แลไปข้างหน้ากับ
ธิดา ถาวรเศรษฐ
ประเด็น
: ประยุทธ์ไม่ยอมลงจากหลังเสือ ภาคใหม่!!!
สวัสดีค่ะ
ในขณะนี้สถานการณ์การเมือง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการบริหารงานและการเตรียมที่จะมีการเลือกตั้งน่าจะเป็นสถานการณ์ใหม่ที่น่าสนใจ
เราจะเห็นปรากฏการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นในฝั่งของรัฐบาล
วันนี้ดิฉันคิดว่าดิฉันจะโฟกัสที่ พล.อ.ประยุทธ์ เราจะพูดเป็นภาคใหม่ของ
พล.อ.ประยุทธ์ ก็คือ
ประยุทธ์ไม่ยอมลงจากหลังเสือ
ภาคใหม่!!!
ถ้าเราจะนับว่า
พล.อ.ประยุทธ์ ขี่หลังเสือมานานเท่าไหร่ ดิฉันอยากจะนับมาตั้งแต่เขาได้เป็น ผบ.ทบ.
เพราะในประเทศไทย ผบ.ทบ. มีอำนาจ อาจจะยิ่งกว่านายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ เพราะกำลังทหารประเทศไทย กองทัพไทย และผบ.ทบ.
ถูกโครงสร้างรัฐอำนาจนิยมสร้างขึ้นมาเพื่อจะกำกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอีกทีหนึ่งให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว
ก็คือคำที่เราพูดว่า “รัฐซ้อนรัฐ”
รัฐตัวจริงของประเทศไทยตั้งแต่หลังสงครามเย็นเป็นต้นมาก็มีอำนาจ
กอ.รมน.และกองทัพบก เป็นรัฐทหารที่เป็นรัฐตัวจริง
ส่วนรัฐของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็จะแสดงตัวอยู่ข้างบน
ถ้าเป็นอันเดียวกัน ก็คือนายกฯ เป็นทหาร อันนี้ก็จะแน่นปึก
ก็จะไม่มีการทำรัฐประหาร ยกเว้น ถ้านายกฯ ที่เป็นทหารนั้นคุมทหารด้วยกันไม่ได้
ดังนั้น
ถ้าจะถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีอำนาจอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่เมื่อไหร่
ดิฉันจะนับตั้งแต่ พ.ศ. 2553 ซึ่งได้เป็น ผบ.ทบ. ท่านผู้ชมคงจำได้ว่าการเป็น
ผบ.ทบ. ของพล.อ.ประยุทธ์นั้น เป็น ผบ.ทบ. ในช่วงยุคคุณอภิสิทธิ์
รัฐบาลประชาธิปัตย์ และได้ร่วมกันในการที่จะยึดกุมอำนาจ เป็นความต่อเนื่องหลังจากการปราบปราม
ประชาชน ก็มีการแต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ.
คือขี่หลังเสือมาตั้งแต่บัดนั้นในทัศนะของดิฉัน
แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นเสือตัวใหญ่มากขึ้น
นั่นก็คือเมื่อมีการทำรัฐประหารของรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
หลังจากที่ตัวเองก็ได้รับการต่ออายุเป็น ผบ.ทบ.
ดังนั้น
กลยุทธ์ในการหลอกลวง ในการทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ในอำนาจนั้น
ต้องถือว่าท่านเริ่มมาตั้งแต่ท่านเป็น ผบ.ทบ. ไม่ใช่เพิ่งมามีกลยุทธ์หลอกลวง
อีกไม่นานจะคืนอำนาจหลังจากรัฐประหารแล้ว ไม่ใช่!!!
