นพ.เหวง
โตจิราการ : 13 ปี ที่ยังไม่มีความยุติธรรมให้คนเสื้อแดง กับการเลือกตั้ง 2566
มีหลายคนเขาบอกว่าพอวันที่
10เมษาทีก็มารำลึกกันที เป็นงานเช็งเม้งอะไรอย่างนี้
ผมต้องขออนุญาตเรียนว่าปีนี้มันมีสถานการณ์พิเศษ ก็คือปีนี้มันจวบกับจะมีการเลือกตั้งใหญ่ในวันที่
14 พฤษภาคม 2566 ดูแล้วความตื่นตัวของพี่น้องผู้รักประชาธิปไตย พี่น้องเสื้อแดง
สูงมาก
และผมเชื่อว่าพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยกับพี่น้องเสื้อแดงจะออกมาใช้สิทธิ์กันอย่างถล่มทลาย
แล้วผมยังเชื่อต่อไปนะครับว่า พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยจะเลือกพรรคฝั่งประชาธิปไตย
ชนะอย่างถล่มทลายท่วมท้นด้วยเช่นกัน
เพราะฉะนั้น
ภายหลังการเลือกตั้งผมเชื่อว่าพรรคฝั่งประชาธิปไตยจะมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลอย่างแน่นอนครับ
และผมยังเชื่อต่อว่าจะไม่มีพรรคฝั่งประชาธิปไตยแม้พรรคใดพรรคหนึ่งไปจับมือร่วมกับพรรคฝั่งเผด็จการหรือพรรคฝั่งที่รับใช้เผด็จการอย่างแน่นอน
พรรคฝั่งประชาธิปไตยจัดตั้งรัฐบาลแน่นอน
เมื่อเป็นอย่างนี้จึงเป็นโอกาสอันดีงามและเหมาะสมที่พรรคฝั่งประชาธิปไตยจะต้องสำนึกถึงบุญคุณของพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยและคนเสื้อแดงทั่วทั้งประเทศที่เลือกท่านเข้ามาเป็นรัฐบาล
ในการสำนึกบุญคุณก็คือ
ประการแรก
ต้องทวงความยุติธรรมคืนให้กับวีรชนประชาธิปไตย เมษา-พฤษภา53 ให้ได้
และโดยเร็วด้วยนะ ไม่ใช่ทอดเวลาให้ยาวออกไป เมื่อท่านจัดตั้งรัฐบาล
ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่
ตามที่ผมอ่านจากข่าวหนังสือพิมพ์ในสื่อเขาบอกว่าจะไปจัดในเดือนสิงหาคม
อะไรประมาณนั้น ก็ไม่เป็นไร สมมุติว่าเดือนสิงหาคมจริง
ผมคิดว่าใช้เวลาก่อนสิ้นปีนี้ ให้ทวงความยุติธรรมให้กับคนเสื้อแดง
ก็คือไปดูว่าคดีทั้งหลายทั้งปวงมันไปค้างอยู่ตรงไหน
ศพไหนบ้างที่ยังไม่ได้มีการชันสูตรพลิกศพ
แล้วดำเนินการรวบรวมการชันสูตรพลิกศพให้ครบถ้วน แล้วยื่นไปตามกระบวนการของประมวลวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 150 (ถ้าผมจำผิดขออภัยนะครับ) ก็คือให้ศาลมีคำสั่งการตายลงมาว่าผู้ตาย ตายด้วยอะไร
ถ้าหากว่าผู้ตายโดยคำสั่งศาลตายโดยการยิงของทหารหรือเจ้าหน้าที่ของศอฉ.
