วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

“ก้าวไกล” แลกเปลี่ยนองค์ความรู้บริหารท้องถิ่น ย้ำความพร้อมรับไม้ต่อจากคณะก้าวหน้า ในการส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งทุกระดับ ด้าน “พิธา” ย้ำเป้าหมายกระจายอำนาจสู่การเปลี่ยนประเทศ สร้างการเติบโต-ลดทุจริต—ลดความเหลื่อมล้ำ

 


ก้าวไกล” แลกเปลี่ยนองค์ความรู้บริหารท้องถิ่น ย้ำความพร้อมรับไม้ต่อจากคณะก้าวหน้า ในการส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งทุกระดับ ด้าน “พิธา” ย้ำเป้าหมายกระจายอำนาจสู่การเปลี่ยนประเทศ สร้างการเติบโต-ลดทุจริต—ลดความเหลื่อมล้ำ

 

ในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์นี้ (18-19 พฤศจิกายน 2566) คณะก้าวหน้าได้จัดงานสัมมนาท้องถิ่นก้าวหน้า ประจำปี 2566 โดยมีนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับตำบล ที่ทำงานร่วมกับคณะก้าวหน้า พร้อมด้วย สก.พรรคก้าวไกล เข้าร่วมการสัมมนาในครั้งนี้เพื่อแลกเปลี่ยนบทเรียนและประสบการณ์จากการทำงานในรอบ 2 ปีกว่าที่ผ่านมาร่วมกัน รวมถึงทิศทางการขับเคลื่อนการเมืองท้องถิ่นในอนาคตร่วมกัน

 

ในการนี้ ศรายุทธิ์ ใจหลัก ผู้อำนวยการพรรคก้าวไกล ได้กล่าวสรุปถึงทิศทางในอนาคตของพรรคก้าวไกลในด้านการเมืองท้องถิ่น โดยระบุว่าเป้าหมายของพรรคก้าวไกลคือการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศ การสร้างพรรคก้าวไกลให้เป็นพรรคที่เข้มแข็งและยึดโยงกับสมาชิกพรรค และในอนาคตข้างหน้า คือการส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งในทุกระดับ

 

ในการนี้ พรรคก้าวไกลกำลังเดินหน้าจัดตั้งโครงสร้างตัวแทนพรรคประจำจังหวัด และตัวแทนพรรคประจำอำเภอ ที่จะรวมกันเป็นคณะกรรมการพรรคระดับจังหวัด ที่จะเป็นกลไกสำคัญในการมีส่วนร่วมของสมาชิกพรรคผ่านตัวแทนในการตัดสินใจเรื่องสำคัญตั้งแต่ระดับพื้นที่ ไปจนถึงระดับชาติในที่ประชุมใหญ่ของพรรค และที่สำคัญคือการเป็นกลไกหลักในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ในการคัดสรรผู้สมัครรับเลือกตั้งร่วมกับกรรมการบริหารพรรคในกรณีตำแหน่งสำคัญอย่างนายก อบจ. และนายกเทศบาลนคร และเป็นผู้ตัดสินใจในส่วนของการคัดเลือกผู้สมัครนายก อบต. และเทศบาลตำบล

 

ศรายุทธิ์ยังเปิดเผยด้วยว่าสำหรับการเลือกตั้งนายก อบจ. ที่จะมาถึงในช่วงต้นปี 2567 นี้ จะเริ่มมีกระบวนการคัดสรรผู้สมัครให้เห็นออกมาบ้างตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคม 2567 เป็นต้นไป โดยในการคัดสรรรอบนี้พรรคต้องการมั่นใจจริงๆ ว่าผู้สมัครนายก อบจ. จะเป็นตัวแทนของพรรคได้ตามที่ประชาชนคาดหวัง เป็นคนที่มีดีเอ็นเอแบบพรรคก้าวไกลจริงๆ

 

ในส่วนของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้รับเชิญเป็นผู้บรรยายในประเด็นความสำคัญของท้องถิ่นในการเมืองระดับชาติ โดยระบุว่าท้องถิ่นเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับการเมืองระดับชาติเป็นอย่างยิ่ง ท้องถิ่นที่อยู่ใกล้ปัญหาที่สุดย่อมแก้ปัญหาให้ประชาชนในพื้นที่ได้ดีกว่า สส. ที่ทั้งไม่มีงบประมาณและอยู่ไกลจากปัญหา

 

แต่สิ่งที่เราเห็นทุกวันนี้คือการที่ สส. ต้องนำปัญหาในพื้นที่มาปรึกษาหารือเกือบสองชั่วโมงในทุกวันของการประชุมสภา เพราะคนใกล้ปัญหาไม่มีอำนาจ ไม่มีงบประมาณ ดังนั้น การกระจายอำนาจคือสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับประชาชน ท้องถิ่นได้มีอำนาจและงบประมาณในการแก้ปัญหาของประชาชน ส่วน สส. ได้มีเวลามากขึ้นในการทำหน้าที่จริงๆ ในการออกกฎหมายและทำหน้าที่ตรวจสอบ

 

พิธากล่าวต่อไปว่า ด้วยโครงสร้างที่รวมศูนย์ทุกอย่างอยู่ที่ส่วนกลาง ทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองโตเดี่ยว ประเทศไทยคือกรุงเทพฯ กรุงเทพฯ คือประเทศไทย อำนาจการตัดสินใจงบประมาณ อยู่กับส่วนกลางถึง 84% ท้องถิ่นตัดสินใจเองได้แค่ 16% นี่จึงทำให้ประเทศไทยต้องมีการกระจายอำนาจ จากข้อมูลเปรียบเทียบระดับโลก ประเทศที่ยิ่งกระจายอำนาจยิ่งมีผลบวกต่อเศรษฐกิจมากขึ้น ระดับการกระจายอำนาจกับดัชนีการทุจริต ก็สอดคล้องในทางเดียวกัน ว่ายิ่งประเทศเป็นประชาธิปไตย กระจายอำนาจ เพิ่มเสรีภาพ มีกลไกตรวจสอบที่ยึดโยงกับประชาชน และมีการเลือกตั้งในท้องถิ่นมากเท่าไร การทุจริตก็จะยิ่งน้อยลง และเช่นเดียวกับเรื่องของความเหลื่อมล้ำ ข้อมูลระดับโลกก็ชี้ให้เห็นว่ายิ่งกระจายอำนาจมากเท่าไร ความเหลื่อมล้ำก็ยิ่งน้อยลงตามไปด้วย

 

ผมเชื่อเต็มหัวใจว่าการปลดล็อกท้องถิ่นและการกระจายอำนาจเท่านั้นที่จะทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมได้ ชัยชนะของทุกท่าน และความสำเร็จของทุกท่าน ก็คือชัยชนะของผมเช่นกัน” พิธากล่าว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล #คณะก้าวหน้า