ.ร.ฎ.โครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามมาตรา 121 แห่งพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ไปประกาศใช้กับพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ จนกว่าจะมีการปรับแก้กฎหมาย


2. ขอให้รัฐบาลจัดตั้งกลไกในรูปแบบที่เป็นคณะกรรมการหรือคณะทำงานจัดเวทีเปิดรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 เป็นรายอุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ทุกๆ พื้นที่ี เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่สามารถนำไปปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับ ภายในระยะเวลา 60 วัน


3. ขอให้รัฐบาลและคณะรัฐมนตรีจะต้องเร่งเสนอให้มีการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562  โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ทั้งนี้ให้นำเสนอร่างสู่การพิจารณาของ คณะรัฐมนตรี ภายใน 90 วัน ก่อนเสนอเข้าสภา


4. ในระหว่างที่มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายทั้งสองฉบับ รัฐบาลจะต้องชะลอยับยั้งการเตรียมประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จำนวน 23 แห่ง จนกว่าจะมีการแก้ไขกฎหมายทั้งสองฉบับแล้วเสร็จ  เว้นแต่ในกรณีที่พื้นที่เตรียมการฯ นั้นดำเนินการกันขอบเขตชุมชน พื้นที่ทำกิน และพื้นที่ป่าชุมชนแล้วเสร็จ และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ 






"นายกฯแพทองธาร" ฝากถึง "สนธิ" ม็อบยังเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น หวั่นกระทบท่องเที่ยว ปัดรับหนังสือด้วยตัวเอง ขอให้เป็นตามกระบวนการ ลั่นเกิดบนแผ่นดินไทย ไม่มีทางเห็นประเทศไหนสำคัญกว่า

 


"นายกฯแพทองธาร" ฝากถึง "สนธิ" ม็อบยังเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น หวั่นกระทบท่องเที่ยว ปัดรับหนังสือด้วยตัวเอง ขอให้เป็นตามกระบวนการ ลั่นเกิดบนแผ่นดินไทย ไม่มีทางเห็นประเทศไหนสำคัญกว่า


วันที่ 29 พ.ย. 67 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ศูนย์แม่ริม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกาศจัดการชุมนุมครั้งสุดท้ายในชีวิต มองว่าสถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้เหมาะที่จะมีม็อบหรือไม่ ว่า เราต้องรักษาความสงบในประเทศให้ได้มากที่สุด เพราะหากเราจะไปประเทศไหนแล้วมีม็อบเราอาจไม่อยากไป ซึ่งประเด็นนี้จะกระทบกับการท่องเที่ยวและประเทศอย่างแน่นอน แต่ว่าหากประชาชนมีข้อเรียกร้องหรืออยากจะเสนอกับรัฐบาลเรามีกระบวนการรับฟังเสียงของประชาชนอยู่แล้ว เช่นกันยื่นจดหมาย รัฐบาลเห็นว่าความคิดเห็นของประชาชนสำคัญเสมอ แต่การจะเกิดม็อบหรืออะไรเราพูดคุยกันได้ จึงยังไม่น่าจะเป็นสิ่งที่จำเป็น


เมื่อถามว่า การที่นายสนธิ จะยื่นหนังสือคัดค้าน MOU44 จะไปรับด้วยตัวเองหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า คงต้องให้เป็นไปตามกระบวนการที่มีอยู่ คงไม่มีพิเศษในกรณีไหน ไม่เช่นนั้นก็จะมีเคสใหม่เรื่อย ๆ เราอยากให้เป็นไปตามกระบวนการ


เมื่อถามว่าเสียงคัดค้าน MOU44 ดังขึ้นเรื่อย ๆ นายกฯจะมีการทบทวนหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า สิ่งที่เดินหน้าขณะนี้มีเรื่องเดียวคือการตั้งคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค (JTC) เพื่อเจรจาระหว่างสองประเทศ และประเด็น MOU44 เราจะให้ข้อมูลประชาชนเรื่อย ๆ และการจะเดินต่อหรือไม่ขอให้ผ่านคณะกรรมการที่มีการพูดคุยกันทั้งสองประเทศดีกว่า