ก็เดินเรื่องต่อไปเลยก็คือว่าไปฟ้องเจ้าหน้าที่ศอฉ. รวมไปถึงรัฐบาลอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ ด้วย ที่เขาออกคำสั่งดังกล่าว
ผมจึงความความหวังอย่างยิ่งว่าผ่านจากการเลือกตั้งครั้งนี้
แล้วก็มีรัฐบาลประชาธิปไตยขึ้นมาแล้ว และรัฐบาลประชาธิปไตยจะต้องกระตือรือร้น
ไม่ใช่ทิ้ง ไม่เอาใจใส่ดูแล หากว่ารัฐบาลประชาธิปไตยทอดทิ้ง ไม่เอาใจใส่ดูแล
พี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตยเขาจับตาดูอยู่
มันเท่ากับเป็นการฟ้องว่ารัฐบาลประชาธิปไตยนี้ไม่ซื่อสัตย์ ไม่ซื่อตรง
ไม่รักษาคำมั่นสัญญา ไม่รักษาสัจจะวาจา ไม่รักษาพันธะกรณีกับผู้รักประชาธิปไตย
ผมไม่อยากจะใช้คำว่าทรยศหักหลัง เพราะว่าผมไม่อยากจะใช้คำแรงอย่างนั้น
ผมจึงเรียนมาว่านี่คือเป็นจุดเริ่มต้น ก็คือสามารถที่จะเดินคดีไปได้อย่างรวดเร็ว
เพราะว่าจริง ๆ ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ (ขออนุญาตที่เอ่ยชื่อ)
เขาก็เดินหน้าในการที่จะชันสูตรพลิกศพแล้วก็ยื่นเรื่องให้ศาลมีคำสั่งการตาย
และในที่สุดก็มีความคืบหน้ามาอย่างน้อยก็สิบกว่าศพ ถ้าจำไม่ผิดก็คือ 19 ศพ
อันนี้มันเหลืออีก 62 ศพ ที่ อ.ธิดา ไปสำรวจค้นคว้ามา
เพราะฉะนั้น
ผมเรียนไปยังรัฐบาลประชาธิปไตยที่กำลังจะเกิดขึ้นปลายปีนี้ 62 ศพ
ให้ท่านเร่งดำเนินการ เพราะว่ามันผ่านมาแล้วตั้ง 13 ปี มันไม่ต้องใช้เวลาอีกยาวนานหรอก
ผมว่าก่อนปีใหม่มันน่าจะรวบรวมทัน
แล้วต้นปีหน้าก็น่าจะส่งเรื่องให้ศาลมีคำสั่งการตายได้
เรื่องเกี่ยวกับการตายเมื่อเมษา-พฤษภา ปี 53 มันก็จะได้รุดหน้าไป
ประการที่สอง
ผมเข้าใจคือรัฐบาลฝั่งประชาธิปไตยจะต้องเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่รัฐบาลคสช.หรือรัฐบาลสืบทอดอำนาจของคสช.สร้างความเสียหายอย่างยับเยินทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย
ถ้าผมได้ตัวเลขไม่ผิดตอนนี้มีหนี้ 25.4 ล้านล้าน สร้างขึ้นมาในสมัยรัฐประหารปี
2557 จนถึงปัจจุบัน ประมาณ 10 ล้านล้าน
เพราะฉะนั้นจึงมีความจำเป็นที่รัฐบาลฝั่งประชาธิปไตยต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยเร่งด่วน
อันนี้ผมเข้าใจ แต่ต้องเรียนนะครับว่า ก่อนหน้าโน้นคืนปี 2549
รัฐบาลเคยสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจอย่างมากมายให้กับประเทศไทย
จนกลายเป็นประเทศอันดับหนึ่งในเอเชียอาคเนย์ สิงคโปร์เขายังกลัวยังเกรงขามประเทศไทยอย่างมากเลย
แต่ปรากฏว่าพอรัฐประหารยึดอำนาจตูมความเจริญทางเศรษฐกิจเสียหายไปหมดเลย
และที่สำคัญก็คือการยึดอำนาจรัฐประหารนี่มันเป็นการยึดซ้ำซาก จากปี 2549 มาเป็นปี
2557 ก็เลยกระหน่ำซ้ำเติมทำให้เศรษฐกิจพังพินาศหมด
ดังนั้นจึงเป็นบทเรียนที่สรุปได้ว่าไม่ว่ารัฐบาลจะล้ำเลิศขนาดไหน
ไม่ว่าจะพัฒนาเศรษฐกิจได้ยอดเยี่ยมขนาดไหน แต่พอโดนรัฐประหารตูม! จบเลย!
