วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ผู้ช่วย รมต.กต. ย้ำพาทูตลงพื้นที่ชายแดนพิสูจน์ผลกระทบจากการโจมตีด้วยอาวุธหนักของกัมพูชาต่อเป้าหมายพลเรือน ผิดกฎหมาย-อนุสัญญา ตปท. ร้ายแรง เตรียมเชิญทูต ตปท.ประจำไทยชี้แจงย้ำอีกครั้ง 4 ส.ค.นี้ พร้อมประชุมทูตไทยใน ตปท.ด้วย

 


ผู้ช่วย รมต.กต. ย้ำพาทูตลงพื้นที่ชายแดนพิสูจน์ผลกระทบจากการโจมตีด้วยอาวุธหนักของกัมพูชาต่อเป้าหมายพลเรือน ผิดกฎหมาย-อนุสัญญา ตปท. ร้ายแรง เตรียมเชิญทูต ตปท.ประจำไทยชี้แจงย้ำอีกครั้ง 4 ส.ค.นี้ พร้อมประชุมทูตไทยใน ตปท.ด้วย


วันที่ 1 สิงหาคม 2568 นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวภายหลังการร่วมนำคณะทูต และผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร รวมถึงคณะสื่อมวลชนต่างประเทศ ลงพื้นที่สังเกตการณ์พื้นที่พลเรือนได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีการโจมตีเป้าหมายพลเรือนผู้บริสุทธิ์ โดยจรวด BM-21 ของกองกำลังกัมพูชา โดยเริ่มจากร้านสะดวกซื้อในสถานีบริการน้ำมัน ที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ที่ถูกฝ่ายกัมพูชาโจมตีอย่างหนักเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ส่งผลให้พลเรือนที่ไม่มีอาวุธใด ๆ เสียชีวิต 8 ราย และบาดเจ็บอีก 15 ราย ในจำนวนผู้เสียชีวิตมีแม่และลูกวัย 8 ขวบด้วย รวมถึงยังมีเหตุปะทะตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง บางแห่งโดนอาวุธโจมตีเกิดความเสียหาย เช่นโรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา และหลายแห่งมีจรวด อาวุธสงครามตกใกล้โรงพยาบาล และอยู่ในระยะรัศมีการโจมตี จึงจำเป็นต้องปิด หรือลดบริการ และอพยพผู้ป่วยเพื่อความปลอดภัย ทั้งที่โรงพยาบาลเป็นสถานที่ปลอดภัย ซึ่งการกระทำของกัมพูชา ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และอนุสัญญาเจนีวาอย่างร้ายแรง และเชื่อว่าข้อเท็จจริงที่คณะทูตตลอดจนสื่อมวลชนจำนวนมากที่มาร่วมในวันนี้จะถูกนำไปเผยแพร่ให้ประชาคมโลกเข้าใจในวงกว้างต่อไป


ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ยังเปิดเผยอีกว่า ในวันจันทร์ที่ 4 สิงหาคมนี้ กระทรวงการต่างประเทศ จะเชิญคณะทูตานุทูตต่างประเทศ และสื่อมวลชนต่างประเทศประจำประเทศไทย เพื่อชี้แจงย้ำถึงสถานการณ์ ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น รวมถึงภายในสัปดาห์หน้า นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะประชุมเอกอัครราชทูตไทย กงสุลใหญ่ไทย และผู้แทนประเทศไทยในต่างประเทศ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ และติดตามสถานการณ์ในต่างประเทศ เพื่อกำหนดแนวทางการชี้แจงข้อเท็จจริงต่อประชาคมโลกอีกช่องทางหนึ่ง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ไทยกัมพูชา
















"เพื่อไทย" เปิดข้อมูล "ไทย–สหรัฐฯ" ดีลภาษีจบที่ 19% คนไทยยังต้องกังวลอะไรอยู่หรือไม่? ยืนยันไทยไม่เสียเปรียบ รักษาความสามารถด้านการแข่งขันได้ และนับเป็นโอกาสปรับปรุงกลไกการค้าให้ทันสมัยขึ้น

 


"เพื่อไทย" เปิดข้อมูล "ไทย–สหรัฐฯ" ดีลภาษีจบที่ 19% คนไทยยังต้องกังวลอะไรอยู่หรือไม่? ยืนยันไทยไม่เสียเปรียบ รักษาความสามารถด้านการแข่งขันได้ และนับเป็นโอกาสปรับปรุงกลไกการค้าให้ทันสมัยขึ้น


วันที่ 1 สิงหาคม 2568 พรรคเพื่อไทย เปิดเผยผ่านช่องทางสื่อสารออนไลน์ ภายหลังการเจรจาดีลภาษีกับสหรัฐฯ ได้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการ ทำให้ปิดดีลการเจรจาภาษีนำเข้าต่างตอบแทนที่ยืดเยื้อมานานลงได้ ยืนยันว่าไทยไม่ได้เสียเปรียบ และยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจไว้ได้ และถือโอกาสนี้ปรับปรุงกลไกการค้าให้ทันสมัยขึ้น


โดยพรรคเพื่อไทย ระบุว่าการเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ล่าสุดได้ข้อสรุปที่อัตราภาษี 19% ซึ่งถือว่า “ไม่เสียเปรียบ” เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในเอเชียที่ทำข้อตกลงในระดับใกล้เคียงกัน เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่ 15%, ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียที่ 19% และเวียดนามที่ 20%


โดยรายละเอียดคำอธิบาย พรรคเพื่อไทยให้ข้อมูลไว้ดังนี้ ... 


