“วิโรจน์” เผย “สุทิน” สั่งกะทันหันไม่ให้กองทัพเรือชี้แจง
"เรือดำน้ำ" ต่อ กมธ.ทหาร คาดอัตราค่าปรับราว 3.5 ล้านบาทต่อวัน
หากตัดสินใจถูกต้อง ยังอยู่ในวิสัยที่จะจำกัดความเสียหายได้
วันที่
11 พฤศจิกายน 2566 วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ
พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร
กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีที่กองทัพเรือต้องชี้แจงโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ S26T
ต่อ กมธ.การทหาร ว่าที่จริงแล้ว
กองทัพเรือจะเข้ามาชี้แจงพร้อมกับสำนักงบประมาณกลาโหม ในวันที่ 9 พ.ย. ที่ผ่านมา แต่เวลาประมาณ 12.00 น.
ทางกองทัพเรือได้โทรศัพท์มาแจ้งด้วยวาจาว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
เพิ่งจะมีคำสั่งไม่ให้กองทัพเรือมาชี้แจง โดยให้เฉพาะสำนักงบประมาณกลาโหม
เป็นผู้ชี้แจงเท่านั้น โดยคณะผู้มาชี้แจง ประกอบด้วย พล.อ.อดินันท์ ไชยฤกษ์
ผอ.สำนักงบประมาณกลาโหม พล.อ.ต.ธวัชชัย สงวนเรือง ผช.ผอ.สำนักงบประมาณกลาโหม และ
พ.อ.อาร์ม พันกะหรัด ผอ.กองการพัสดุ สำนักงบประมาณกลาโหม พร้อมด้วยคณะ
ในเรื่องการเปิดเผยสัญญา
G2G การจัดซื้อเรือดำน้ำ สำนักงบประมาณกลาโหมแจ้งต่อ กมธ.การทหาร
ว่ายังไม่สามารถเปิดเผยสัญญาได้
เพราะในสัญญามีเงื่อนไขที่คู่สัญญาต้องปกปิดข้อมูลในสัญญา (NDA:
Non-Disclosure Agreement) โดยต้องรอให้บริษัท CSOC อนุญาตก่อน ซึ่งทางกองทัพเรือได้ทำหนังสือขอไปยังบริษัท CSOC เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2566 แล้ว
ในกรณีนี้ กมธ.การทหาร มีความเห็นแย้งว่า เงื่อนไข NDA นั้นระบุไว้เพียงแค่ห้ามเปิดเผยรายละเอียดในส่วนของเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เป็นความลับในการผลิตเท่านั้น
ไม่ได้ห้ามเปิดเผยในส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องงบประมาณ การปกป้องเงินภาษี
และผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
การไม่เปิดเผยข้อมูลจึงเป็นการตีความเงื่อนไข
NDA อย่างกว้าง เพื่อปกปิดข้อมูลต่อประชาชน กมธ.การทหาร
จึงมีมติให้ทำหนังสือแจ้งไปยังประธานรัฐสภา
เพื่อให้ประธานรัฐสภาทำหนังสือต่อไปยังประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างงบประมาณ 2567
เพื่อให้ กมธ.พิจารณาร่างงบประมาณฯ
ขอคำมั่นในการเปิดเผยข้อมูลด้านงบประมาณจากเหล่าทัพและกระทรวงกลาโหม
ก่อนที่จะพิจารณาอนุมัติงบประมาณในการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ หากไม่ได้รับคำมั่น
ก็ไม่ควรพิจารณาอนุมัติงบประมาณ เพราะการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นการจัดซื้อจัดจ้างที่ขาดความโปร่งใส
และทำให้ผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเสียหายได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม
กมธ.การทหาร จะติดตามทวงถามสัญญา G2G อีกครั้งในเดือนธันวาคม
สำนักงบประมาณกลาโหมชี้แจงด้วยว่า
ในสัญญา G2G
มีการระบุค่าปรับไว้ประมาณ 0.05-0.06% ต่อวันของมูลค่างานที่ส่งมอบไม่ได้