ฉะนั้นรัฐบาลประชาธิปไตยต้องทำหน้าที่อีกอันหนึ่งเร่งด่วนเลยก็คือ “หยุดรัฐประหารให้ได้เด็ดขาด”
มีบางพรรค
มีบางคน
คิดว่าการจะหยุดรัฐประหารได้เพียงแต่ไปเขียนในรัฐธรรมนูญว่าไม่ให้นิรโทษกรรมการยึดอำนาจรัฐประหารแม้จะชนะก็ตาม
ไม่ได้ครับ! ผมเป็นคน 14ตุลา รัฐธรรมนูญฉบับปี 2517 ตีตราไว้อย่างชัดเจนในมาตราที่ 4
ว่าห้ามนิรโทษกรรมให้กับการยึดอำนาจรัฐประหารแม้จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็แล้วแต่
เป็นไงครับ ประกาศใช้ปี 2517 ปี 2519 ก็มีการฆ่านักเรียน นิสิต นักศึกษา
กลางสนามหญ้าที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วก็ฉีกรัฐธรรมนูญ
จากนั้นเป็นต้นมาก็มีการฉีกรัฐธรรมนูญซ้ำแล้วซ้ำอีกร่วม ๆ 10 ครั้ง ฉะนั้นการจะไปเพ้อฝันว่าเขียนในรัฐธรรมนูญว่าห้ามนิรโทษกรรมกับพวกที่ยึดอำนาจรัฐประหารแล้วมันจะหยุดการรัฐประหารได้
เป็นไปไม่ได้ครับ!
ดังนั้น
ผมต้องเรียนไปยังรัฐบาลประชาธิปไตย พวกคุณต้องดำเนินการยื่นเรื่องไปยังที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
และให้ที่ประชุมใหญ่ผู้พิพากษาศาลฎีกาพิจารณาทบทวนคำพิพากษาของศาลฎีกาที่วางบรรทัดฐานไว้ว่า
คณะยึดอำนาจรัฐประหารที่ชนะเป็นรัฎฐาธิปัตย์ให้ทบทวนเสีย ให้พิจารณาว่าการยึดอำนาจรัฐประหารแม้จะชนะก็ถือว่าไม่ชอบด้วยมาตรา
113 ซึ่งผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจของผมว่าผู้พิพากษาส่วนใหญ่ที่สุดของศาลฎีกาท่านไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารยึดอำนาจ
เมื่อเป็นอย่างนี้ก็จะมีการทบทวนคำพิพากษาของศาลฎีกาได้ ถ้าหากว่าเราโชคดี ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาท่านมีคำวินิจฉัยว่าการยึดอำนาจรัฐประหารแม้จะชนะก็มีความผิดตามมาตรา
113 รัฐบาลประชาธิปไตยก็สามารถเดินเรื่องไปเอากลุ่มบุคคลที่ยึดอำนาจเมื่อปี 2549,
2557 ถึงแม้จะชนะ มาลงโทษตามประมวลกฎหมาย 113 ได้ ซึ่งมีโทษกบฏ อัตราโทษจำคุกตลอดชีวิต
หรือประหารชีวิต
ถ้าทำสำเร็จ
รัฐบาลประชาธิปไตยจะมีคุณูปการยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ชาติไทยเลยนะครับ
แล้วท่านจะได้รับการตราตรึงในประวัติศาสตร์ตราบนานเท่านาน
และเป็นการหยุดการยึดอำนาจรัฐประหารได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแน่นอน เพราะจะไม่มีใครกล้ายึดอำนาจรัฐประหารอีกต่อไป
ประการต่อมา
ผมอยากจะฝากให้รัฐบาลประชาธิปไตยหยุดการสังหารประชาชนด้วยกองกำลังติดอาวุธของรัฐ
ไม่ว่าจะเป็นทหารก็ดี ตำรวจก็ดี หรืออันธพาลการเมืองก็ดี
