วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

นพ.เหวง โตจิราการ ปราศรัย รำลึก 17 ปี นวมทองไพรวัลย์

 


นพ.เหวง โตจิราการ ปราศรัย รำลึก 17 ปี นวมทองไพรวัลย์


พี่น้องผู้รักประชาธิปไตย ผู้รักความยุติธรรม และผู้รำลึกถึงวีรชนประชาธิปไตยวีรชนนวมทองไพรวัลย์ที่เคารพรักยิ่งทุกท่าน


วันนี้ครบรอบ 17 ปี การพลีชีพของนวมทอง ที่ต่อต้านรัฐประหาร ต่อสู้ให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย คำพูดอันกึกก้องของนวมทอง ไพรวัลย์ ซึ่งยังคงดังสนั่นในใจผู้รักประชาธิปไตยรักความเป็นธรรมทุกคนคือ ชาติหน้าคงไม่ได้พบกับการปฏิวัติ(รัฐประหาร) อีก” นี่เป็นการประกาศเจตนารมณ์ของการพลีชีพ เพื่อต่อต้านรัฐประหารและต้องการประชาธิปไตย อันแหลมคมหนักแน่นของ นวมทอง ไพรวัลย์


มาถึงวันนี้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้วหรือยัง หากตอบแบบผิวเผิน ตื้นเขิน ไม่สนใจไม่เข้าใจการเมือง ก็อาจจะบอกว่า เป็นแล้ว กล่าวคือ มีรัฐธรรมนูญที่ทำประชามติ มีการเลือกตั้ง มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนแล้ว


แต่ถ้าพิจารณาจากแก่นแท้ ธาตุแท้แล้ว ต้องขอประกาศว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตยแท้จริง เป็นเพียงประชาธิปไตยหลอกลวง ประชาธิปไตยกำมะลอ ประชาธิปไตยแต่เปลือก เพราะแสดงออกชัดเจนที่รัฐธรรมนูญ 60 ที่บังคับอยู่นั้นเป็นรัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้นเพื่อคสช. โดยคสช. และของคสช. ดังนั้นสว.แต่งตั้ง 250 คนจึงชี้ขาดการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้พรรคการเมืองที่ประชาชนเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงถล่มทลายกว่า 14.4 ล้านเสียง มากที่สุดของประเทศ ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะสว.แต่งตั้งของคสช.จงใจขัดขวาง และทำให้พวกคสช.สามารถทำการจัดตั้งรัฐบาลได้ และได้รัฐบาลที่พวกเขาต้องการ ที่พวกเขาปรารถนา ที่เป็นไปตามความต้องการของพวกเขา ทำให้พรรคเพื่อไทยต้องข้ามขั้วไปจับมือกับสองลุง คือพล.อ.ประยุทธ์ กับพล.อ.ประวิทย์ หรือ พรรครวมไทยสร้างชาติ กับพรรคพลังประชารัฐ เพื่อมาเป็นรัฐบาล


ทั้ง ๆ ที่เป็นการปฎิเสธ เป็นการหันหลังให้กับสัญญาประชาคมที่พรรคเพื่อไทยได้ให้ไว้กับประชาชนในระหว่างรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งกว่าสามเดือนว่า ไม่เอาลุง ไม่เอาลุง ไม่เอาลุง” กลับพลิกลิ้นเป็น สลายขั้วผสมพันธุ์ลุง สลายขั้วผสมพันธุ์ลุง สลายขั้วผสมพันธุ์ลุง”


เอาละ ผมไม่ได้ฟื้นฝอยหาตะเข็บ ผมเข้าใจ ผมเห็นใจ แต่ผมไม่เห็นด้วย เพราะเพื่อไทยอธิบายว่า ต้องการมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้กับประชาชน แต่การมุ่งหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่แก้ปัญหาทางการเมืองด้วย การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจนั้นเป็นเรื่องลม ๆ แล้ง ๆ เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้