ถ้าจะนับจากบัดนั้น
2553 จนถึงบัดนี้ 2566 เป็นเวลา 13 ปีมาแล้ว ท่านยังไม่ยอมลงจากหลังเสือภาคใหม่
โดยการตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมา สละพรรคการเมืองเก่า (พปชร.) ที่สร้างขึ้นมา
โดยที่ผู้นำก็คือ พล.อ.ประวิตร อันนี้สะท้อนชัดเจนว่านี่เป็นการไม่ยอมลงจากหลังเสือ
นับเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ จากที่เป็น ผบ.ทบ. แล้วทำการรัฐประหาร แล้วเป็นนายกฯ
ของ คสช. 4 ปี แล้วก็มีการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม
การได้เป็นนายกฯ จากคสช.มา 4 ปี แล้วมาอยู่พปชร.ได้เป็นนายกฯ อีก
แล้วครั้งที่แล้วที่เราได้พูดถึงการไม่ยอมลงจากหลังเสือก็เมื่อมีการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
คือถ้าเป็นคนทั่วไปเขาต้องลงแล้ว เพราะคนทั้งประเทศเขาบอกว่ามันเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแล้ว
ตามเจตนารมณ์ก็คือนายกฯ ไม่ควรจะอยู่เกิน 8 ปี นับรวมจากเป็นนายกฯ ยุคคสช.
อันนั้นคือเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้
เพราะเขาเขียนเอาไว้ไม่นึกว่าผู้สั่งให้เขียน/ผู้กำหนดการเขียน
จะเป็นผู้ถืออำนาจเสียเอง คือเขียนไว้ป้องกันพลเรือนหรือนายกฯ
ที่มาจากพรรคการเมืองไม่ให้มีอำนาจยาวนาน ดังนั้น ใคร ๆ ทั้งโลกเขาตีความว่าครบแล้ว
แต่ท่านไม่ยอมลาออก แล้วก็มีความเชื่อมั่นอย่างมากเลยว่าจะอยู่ได้
แล้วก็อยู่ได้จริง นั่นก็คือมีการตีความใหม่ว่าความเป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญนี้ให้เริ่มนับจาก
2560 ก็คือเป็นเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ก็เกิดการเป็นนายกฯ คสช.
เหลื่อมกับการเป็นนายกฯ ที่มาจากพรรคพปชร.
อันนี้เป็นการแสดงชัดเจนว่าไม่ยอมลงจากหลังเสือแม้คนทั้งโลกจะตีความว่าหมดอายุแล้ว
8 ปี คือรวมทั้งที่เป็นนายกฯ จากคสช.ด้วย แต่มา ณ บัดนี้ในภาคใหม่
คนก็นึกเอาว่าก็ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่านับจาก 2560 ก็แปลว่าปี 2568 คุณก็ต้องหมดแล้ว
แล้วทำไมคุณจะต้องมาทู่ซี้ทำพรรคใหม่
ทำไมคุณถึงจะโกรธเกรี้ยวเวลาได้ยินคนพูดว่าผมยินดีจะสนับสนุนให้ท่านเป็นนายกฯ อีก
2 ปี แค่บอกว่าอีก 2 ปี ก็โกรธแล้วนะ แปลว่าอะไร?
แปลว่าจะอยู่ตามอายุรัฐบาลใหม่
อย่างน้อยคือ 4 ปี นี่เป็นปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ว่าไม่ยอมลงจากอำนาจ
แม้จะครองอำนาจมา ณ บัดนี้ 13 ปี ยังต้องการอีก 4 ปี งั้นก็แปลว่าจะไปถึง 20 ปี
หรือจะตายคาเก้าอี้นายกฯ หรือยังไง? อันนี้ชัดเจนว่าไม่ยอมลงแน่ ๆ แล้วถามว่าปัจจัยที่เกี่ยวข้องมีอะไรบ้าง?
