“พริษฐ์” ชี้ผลงานรัฐบาล 60 วัน ยังพิสูจน์ยาก ผลงาน 6
เดือนคือบทพิสูจน์จริง จับตา 5 โจทย์ใหญ่นโยบายเศรษฐกิจ-การเมือง
ลดค่าไฟ-ค่าน้ำมันจะยั่งยืนไหม เงินดิจิทัล 10,000 บาท-แก้รัฐธรรมนูญ-เกณฑ์ทหาร
จะออกมาอย่างไร
วันที่
10 พฤศจิกายน 2566 พริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคก้าวไกล
กล่าวถึงการแถลงผลงานในรอบ 60 วัน ของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน
ว่า เมื่อคืนนี้ (9 พ.ย.) นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน
มีการแถลงผลงานรัฐบาลในช่วง 60 วันแรก
เป็นการสรุปสิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการตั้งแต่ตั้งรัฐบาลเสร็จ แม้ปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐบาลได้ออกหลายมาตรการลักษณะ
“quick wins” ที่หวังผลระยะสั้นทันที แต่ในภาพรวม
เรายังคงไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่าผลงานของรัฐบาลในห้วง 60 วันที่ผ่านมา จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงอย่าง “เป็นระบบ”
และอย่าง “ยั่งยืน” ตามที่ประชาชนคาดหวังได้จริงหรือไม่
.
ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะทำไม่ได้หรือไม่พยายามทำ
เพียงแต่ว่า 60
วัน ที่ผ่านมาอาจยังพิสูจน์อะไรได้ยาก เนื่องจากบทพิสูจน์ที่แท้จริง
น่าจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในช่วง 6 เดือนข้างหน้า
(ธ.ค. 66 - พ.ค. 67) ที่ตนอยากชวนประชาชนทุกคนร่วมกันจับตามอง
(1)
มาตรการ “quick wins” ของรัฐบาล
ที่เป็นการลดค่าครองชีพ จะถูกพิสูจน์ว่ามีความยั่งยืนหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็น “ค่าไฟ”
ที่ลดไปได้ด้วยการยืดหนี้ กฟผ.
มีความเสี่ยงจะเด้งกลับขึ้นมาหากไม่มีปรับโครงสร้างราคา-ตลาด หรือ “ค่าน้ำมัน”
ที่ลดไปได้ด้วยการลดภาษีสรรพสามิต จะเจอแรงกดดันหลายทางจากรายได้รัฐที่หายไปและราคาน้ำมันที่อยู่ในขาขึ้น
หรือ “ค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย”
ที่ทำสำเร็จในสายสีม่วงกับสีแดง
จะถูกพิสูจน์ว่าสามารถขยายไปสู่สายที่มีผู้โดยสารใช้เยอะที่สุด (เช่น สายสีเขียว)
ได้หรือไม่
(2)
นโยบายเรือธงที่เดิมพันสูงอย่าง “เงินดิจิทัล 10,000 บาท” จะเริ่มดำเนินการและเริ่มเห็นผลลัพธ์เบื้องต้น
รายละเอียดทั้งหมดของโครงการจะถูกเคาะ เช่น เงื่อนไขการใช้จ่ายของประชาชน
เงื่อนไขการแปลงเป็นเงินสดของร้านค้า เครื่องมือหรือเทคโนโลยีที่จะใช้ โดยหลายส่วนน่าจะรวมอยู่ในแถลงบ่ายวันนี้
ซึ่งจะทำให้การประเมินข้อดี-ข้อเสียนโยบาย ทำได้บนข้อมูลที่ครบถ้วน
ในส่วนของประโยชน์
(benefits)
หากเริ่มแจกได้จริงในไตรมาส 1 ของปี 2567
ตามที่เคยสัญญา
เราจะเริ่มเห็นถึงผลกระทบเบื้องต้นต่อการใช้จ่ายและการกระตุ้นเศรษฐกิจว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่
ขณะที่ในส่วนของต้นทุน (costs) หากยังเป็นการให้ประชาชนทุกคน
10,000 บาท ตามที่เคยสัญญา เราจะเห็นว่างบประมาณ 560,000
ล้านบาทที่ต้องใช้ จะมาจากช่องทางไหน และแลกมาด้วยอะไร เช่น
การปรับลดงบส่วนอื่น รวมถึงผลกระทบต่อวินัยการเงินการคลัง