วิธีการหยุดก็คือต้องเอาคำสั่งการตายของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 150 ว่าผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน ตายจากเหตุอะไร
ถ้าหากผู้ตายตายด้วยการยิงของทหาร ก็ต้องเอาทหารเหล่านั้นมาลงโทษตามกฎหมาย
เอาผู้สั่งการมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้ ก็อาจจะมีคนโต้แย้งว่าเรื่องมันไปอยู่ที่
ป.ป.ช. จึงต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ รัฐบาลประชาธิปไตยต้องไปยื่นเรื่องกระทุ้ง
ป.ป.ช. บอกว่าหลังจากที่ ป.ป.ช.ชุดซึ่งปัดตกคำกล่าวโทษต่อ “อภิสิทธิ์-สุเทพ-อนุพงษ์”
จากวันนั้นจนถึงวันนี้มันมีหลักฐานใหม่ ๆ เกิดขึ้น อาทิเช่น
มีคำพิพากษาของศาลฎีกาว่าชายชุดดำนั้นไม่จริง ไม่มีกองกำลังติดอาวุธชายชุดดำ
ศาลยกฟ้องไป เรื่องเผาฯ ก็ยกไป ไม่ว่าจะเป็นการเผาเซ็นทรัลเวิล์ด เผาเซ็น
หลักฐานเหล่านี้ก็นำไปยื่นป.ป.ช.ใหม่ เพื่อบอก ป.ป.ช.ชุดใหม่ให้รู้ว่ามีหลักฐานใหม่
ขอให้เอาเรื่อง “อภิสิทธิ์-สุเทพ-อนุพงษ์” (ศอฉ.นั่นแหละ)
มาพิจารณากันใหม่ว่าเขามีความผิดตามกฎหมาย
ทั้งนี้เนื่องจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงนั้น สงบ สันติ ปราศจากกองกำลังอาวุธ
จะได้ดำเนินการลงโทษตามกฎหมายต่อไป
แต่ผมประหวั่นพรั่นพรึงว่า
ป.ป.ช.ก็คงจะเหมือนเดิม เพราะมีความเป็นไปได้ว่าเขาจะปัดตก
ถ้าเป็นอย่างนี้ก็แปลว่าความยุติธรรมเมืองไทยเราพึ่งไม่ได้อีกต่อไปแล้วในกรณีของ “เมษา-พฤษภา
53” ก็มีความจำเป็นในการที่จะต้องไปรับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ
กรณีเมษา-พฤษภา ปี 53 ผมกราบเรียนว่ากรุณาฟังช้า ๆ ชัด ๆ แล้วก็จำให้แม่นยำ
ก็คือรับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศเฉพาะกรณี
จะเรียกว่าอาชญากรรมต่อมนุษยชาติปี 2553 ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยก็ได้
ไม่ใช่เรื่องการไปประกาศให้สัตยาบัน เพราะทันทีถ้าคุณไปประกาศสัตยาบันก่อนที่จะรับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศเฉพาะกรณีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติปี
2553 ถ้าคุณไปประกาศให้สัตยาบันก่อนรับรองเฉพาะกรณีฯ เรื่องปี 53
มันจะหลุดลอยไปเลย เพราะว่าการให้สัตยาบันมันจะทำให้คดีเข้าสู่การพิจารณาเดินต่อไปข้างหน้า
ถ้าคุณไปให้สัตยาบันปี 67 แปลว่าปี 53 มันย้อนหลังแล้ว เอามาพิจารณาไม่ได้
เพราะฉะนั้นต้องเริ่มต้นตรงนี้ก่อนก็คือว่ารับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศเฉพาะกรณีปี
53 ศาลอาญาระหว่างประเทศจะได้เข้ามาดำเนินการในเรื่องนี้ภายหลังจากที่กระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยสิ้นหวังแล้ว
ผมขออนุญาตกราบเรียนว่า