ซึ่ง กมธ.การทหาร ประเมินว่าน่าจะอยู่ราว ๆ วันละ 0.05%x7,000 ล้านบาท = 3.5 ล้านบาท
แต่การจัดซื้อจัดจ้างครั้งนี้อยู่ในรูปแบบข้อตกลง ไม่ได้อยู่ในรูปแบบสัญญา
จึงมีความยืดหยุ่นในการเจรจาหาทางออกร่วมกัน และอาจไม่จำเป็นต้องนำไปสู่การปรับ
ซึ่ง กมธ.การทหาร เห็นด้วยที่จะใช้การเจรจาในการหาทางออก
เพียงแต่ว่าจะต้องเป็นทางออกที่ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครตกอยู่ในสภาวะเสียเปรียบที่อธิบายกับประชาชนไม่ได้
วิโรจน์กล่าวต่อว่า
สำนักงบประมาณกลาโหม ยังได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า สัญญา G2G จะสิ้นสุดลงในวันที่
31 ธ.ค. 66 โดยระหว่างนี้ทางบริษัท CSOC
ได้ทำหนังสือแจ้งขอขยายสัญญาออกไป 123 วัน
จากเหตุโควิด-19 แต่ยังไม่ได้อนุมัติ โดยการดำเนินการใดๆ
เกี่ยวกับสัญญา ทางสำนักงบประมาณกลาโหมแจ้งว่า จะพิจารณาดำเนินการ
หลังจากที่สัญญาสิ้นสุดลง ในประเด็นนี้ กมธ.การทหาร มีความกังวลอย่างมาก
เพราะหนังสือทวงถาม หนังสือเร่งรัดติดตามโครงการ
หรือหนังสือสงวนสิทธิ์ในการเรียกค่าปรับตามสัญญานั้น สามารถทำได้ในระหว่างสัญญา
ไม่จำเป็นต้องรอให้สัญญาสิ้นสุดลงก่อน หากระหว่างนี้ ทั้งๆ
ที่ปัญหาได้เกิดขึ้นแล้ว แต่กองทัพเรือกลับไม่ได้ดำเนินการใดๆ ในข้างต้นนี้เลย
ประเทศชาติก็อาจตกอยู่ในสภาวะเสียเปรียบได้ และในท้ายที่สุดทั้ง รมว.กลาโหมและกองทัพเรือ
ก็ไม่อาจหนีพ้นจากความรับผิด กมธ.การทหาร
จึงมีมติเสนอแนะเรื่องนี้ต่อสำนักงบประมาณกลาโหม เพื่อแจ้งให้ รมว.กลาโหมทราบต่อไป
นอกจากนี้
แม้ว่าในสัญญาไม่ได้ระบุชื่อเครื่องยนต์ดีเซลที่ใช้ในการขับเคลื่อนเครื่องผลิตไฟฟ้าว่าเป็น
MTU396 แต่การระบุสเปกว่า 16V 396 SE84-GB31L ก็คือเครื่องยนต์
MTU396 ไม่สามารถตีความเป็นเครื่องยนต์รุ่นอื่นได้
ซึ่งเครื่องยนต์รุ่นนี้ประเทศจีนได้รับลิขสิทธิ์มาผลิตกว่า 30 ปีแล้ว
แต่ได้รับแจ้งในภายหลังว่าห้ามนำเอาเครื่องยนต์ดังกล่าวนี้มาติดตั้งในเรือดำน้ำ
ทั้งการผลิตเพื่อใช้เองและการผลิตเพื่อส่งออก เนื่องจาก EU มีข้อตกลงร่วมที่ห้ามมิให้ส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ประเทศจีน
อันเนื่องมาจากเหตุการณ์จัตุรัสเทียนอันเหมิน
ประเด็นดังกล่าว
กมธ.การทหาร เชื่อว่าอยู่ในวิสัยที่ทูตทหารจะต้องตั้งข้อสงสัยไว้บ้าง
เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน
จึงได้สอบถามว่ากองทัพเรือได้ทำหนังสือขอคำยืนยันในเรื่องเครื่องยนต์ MTU396 ก่อนที่จะลงนามในสัญญาหรือไม่
ซึ่งสำนักงบประมาณกลาโหมแจ้งว่าไม่สามารถตอบแทนกองทัพเรือได้ กมธ.การทหาร
จึงมีมติแจ้งให้ผู้ที่มาชี้แจงนำกลับไปเรียนต่อ รมว.กลาโหม
ว่าหนังสือขอการยืนยันในเรื่องเครื่องยนต์ MTU396 ก่อนที่จะลงนามในสัญญานั้น
เป็นเรื่องที่สำคัญมาก หากมิได้ดำเนินการ อาจถือได้ว่าเป็นความหละหลวม
ซึ่งจำเป็นต้องมีการสืบสวน สอบสวน เพื่อหาผู้รับผิดชอบต่อไป
วิโรจน์กล่าวว่า
สำหรับงบประมาณที่ใช้จ่ายไปแล้วกับโครงการเรือดำน้ำ มีต่อไปนี้ (1) เรือดำน้ำ
วงเงินงบประมาณ 13,900 ล้านบาท เบิกจ่ายไปแล้ว 63%
(2) ท่าจอดเรือดำน้ำ ระยะที่หนึ่ง 857 ล้านบาท
เบิกจ่ายไปแล้ว 54% (3) ท่าจอดเรือดำน้ำ ระยะที่สอง 810
