วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

นายกฯ นำคณะแถลงวาระแห่งชาติ #แก้หนี้นอกระบบ ให้คิดดอกเบี้ยไม่เกิน 15% ต่อปี เตรียมปล่อยสินเชื่อหวังดึงลูกหนี้กลับเข้าระบบ

 


นายกฯ นำคณะแถลง #แก้หนี้นอกระบบ ให้คิดดอกเบี้ยไม่เกิน 15% ต่อปี เตรียมปล่อยสินเชื่อหวังดึงลูกหนี้กลับเข้าระบบ


วันนี้ (28 พฤศจิกายน 2566) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และ พล.ต.อ. ธนา ชูวงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) แถลงข่าว #วาระแห่งชาติ การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ


นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า หนี้นอกระบบที่เป็นปัญหากัดกร่อนสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ของคนไทย วันนี้เราจะเอาจริงกำหนดให้เป็น #วาระแห่งชาติ เพื่อคืนศักดิ์ศรี สร้างความมั่นคงให้กับคนไทยทุกคน โดยจะร่วมกับฝ่ายปกครอง ตำรวจ และกระทรวงการคลัง ฟื้นฟูเศรษฐกิจระดับครัวเรือนถึงมหภาค ยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน ไม่ให้กลับไปเป็นหนี้ซ้ำ ซึ่งที่ผ่านมามีการประเมินตัวเลขประชาชนที่เป็นหนี้นอกระบบกว่า 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งตนยังมองว่าเป็นตัวเลขที่ต่ำเกินไป แต่ปัญหาจริงน่าจะมากกว่านั้น


นายกฯ กล่าวอีกว่า วันนี้รัฐบาลได้บูรณาการหลายภาคส่วน โดยจะรับบทเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย ดูแลทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้อย่างเป็นธรรม ทั้งเรื่องดอกเบี้ยที่แพงเกิน การทวงหนี้ที่รุนแรง เพื่อทำให้ลูกหนี้มีอากาศหายใจ ยืนยันว่าจะดำเนินการไม่ให้ซับซ้อน มีขอบเขตตั้งแต่ต้นจนจบ มีการทำข้อมูลกลาง มีตัวเลขตรวจสอบได้ มีวิธีเข้าสู่กระบวนการสื่อสารกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมา ให้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยที่ถูกต้อง ซึ่งตนได้ฝากให้หน่วยงานฝ่ายปกครองและตำรวจทำงานอย่างมีเป้าหมาย มีกรอบเวลาชัดเจน โดยหลังไกล่เกลี่ยรัฐบาลโดยกระทรวงการคลังก็จะเข้ามาปรับโครงสร้างหนี้ให้


การแก้หนี้ครั้งนี้ไม่ใช่ยาปาฏิหาริย์ แต่ผมมั่นใจว่าเศรษฐกิจที่ดีขึ้น จะทำให้ประชาชนมีรายได้ ไม่จำเป็นต้องก่อหนี้อีก และรายย่อยก็สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้” นายกฯ กล่าว


นายกฯ ยังเปิดเผยว่า วันที่ 12 ธันวาคมนี้ จะแถลงแก้หนี้แบบครบวงจร ทั้งในและนอกระบบ ตนจะทำให้โครงการนี้ปลดปล่อยประชาชน จากการเป็นทาสหนี้นอกระบบ


ผู้สื่อข่าวถามว่า เกณฑ์การไกล่เกลี่ยมีการกำหนดเพดานการคิดดอกเบี้ยหรือไม่ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ห้ามคิดเกิน 15% ต่อปี ซึ่งต้องดูว่าตั้งแต่เป็นหนี้จ่ายไปแล้วเท่าไร หากจ่ายเกินไปแล้วก็ต้องยกเลิกต่อกัน และยืนยันว่ามาตรการที่จะดำเนินการนี้ไม่เหมือนในอดีต เพราะที่ผ่านมาไม่ได้ทำงานแบบบูรณาการ แต่ครั้งนี้จะทำงานเชิงรุกมากขึ้น


นายกฯ กล่าวว่า ขออย่าลืมว่าก็ยังมีการแก้ไขหนี้ในระบบอีกด้วย ที่จะทำให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้ ทำให้การกลับมาเป็นหนี้ยากยิ่งขึ้น ถ้าจะพูดว่าไม่ให้กลับมาเป็นหนี้อีกเลย คิดว่าจะลำบาก แต่ต้องมีความเป็นธรรม ตามที่กฎหมายกำหนด การที่เรามีความร่วมมือวันนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี นำทุกภาคส่วนมาบูรณาการ มาแก้ไขปัญหา คงไม่ใช่ว่าเรามองไม่เห็นปัญหา เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่มานั่งในวันนี้ เราให้ความสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจ และนโยบายของรัฐบาลยังมีอีกมาก ในเรื่องของการทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น แต่ขั้นตอนแรกเราต้องลดค่าใช้จ่ายของประชาชน และวันที่ 8 ธันวาคม จะประชุมร่วมกันระหว่างนายอำเภอกับผู้กำกับทั่วประเทศ มีการกำหนด KPI ชัดเจน ติดตามผลงานอย่างต่อเนื่อง คงไม่เหมือนสมัยก่อนที่ทำกันมา


ส่วนเรื่องผู้มีอิทธิพล ที่อาจทำให้ประชาชนไม่กล้าเข้ามาไกล่เกลี่ย นายกฯ ยืนยันว่า ทางกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการอยู่แล้วว่าเราไม่ยอมรับผู้มีอิทธิพลนอกระบบ หรือมาเฟีย ก็ต้องบริหารจัดการไป บ้านเมืองมีกฎหมาย อัตราดอกเบี้ยที่คิดไว้ก็ต้องชัดเจน จึงต้องเรียกมาคุยทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ ทั้งฝ่ายปกครองและความมั่นคง