อ.ธิดากับผม อาจารย์ธงชัย วินิจจะกุล โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ได้เคยไปที่กรุงเจนีว่า
ได้ยื่นเรื่องนี้โดยละเอียดแล้ว ตอนทีไปผมยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ศาล ICC
ระดับสูง บอกว่าคุณหมอครับพวกเราพร้อมอยู่แล้ว เหลือเพียงประการเดียว คือประเทศไทยประกาศรับรองหรือเซ็นชื่อ
จะเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศคนเดียวก็ได้ เซ็นชื่อหรือประกาศรับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ
เฉพาะกรณี เมษาพฤษภา ปี 53 เท่านั้นเอง เขาก็สามารถเดินเรื่องต่อไปได้เลย
ผมอยากให้รัฐบาลประชาธิปไตย ทันทีที่ท่านจัดตั้งรัฐบาลขึ้นได้ผมอยากให้ท่านทำสิ่งนี้เป็นเรื่องแรกเลย
นี่ก็คือเรื่องเร่งด่วนที่ผมเชื่อว่ารัฐบาลประชาธิปไตยที่ประชาชนเลือกเข้ามาจะต้องทำหน้าที่นี้
นอกจากนี้ผมก็อยากให้รัฐบาลประชาธิปไตยพิจารณายกเลิกองค์กร
กอ.รมน. เพราะองค์กร กอ.รมน. เป็นเรื่องมือที่สำคัญของรัฐทหารในการที่จะแทรกซึมเข้าไปในทุกขุมขนของประเทศไทย
เพื่อให้อำนาจอยู่ในมือของพวกทหาร พวกขวาจัด พวกอนุรักษ์นิยมทั้งหลาย
ดังนั้นต้องรีบยกเลิกองค์กร กอ.รมน.
นอกจากนี้ยังต้องไปแก้ไขกฎอัยการศึก
เพราะว่าที่ผ่านมานายทหารระดับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ซึ่งถ้าไปอ่านดูมันตีความได้กว้างมาก
บางทีระดับหมวด บางทีระดับหมู่ หรือบางทีระดับหน่วย ก็อาจจะประกาศได้
ผมก็เลยอยากจะให้รัฐบาลประชาธิปไตยโปรดกรุณาแก้ไขกฎอัยการศึก
ให้การประกาศใช้กฎอัยการศึกต้องประกาศโดยคณะรัฐมนตรี หรือสภาผู้แทนราษฎร ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย
เพราะว่าครั้งที่แล้วก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะยึดอำนาจ
เขาประกาศกฎอัยการศึก แล้วก็ตั้งบังเกอร์ในกรุงเทพฯ ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้มีเหตุอะไร
พอมีคนท้วงติงเขาก็เอาสีข้างเข้าถู เขาบอกมันสวยงาม
จะเชิญให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาได้เยอะแยะ มันฟังไม่ขึ้น
ฉะนั้น
เรื่องกฎอัยการศึกต้องแก้ไขครับ และยกเลิกองค์กร กอ.รมน.
ก็จะต้องเร่งในการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยให้ประชาชนทั้งประเทศเขาเลือก สสร.
แล้วให้ สสร. ไปยกร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นไปตามเจตจำนงของประชาชน ซึ่งผมเงี่ยหูฟังดู
ประชาชนเขาต้องการยกเลิกส.ว.ครับ ถ้าหากจะมีส.ว.ก็ควรจะมาจากการเลือกตั้งโดยตรง
แต่ส่วนตัวผมเห็นว่ายกเลิกไปเลย ต่อมาองค์อิสระทุกองค์กรที่มีส่วนเชื่อมโยงกับคสช.