เราเคยพูดไปแล้ว แต่ดิฉันก็คิดว่าเราพูดซ้ำอีกหน่อยก็ได้
หนึ่งการเหลิงอำนาจ การหลงในอำนาจ ซึ่งเป็นที่มาของจะเป็นผลประโยชน์อื่นใดเราไม่ทราบ แต่อย่างน้อยที่สุด การตั้งพรรคการเมืองแต่ละครั้งถามดูซิว่าต้องใช้เงินสักเท่าไหร่ ส.ส. 400 หรือ 500 คน ถ้าว่าราคาตลาด 30 ล้านขึ้น อาจถึง 50 ล้าน ยิ่งถ้าไปดูดเขามายิ่งมากกว่านี้ ดังนั้น ในการตั้งพรรคการเมืองนั้นต้องมีเงินเป็นระดับพันล้าน พปชร. ก็ยังทิ้งได้ แล้วก็ไปตั้งพรรคใหม่
ดังนั้น
อำนาจไม่ใช่มีโก้ ๆ แต่ว่าในทัศนะของดิฉัน การได้มาซึ่งอำนาจมันก็ได้มาซึ่งผลประโยชน์
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลประโยชน์ในทางที่เราจะเห็นชัดเจนว่ามีการต่อตั้งพรรคการเมือง
2 รอบ หรือผลประโยชน์อื่นใด ดิฉันก็จะไม่พูดถึง
เพราะว่ามันก็ต้องมีเครือข่ายผลประโยชน์ มีเครือข่ายของนายทุน
ซึงชัดเจนว่าในยุคอำนาจนิยมยุคเผด็จการนั้นทุนผูกขาดขึ้นมาผงาด มีอำนาจนากมาย
เอาเป็นว่าต้องใช้เงินระดับพันล้านตั้งพปชร.
แล้วมาตั้งพรรคใหม่ ซึ่งพรรคใหม่ตอนนี้ดิฉันไม่สงสัยแล้วว่าจะเอาส.ส.มาจากไหน
ซึ่งแน่นอนดูดมาจากประชาธิปัตย์ ดูดมาจากพปชร. แล้วก็ดูดมาจากพรรคอื่น ๆ
แต่ปรากฎการณ์ที่เห็นก็คือท่านเป็นหัวแถวของฝ่ายจารีตนิยม/อำนาจนิยม
ประชาธิปัตย์นั้นตกเวทีประวัติศาสตร์ในฐานะเป็นตัวแทนของฝ่ายจารีตหรืออนุรักษ์นิยม
เพราะว่าเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามา มันไม่ใช่แค่จารีตนิยม
แต่มันมีอำนาจนิยมเข้ามาด้วย ภาษาฟังคล้าย ๆ กับจดหมายของ พล.อ.ประวิตร หรือเปล่า?
เพราะว่าเดี๋ยวนี้หันมาใช้ภาษาของฝ่ายประชาธิปไตย ฝ่ายเสรีนิยมด้วย ดังนั้น
ปรากฏการณ์นี้ก็คือมีความพยายามอย่างยิ่งที่จะเข้ามาเป็นหัวแถว
เพราะฉะนั้นปัจจัยแรกที่ดิฉันพูดก็คือ การหลงในอำนาจ ลงไม่ได้
ปัจจัยตัวที่สองในความคิดของดิฉันนะคะ
ท่านอาจจะไม่เห็นด้วยหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ก็คือ ถือตนเองเป็นประหนึ่งอัศวินม้าขาว
หรือถ้าเป็นจักร ๆ วงศ์ ๆ ก็เป็นพระนารายณ์ที่มาปราบมาร
นั่นก็คือจะต้องทำให้พลังของฝ่ายก้าวหน้า พลังของทุนสามานย์
พลังของประชาชนฝ่ายที่จะอาจรื้อถอนจารีตนิยม/อำนาจนิยม ต้องถูกจัดการให้แหลกลาญไป
เพราะท่านบอกท่านทำมาแล้ว กำลังทำอยู่ และต้องทำต่อ เพราะว่าถ้าไม่ทำต่อ