ดังนั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 60 โดยให้ประชาชนเป็นผู้ยกร่างโดยตรงทั้งประเทศจึงเป็นเรื่องแรกที่รัฐบาลเพื่อไทยต้องทำ และนี่ก็เป็นสัญญาประชาคมที่ผู้นำพรรคเพื่อไทยประกาศไว้ก่อนการเข้าร่วมการจัดตั้งรัฐบาลแล้วว่า “ประชุมครม.นัดแรกจะผ่านมติเรื่องให้ประชาชนทำประชามติทั่วทั้งประเทศ เพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศยกร่างรัฐธรรมนูญด้วยตนเองทันที”


แต่อนิจจา คำมั่นสัญญานี้ก็หายวับไปกับสายตา ลอยหายไปในสายลม กลายเป็นว่ารัฐบาลเพื่อไทยตั้งคณะกรรมการมาพิจารณาเรื่องการทำประชามติ และที่หนักกว่านั้นคือตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาอีกสองชุด ทำให้เวลาในการทำประชามติเลื่อนออกไป จนไม่ทราบว่านานเท่าไร อาจจะใช้เวลาหลายเดือน


นอกจานี้ยังบังคับไว้ว่า “ห้ามแตะต้องหมวดหนึ่ง-หมวดสอง” อันที่จริงประชาชนไทยทุกคน ไม่มีใครต้องการที่จะไปแก้ไขเรื่องที่ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรเดียวอันแบ่งแยกไม่ได้ และการปกครองต้องเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่มีใครต้องการที่จะไปแก้เรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในสถานะสูงสุดอันใครละเมิดมิได้อยู่แล้ว เพียงแต่ประชาชนพูดกันถึงเรื่อง ม.112 ที่บังคับใช้อยู่ เพราะ ม.112 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็น ม.112 ที่จัดทำขึ้นโดย พวกเผด็จการทรราชย์ 6ตุลา19 ที่ต้องการใช้ ม.112 เป็นเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายเผด็จการในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของตนเอง และ ม.112 ก็ถูกใช้มาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างสยดสยอง


ดังนั้นประชาชนจึงต้องการแก้ไข ม.112 เพื่อให้เป็นไปตามหลัก นิติรัฐ นิติธรรม สากลอันจะเป็นการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้คงอยู่เป็นสถาบันอันเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนไทยไปชั่วนิรันดร์


นอกจากนี้ในรัฐธรรมนูญ60 ยังมีเนื้อหาที่เป็นเครื่องมือของคณะรัฐประหารคสช.อีกจำนวนมากมาย อาทิ องค์กรอิสระทั้งหกองค์กรมีที่มาจากการรับรองของคสช.ศาลรัฐธรรมนูญก็มีที่มาจากการรับรองของคสช. คณะกรรมการยุทธศาสตร์ 20 ปี ก็เป็นของคสช.คณะกรรมการปฏิรูปประเทศของคสช. เป็นต้น


ทั้งหมดนี้ต้องให้สสร.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งประเทศทั้งหมดเป็นผู้มายกร่างใหม่หมด แก้ไขให้เป็นประชาธิปไตยแท้จริง และนำมาทำประชามติรับรองอีกครั้ง แต่ไม่ทราบว่ารัฐบาลเพื่อไทยจะทำหรือไม่ เพราะได้ละทิ้งสัญญาประชาคมที่สำคัญจำนวนมากไปเสียโดยสิ้นเชิงแล้ว


นอกจากนี้ ในขณะนี้ประเทศไทยมีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวที่ใช้ “สีแดง” เป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองของตนเอง คือ “พรรคเพื่อไทย” ซึ่งเป็นเรื่องชอบธรรม และเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่พรรคเพื่อไทยจะทำได้ เพราะพรรคเพื่อไทยเป็นเพียงพรรคเดียวที่ได้รับอานิสงส์จากการต่อสู้ของคนเสื้อแดง คนเสื้อแดงเอาหน้าอกของตน เอากะโหลกศีรษะของตน เอาชีวิตของตนมารับกระสุนจากฝ่ายเผด็จการทั้งพลเรือนและทหาร คนเสื้อแดงพลีชีพไปร่วมเก้าสิบศพ ติดคุก หนีภัยการเมืองไปต่างประเทศนับร้อยนับพัน ล้วนเป็นการต่อสู้ที่พรรคเพื่อไทยได้รับอานิสงส์ของการต่อสู้เพียงพรรคเดียวทั้งสิ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่คนเสื้อแดงไม่เคยทวงบุญคุณ