ล้านบาท เบิกจ่ายไปแล้ว 50% (4) โรงซ่อมบำรุงเรือดำน้ำ
1,016 ล้านบาท เบิกจ่ายไปแล้ว 43% (5) คลังเก็บตอร์ปิโดและทุ่นระเบิดสนับสนุน
129 ล้านบาท เบิกจ่ายไปแล้ว 60% (6) อาคารทดสอบและคลังอาวุธปล่อยนำวิถี
138 ล้านบาท เบิกจ่ายไปแล้ว 100% (7) ระบบสื่อสารควบคุมบังคับบัญชาเรือดำน้ำ
300 ล้านบาท (8)
ระบบในการสื่อสารภาคพื้นดิน วงเงินงบประมาณ 70 ล้านบาท เบิกจ่ายไปแล้ว 10 ล้านบาท
ส่วนอุปกรณ์ของระบบสื่อสาร วงเงินงบประมาณ 230 ล้านบาท
ถูกชะลอโครงการ ยังไม่มีการเบิกจ่าย
สำหรับเรือหลวงช้าง
6,100 ล้านบาท และอาคารพักข้าราชการ 294 ล้านบาท
แม้จะเบิกจ่ายไปเต็มจำนวนแล้ว แต่ กมธ.การทหาร มีความเห็นว่า
ภารกิจของเรือหลวงช้าง นั้นมีภารกิจแยกต่างหาก
ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติภารกิจของเรือดำน้ำแต่แรก
แต่เป็นเพราะการสื่อสารที่ไม่ถูกต้องของกองทัพเรือ
ที่อ้างว่าเรือหลวงช้างนั้นเป็นเรือพี่เลี้ยงของเรือดำน้ำ
จึงทำให้ถูกผนวกมาเป็นโครงการเรือดำน้ำ ส่วนอาคารพักข้าราชการ
มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงสวัสดิการของข้าราชการ จึงไม่ควรนับเอา 2 รายการนี้ มารวมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ
สรุปแล้วจากวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น
17,000 ล้านบาท มีการเบิกจ่ายไปแล้วทั้งสิ้น 9,500 ล้านบาท
ซึ่งยังอยู่ในวิสัยที่สามารถบริหารจัดการให้มูลค่าความเสียหายอยู่ในวงจำกัด
โดยไม่กระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ อย่างไรก็ตาม
เพื่อประโยชน์ในการติดตามตรวจสอบงบประมาณ กมธ.การทหาร
จึงขอให้สำนักงบประมาณกลาโหมส่งข้อมูลเพิ่มเติม โดยของบประมาณที่ได้รับจัดสรรไปแล้ว
พร้อมกับรายการโอนเปลี่ยนแปลง
เพื่อจะได้ประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นได้อย่างครบถ้วน
วิโรจน์กล่าวว่า
สำหรับกรณีที่ รมว.กลาโหม ตอบกลับมาว่า คณะกรรมการกฤษฎีกา และกระทรวงการต่างประเทศ
ได้ให้ความเห็นว่า กรณีการเปลี่ยนแปลงสัญญาในการจัดซื้อเรือดำน้ำ
ไม่จำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภา
เนื่องจากการจัดซื้อเรือดำน้ำถูกตีความว่าเป็นข้อตกลง ไม่ใช่สัญญา
จึงไม่เข้าข่ายเป็นสัญญาระหว่างประเทศ ตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญ 2560
ในประเด็นนี้
กมธ.การทหาร มีความกังวลอย่างมาก เนื่องจากเจตนารมณ์ของมาตรา 178 ไม่ได้สนใจชื่อเรียกว่าเป็นข้อตกลงหรือเป็นสัญญา
หากการลงนามดังกล่าวมีผลผูกพันกับความมั่นคงของประเทศ
ย่อมถือว่าเป็นสัญญาระหว่างประเทศตามมาตรา 178 อย่างในกรณี
“เขาพระวิหาร” ซึ่งเป็นเพียงแถลงการณ์ร่วม ก็ยังถือว่าเข้าข่ายตามมาตรา 190
ของรัฐธรรมนูญ 2550 (เทียบเคียงได้กับมาตรา 178
ของรัฐธรรมนูญ 2560) หรืออย่างกรณีสัญญา G2G
ของโครงการจำนำข้าว ก็ถูกตีความว่าเป็นสัญญาระหว่างประเทศ
ที่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาเช่นกัน
และนำมาซึ่งการดำเนินคดีกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องในเวลาต่อมา
กมธ.ทหาร
