“พริษฐ์” เสนอ 5 ข้อ ถึงรัฐบาล-ก.ศึกษาธิการ
ยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ
หลังดัชนีความสามารถภาษาอังกฤษไทยรั้งท้ายอาเซียน อยู่อันดับ 101 จาก 113 ประเทศ
วันที่
28 พฤศจิกายน 2566 พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ
พรรคก้าวไกล กล่าวถึงดัชนีความสามารถทางภาษาอังกฤษ (EF English Proficiency
Index) ประจำปี 2023 ซึ่งประเทศไทยมีดัชนีต่ำสุดในบรรดา
8 ประเทศกลุ่มอาเซียนที่มีการวัดผล โดยอยู่ที่ 101 จาก 113 ประเทศ ด้วยคะแนน 416 ลดลงจากอันดับ
97 จาก 111 ประเทศทั่วโลกเมื่อปี 2022
พริษฐ์กล่าวว่า
แม้ปัญหาเรื่องทักษะภาษาอังกฤษ อาจมีหลายปัจจัยนอกเหนือจากระบบการศึกษา
แต่ตนคิดว่าปัญหานี้ สะท้อนถึง 2 ปัญหาของระบบการศึกษาไทยในภาพรวม
คือคุณภาพระบบการศึกษาและความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา
ในแง่คุณภาพระบบการศึกษา
นักเรียนไทยไม่ได้มีจำนวนชั่วโมงเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนที่น้อยกว่าประเทศอื่นๆ
แต่หลักสูตรและวิธีการสอนปัจจุบัน
ไม่สามารถแปรชั่วโมงเรียนเหล่านั้นหรือความขยันของนักเรียนออกมาเป็นทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพได้ดีเท่าที่ควร
ขณะที่ในแง่ความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา
เด็กไทยปัจจุบันยังไม่ได้มีโอกาสเข้าถึงการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่มีคุณภาพอย่างทัดเทียมกัน
โอกาสในการเรียนต่อต่างประเทศ เรียนในโรงเรียนนานาชาติ
หรือเรียนในโรงเรียนที่จัดหลักสูตรภาษาอังกฤษ (English Programme หรือ EP)
ยังคงเป็นโอกาสที่เด็กบางกลุ่มเท่านั้นที่เข้าถึง
พริษฐ์กล่าวว่า
หากพูดถึงการปฏิรูประบบการศึกษา มีนโยบายอย่างน้อย 5 ด้านที่รัฐบาล
โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการ สามารถดำเนินการได้
เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของนักเรียนและเยาวชนทั่วประเทศ ดังนี้
(1) ออกแบบหลักสูตร
การสอน การประเมินวิชาภาษาอังกฤษใหม่ เช่น ปรับหลักสูตรวิชาภาษาอังกฤษ
ให้เน้นด้านทักษะการสื่อสารหรือการ “ใช้” ภาษาเป็นหลัก
มากกว่าเน้นแค่เพียงหลักภาษาและไวยากรณ์ ทำให้ห้องเรียนภาษาอังกฤษเป็น
“พื้นที่ปลอดภัย” ที่ช่วยให้ผู้เรียนกล้าลองผิดลองถูกในการใช้ภาษา
และเรียนรู้จากข้อผิดพลาด
เพิ่มสัดส่วนวิชาและกิจกรรมในโรงเรียนที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ
ดำเนินการพร้อมกับการออกแบบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานฉบับใหม่ทั้งหมด
ไม่ใช่แค่ด้านภาษาอังกฤษ ที่เน้นการพัฒนาทักษะและสมรรถนะ
มากกว่าเพียงการอัดฉีดเนื้อหา
(2)
ยกระดับการอบรมทักษะภาษาอังกฤษของครูไทย เช่น
เพิ่มความเข้มข้นในการอบรมครูไทยด้านภาษาอังกฤษทั้งในระดับสถาบันผลิตครู (pre-service
training) และการพัฒนาทักษะในงาน (in-service training) เน้นการกระจายงบอบรมครูที่ปัจจุบันกระจุกอยู่กับส่วนกลางทั้งหมด
ไปเป็นการให้งบตรงไปที่โรงเรียนและครูแต่ละคนในการซื้อคอร์สพัฒนาทักษะที่ตอบโจทย์ด้านที่ตนเองต้องการพัฒนา
.
(3)
ทำ MOU กับประเทศหรือเมืองอื่นๆ
เพื่อให้มีโครงการแลกเปลี่ยนระหว่างครูสอนภาษาอังกฤษในต่างประเทศและครูไทยที่สอนภาษาอังกฤษ
เช่น
เพิ่มสภาพแวดล้อมที่นักเรียนไทยได้ฝึกสื่อสารภาษาอังกฤษกับครูต่างชาติที่มาสอนในประเทศไทย
ยกระดับทักษะครูไทยที่จะมีประสบการณ์ไปสอนในโรงเรียนที่ต่างประเทศ
(4)
ส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษนอกห้องเรียน เช่น พิจารณาจัดสรร
“คูปองเปิดโลกเรียนรู้” สำหรับเด็กและเยาวชนในการเรียนรู้นอกห้องเรียน
ซึ่งอาจรวมถึงคอร์สหรือกิจกรรมที่มีการใช้ภาษาอังกฤษ
จัดทำแพลตฟอร์มเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่รวบรวมคอร์สพัฒนาทักษะ เช่น คอร์สภาษาอังกฤษ
จากผู้ผลิตเนื้อหาในภาคเอกชนและภาควิชาการ
โดยเปิดให้ประชาชนทุกคนเรียนได้ฟรีไม่จำกัด
เพิ่มจุดที่ประชาชนได้สัมผัสกับภาษาอังฤษในชีวิตประจำวัน เช่น
การเพิ่มบทบรรยายภาษาอังกฤษใต้ภาพ (subtitles) สำหรับข่าวสาร
ละคร รายการในโทรทัศน์
.
(5)
รณรงค์ให้สังคมไม่มีค่านิยมที่ให้ความสำคัญมากเกินไปกับเรื่องสำเนียง
(accent) จนทำให้เด็กหรือแม้แต่ผู้ใหญ่ไม่กล้าสื่อสารภาษาอังกฤษ
เช่น สร้างความเข้าใจว่าการออกเสียง (pronunciation) ให้ชัดถ้อยชัดคำเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการให้คู่สนทนาเข้าใจสิ่งที่เรากำลังสื่อสาร
แต่สำเนียง ไม่ควรถูกมองว่าเป็นสาระสำคัญ เนื่องจาก “สำเนียงที่ถูกต้อง”
แม้ในเชิงทฤษฎี ก็อาจไม่มีอยู่จริง
ในเมื่อภาษาอังกฤษได้กลายเป็นภาษาที่ถูกใช้กันโดยคนในหลายประเทศทั่วโลกด้วยสำเนียงที่หลากหลาย
หรือ แม้แต่คนในประเทศสหราชอาณาจักรเอง ที่ถูกมองว่าเป็นต้นตำรับภาษาอังกฤษ
ก็ยังมีหลายสำเนียงที่แตกต่างออกไปในแต่ละภูมิภาค