แต่มาบัดนี้เมื่อพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลแล้ว รัฐบาลเพื่อไทยต้องทวงความยุติธรรมคืนให้กับคนเสื้อแดงอย่างถึงสุด รัฐบาลเพื่อไทยต้องเอาฆาตกรที่ฆ่าคนเสื้อแดงและคนสั่งฆ่าคนเสื้อแดงมารับโทษตามกฎหมายให้ได้ ศาลมีคำสั่งการตายอย่างน้อย19ศพแล้วว่า การตายเกิดจากทหารที่ทำการตามคำสั่งของศอฉ. ดังนั้นทหารที่ฆ่าคนเสื้อแดงสองมือเปล่าและศอฉ.ที่สั่งการให้ทหารฆ่าคนเสื้อแดงทั้งหมดต้องได้รับการพิจารณาโทษตามกฎหมาย


ที่ชัดที่สุดคือ 6 ศพวัดปทุมฯ ที่ศาลชี้ชัดลงไปเลยว่าคนตาย ตายจากทหารบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสยิงลงมา คนตายทุกคนไม่มีคราบเขม่าดินปืน หมายความว่าคนตายไม่ได้ยิงต่อสู้กับทหาร ไม่มีการยิงต่อสู้กับระหว่างชายชุดดำกับทหารที่สามแยกเฉลิมเผ่า อาวุธที่งมออกมาจากวัดปทุมฯรับฟังไม่ได้ พวกนี้ล้วนทำตามคำสั่งศอฉ. ควรได้รับการดำเนินการเพื่อรับโทษตามกฎหมายในทันที รวมทั้ง 19 ศพ ที่ศาลมีคำสั่งไว้แล้ว และรัฐบาลเศรษฐาต้องสั่งให้มีการชันสูตรพลิกศพอีก 63 ศพ คนเสื้อแดงที่ถูกทหารฆ่าที่เหลือให้เป็นไปตามกฎหมายประมวลวิธีพิจารณาความอาญาม.150  และนำส่งศาลเพื่อให้มีคำสั่งการตาย ให้ครบทั้ง 99 ศพและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ดังที่คณะประชาชนทวงความยุติธรรม2553 ได้เคยเสนอไปยังพรรคเพื่อไทยก่อนหน้าและระหว่างการเลือกตั้งที่ผ่านมา และพรรคเพื่อไทยก็ได้รับปากว่าจะดำเนินการตามนี้


และในภาวะที่คุณเศรษฐา เจอมรสุมเรื่องดิจิตอลวอลเล็ตหมื่นบาทว่าจะทำอย่างไรดี ทั้งที่เป็นเรือธงสำคัญของรัฐบาลเพื่อไทย ผมขอให้กำลังใจให้ทำให้สำเร็จให้ได้ แต่นี่เป็นเพียงเรื่องทางเศรษฐกิจ หากพรรคเพื่อไทยต้องการที่จะได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนอย่างแลนสไลด์ในการเลือกตั้งสมัยหน้าดังที่เคยตั้งสโลแกนเมื่อการเลือกตั้งที่ผ่านมา คุณเศรษฐาต้องชนะใจคนเสื้อแดงทั้งประเทศให้ได้ ดังเช่นที่เอา “สีแดง” มาเป็นโลโก้ของพรรค และกล่าวอ้างว่าคนเสื้อแดงเป็นโหวตเตอร์ของพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด ผมเสนอให้คุณเศรษฐา ประกาศรับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ เฉพาะกรณีเมษา-พฤษภา53ในทันทีไปเลยครับ” เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสถาบันสูงสุดของประเทศ ผู้รับผิดชอบกรณีเมษา-พฤษภา53 คือรัฐบาลอภิสิทธิ์และศอฉ.เท่านั้น และไม่เกี่ยวกับมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญนี้ที่พระเจ้าแผ่นดินทรงอยู่ในฐานะสูงสุดอันใครจะละเมิดมิได้ ผู้ใดฟ้องร้องใด ๆ มิได้เลยครับ