สิ่งที่ทำมาแล้วอาจจะหมดประโยชน์ อาจจะหมดคุณค่า นั่นก็คือพลังฝ่ายประชาชน
ฝ่ายพรรคการเมือง สามารถเอาชนะพลังจารีตได้ เพราะฉะนั้นท่านจำเป็นต้องทำต่อในฐานะเป็นฮีโร่ของพลังจารีต/อำนาจนิยม
นี่เป็นประการที่สอง
ประการที่สามก็คือ
เกี่ยวกับเรื่องคดีความ หรือเรื่องราวที่ทำมิดีมิร้ายเอาไว้
ตั้งแต่ปัญหาการปราบปรามคนเสื้อแดง คดีความยังไม่หมดอายุ
หรือมากระทั่งตอนบริหารงานยุคคสช. การใช้มาตรา 44 ปัญหาเรื่องเหมืองทองอัครา
ปัญหาเรื่องอื่น ๆ ที่ได้ทำ ทำมาแล้ว แล้วก็ผิดไปแล้ว
ถ้าหมดอำนาจก็อาจจะถูกเช็คบิล
เพราะฉะนั้น
ดิฉันก็เสนอในช่วงนี้ก็คืออย่างน้อย 3 ปัจจัย
ปัจจัยของการหลงอำนาจและได้ผลประโยชน์ ปัจจัยแห่งการที่คิดว่าตัวเองเป็นดั่ง
เขาเคยบอกว่าเขาเป็นพระราม ก็คือเป็นพระนารายณ์ที่มาจัดการปราบเพื่อที่จะให้พลังฝ่ายจารีตอยู่ยืนยาว
และจัดการฝ่ายก้าวหน้าให้ราพนาสูรไป ถ้าไม่ใช่เขาคนอื่นก็ทำไม่ได้
เป็นประการที่สอง ดิฉันย้ำอีกครั้ง ส่วนประการที่สามก็คือกลัวถูกเช็คบิล
อันนี้เป็นสิ่งที่ได้ทำมาแล้วและต้องการจะทำต่อไป
เพราะฉะนั้นเดิมพันสูงมาก จึงต้องมีพรรคใหม่ เพราะฉะนั้นในทัศนะของดิฉัน
พรรคใหม่ที่เกิดขึ้นและปรากฎการณ์ขณะนี้ก็คือ คุณประยุทธ์เป็นหัวแถว
ทำตัวเป็นแม่ทัพใหญ่ของฝ่ายจารีต/อำนาจนิยม จึงไม่แปลกที่มันจะดึงดูดส.ส.ที่คิดว่าจะได้ฐานเสียงจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม/ฝ่ายจารีตนิยม
และพวกที่ไม่ชอบทุนสามานย์ และรวมทั้งสิ่งที่จดหมายของคุณประวิตรเขียนเองว่า
พวกอีลีท พยายามหลีกเลี่ยงภาษาไทย
เพราะว่าฟังดูภาษาอังกฤษอาจจะไม่น่าเกลียดหรือยังไง
ความจริงก็คือชนชั้นนำจารีตอำนาจนิยม กลุ่มเครือข่ายเหล่านี้ก็จะเป็นกำลังสนับสนุนซึ่งอยู่ที่ไหนบ้างที่เห็น
ๆ อยู่ในรัฐสภาในฐานะวุฒิสมาชิก อยู่ในองค์กรอิสระต่าง ๆ ทั้งหลาย
และกลุ่มที่เป็นอดีตสนช.ด้วย เครือข่ายเหล่านี้เต็มไปหมด
รวมทั้งพรรคการเมืองที่ไม่สามารถที่จะแข่งขันกับพรรคอดีตไทยรักไทยได้ คือแพ้ตลอด
เพราะฉะนั้น
คุณประยุทธ์ก็สถาปนาตัวเองมาเป็นแม่ทัพใหญ่ ยอมทิ้งพปชร. เพราะนักการเมืองในพปชร.อาจจะมองในลักษณะทั่วไปว่าคุณประยุทธ์น่าจะพอแล้ว
เป็นนายกฯ มาก็ 8 ปีแล้ว เหลือเวลาอีกแค่ 2 ปี ถ้าว่าไปตามศาลรัฐธรรมนูญนะ
แสดงว่ามีวิสัยทัศน์ไกลไปกว่าศาลรัฐธรรมนูญ เพราะศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าให้อยู่ได้อีก
