"รังสิมันต์
โรม" ร้อง คกก.ตุลาการศาลยุติธรรม กรณีถอนหมายจับไม่ชอบด้วยกฏหมาย ของ “ส.ว.ทรงเอ"
วันที่
8 มีนาคม 2566 เวลา 09.00 น. ที่ ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายรังสิมันต์ โรม
สส.พรรคก้าวไกล ได้เดินทางมาเข้ายื่นหนังสือถึงสำนักคณะกรรมการตุลาการ ศาลยุติธรรม
(สนง.คกก.ตุลาการศาลยุติธรรม)
เพื่อให้ตรวจสอบการทำหน้าที่ของผู้พิพากษาที่ถอนหมายจับ นายอุปกิต ปาจรียางกูร
สมาชิกวุฒิสภา โดยมิชอบ
นายรังสิมันต์
โรม กล่าวว่า วันนี้มายื่นหนังสือถึงคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.)
เป็นกรณีที่สืบเนื่องจากการอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152
โดยในรอบนี้ตนทำตามระเบียบและพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการยุติธรรมจะเป็นไปซึ่งประโยชน์จริง
ๆ อย่างที่ทุกคนทราบว่าตนเองมีการอภิปราย
152 ข้อมูลหนึ่งที่ตนเองเปิดเผยออกมาคือ สว.ทรงเอ
ซึ่งเป็นตัวละครที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดและการฟอกเงิน ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด
หรือ บช.ปส. ที่รับผิดชอบคดีนี้ ได้มายื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอออกหมายจับ หลังจากมาขอออกหมายจับในช่วงเช้าของเดือน
ต.ค. 2565 ศาลได้อนุมัติหมายจับแล้ว แต่ปรากฏว่าในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน
รังสิมันต์
โรม กล่าวต่อว่า มีการยกเลิกหมายจับฉบับดังกล่าว
โดยสาเหตุสำคัญที่ปรากฏในคำอธิบายของผู้พิพากษาที่ออกนั่งบัลลังก์พิจารณาและมีการเขียนไว้ในคำสั่งเพิกถอนหมายจับว่า
ได้รับฟังคำแนะนำจากอธิบดีผู้พิพากษาฯ ว่า บุคคลที่ถูกออกหมายจับ หรือ สว.ทรงเอ เป็นบุคคลที่มีความสำคัญ
และศาลไม่ทราบมาก่อน ว่าพนักงานสอบสวนมายื่นคำร้องเพื่อออกหมายจับบุคคลดังกล่าว
จึงขอให้มีการเพิกถอนหมายจับ และขอให้พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกก่อน ซึ่งหากพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
คดีที่มีอัตราโทษสูง ซึ่งคดีนี้เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและการฟอกเงิน โดยทั่วไปไม่มีความจำเป็น
ที่จะต้องออกหมายเรียกก่อน สามารถที่จะดำเนินการออกหมายจับได้เลย และในชั้นต้น เดิมทีศาลก็คงจะเห็นด้วยว่าบุคคลดังกล่า
เป็นวุฒิสมาชิกหรือไม่ จึงออกหมายจับให้
นายรังสิมันต์
ยังกล่าวอีกว่า แต่ปัญหาในระบบกฎหมายของไทย ไม่ได้แบ่งแยกว่า การปฏิบัติกับวุฒิสมาชิก กับการปฏิบัติกับบุคคลธรรมดา
ต้องมีความแตกต่างกัน เพราะหลักการของกฎหมาย ทุกคนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ดังนั้นทุกคนจึงต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ การไปขอถอนหมายจับแบบนี้
อาจจะมีปัญหาในเรื่องของความถูกต้องของกระบวนการยุติธรรม
หรือความถูกต้องในเรื่องความชอบเรื่องกฎหมายของหลักปฏิบัติของผู้พิพากษา
ซึ่งบุคคลที่ตนเองจะยื่นเป็นข้อมูลและเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มี 3 ท่าน
ประกอบด้วย อธิบดีผู้พิพากษาฯ รองอธิบดีผู้พิพากษาฯ และ ผู้พิพากษาที่ นังบัลลังก์ในวันดังกล่าว
โดยนำหลักฐานเป็นเอกสารต่าง ๆ ที่หวังว่าจะนำไปสู่การดำเนินการเพื่อขอให้มีการตรวจสอบต่อไป
และหวังว่าถ้ามีการตรวจสอบเรื่องนี้ จะสร้างความเป็นธรรมและความยุติธรรมให้กับคดีนี้ได้
นายรังสิมันต์ โรม กล่าว
สำหรับคดีนี้
อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของ บช.ปส. เท่าที่ตนเองตรวจสอบข้อมูลล่าสุด
ก็ยังไม่มีการออกหมายเรียกส.ว.คนดังกล่าว ไปสอบถามข้อมูลที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด
เนื่องจากศาลเขียนในรายงานกระบวนพิจารณาว่า ให้พนักงานสอบสวน บช.ปส. ออกหมายเรียกภายใน
15 วัน นับตั้งแต่วันที่มีการไปยื่นคำร้องขอออกหมายจับ คือตั้งแต่ช่วงเดือน ต.ค. 2565
ที่ผ่านมา
และภายหลังจากเปิดสมัยประชุมวุฒิสภา ก็จะมีเรื่องเอกสิทธิ์ ส.ว.คุ้มครอง ที่จะเกิดขึ้นตามมา การที่จะไปออกหมายเรียก
หรือ หมายจับ ในช่วงสมัยประชุมวุฒิสภา ไม่สามารถทำได้ และสุดท้าย กลายเป็นว่า คดี
นายทุน มิน หลัด ก็ต้องฟ้องแยกกันไป ไม่มี
สว.ทรงเอ อยู่ในคดีนั้นด้วย หมายความว่า หลังจากนี้ก็จะมีการฟ้องกันต่อ
และอาจจะแยกเป็น 2 สำนวน แล้วอาจจะไปรวมกันเป็นคดีในภายหลัง
ซึ่งเป็นอำนาจของศาลที่สามารถทำได้อยู่แล้ว
ทั้งนี้นายรังสิมันต์
โรม ยืนยันว่า สิ่งที่ต้องการเห็นจากการยื่นตรวจสอบผู้พิพากษา ในครั้งนี้ เพราะต้องการเห็นความยุติธรรม ซึ่งหน้าที่ของตนเอง เมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
และไม่น่าจะถูกต้องตามกฎหมาย สิ่งที่ตนเองทำได้ก็คือแจ้งเป็นข้อมูลให้กับหน่วยงานที่มีอำนาจในการตรวจสอบ เพราะส่วนตัวไม่มีอำนาจที่จะเข้าไปแทรกแซง หรือสั่งการให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งได้ แต่เป็นข้อมูลหลักฐานสำคัญที่ตนเองคิดว่าถ้าตนเองไม่แจ้งข้อมูลก็คงเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการแบบนี้
ดังนั้น เมื่อตนเองรู้ข้อมูลข้อเท็จจริงเหล่านี้ก็เอามายื่นต่อองค์กรที่เขามีอำนาจหน้าที่
ภายหลังนายรังสิมันต์
โรม เข้าไปยื่นหนังสือร้องเรียนดังกล่าวแล้ว
ได้กล่าวเพิ่มเติม ว่า ได้ไปยื่นเอกสารที่งานสารบรรณ ชั้น 3
สำนักงานศาลยุติธรรม จากนี้ก็ต้องเป็นขั้นตอนการตรวจสอบของทางฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งตนจะติดตามความคืบหน้าในการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องต่อไป