ผมขอเรียกร้องให้รัฐบาลเพื่อไทย รับผิดชอบต่อการพลีชีพของวีรชนคนเสื้อแดงเมื่อเหตุการณ์รุมยิงนกในกรง 2553 เพราะพรรคเพื่อไทยอ้างว่าเป็นพรรคของคนเสื้อแดง มีคนเสื้อแดงเป็นโหวตเตอร์ ใช้ “สีแดง” เป็นสัญลักษณ์เป็นโลโก้ของพรรค แม้ในวันประชุมเลือกตั้งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนปัจจุบัน คุณอุ๊งอิ๊งก็ใส่ชุดสีแดงสด และโลโก้ข้างหลังก็สีแดงเถือกไปทั้งหมด


นอกจากนี้รัฐบาลเพื่อไทย ควรแก้ไขกฎหมายเพื่อนำทหารที่ทำผิดทางอาญาต้องมาขึ้นศาลพลเรือน เพราะปัจจุบันประเทศไทยไม่ได้อยู่ในภาวะสงครามใด ๆ เลย ทหารก็คือพลเรือนที่ทำหน้าที่ปกป้องประเทศเท่านั้น ก็เหมือนพลเรือนอาชีพอื่น ๆ ไม่ว่าแพทย์ ทนาย นักธุรกิจ พ่อค้า คนงานฯลฯ ดังนั้นเมื่อทหารทำผิดทางอาญาหรือแพ่งใด ๆ ทหารต้องขึ้นศาลพลเรือน ไม่ใช่ขึ้นศาลทหาร เช่นเดียวกับนักการเมือง ก็คือ พลเรือนที่ตั้งใจมารับใช้ประเทศชาติประชาชน ไม่มีอะไรแตกต่างหรือเหนือไปกว่าพลเรือนอื่น ดังนั้น เมื่อนักการเมืองทำผิดกฎหมายใด ๆ นักการเมือง ก็ต้องขึ้นศาลพลเรือนเช่นพลเรือนทั้งประเทศ ส่วนที่เกรงว่าจะใช้เวลานาน นี่ก็เป็นเรื่องของกระบวนการบริหารจัดการของทางด้านศาล ไม่ต้องถึงขนาดที่เอานักการเมืองไปขึ้นศาลเฉพาะนักการเมือง


ทั้งเรื่องศาลทหารและเรื่องศาลเฉพาะนักการเมือง ล้วนทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมทางกฎหมายทั้งสิ้น เพราะเบื้องหน้ากฎหมาย ประชาชนทุกคนต้องเท่าเทียมกันหมด ในท้ายที่สุด คณะประชาชนทวงความยุติธรรม 2553 ได้ยื่นเรื่องเรียกร้องต่อพรรคเพื่อไทย ผ่านหัวหน้าพรรคคนที่แล้ว คือ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ไปก่อนการเลือกตั้งและระหว่างการเลือกตั้งไป และตัวแทนของพรรคเพื่อไทยที่มารับเรื่องก็รับปากว่าจะนำไปดำเนินการดังนั้น ผมของทวงคำมั่นสัญญาที่เคยรับปากไว้ ขอให้รัฐบาลเพื่อไทยทำตามคำมั่นสัญญาที่เคยได้ให้ไว้กับคณะประชาชนทวงความยุติธรรม 2553ด้วยครับ


ผมขอจบด้วยการแสดงความขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานและผมรู้สึกปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่งที่เห็นเยาวชนมาร่วมงานนี้มีจำนวนมากกว่าผู้มีอายุ ทำให้เห็นอนาคตว่าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม การรำลึกถึงวีรชนประชาธิปไตย โดยเฉพาะลุงนวมทอง จักไม่เลือนหายไปในสายลมแน่นอน


สวัสดีครับ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เหวงโตจิราการ 

#นวมทองไพรวัลย์ #17ปีนวมทองไพรวัลย์