2 ปี แปลว่านี่มีวิสัยทัศน์เกินกว่าศาลรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าคิดง่าย ๆ ถ้าจะอยู่แค่
2 ปีก็ยู่กับลุงป้อมก็ได้ ตกลงกัน ผมอยู่ 2 ปีนะ หรือยังไงลุงป้อมเป็นรองผม
ช่วยดูแล ผมจะรักษาอำนาจต่าง ๆ แต่นี่มันไปไกลกว่านั้นก็คือสถาปนาตัวเองเป็นแม่ทัพ
แล้วเป็นแม่ทัพประมาณว่า forever
อยู่ยาวนานเลยเพื่อที่จะจัดการฝ่ายก้าวหน้าให้สิ้นซากว่างั้นเถอะ
ไม่ให้เสียของ เพราะว่าผลที่มีการทำรัฐประหารที่ผ่านมาในอดีตถือว่าเสียของ
เพราะฉะนั้น
ภาพรวมที่เราจะเห็นในเวลานี้ก็คือ แม่ทัพใหญ่ฝ่ายจารีตนิยม/อำนาจนิยมคือพล.อ.ประยุทธ์
แล้วก็ดูดส.ส.มาอยู่ในพรรคของตัวเอง แล้วถ้าไม่อยู่ในพรรคของตัวเอง
พรรคประชาธิปัตย์ก็อยู่ในแถวนี้ พูดง่าย ๆ
ว่าปีกขวาสุดทั้งหลายมีแม่ทัพใหญ่คือพล.อ.ประยุทธ์ แต่ที่น่าสังเกตอีกคนคือ
พล.อ.ประวิตร มีจดหมายมา 4 ฉบับ เริ่มต้นตั้งแต่ 9 มกราคม ที่พล.อ.ประยุทธ์ประกาศชัดเจนว่าจะไปอยู่พรรคใหม่
จากนั้นจดหมาย 4 ฉบับมาเรื่อย ๆ น่าสนใจมากก็คือเป็นการเปิดตัว เปิดนโยบาย
ที่สำคัญก็คือประมาณเหมือนกับว่าที่แล้วมาผมเข้าใจนะฝั่งจารีต ฝั่งอำนาจนิยม
แต่ผมคิดว่ามันไม่ถูก บริหารงานก็ไม่ถูก ในจดหมายแต่ละฉบับ เพราะว่าอย่างไรเสียต้องเป็นประชาธิปไตย
แล้วความคิดที่จะจัดการให้สิ้นซากเป็นความคิดที่ผิด
ดิฉันดูจดหมายตั้งแต่ฉบับที่
1 จนถึงฉบับสุดท้าย จดหมายฉบับที่ 2 แจ้งให้เห็นว่าจะเดินหน้าไม่ทิ้งพรรคพวก จดหมายฉบับที่
3 ที่สำคัญก็ก้าวข้ามความขัดแย้ง ในทัศนะของดิฉันก็คือ พล.อ.ประวิตร
สร้างขั้วใหม่อีกขั้วหนึ่ง พูดง่าย ๆ
ว่ามือข้างหนึ่งแน่นอนจับกับฝ่ายจารีต/อำนาจนิยม ก็เป็นคนดีนะ
ต้องการจะมาช่วยบ้านเมือง แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างแขนใหม่อีกข้างหนึ่ง
ก็เตรียมจับมือกับฝ่ายเสรีนิยม โดยอธิบายถึงภาวะที่โลกต้องเป็น
สิ่งที่ประชาชนต้องการ ในจดหมายฉบับที่ 3 สำคัญมาก
แล้วก็บอกว่าตัวเองก็เปลี่ยนจากจารีตนิยมมาเข้าใจเสรีนิยม
และเห็นด้วยกับประชาธิปไตย
เราก็ไม่รู้ว่านี่จะเป็นแทคติกร่วมกันหรือเปล่า
แต่ว่าอย่างน้อยที่สุดก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ต้องการควบคุมส.ส.ด้วยตัวเองที่แน่นอน
แต่ถามว่าจะไม่จับมือกับพล.อ.ประวิตร ดิฉันว่าไม่ใช่! ดังนั้น