(3)
นโยบายหลักด้านการเมือง จะเจอ “เส้นตาย” (deadline) ที่ทำให้เห็นการตัดสินใจของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น เรื่องรัฐธรรมนูญ ภายใน
ม.ค. 67 รัฐบาลจะต้องมีข้อสรุปจากคณะกรรมการศึกษาแนวทางประชามติฯ
ว่าจะเดินหน้าต่อเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างไร
ประชามติครั้งแรกจะเกิดขึ้นหรือไม่ ด้วยคำถามแบบไหน
และรัฐบาลคาดว่าประเทศจะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ภายในเมื่อไร ส่วนเรื่องเกณฑ์ทหาร
ภายใน เม.ย. 67 เราจะเห็นว่าประเทศจะยังมีเยาวชนกี่คนที่ถูกบังคับไปเป็นทหารโดยที่ไม่อยากเป็น
ซึ่งจะแปรผันตามเจตจำนงของรัฐบาลในการลดหรือเลิกการเกณฑ์ทหาร
(4)
กฎหมายกว่า 30 ฉบับที่พรรคก้าวไกลเสนอ
จะเรียงกันเข้าสภาฯ มาเป็น “คลื่น”
ที่ทำให้รัฐบาลต้องตัดสินใจว่าจะมีจุดยืนอย่างไรในหลายประเด็นที่รัฐบาลยังไม่แสดงออก
เช่น จะเห็นด้วยกับร่างของก้าวไกล หรือจะเสนอร่างของ ครม. เอง
ที่แตกต่างออกไปในรายละเอียด หรือจะไม่เห็นด้วยทั้งหมด
ยกตัวอย่าง
เมื่อร่างกฎหมายของก้าวไกลเข้าสภาฯ ไม่ว่าจะเป็น ร่าง พ.ร.บ.
แผนและขั้นตอนกระจายอำนาจฯ ร่าง พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า ร่าง พ.ร.บ.
ภาษีที่ดินรวมแปลง ร่าง พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารสาธารณะ ร่าง พ.ร.บ.
ระเบียบราชการกลาโหม เราจะเห็นทิศทางและจุดยืนของรัฐบาลที่ชัดเจนขึ้นในเรื่องต่างๆ
ทั้งการกระจายอำนาจ การป้องกันการผูกขาดทางเศรษฐกิจ
การปฏิรูประบบภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
การสร้างรัฐที่โปร่งใสและการแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน
การปฏิรูปกองทัพให้อยู่ใต้รัฐบาลพลเรือน
(5)
ปฏิทินการเมืองจะมีหมุดหมายสำคัญหลายเหตุการณ์
ที่เป็นบทพิสูจน์เสถียรภาพและความเป็นเอกภาพระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ได้แก่
เหตุการณ์แรก การพิจารณา พ.ร.บ. งบประมาณ 2567 ในสภาฯ ช่วง
ม.ค.-เม.ย. 67 จะเป็นบทพิสูจน์ว่างบประมาณจะถูกจัดสรรให้กับนโยบายของทุกพรรคร่วมรัฐบาล
อย่างเป็นธรรมและเป็นที่น่าพึงพอใจของทุกพรรคหรือไม่
ภายใต้เงื่อนไขว่างบประมาณจำนวนมากต้องใช้ไปกับนโยบาย “เงินดิจิทัล 10,000 บาท” ของพรรคแกนนำฯ
เหตุการณ์ที่สอง
คือการเปิดอภิปรายทั่วไปโดยฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะเป็น ตามมาตรา 152 ที่เป็นการซักถาม-เสนอแนะ
หรือ ตามมาตรา 151 ที่มีการลงมติไม่ไว้วางใจ
ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงก่อนปิดปีแรกของการประชุมสภา หรือ เม.ย. 67 และจะเป็นครั้งแรกของรัฐบาลชุดนี้ และเหตุการณ์ที่สาม
คือการหมดอายุลงของบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ 2560 ในเดือน
พ.ค. 67 รวมถึงอำนาจ สว. ในการเลือกนายกฯ ตาม มาตรา 272
จะทำให้เงื่อนไขสำคัญที่พรรคแกนนำเคยอ้างว่าเป็นเหตุผลที่ทำให้ต้องรวมตัวกับพรรคอื่นที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองหรือจุดยืนทางนโยบายที่แตกต่างกันในอดีต
หายจากสมการ