ด้านนายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยน้อมรับข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี โดยจะบูรณาการตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งมั่นใจว่าบุคคลเหล่านี้มีความใกล้ชิดกับประชาชน จึงจะเป็นจุดที่จะบูรณาการความร่วมมือกับตำรวจและกระทรวงการคลัง แก้ปัญหาคลายทุกข์ให้กับประชาชน โดยกระทรวงมหาดไทยจะทำงานบริหารเชิงพื้นที่ ด้วยบุคลากร นายอำเภอ กับผู้กำกับสถานีตำรวจ ช่วยเหลือลูกหนี้ ไกล่เกลี่ย ประนีประนอม ปราบปรามผู้กระทำความผิดอย่างเด็ดขาด ร่วมกันทำอย่างโปร่งใส ให้ความเป็นธรรมตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยขอเรียนเชิญประชาชนที่ประสบปัญหา ทั้งถูกข่มขู่ คุกคาม ดูหมิ่น กระทำโดยไม่เป็นธรรม หรือแม้กระทั่งอยากปรับจากหนี้นอกระบบมาเป็นหนี้ในระบบ มายังศูนย์ดำรงธรรม ทั้งที่อำเภอและจังหวัดทุกแห่ง ส่วนใครที่หวั่นเกรงผู้มีอิทธิพล ตนได้สั่งให้กรมการปกครองออกสำรวจ สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง


ด้าน รอง ผบ.ตร. ยืนยันว่าที่ผ่านมา ตำรวจบังคับใช้กฎหมายจับกุมสืบสวนดำเนินคดี จากสภาพปัญหาเราเห็นถึงความเดือดร้อนของประชาชนที่ถูกทวงหนี้ โดยตำรวจมีสายด่วน 1599 รับแจ้งเหตุ ที่ผ่านมาได้เอ็กซเรย์พื้นที่ ขึ้นบัญชีผู้ประกอบการนอกระบบ ทั้งระดับ S, M และ L เพื่อบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา เราได้ดำเนินการจับกุมไปแล้วกว่า 134 ราย เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ เช่น เครือข่ายรับจำนำรถยนต์ เป็นต้น


ขณะที่นายกฤษฎาระบุว่า นายกฯ ได้ให้ข้อสั่งการเพื่อดูแลประชาชนที่เป็นลูกหนี้หลังปรับโครงสร้าง โดยเราจะเข้ามาดูแลด้วยธนาคารของรัฐ ในส่วนของธนาคารออมสิน มีโครงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ โดยจะปล่อยกู้ให้ไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย ระยะเวลาใช้คืนไม่เกิน 5 ปี และมีโครงการสินเชื่อสำหรับอาชีพอิสระรายย่อย ให้กู้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ระยะเวลาใช้คืนสูงสุด 8 ปี อัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามความสามารถของลูกหนี้ ส่วนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ มีโครงการปล่อยกู้ให้กับเกษตรกรที่นำที่ดินไปจำนอง หรือค้ำประกันเงินกู้นอกระบบรายละไม่เกิน 2.5 ล้านบาท อีกทั้งมีช่องทางพิโกไฟแนนซ์สำหรับธุรกิจสินเชื่อ ซึ่งมีมาลงทะเบียนแล้วกว่า 1 พันราย


นายอนุทินกล่าวภายหลังการแถลงข่าวว่า เมื่อช่วงเดือนที่แล้วได้มีการตั้งศูนย์ขึ้นทะเบียนพี่น้องประชาชนที่มีหนี้นอกระบบ ซึ่งมีการเปิดทางออนไลน์และออฟไลน์ให้ประชาชนที่เป็นลูกหนี้นอกระบบได้ขึ้นทะเบียน ส่วนลูกหนี้ที่มีความเกรงกลัวต่อผู้มีอิทธิพลนั้น กระทรวงมหาดไทยได้สั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดอำเภอ และเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในกลไกของกระทรวงมหาดไทยลงไปสำรวจว่า ยังมีลูกหนี้คนใดที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนกับกระทรวงมหาดไทย เข้าไปพูดคุยและไกล่เกลี่ยเพื่อแก้ปัญหาหนี้นอกระบบให้มากที่สุด


อนุทินกล่าวว่า คนไทยเรามีหนี้เยอะ เราเปิดช่องทางไว้หลายทาง จะมีการประชาสัมพันธ์ออกไปว่าจะลงทะเบียนอย่างไร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ยืนยันว่ามีความปลอดภัย ถ้าไกล่เกลี่ยกันได้ก็เป็นเรื่องดี เราจะพยายามดูแลไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกรังแกกันเกินไป โดยข้อมูลที่ได้มาจะส่งต่อไปยังนายอำเภอ เพื่อให้มีการไปเรียกลูกหนี้และเจ้าหนี้เข้ามาไกล่เกลี่ยก่อน


ส่วนจำนวนเจ้าหนี้ที่เป็นผู้มีอิทธิพลมีมากน้อยแค่ไหนนั้น อนุทินกล่าวว่า จะต้องพิจารณาตามมาตรฐานที่กรมการปกครองดำเนินการขึ้นบัญชี ต้องพิจารณาว่าผู้มีอิทธิพลอยู่บนพื้นฐาน 16 ข้อหรือไม่ รวมถึงต้องมีการพิจารณาว่ามีการข่มเหงรังแกชาวบ้านหรือไม่ด้วยเช่นกัน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์