ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ : ภารกิจทวงความยุติธรรม กับการลงนาม ICC
ที่จริงภารกิจเรื่องการติดตามทวงถามความยุติธรรมมันก็มีมาโดยต่อเนื่องนะครับ
เพียงแต่ว่าในช่วงอำนาจของรัฐบาลปัจจุบัน 8 ปี แต่ละขั้นตอน แต่ละช่องทาง
มันไม่มีความคืบหน้า ถ้าจะจำกันได้ ในช่วงประมาณครึ่งแรกของรัฐบาลนี้ หมายถึงว่า 4 ปีแรก เราไปตามความคืบหน้ากันที่ ป.ป.ช. ไปทวงถามกันหลายครั้ง ไปดีเอสไป
ไปอัยการ มีการแถลงข่าวเรียกร้องความเป็นธรรมที่ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเราเพื่อนมิตรพี่น้อง ไม่ว่าจะเป็นแกนนำ ญาติผู้สูญเสีย
นักวิชาการ นักกฎหมาย หรือพี่น้องผู้ร่วมอุดมการณ์ ก็ได้ปฏิบัติร่วมกันมา
แต่อย่างที่เรียนนะครับ
เรื่องนี้เมื่อผู้มีอำนาจปัจจุบันเป็นคู่กรณี
เป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำความรุนแรงแก่ประชาชนเสียเอง
มันก็เลยทำให้ทุกขั้นตอนเป็นไปด้วยความยากลำบาก
อย่างไรก็ตามความยากลำบากมันไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าทุกอย่างจะยุติหรือจบลงแล้ว
แต่ยิ่งมันยากเรายิ่งต้องช่วยกันเดินหน้า
ยิ่งต้องช่วยกันผลักดันให้การทวงถามความยุติธรรมต่อผู้สูญเสียบรรลุผลให้จงได้ครับ
สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้
ผมว่าการคาดหวังของประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยมีต่อพรรคการเมืองในซีกประชาธิปไตยทุกพรรค
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลกี่พรรค ใครจะร่วมกับใครก็ตาม
แต่ถ้าประกาศตัวเป็นพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย
พี่น้องประชาชนที่เคยออกมาร่วมต่อสู้และสูญเสียย่อมต้องมีความคาดหวัง และรัฐบาลชุดดังกล่าวก็ควรที่จะมีรูปธรรมที่ชัดเจนในการบอกกล่าวและดำเนินการให้เป็นที่ประจักษ์ต่อประชาชนด้วย
ตอบคำถามกรณีการจัดงานเกี่ยวกับคนเสื้อแดงโดยองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาฯ
(อบจ.) แต่ผู้บริหารไม่ให้จัด นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า
ผมเคารพในจิตวิญญาณเสรีของคนหนุ่มสาว และผมคิดว่าเส้นแบ่งระหว่างวัย
เส้นแบ่งระหว่างสถานะไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าใครจะมีวุฒิภาวะหรือใครจะได้รับความนับถือมากไปกว่ากัน
ถ้าหากว่านิสิตนักศึกษาเขาเข้าถึง เข้าใจ และเห็นใจ
การต่อสู้ตลอดจนการสูญเสียของคนเสื้อแดง เขาแสดงออกมา
ก็เป็นเรื่องที่ตัวผมเองยกย่อง
ส่วนบรรดาผู้บริหารมหาวิทยาลัยก็อยากจะให้ท่านกรุณาทบทวนวิธีคิดวิธีปฏิบัติของท่านบ้าง
มิเช่นนั้นการแสดงออกของท่านมันจะเป็นกระจกสะท้อนถึงทัศนะที่ล้าหลัง
ถึงทัศนะที่ยังไม่เคารพในอำนาจอธิปไตยของประชาชนและยังไม่เคารพต่อการต่อสู้ของประชาชนที่ผ่านมา
ท่านจะเอาอะไรไปสอนนิสิตนักศึกษาที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาของท่านเอง
ส่วนกรณี
ICC โดยจุดยืนส่วนตัวผมเรียกร้องตั้งแต่บนเวทีนปช.อยู่แล้วว่าการลงนามรับอำนาจ
ICC เป็นเรื่องที่จำเป็นหากกระบวนการยุติธรรมในประเทศมันแสวงหาความยุติธรรมให้กับประชาชนผู้สูญเสียไม่ได้
ประเด็นก็คือว่าในช่วงเวลานั้นคดีความตามกระบวนการยุติธรรมปกติกำลังเดินหน้าอยู่ มันมีการดำเนินคดี
มันมีการสั่งฟ้องโดยอัยการในช่วงประมาณปี 2556
หมายความว่ารัฐบาลชุดดังกล่าวเข้ามาสู่อำนาจ 2 ปี
คดีไปถึงศาลโดยอัยการสั่งฟ้อง เมื่อกระบวนการยุติธรรมในประเทศกำลังขับเคลื่อนอยู่
อำนาจของ ICC ก็คงจะยังไม่สามารถเข้ามามีบทบาทได้ทันที
แต่พอมาถึงตอนนี้สถานการณ์ของคดีความมันตีบตันมาก
ๆ แล้ว ดังนั้นผมก็คิดว่าพรรคเพื่อไทยก็ควรจะแนวทางและคำตอบในเรื่องนี้
ส่วนตัวผมก็อย่างที่บอกว่าเอาที่เป็นไปได้ที่สุด ที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ที่สุด
คือการรับอำนาจ ICC
เฉพาะกรณีปี 2552, 2553 อันนี้ผมว่าอยู่ในวิสัยใกล้มือ
แล้วได้หารือกับบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ผู้บริหารของพรรคเพื่อไทยหลายต่อหลายคน
ทุกคนก็รับในหลักการว่าหากกระบวนการยุติธรรมในประเทศไม่สามารถอำนวยความยุติธรรมในเรื่องนี้ได้
การแสวงหาความยุติธรรมจากองค์กรระหว่างประเทศ จะ ICC หรืออื่น
ๆ ก็ตาม มันย่อมจะต้องเกิดขึ้น
แล้วก็เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลชุดต่อไปของฝ่ายประชาธิปไตยด้วย