ภาพรวมของพล.อ.ประยุทธ์ที่ไม่ยอมลงจากหลังเสือภาคใหม่
ก็มีการผันตัวเองมาสร้างความเข้มแข็งในส่วนของพรรคการเมืองที่ตัวเองควบคุมได้ 100% ในขณะเดียวกัน พล.อ.ประวิตร ก็ยังต้องการเป็นรัฐบาล
เลยจำเป็นที่จะต้องสร้างภาพว่าตัวเองไม่ได้ชื่นชมอำนาจนิยม
มองเห็นอนาคตของเสรีนิยม ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นกลยุทธ์เพื่อที่จะค่อย ๆ
เอื้อมมือลอดออกมาเพื่อจับมือกับฝ่ายเสรีนิยมด้วยถ้าเป็นไปได้
ดิฉันใช้คำวาถ้าเป็นไปได้
ดังนั้นภาพรวมตรงนี้ก็คือ
ศึกครั้งนี้ของฝ่ายจารีตนิยม/อำนาจนิยม โดยมีพล.อ.ประยุทธ์เป็นแม่ทัพใหญ่
เป็นศึกใหญ่ และเขาอยากจะให้เป็นศึกใหญ่ครั้งสุดท้าย
เพราะจะปราบปรามประชาชนแบบปราบเสื้อแดงก็คงจะไม่ไหวแล้ว เพราะว่าผู้นำมวลชนรุ่นหลัง
ๆ เป็นเยาวชน แล้วจะบอกว่าเขาเป็นข้าทาสใครแบบที่มาจัดการกับคนเสื้อแดงก็ไม่ได้
จะบอกว่าเขามีพวกชายชุดดำติดอาวุธ
ใส่ความแบบเดียวกับที่ใส่ความเสื้อแดงอีกก็ทำไม่ได้เช่นกัน ลำพังเพียงแค่เด็กสองคนที่อดอาการอดน้ำแบบยินดีพลีชีพ
คุณก็สู้ไม่ไหว
ดังนั้นน่าจะเป็นสงครามครั้งสุดท้ายหรือเปล่า
เมื่อเป็นสงครามครั้งสุดท้ายก็จะต้องสู้จนตัวตายอยู่บนหลังม้าหรือหลังเสือหรือเปล่า
พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อไม่ยอมลง แต่คุณอยู่ไม่ได้หรอก คุณอยู่ไม่ได้แน่นอน
อาจจะไม่ใช่วันนี้ แต่ไม่น่าจะนาน เพราะฉะนั้น
เมื่อถือว่าเป็นศึกครั้งใหญ่ของฝ่ายจารีตนิยม
จะเป็นสงครามครั้งสุดท้ายสำหรับฝ่ายจารีตนิยมหรือเปล่า
แต่ไม่ใช่สงครามครั้งสุดท้ายสำหรับประชาชน ประชาชนในฝ่ายประชาธิปไตยไม่มีคำว่าสงครามครั้งสุดท้าย
มันจะต้องทำไปเรื่อย ๆ เพื่อให้อำนาจประชาชนเป็นอำนาจที่มีพลังสูงสุดอย่างแท้จริง
และมันจะต้องเปลี่ยนแปลงและสู้ไปเรื่อย ๆ
แต่ว่าฝ่ายจารีตนิยมกับฝ่ายอำนาจนิยมมีโอกาสเป็นสงครามครั้งสุดท้าย
แล้วก็เป็นอัศวินที่ไม่ยอมลงจากหลังม้าและหลังเสือ ก็เอาซิ
คุณอาจจะตายคาหลังม้าหรือถูกเสือกัดก็ได้ค่ะ
ดิฉันอยากจะเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคิดและกลยุทธ์ของพล.อ.ประยุทธ์ในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
คือแน่นอนเขาก็ไม่อยากตายบนหลังม้าหรือบนหลังเสือ คือถูกเสือกัด
ก็คือประชาชนปฏิเสธ เพราะฉะนั้นในขณะนี้พล.อ.ประยุทธ์ก็กำลังดูกระแส