เมื่อถามว่า MOU ประเทศไทยสามารถยกเลิกเพียงฝ่ายเดียวได้หรือไม่ เพราะเสียงที่คัดค้านบอกว่าสามารถยกเลิกฝ่ายเดียวได้ ถ้าประเทศไทยเสียเปรียบ นายกฯ กล่าวว่า จริงๆแล้วสามารถยกเลิกได้ตามหลักของกฎหมาย แต่ถามว่าเราควรยกเลิกฝ่ายเดียวหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องระหว่างประเทศ ดังนั้นคงต้องมีการคุยกันก่อนจะดีกว่า อย่างเมื่อวันที่ 28 พ.ย. ตนได้คุยกับนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ก็ไม่มีประเทศไหนอยากขัดแย้งกัน และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่อนไหว เพราะฉะนั้นเราพยายามคือหนึ่งไม่ให้คนในประเทศของเราเข้าใจผิดในเรื่องอะไรก็ตาม สองการจะตกลงในเรื่องนี้ควรเป็นการคุยกันระหว่างสองประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดความแตกแยก


เมื่อถามว่ารัฐบาลชี้แจงในเรื่อง MOU44 แต่ยังคงมีคำถามเข้ามาเรื่อย ๆ มองว่ามีอะไรนอกเหนือจากเรื่อง MOU44 ซ่อนอยู่ในนั้นหรือไม่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.แพทองธาร นิ่งคิดก่อนกล่าวว่า ก็อาจจะเป็นประเด็นทางการเมืองหรือเปล่า ประเด็นทางการเมืองก็มีมากมายทุกวัน แต่เรื่องระหว่างประเทศเป็นเรื่องอ่อนไหว เพราะคำพูดของนายกฯ หรือของรมว.ต่างประเทศ ได้สื่อสารออกไป ประเทศอื่นๆจะรับข้อนั้นเลย เพราะฉะนั้นเราจึงพยายามสื่อสารด้วยความระมัดระวัง และเห็นอกเห็นใจทั้งสองฝ่าย แต่พื้นที่ที่เราคุยกันมายังคงเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ ยังไม่มีการเคาะอะไรทั้งสิ้น ทั้งเราและกัมพูชายังไม่มีใครเสียผลประโยชน์อะไรในตอนนี้ เราต้องคุยกันก่อน


แน่นอนว่าดิฉันเองเป็นนายกฯของประเทศไทย ไม่มีทางเห็นประเทศใดสำคัญกว่าประเทศไทย ขอให้มั่นใจตรงนี้ไว้อย่างหนึ่งว่าดิฉันเกิดในแผ่นดินนี้ไม่มีทางที่จะเห็นที่ไหนดีกว่าบ้านเรา ขอให้มั่นใจในจุดนี้ และเราตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคุยด้วยเหตุผล ด้วยการตกลงระหว่างประเทศที่ดี" นายกฯ กล่าว


เมื่อถามว่าหากรัฐบาลเดินหน้าในเรื่องนี้และเกิดความไม่สงบขึ้นนายกฯจะดำเนินการอย่างไร น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เราอย่าเพิ่งไปมองตรงนั้นดีหรือไม่ เพราะจริงๆแล้ว MOU44 มีมานานแล้ว เรื่องความแตกแยกที่ทำให้คนเข้าใจผิดมันไม่ได้มี เราต้องฟังข้อมูลที่จริงให้ครบ อย่าเอาเรื่องของกระแสหรือความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศของเรามาทำให้เป็นประเด็นที่จะกลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศ อันนั้นก็จะไม่ดีไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น


เมื่อถามว่ากลุ่ม ผู้คัดค้าน MOU44 มีการหยิบยกพระบรมราชโองการของในหลวงรัชกาลที่9 เรื่องของไหล่ทวีปขึ้นมา ประเด็นนี้จะอยู่ในการเจรจาด้วยหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ในนั้นเราได้ดูเนื้อหานี้อย่างละเอียดแล้ว อะไรที่เป็นปัญหาเราไม่ชนกับปัญหาอย่างแน่นอน เราต้องค่อย ๆ ร่วมกันแก้ไข

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #รัฐบาลแพทองธาร #สนธิลิ้มทองกุล #MOU44