จึงมีมติส่งหนังสือทักท้วงไปยัง รมว.กลาโหม และขอให้ รมว.กลาโหม
ส่งรายงานความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงการต่างประเทศ ที่ตีความว่าสัญญา G2G ในการจัดซื้อเรือดำน้ำ
ไม่เข้าข่ายตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญ 2560 มาให้ กมธ.ทหาร พิจารณาตรวจสอบด้วย
วิโรจน์กล่าวว่า
ในกรณีการแลกเรือดำน้ำเป็นเรือฟริเกต
ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจากสำนักงบประมาณกลาโหม
ว่าจะทำมาแทนโครงการสั่งต่อเรืออานันทมหิดล
(เรือคู่แฝดของเรือหลวงภูมิพลที่เข้าประจำการเมื่อปี 2562) ซึ่งได้รับเงื่อนไขที่จะมาต่อเรือที่ประเทศไทย
พร้อมกับได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศเกาหลีใต้หรือไม่
ซึ่ง
กมธ.การทหาร มีความเห็นว่าการแลกเป็นเรือฟริเกตจีน (Type 054A) น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนากองทัพเรือ
แม้ว่าเรือฟริเกตจีนจะมีศักยภาพสูง แต่เป็นเรือคนละ Class กับเรือรบหลวงภูมิพล
ที่สั่งต่อจากเกาหลีใต้ มีระบบการทำงาน การเชื่อมต่อข้อมูล (Datalink) การบำรุงรักษา การสำรองอะไหล่ ตลอดจนอาวุธที่ติดตั้งบนเรือ ที่แตกต่างกัน
หากนำมาประจำการ จะเป็นภาระอย่างมากต่อกองทัพเรือ ที่สำคัญคือเรือฟริเกตจีน
ใช้เครื่องยนต์ Pielstick ของฝรั่งเศส ซึ่งมีแนวโน้มสูงมาก
ที่ฝรั่งเศสจะไม่ขายเครื่องยนต์ให้กับจีน เหมือนกับกรณีเครื่องยนต์ MTU396 ของเยอรมนี ซึ่งเท่ากับว่าหากแลกเป็นเรือฟริเกตจีน
ก็อาจจะต้องพันวนมาที่ปัญหาเดิม
กมธ.การทหาร
จึงมีมติให้ทบทวนการตัดสินใจโดยคำนึงถึงยุทธศาสตร์การพัฒนากองทัพเรือ
ที่ระบุเอาไว้ในสมุดปกขาวให้รอบคอบ เพราะตกลงแล้ว ณ วันนี้
กรณีแลกเป็นเรือฟริเกตจีนที่ รมว.กลาโหม อ้างว่าเป็นความประสงค์ของกองทัพเรือ
แต่ข้อมูลที่ กมธ.การทหาร ทราบนั้นกลับเป็นไปในอีกทางหนึ่ง
คือกองทัพเรือไม่ได้ต้องการ เพราะเป็นการตัดสินใจที่ขัดแย้งกับสมุดปกขาว
อย่างไรก็ตาม
ทางสำนักงบประมาณกลาโหม ได้ชี้แจงว่า
เรือฟริเกตจีนอาจจะเป็นการสั่งต่อเพิ่มเติมจากเรือรบหลวงอานันทมหิดลก็เป็นได้
และตามแผนยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือ ก็ได้ระบุไว้ว่ามีความต้องการเรือฟริเกตถึง 8 ลำ
โดยปัจจุบันมีเรือฟริเกตประจำการอยู่เพียง 5 ลำ
ต่อให้มีเพิ่มอีก 2 ลำ
คือเรือรบหลวงอานันทมหิดลและเรือฟริเกตจีน ก็ยังไม่เกินกรอบ 8 ลำ
ในประเด็นดังกล่าวนี้เพื่อความชัดเจน
ทาง กมธ.การทหาร
จะขอให้กองทัพเรือได้จัดส่งแผนยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือที่ระบุว่าจำเป็นต้องมีเรือฟริเกต
8 ลำ พร้อมกับรายงานผลการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดซื้อเรือดำน้ำ
ซึ่งมีวงเงินงบประมาณในการศึกษาสูงถึง 200 ล้านบาท มาให้
กมธ. ได้พิจารณา และเปิดเผยต่อสาธารณชนด้วย
เพราะในเมื่อการศึกษานั้นใช้งบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชน
ผลการศึกษาก็ควรต้องเปิดเผยต่อสาธารณชนได้ ทั้งนี้ กมธ.การทหาร
จะติดตามกรณีเรือดำน้ำอีกครั้งในเดือนธันวาคม และจะติดตามอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะมีความชัดเจน