"แอมเนสตี้" ร้อง กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ และ กมธ.การกฎหมายฯ
ช่วยผู้ต้องขังคดีการเมืองให้ได้รับสิทธิการปล่อยตัวชั่วคราวและสิทธิในการพักโทษ
หลังบางคนถูกคุมขังนาน 3 ปี
วันที่
23 พฤศจิกายน 2566 ที่รัฐสภา ตัวแทนแอมเนสตี้
อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย นำโดย น.ส.ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้
อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย
เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนถึงคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย
ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ และคณะกรรมาธิการการกฎหมาย
การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน เพื่อขอให้ช่วยเหลือกรณีผู้ต้องขังคดีการเมืองไม่ได้รับสิทธิในการปล่อยตัวชั่วคราว
และกรณีไม่ให้สิทธิในการพักโทษแก่นักโทษเด็ดขาดในคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์
โดยน.ส.ปิยนุช
กล่าวว่า แอมเนสตี้ฯ เป็นองค์กรภาคประชาสังคมที่ขับเคลื่อนเรื่องสิทธิในด้านต่างๆ
โดยเฉพาะสิทธิในการปกป้อง คุ้มครอง
และส่งเสริมการแสดงออกในการชุมนุมอย่างมีเสรีภาพ และการชุมนุมโดยสงบ
แต่จากข้อมูลที่แอมเนสตี้ฯ ได้ทำร่วมกับโครงการอินเทอร์เน็ตกฎหมายเพื่อประชาชน
หรือiLaw ในโครงการ MOB DATA พบว่าในช่วงปี 2563-2566 เกิดการชุมนุมในประเทศไทย กว่า 3,800 ครั้ง
ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้ถูกดำเนินคดี อย่างน้อย 1,930 คน
และมีเด็กและเยาวชน ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ถูกดำเนินคดี จำนวน
286 คนอยู่ในจำนวนนี้ด้วย
ทั้งนี้
คดีที่เกิดขึ้นถูกนำขึ้นพิจารณาในศาลยุติธรรม
และเป็นเหตุให้มีผู้ต้องหาคดีการเมืองไม่ได้รับการประกันตัว หรือปล่อยชั่วคราว
(คดีการเมืองช่วงปี 2563
ถึงปี 2566) จนต้องเข้าสู่เรือนจำ มากถึง 145
คน ( ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2566) และมีผู้ที่ไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว อย่างน้อย 24 คน ในจำนวนนี้ 15 คน
เป็นผู้ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์
อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
อีกทั้งยังมีผู้ถูกคุมขังเนื่องจากคดีถึงที่สุดแล้วอย่างน้อย
11 คน รวมถึงกรณีของ ‘อัญชัญ ปรีเลิศ’
นักโทษเด็ดขาดที่ถูกตัดสินให้จำคุกด้วยความผิดตามมาตราดังกล่าวกว่า 43 ปี 6 เดือน
และยังอยู่ในขั้นตอนที่ยังไม่ได้รับการพักโทษ
เนื่องจากยังไม่เข้าเงื่อนไขหรือหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2560
นอกจากนี้
ยังมีผู้ถูกดำเนินคดีที่เกี่ยวกับการใช้หรือพกพาอาวุธ
หรือการใช้ความรุนแรงในระหว่างการชุมนุม อย่างน้อย 173 คน
ในจำนวนนี้เป็นเด็กและเยาวชน จำนวน 65 คน
ที่ยังไม่ได้รับสิทธิในการปล่อยชั่วคราว และยังมีผู้ต้องหา อย่างน้อย 7 คน ที่ไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว
ดังนั้น
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แอมเนสตี้ฯ จึงขอเรียกร้องต่อคณะกรรมาธิการ ทั้ง 2 คณะ
ดังนี้
1.
พิจารณาแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาขอบเขต และข้อจำกัดทางกฎหมาย
เกี่ยวกับการรับรองสิทธิในการปล่อยชั่วคราว
โดยศึกษาสถานการณ์การบังคับใช้กฎหมายและแนวปฏิบัติภายในประเทศและความสอดคล้องกับหลักการระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน
โดยเฉพาะคำสั่งของศาลในคดีที่เกี่ยวกับการใช้เสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุม
ช่วงระหว่างปี 2563-2565
2.
สำรวจและทบทวนสถานการณ์การบังคับใช้กฎหมาย
ในหมวดความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร รวมถึงความผิดตามมาตรา 112
ประมวลกฎหมายอาญา
และจัดทำชุดข้อเสนอแนะเพื่อให้มีผลในการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายและกฎหมายที่สอดรับกับหลักการระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน
3.
สำรวจและศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการกำหนดแนวทางการพิจารณาการให้พักโทษแก่นักโทษทางการเมืองให้เป็นไปในมาตรฐานเดียวกันเเละวางอยู่บนหลักการไม่เลือกปฏิบัติ
รวมถึงผู้ซึ่งถูกดำเนินคดีด้วยความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์
และจัดทำชุดข้อเสนอแนะเพื่อให้มีผลในการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายและกฎหมายที่สอดรับกับหลักการระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน
น.ส.ปิยนุช
กล่าวย้ำว่า ตามกฎหมายผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญา
ตามหลักการใยกฎหมายทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการประกันตัวและปล่อยตัวชั่วคราว
ที่สำคัญคดีที่ยังไม่พิพากษาถึงที่สุดตามหลักการแล้ว
ผู้ถูกกล่าวหาต้องไม่ถูกทำให้เหมือนว่าเป็นผู้ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดแล้ว ทั้งที่อยู่ระหว่างการต่อสู้คดี
น.ส.ปิยนุช
กล่าวด้วยว่า สิทธิในการประกันตัวเป็นสิทธิตามมาตรฐานระหว่างประเทศ
ปัจจุบันรัฐบาลไทยได้เข้าเป็นภาคีของกติการะหว่างประเทศ
นั่นหมายความว่ารัฐบาลไทยต้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของทุกคนที่ใช้สิทธิในการแสดงออกและสิทธิในการชุมนุมประท้วงโดยสงบ
ไม่ให้ถูกจับกุมตัว ควบคุมตัวโดยพลการ
และต้องทำและพิสูจน์ให้เห็นว่าได้ทำให้ทุกคนได้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมที่มีความเป็นธรรมจริง
ๆ หนึ่งในนั้นคือการให้สิทธิประกันตัวและปล่อยตัวชั่วคราว
"สิทธิในการประกันตัวไม่เพียงแค่เป็นข้อบังคับทางกฎหมายเท่านั้น
มันเป็นฐานรากที่สำคัญของความยุติธรรม
ที่สร้างความเท่าเทียมและเคารพอย่างสูงต่อทุกคน
การยอมรับและปฏิบัติตามสิทธิในการประกันตัวช่วยปกป้องตัวบุคคล
ประชาชนและการยืนยันหลักการสันนิษฐานว่าบุคคลบริสุทธิ์จนกว่าจะได้รับการพิสูจน์โดยปราศจากข้อสงสัยว่ามีความผิด
รวมถึงการยึดถือหลักการพื้นฐานของความเท่าเทียมและสิทธิมนุษยชน" น.ส.ปิยนุช
กล่าว