‘ศิริกัญญา’ ชี้ ควบรวม ‘ทรู-ดีแทค’ สำเร็จ
สะท้อนกฎหมาย-กลไกป้องกันผูกขาดล้มเหลว แนะยกเครื่องคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า
(กขค.)
วันที่
2 มีนาคม 2566 ศิริกัญญา ตันสกุล
รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีการควบรวมระหว่างทรูและดีแทคเสร็จสมบูรณ์
และมีการตั้งบริษัทใหม่ ใช้ชื่อว่า ‘ทรู คอร์ปอเรชั่น’
รวมถึงกรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษายกฟ้อง
คดีที่มีการยื่นฟ้องคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีมติรับทราบการรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทค
เข้าข่ายกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ศิริกัญญา
กล่าวว่า ทั้ง 2
กรณี ทำให้ประเทศไทยเหลือผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมเพียง 2 เจ้าอย่างเป็นทางการ และบริษัทใหม่กลายเป็นผู้ให้บริการเบอร์หนึ่งทันที
มีส่วนแบ่งตลาดเกิน 50% เรื่องนี้สะท้อนความล้มเหลวของกฎหมายและกลไกการกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม
ผลกระทบจากการควบรวมที่จะเกิดขึ้น
คงไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำ เพราะผลการศึกษาจากทั้งสถาบันวิชาการ
และผลการศึกษาจากทางสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ยืนยันว่าจะส่งผลต่อค่าโทรศัพท์ที่จะเพิ่มขึ้น
10-200% สุ่มเสี่ยงต่อการฮั้วราคา
และคุณภาพการให้บริการอาจจะด้อยลงจากการแข่งขันที่ลดลง และตลาดมือถือจะอยู่ในจุดที่สภาวะการแข่งขันตกต่ำ
ยากเกินจะฟื้นฟูให้กลับมาอยู่ในจุดเดิม
ศิริกัญญา
กล่าวต่อว่า ปัญหาจึงอยู่ที่กฎหมายที่ กสทช. ใช้ในการกำกับดูแลตลาดที่อ่อนปวกเปียก
นำไปสู่ช่องโหว่รูใหญ่ที่ภาคเอกชนมองเห็นลู่ทางที่จะสามารถควบรวมกันได้โดยไม่ต้องขออนุญาตใครทั้งสิ้น
และศาลอาญาคดีทุจริตฯ เองก็ใช้บรรทัดฐานเดียวกัน
โดยช่องโหว่รูใหญ่
เริ่มจากการแก้ประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม
เมื่อปี 2561
โดย กสทช. ตัดอำนาจการอนุญาตควบรวมธุรกิจออกไป
เหลือไว้แค่การรับทราบและแค่กำหนดมาตรการเยียวยา
แม้จะมีประกาศอีกฉบับเพื่อป้องกันการผูกขาดที่ให้อำนาจอนุญาตไว้
แต่ถ้าเอกชนยืนยันว่านี่คือการควบรวม ไม่ใช่การเข้าซื้อธุรกิจโดยผู้ถือใบอนุญาต
ก็จะไม่เข้าเกณฑ์ที่ต้องขออนุญาต ซึ่งก็คือกรณีนี้ที่ ทรู คอร์ปอเรชั่น (เดิม)
เลือกที่จะไม่เทคโอเวอร์ดีแทค แต่ตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่เพื่อซื้อหุ้นต่อจากบริษัททั้ง
2 เพียงเท่านี้ก็หลุดพ้นจากขั้นตอนการขออนุญาต
แล้วค่อยเปลี่ยนชื่อบริษัทที่ตั้งใหม่เป็น ‘ทรู คอร์ปอเรชั่น’
อย่างที่ทำไปเมื่อวานนี้ (1 มีนาคม)
“เพื่อเช็กว่าเรื่องนี้ขัดกับสามัญสำนึกแค่ไหน ลองจินตนาการว่าในอนาคต
หากทรู และเอไอเอส จะควบรวมธุรกิจกันจนค่ายมือถือเหลือ 1 เจ้า
ก็สามารถทำได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตใครทั้งสิ้น” ศิริกัญญาระบุ
รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าวต่อว่า
แนวทางที่จะขันน็อตปิดรูรั่วช่องโหว่ทางกฎหมาย
คือการสังคายนากฎหมายแข่งขันทางการค้าครั้งใหญ่ เพื่อให้ทุกกฎหมายอยู่บนมาตรฐานเดียวกัน
เพราะอย่างน้อยในกรณีนี้ ถ้าใช้มาตรฐานเดียวกับ พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า
ยังจำเป็นต้องขออนุญาตเพื่อควบรวมกิจการก่อน
ดังนั้น
ประกาศการรวมธุรกิจของ กสทช. ต้องมีการแก้ไข เอาระบบขออนุญาตกลับมา
ปรับปรุงเงื่อนไขการขออนุญาตให้รัดกุมยิ่งขึ้น
และต้องยกระดับให้คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.)
มีอำนาจในการกำหนดนโยบายแข่งขันทางการค้าของประเทศ คุ้มครองผลประโยชน์ของผู้บริโภค
รวมไปถึงอำนาจที่ระงับยับยั้งการดำเนินนโยบายที่ขัดต่อหลักการแข่งขันที่เป็นธรรม
.
อย่างไรก็ดี
จะยกระดับคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าให้มีอำนาจเพิ่มขึ้น
โดยไม่ยกเครื่องคณะกรรมการนี้ใหม่เลย ก็เป็นไปไม่ได้
เพราะการวินิจฉัยการควบรวมซีพี-เทสโก้ ยังคงสร้างความกังขาให้ประชาชนจนถึงปัจจุบัน
จึงจำเป็นต้องปรับปรุงตั้งแต่กระบวนการสรรหา ไปจนถึงกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย
และให้มีความยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น
“สิ่งที่ไม่สามารถตราลงในกฎหมายใด คือ
ความกล้าหาญและซื่อตรงต่อหลักการที่จะสู้กับอำนาจทุนขององค์กรกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้า
ไม่ว่าจะเป็น คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า หรือ กสทช. ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ
ฝ่ายการเมืองเอาจริงเอาจังกับการแก้ไขปัญหาการผูกขาด
และอยากให้ธุรกิจแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม
ทั้งปกป้องผลประโยชน์ประชาชนที่เป็นผู้บริโภค
และผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อยไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ” ศิริกัญญากล่าว
รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลทิ้งท้ายว่า
สำหรับกรณีการควบรวมทรู-ดีแทคนั้น เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 พรรคก้าวไกลได้ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.) ให้ดำเนินการไต่สวนและตรวจสอบว่า กสทช.
ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 หรือไม่ แม้ตอนนี้ผลการไต่สวนยังไม่ออกมา แต่ก็น่าคิดว่าในเมื่อคำวินิจฉัยของศาลอาญาคดีทุจริตฯ
เป็นแบบนี้ ประชาชนก็อาจเหลือความหวังน้อยเต็มทีว่าจะเอาผิด กสทช. ชุดนี้ได้