ก็ควรจะสิ้นอายุไป และให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นฝ่ายคัดกรององค์กรอิสระทั้งหมด
กระทั่งศาลรัฐธรรมนูญก็ควรจะมาจากการคัดกรองของสภาผู้แทนราษฎร
ที่สำคัญอีกอันหนึ่งที่ผมอยากจะให้ประชาชนพิจารณาก็คือ
ประธานศาลฎีกาควรจะได้รับการรับรองจากสภาผู้แทนราษฎร และแก้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมทั้งหลายทั้งปวง
อาจจะมีการหยิบยกขึ้นมาพิจารณากันในสภาว่าสมควรจะปรับแก้อะไร? อย่างไร? ตามที่มีประชาชนเขาร้องขอกัน
ไม่ว่าจะเป็น 116 หรือ 112 เป็นต้น
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการรำลึก
13ปีเมษาพฤษภา53 น่าจะเป็นหมุดหมายที่ดีที่ทำให้ประเทศไทยได้ความยุติธรรมคืนมา
ที่หยุดการรัฐประหารได้ ที่หยุดการฆ่าประชาชนด้วยกองทัพได้
ที่จะเปลี่ยนรัฐทหารให้กลายเป็นรัฐประชาธิปไตยที่แท้จริงได้
ที่จะมีการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดย สสร. ได้
นี่คือความหมายที่ยิ่งใหญ่มากของการมาชุมนุมกันในวันนี้ครับ
สิ่งที่ฝากต่อสังคม
ข้อแรกผมว่าความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกันของพี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตย พี่น้องเสื้อแดง
ในการเลือกพรรคฝั่งประชาธิปไตยสำคัญมาก
เพราะว่าตอนนี้มีพรรคฝั่งประชาธิปไตยหลายพรรค ใครรักพรรคไหนก็เลือกพรรคนั้น
กรุณาอย่าทะเลาะเบาะแว้งกันเลยครับ เพราะหากว่าพี่น้องผู้รักประชาธิปไตย
พี่น้องเสื้อแดงทะเลาะเบาะแว้งกันในเรื่องพรรค จะกลายเป็นว่าพวกฝั่งเผด็จการหรือพวกมีแนวโน้มไปด้านเผด็จการเขาจะหัวเราะเยาะเย้ยและจะสมน้ำหน้า
และพวกเขาจะได้ประโยชน์
ข้อที่สองก็คือว่า
13 ปีแล้วนะ เหลืออีกเพียง 7 ปี ถ้าหากว่ารัฐบาลประชาธิปไตยที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนเพื่อให้มาเปลี่ยนประเทศใหม่จากรัฐทหารเป็นรัฐประชาธิปไตย
ผมถือว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ประชาชนเขาต้องการที่จะกวาดล้างคสช.
และผลพวงของคสช.ทั้งหลายทั้งปวงออกไป ก็คือต้องการสร้างประเทศให้เป็นประชาธิปไตย
ฉะนั้นภารกิจทุกประการที่ผมได้กล่าวไปข้างต้น
ผมอยากให้พรรคฝั่งประชาธิปไตยโปรดทำเถอะครับ 4 ปีของคุณ
ที่จริงผมคิดว่าทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงปีเดียวก็สามารถบรรลุผลได้แล้ว เพราะถ้าหากว่า
4 ปีนี้ผ่านไปโดยหายไปกับสายลม ไม่มีอะไรคืนหน้าเลย มันก็จะหายไปอีก 4 ปี
ก็จะเหลือเพียง 3 ปี มันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว นี่ผ่านมา 13 ปี ทุกอย่างมันเงียบเฉย
ล่องลอยไปในสายลม เป็นไปได้ที่พวกเผด็จการขวาจัด พวกอนุรักษ์นิยม
เขากลัวการถูกลงโทษตามกฎหมาย เขาก็เลยพยายามจะรักษาอำนาจจนถึงปัจจุบัน
แต่ในวันนี้มีโอกาสที่อำนาจจะเปลี่ยนจากฟากอนุรักษ์นิยมหรือชื่นชมเผด็จการ
ชื่นชมการยึดอำนาจรัฐประหาร มาเป็นฝั่งประชาธิปไตย ต้องการประชาธิปไตย ต้องการความยุติธรรม
ต้องการทวงความยุติธรรม
ดังนั้น
ผมกราบเรียนไปยังประชาชน สามัคคีกัน อย่าแตกแยกกัน
กราบเรียนไปยังพรรคการเมืองฝั่งประชาธิปไตยว่า สามัคคีกัน อย่าแตกแยกกัน
เพราะถ้าไม่สามัคคีกัน แตกแยกกัน ฝั่งเผด็จการเขาจะหัวเราะเยาะเย้ย แล้วเขาจะได้ชัยชนะ
และเมื่อสามารถที่จะจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ให้เร่งดำเนินการภารกิจต่าง ๆ โดยเร็วภายใน
4 ปี จริง ๆ ผมคิดว่าภายใน 2 ปีก็สามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วครับ