วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

“เศรษฐา” วอนทุกฝ่ายมองเป้าหมายหลัก ตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย และยึดประโยชน์ประชาชน ย้ำผลออกอย่างไรให้ยอมรับ เพราะต้องมีคนได้และคนเสีย ขอให้เคลียร์กันให้จบ

 


เศรษฐา” วอนทุกฝ่ายมองเป้าหมายหลัก ตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย และยึดประโยชน์ประชาชน ย้ำผลออกอย่างไรให้ยอมรับ เพราะต้องมีคนได้และคนเสีย ขอให้เคลียร์กันให้จบ


วันที่ 3 กรกฎาคม 2566 ที่ทำการพรรคเพื่อไทย นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน โดยคาดว่าการหารือตำแหน่งประธานสภายังมีหวัง และผลจะออกมาที่ทุกฝ่ายพอใจ


ส่วนถ้าหากตกลงกันไม่ได้การเสนอชื่อตัวกลาง ถือเป็นทางออกใช่หรือไม่ นายเศรษฐา บอกว่า ขึ้นอยู่กับการเจรจา และทั้งสองฝ่ายยอมรับกันได้หรือไม่ แต่ควรใช้เหตุใช้ผลพูดคุยกัน โดยยึดเป้าหมายเป็นหลัก คือ รัฐบาลต้องเป็นฝ่ายประชาธิปไตย


ส่วนกระแสข่าวที่พรรคเพื่อไทย จะเสนอและดันนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร นั้น นายเศรษฐา บอกว่า ได้ยินข่าวนี้มาเช่นกัน มองว่าเป็นการตกลงร่วมกันระหว่าง 8 พรรคมากกว่า


สำหรับชื่อนายวันมูหะมัดนอร์ ถือว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ ที่จะเป็นตัวกลาง หากทั้ง สองพรรคตกลงกันไม่ได้ นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นคำถามที่ตอบยาก เพราะตอนนี้มีการโยนชื่อมาหลายคน และทุกคนก็มีประสบการณ์ จึงไม่เป็นธรรมหากจะให้ตัวเองตัดสินว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม แต่เชื่อว่าเรามีความพยายามกันทุกฝ่ายเพื่อให้ได้รัฐบาลประชาธิปไตย ต้องทำงานร่วมกันโดยมีเป้าหมายหลัก คือ ทำงานเพื่อประชาชน เพราะตำแหน่งนี้มีได้แค่คนเดียว หลายๆท่านก็อยู่ในสถานภาพที่ลำบาก หากมาจากพรรคก้าวไกลหรือมาจากพรรคเพื่อไทย หรือมาจากคนกลาง ก็มีคนได้และคนเสียทั้งนั้น จึงอยากจะวิงวอนว่า อันนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นการเดินทาง จึงขอวิงวอนว่า ไม่ว่าผลจะออกมาทางไหนก็ตาม ขอให้ทุกฝ่ายยอมกันบ้าง เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ


ขณะที่ประเด็นหากประธานสภา เป็นของคนกลางจริง ทั้ง 2 พรรคใหญ่จะเดินหน้าอย่างราบรื่นหรือไม่ เพราะจะแสดงให้เห็นว่า หากเป็นคนนอกจะเป็นเหมือนการไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันทั้งสองพรรค นายเศรษฐา กล่าวว่า คงเป็นเรื่องของคะแนนที่ค่อนข้างจะใกล้เคียงกัน ทำให้ ส.ส. พรรคเพื่อไทยหยิบยกประเด็นนี้มา ยอมรับเป็นเรื่องที่น่าคิดเหมือนกัน แต่ควรจะมองที่จุดมุ่งหมายเดียวกัน เอาโจทย์ที่ว่าวันนี้เรามาทำงานเพื่ออะไร เพื่อประชาชนใช่หรือไม่ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ตนเองให้ความสำคัญมาก และจากการที่สัมผัสคณะทำงานของพรรคก้าวไกล แม้จะมีความอาวุโสที่น้อยกว่า แต่เป็นพรรคที่ให้เกียรติ และตังเองก็ชื่นชมการทำงานของเขา หากมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นในทางบวก เราก็ยังมีความหวัง


นายเศรษฐา กล่าวทิ้งท้ายว่า เราต้องเคารพเสียงในสถาบันที่เราอยู่ และความเห็นส่วนตัวนั้นไม่นับ หากพรรคไหนมีมติอะไรออกมาก็ควรจะทำตามมตินั้น ๆ ของพรรค จะไปก้าวล่วงพรรคอื่นคงไม่ได้ เพราะเหลือเวลาอีก 36 ชั่วโมง แต่ดูแล้วจากบรรยากาศแนวทางที่คุยกัน ยังเชื่อว่าทุกคนอยากให้ฝ่ายเราจับมือกันเดินหน้าต่อไปได้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เพื่อไทย #ประธานสภา