วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

เรียกร้องรัฐบาลหนุนและทุกฝ่ายร่วมผลักดัน 'นิรโทษกรรมประชาชน' ชี้ คือทางออก ปลดล็อคประเทศจากความขัดแย้ง ในวงเสวนา 'ก้าวแรกอย่างไรในการแก้ไขปัญหาคดีทางการเมือง'

 


เรียกร้องรัฐบาลหนุนและทุกฝ่ายร่วมผลักดัน 'นิรโทษกรรมประชาชน' ชี้ คือทางออก ปลดล็อคประเทศจากความขัดแย้ง ในวงเสวนา 'ก้าวแรกอย่างไรในการแก้ไขปัญหาคดีทางการเมือง'

 

วันนี้ (19 พฤศจิกายน 2566) เวลา 13.00 น. ที่อาคาร All Rise หมู่บ้านกลางเมือง รัชดา-ลาดพร้าว เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน จัดเสวนา “ก้าวแรกอย่างไรในการแก้ไขปัญหาคดีทางการเมือง” เพื่อหาทางออกให้แก่ปัญหาคดีการเมืองและผู้ที่ถูกคุมขังจากข้อหาทางการเมืองจำนวนมาก โดยเฉพาะการนำเสนอถึงความเป็นไปได้ของการออกกฎหมายนิรโทษกรรม

 

ร่วมพูดคุยโดยสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, นางสาวพูนสุข พูนสุขเจริญ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, นางสาวเบนจา อะปัญ ผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมือง, นพ.เหวง โตจิราการ อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และปัจจุบันคณะกรรมการคณะประชาชนทวงความยุติธรรม 2553 (คปช.53), นายอมร อมรรัตนานนท์ อดีตแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และดำเนินรายการโดยฐปนีย์ เอียดศรีชัย ผู้ก่อตั้งสำนักข่าว The Reporter

 

นายอมร กล่าวว่า การร่วมเสวนาในวันนี้มาในนามส่วนตัว เพราะแนวร่วมพันธมิตรฯ เป็นองค์กรแนวราบที่รวมตัวกันอย่างหลวม ๆ เพื่อตรวจสอบรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยที่มีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำบริหารประเทศ ซึ่งเราเชื่อว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน ทำให้เราพูดกันในขณะว่าเป็นเผด็จการรัฐสภา และโดยเฉพาะในคดีซุกหุ้น ที่มีคำที่น่าจดจำว่า 'บกพร่องโดยสุจริต' ซึ่งรัฐบาลไม่ยอมเปิดให้มีการตรวจสอบ จนเกิดคำถามต่อความชอบธรรมและเหตุผลของประชาธิปไตย แนวร่วมพันธมิตรฯ จึงรวมตัวเพื่อตรวจสอบรัฐบาลนายทักษิณ ก่อนจะเกิดการรัฐประหาร และร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550

 

นายอมร กล่าวด้วยว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ตามมาด้วยหลายคดีในหมวดคดีอาญา คดีก่อการร้าย และคดีกบฏ เช่น คดี 9 แกนนำจากการเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล หรือ คดีชุมนุมหน้าสมาคมวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) แต่อย่างไรก็ตาม หลายคดีเพิ่งเข้าสู่กระบวนการของศาลชั้นต้น เช่น คดีชุมนุมปิดสนามบิน ที่ยืดยาวมาตั้งแต่ปี 2551 และศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในเดือนธันวาคม 2566 ขณะเดียวกันหลายคดีได้ยุติไปแล้วเช่นกัน

 

สำหรับการออกร่างกฎหมายนิรโทษกรรม นายอมรระบุว่า เห็นด้วยกับการมีคณะกรรมการคอยกลั่นกรองกรอบของการนิรโทษกรรมคดีการเมือง ดังที่ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ที่พรรคก้าวไกลเสนอ นายอมร กล่าว

 

ด้านนพ.เหวง กล่าวในตอนหนึ่งถึงสาเหตุของการเกิดคดีความทางการเมืองว่า เป็นเพราะรัฐมองประชาชนเป็นศัตรู เพราะหากไม่มองประชาชนเป็นศัตรู เขาต้องเปิดเวทีรับฟังความเห็นที่แตกต่างของประชาชน ซึ่งกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากลระบุห้ามว่า รัฐห้ามกระทำการรุนแรงเกินกว่าเหตุ จึงเลือกที่จะใช้กฎหมายเข้าจัดการ ตัวอย่างที่สำคัญ ๆ คือ คดีชายชุดดำ ที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ประกาศ เป็นข้ออ้างความชอบธรรมในการสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ขณะที่คดีอื่น ๆ อย่างคดีเผา หลายคดีก็เชื่อว่าเจ้าหน้าที่เกลี่ยกล่อมให้คนเสื้อแดงเซ็นไปก่อน จนกลายเป็นความเสียเปรียบในชั้นศาล นอกจากนี้ รัฐยังพยายามใช้สื่อในการทำให้สังคมมองภาพผู้ชุมนุมในทางที่ไม่ดีอีกด้วย

 

ดังนั้น ตราบใดก็ตามหากรัฐยังมองว่าประชาชนเป็นศัตรูก็จะหาเหตุต่าง ๆ มายัดเยียดใส่ร้าย โดยที่หากยังเป็นแบบนี้คงไม่ต้องพูดถึงการนิรโทษกรรม

 

ดังนั้น ประเทศต้องเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงก่อน สำหรับตนวินาทีนี้ประเทศยังไม่เป็นประชาธิปไตย แม้รัฐบาลจะมาจากการเลือกตั้ง แต่มาจากการสนับสนุนจากพรรคการเมืองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และสว. และกลับกันพรรคที่ประชาชนเลือกมากที่สุด 14 ล้านเสียง แต่ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ สะท้อนว่าขณะนี้ ยังไม่เป็นประชาธิปไตย ตนมีแนวคิดว่า ประเทศไทยต้องไม่มีการรัฐประหารอีกต่อไป ต้องไม่มีการฆ่าคนโดยใช้ทหารใจกลางถนนอีกต่อไป

 

นพ.เหวง ได้ฝากพรรคที่ใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ว่า จะทวงความยุติธรรมให้คนเสื้อแดงที่เสียชีวิตไปเกือบร้อยศพได้หรือไม่ ? ข้อเรียกร้องคนเสื้อแดงในการชุมนุมปี 53 เรียกร้องให้รัฐบาลขณะนั้นยุบสภา คืนอำนาจให้กับประชาชนเพื่อเลือกตั้งใหม่แล้วถูกปราบปราม ผ่านมา 13 ปี ยังไม่ได้รับความยุติธรรม

 

รัฐไทยฆ่าประชาชนตายซ้ำ ๆ ซาก ๆ ถ้าหากรัฐบาลไม่เห็นประชาชนเป็นศัตรู ก็ควรหนุนนิรโทษกรรมประชาชน

 

นพ.เหวง กล่าวย้ำว่าตราบใดที่ประชาชนไม่ได้กระทำความผิดตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายอาญา หรือกฎหมายแพ่งอย่างถึงที่สุด รัฐก็ไม่มีอำนาจที่จะจับกุมประชาชน ขณะที่การนิรโทษกรรมนั้นต้องห้ามนิรโทษกรรมเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำเกินกว่าเหตุ ให้นิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนเท่านั้น โดยผู้มีอำนาจสั่งการต้องรับผิดชอบด้วยการถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

 

ขณะที่ น.ส.เบนจา กล่าวว่า คดีทางการเมืองมักตามมากับการชุมนุมแบบแฟลชม็อบ ดังนั้น การที่เราปรากฏตัวที่ไหนจะเท่ากับ 1 คดี จึงทำให้แต่ละคนมีคดีเยอะมาก คดีที่มักถูกนำมาใช้ คือ มาตรา 112 พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 และ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 การดำเนินคดีในยุคปัจจุบันจึงมีจำนวนมหาศาล และถูกตัดสินจำคุกอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีความแตกต่างจากกลุ่มที่เคลื่อนไหวในอดีต สะท้อนว่าประเทศไทยไม่เคยเกิดการเปลี่ยนแปลง ยังคงมีการชุมนุมต่อเนื่องทุกยุค เป็นภาวะที่ไม่ปกติที่เราคิดว่าปกติไปแล้ว ซึ่งแม้จะมีพลวัตรที่แตกต่างไปจากยุคอื่น แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ รัฐไทยไม่เคยคิดจะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเหล่านี้เลย

 

ดังนั้น พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ จะเป็นหมุดหมายแรก ที่ต้องตามมาด้วยการปฏิรูปประเทศอีกหลายด้าน เช่น การจัดการกับมาตรา 112 เราไม่ได้อยากดูการเมืองแบ่งขั้ว เราแค่ต้องการรัฐบาลที่สามารถทำให้คนในประเทศอยู่ร่วมกันได้อย่างแท้จริง รัฐบาลที่ดีจะทำให้ประชาชนที่ไม่ได้คิดเหมือนกัน 100 % อยู่ร่วมกันได้ ซึ่งหากไม่แก้ไขปัญหาตอนนี้ก็จะกลายเป็นปัญหาในอนาคตอยู่ดีและอาจทำให้ต้องเจอกับการต่อต้านจากคนรุ่นต่อไป ที่เปรี้ยงปร้างกว่าเราก็ได้ ซึ่งตนไม่ได้ขู่ !

 

ด้านน.ส. พูนสุข กล่าวตอนหนึ่งว่า เราอยู่กับความขัดแย้งในประเทศไทยกินระยะเวลายาวนานกว่า 20 ปีจนสภาพเศรษฐกิจ สังคมบ้านเราชะงักงัน ส่งผลกระทบต่อคนทุกคน ทั้งที่เราสู้เพียงประเด็นเดียวว่าใครเป็นเจ้าของอำนาจ ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้ท่ามกลางความแตกต่างหลากหลาย โดยจากปี 2549 เป็นความขัดแย้งแบบสีเสื้อ แต่หลังปี 2557 เป็นต้นมาคือความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชน

ศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน จึงต้องการเสนอให้การนิรโทษกรรมเป็นทางออกขั้นเริ่มต้นสำหรับการนำประเทศกลับไปสู่สภาวะปกติ ที่เราพูดคุยได้ และถือเป็นก้าวแรก ทั้งนี้ อาจต้องมีพื้นที่ที่คนทุกรุ่นได้มาพูดคุยร่วมกันเพื่อผลักดัน และแก้ปัญหาต่อไป

 

สำหรับสถิติปี 53 ประชาชนถูกดำเนินคดี 1,700 คน หลังรัฐประหารมีการใช้ประกาศให้พลเรือนไปขึ้นศาลทหารในความผิดของคดี 4 ประเภท มีคนถูกดำเนินดคีโดยศาลทหาร 2,400 คน ซึ่งในยุคคสช.มีปัญหาตรงที่เขาออกประกาศคำสั่งเอง คนจับกุมคือทหาร ตำรวจ อัยการทหารดำเนินคดี คนพิพากษาคือศาลทหาร กระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ตนจนปลายทหารควบคุมไว้ทั้งหมด

 

คสช.ได้ทำลายหลักนิติรัฐที่ต้องเป็นการปกครองที่กฎหมายเป็นใหญ่ แต่ปรากฎว่าเราได้เห็นความโอนเอนในการใช้กฎหมายแต่ละช่วง มาตรา 112 เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่ามีการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ถูกต้อง ภายหลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2557 พบว่ามีการดำเนินคดีในศาลทหาร บังคับใช้อย่างหนักหน่วงและรุนแรง โดยระวางโทษสูงขึ้น โดยไม่ให้ประกันตัว

 

แต่ช่วงหนึ่ง ในช่วงต้นปีพ.ศ. 2561-2563 อยู่ ๆ กฎหมายมาตรา 112 ที่เคยใช้อย่างรุนแรงกลับมีการยกฟ้อง โดยเห็นความพยายามไม่ใช้มาตรา 112 แต่ใช้เครื่องมืออื่น เช่น มาตรา 116 แทน ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความบิดเบี้ยวของการบังคับใช้กฎหมาย

 

ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกแถลงการณ์จะดำเนินคดีตามกฎหมายทุกมาตรา จนมีการดำเนินคดีมาตรา 112 สูงสุดใน พ.ศ. 2563 ผู้ถูกดำเนินคดีสูงสุดถึง 24 คดีคือ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ขณะที่นายอานนท์ นำภา ที่ปัจจุบันอยู่ในเรือนจำก็ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ถึง 14 คดี

 

เราจะกักขังอนาคตของประเทศไว้แบบนี้จริงหรือ ? เป็นที่มาของการนำมาสู่ข้อเสนอการนิรโทษกรรมประชาชน ซึ่งจะเป็นก้าวแรกที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ และควรมีมาตรการอื่น ๆ เสริมด้วย การออก พ.ร.บ.ไม่ใช่การแก้ไขมาตรา 112 คนที่กลัวว่าจะกระทบกระเทือนสถาบันจึงไม่ต้องกังวล เพราะมาตรา 112 ยังอยู่ แต่การผ่านร่างฉบับนี้ จะทำให้คนเห็นถึงการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม และสถาบันการเมือง เป็นการนำประเทศไปสู่ทางออก ข้อเสนอนิรโทษกรรมกลับมาเป็นหนึ่งในคำตอบให้แก่สังคมอีกครั้ง น.ส.พูนสุข กล่าว

 

ด้าน นายสมบูรณ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า กระทรวงยุติธรรมในยุค พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รมว.กระทรวงยุติธรรม ยึดหลักในการนำยุติธรรมสู่ประชาชน มีการใช้เงินกองทุนยุติธรรมจำนวนมากมาดูแลประชาชน แต่กระทรวงยุติธรรมเป็นปลายเหตุที่รับผลมาจากหน่วยงานอื่น ๆ ดังนั้น รัฐมนตรีพร้อมที่จะรับฟังปัญหา และพร้อมปรับปรุงเรื่องที่ยังขุ่นข้องหมองใจ

 

ยุคนี้เราต้อนรับประชาชน และกลุ่มเคลื่อนไหวอย่างเต็มที่ จึงเป็นยุคที่น่าจะสอดคล้องความต้องการของประชาชนในระดับหนึ่ง

 

ส่วนการออกร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ตนกำลังรวบรวมหลายร่างนิรโทษกรรมของแต่ละพรรคเพื่อนำเสนอความเห็นแก่ รมว.กระทรวงยุติธรรม จึงอาจจะยังกล่าวไม่ได้ว่ามีความคิดเห็นไปในทิศทางใด แต่อยากให้มั่นใจว่ากระทรวงยุติธรรมกำลังทำงานในประเด็นเหล่านี้อยู่อย่างแน่นอน นายสมบูรณ์กล่าว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นิรโทษกรรมประชาชน