อย่าลืมว่ายังไม่ได้บอกว่าเป็นหัวหน้าพรรคนะ แต่ใส่เสื้อจริง
และก็ยังไม่ได้บอกว่าจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ นะ แต่แสดงตัวเต็มที่
แต่เราก็จับความวิตกลึก
ๆ ได้จำนวนหนึ่ง ก็คือ ยังไม่แน่ใจว่าพรรคใหม่จะได้เสียงเท่าไหร่ เอาฝั่งอนุรักษ์นิยมด้วยกันนะ
ประชาธิปัตย์ไม่ต้องพูดถึง ถูกดูดมาหมดแล้ว โอกาสเสียงจะมากกว่าคงไม่ใช่
และถ้าจะถามว่าพปชร.จะมากกว่าก็อาจจะคิดว่าไม่มากกว่าก็ไม่แน่ใจ
แต่อย่างไรก็ยังเป็นพี่ป้อม ก็ยังคุยกันได้ ยังจับมือกันได้ว่าเสียงใครมากกว่า
ถ้าเสียงพี่ป้อมมากกว่าอาจจะบอกว่าให้ผมเป็นสัก 2 ปี ก็ยังคุยกันได้
แต่มีอยู่พรรคหนึ่งซึ่งน่าจะถูกหวาดวิตกเหมือนกันว่าจะมาแข่งกับซีกฝ่ายจารีตนิยม
พรรครวมไทยสร้างชาติ
ก็คือกลัวว่าภูมิใจไทยจะมีเสียงมากกว่ารวมไทยสร้างชาติหรือเปล่า เพราะฉะนั้น
ดิฉันอยากจะฝากให้ดูปรากฏการณ์เล็ก ๆ ว่า เมื่อเป็นเช่นนี้
ภูมิใจไทยก็ต้องถูกดิสเครดิต เพราะว่าอยู่ในฝั่งเดียวกัน
เพราะว่าพรรคเพื่อไทยจะแลนด์สไลด์หรือไม่ก็ตาม แต่ตัวช่วยที่อาจจะแปลงไปร่วมกับพรรคเพื่อไทย
ภูมิใจไทยก็เป็นไปได้ในความคิดของฝ่ายจารีตอำนาจนิยม
หรือว่าพรรคฝั่งรัฐบาลฝั่งนี้ขึ้นมาเป็นนายกฯ
แต่ถ้าภูมิใจไทยได้คะแนนมากกว่า ดิฉันคิดว่าการที่มีข่าวออกมาว่าตัวหัวหน้าพรรคถูกเตะ
ภาพที่ถูกเตะ ภาพเรื่องของกัญชา ภาพเรื่องอยู่ภายใต้การควบคุมของเนวิน
สามารถถูกเตะได้ก็เป็นภาพที่ไม่สวยสำหรับคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีแน่นอน
การที่ภูมิใจไทยกำลังถูกดิสเครดิตจากคนในฝั่งเดียวกันก็กลายเป็นเรื่องจำเป็น
ขอให้ดูยุทธวิธีนี้ด้วย
ฝ่ายจารีตนิยม/อนุรักษ์นิยมที่มักจะบอกว่าตัวเองเป็นคนดี
แต่ว่าจริง ๆ แล้ว วิธีการให้ได้มาซึ่งอำนาจ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ทำได้ทุกอย่าง สกปรกทุกอย่างก็ทำได้ คุณไปเอาในนิยายก็เถอะ คุณจะไปเอาในมหากาพย์
ไม่ว่าจะเป็นของอินเดีย เช่น มหาภารตะยุทธ, รามเกียรติ์ หรือวรรณกรรมสามก๊กของจีนก็เถอะ
หรือกระทั่งกำลังภายใน คนที่บอกว่าตัวเองเป็นคนดีสุด ๆ
สามารถทำสิ่งที่สกปรกที่สุดได้ทั้งสิ้น
ดังนั้น
การเลือกตั้งครั้งนี้ก็จับตาให้ดีว่า พล.อ.ประยุทธ์
จะตายอยู่บนหลังม้าหรือหลังเสือ หรือเปล่า?
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์ #ธิดาถาวรเศรษฐ #ประยุทธ์ #เลือกตั้ง66