▪️ข้อเสนอหลักจากไทย : ไม่ได้เปิดตลาดจนเสียเปรียบ


ไทยเสนอให้ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ กว่าหมื่นรายการ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว กว่า 64% ของรายการสินค้านั้นมีภาษี 0% อยู่แล้ว อีกทั้งข้อเสนอนี้อยู่ในระดับเดียวกับ FTA ที่ไทยทำไว้กับประเทศอื่นกว่า 18 กลุ่ม เท่ากับไทยไม่ได้เสียเพิ่ม แต่เป็นการเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ แข่งขันกับสินค้าจากประเทศอื่นได้มากขึ้น 


สินค้าจำนวนมากที่ลดภาษีให้สหรัฐฯ ไม่ได้เป็นผู้ผลิตและส่งออกสำคัญของโลกเลย ไม่ใช่คู่แข่งโดยตรงของไทย 


ไทยยังได้ใช้โอกาสนี้ปรับปรุงกลไกการค้าที่ล้าสมัย เช่น มาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) ที่ไม่จำเป็น ทำให้ภาคเอกชนไทย สามารถดำเนินการด้านการค้าระหว่างประเทศได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


▪️ลดภาษีนำเข้ายานยนต์จากสหรัฐฯ


แม้ไทยจะเปิดลดภาษีให้รถยนต์จากสหรัฐฯ แต่สัดส่วนการนำเข้านั้นมีมูลค่าต่ำมาก เพียงราว 40 ล้านดอลลาร์ต่อปี เมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออกทั้งหมดไปสหรัฐฯ ที่สูงกว่า 54,000 ล้านดอลลาร์


▪️เปิดตลาดเครื่องมือแพทย์ เทคโนโลยีขั้นสูง


ไทยยินดีเปิดตลาดเครื่องมือแพทย์ เทคโนโลยีชีวภาพ และนวัตกรรมการรักษาขั้นสูงจากสหรัฐฯ เพื่อส่งเสริมนโยบาย “Medical Hub” ของประเทศ ถือเป็นการนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงที่สร้างประโยชน์เชิงโครงสร้างในระยะยาว 


▪️ข้าวโพด : ลดต้นทุนอาหารสัตว์ ลดต้นทุนเกษตรไทย


ไทยต้องใช้ข้าวโพดกว่า 9–10 ล้านตัน/ปี แต่ผลิตได้เพียงครึ่งเดียว จึงจำเป็นต้องนำเข้า


ดีลนี้จะช่วยให้ไทยนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ ในราคาถูกลง ไม่ใช่เพิ่มปริมาณ แต่เปลี่ยนแหล่งที่มาซื้อเดิม ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนของเกษตรกรโดยตรง และยังลดปัญหา PM2.5 จากการเผาไร่ข้าวโพดได้ทางอ้อม


ผลเชิงบวกจะตามมาทั้งระบบ เช่น เนื้อหมู ไก่ อาหารทะเลถูกลง ผู้บริโภคได้ประโยชน์ และอุตสาหกรรมอาหารไทยมีศักยภาพแข่งขันมากขึ้น


▪️เกษตรกรไทยได้เปรียบในตลาดสหรัฐฯ


สินค้าส่งออกหลัก เช่น ข้าวหอมมะลิ ที่ตลาดสหรัฐฯ มีมูลค่าสูงกว่า 32,000 ล้านบาท และเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย จะยังรักษาความได้เปรียบต่อไป ข้อตกลงใหม่นี้จึงช่วยเหลือครัวเรือนเกษตรกรกว่า 1 ล้านครัวเรือนได้โดยตรง


ผัก ผลไม้ ปลา กุ้ง และสินค้าเกษตรแปรรูปอื่นๆ ก็จะได้อานิสงส์จากต้นทุนที่ลดลง และมีโอกาสขยายตลาดในสหรัฐฯ


▪️ธุรกิจ/แรงงานไทย ได้ประโยชน์


ปัจจุบันไทยส่งออกไปสหรัฐฯ มูลค่ารวมกว่า 54,000 ล้านดอลลาร์/ปี สร้างงานกว่า 1.2 ล้านตำแหน่ง และมีผู้ประกอบการไทยที่ได้ประโยชน์กว่า 4,000 ราย (ส่วนใหญ่เป็น SME)


ดีลนี้จึงช่วยรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในตลาดสหรัฐฯ ทั้งการส่งออกและดึงดูดการลงทุนใหม่


▪️ผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ


การค้ากับสหรัฐฯ คิดเป็นราว 10% ของ GDP ของไทย กระทรวงการคลังจึงปรับประมาณการ GDP ปี 2568 ขึ้นเล็กน้อย จาก 2.1% (เมื่อเมษายน) เป็น 2.2% (เมื่อกรกฎาคม) โดยรวมผลของดีลภาษีนี้เข้าไปแล้ว


ซึ่งข้อตกลงนี้จึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว


สุดท้ายนี้ พรรคเพื่อไทยถือโอกาสนี้กล่าวขอบคุณ #ทีมไทยแลนด์ กับการทำงาน ความพยายาม และความทุ่มเทในงานเจรจาในห้วงเวลาเป็นเวลานานและท่ามกลางความกดดันแและยากจะควบคุม และภารกิจของทีมไทยแลนด์ที่ยังไม่สิ้นสุด ยังคงเดินหน้าทำงานและเจรจาต่อไป เพื่อให้ทุก ๆ การเจรจาเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ภาษีทรัมป์

"มติศาลรธน." ฟัน "พิเชษฐ์" ผิด ม.144 พ้น สส. - รองปธ.สภาฯ ทันที เพิกถอนสิทธิสมัครเลือกตั้ง 10 ปี ปมโยกงบลงพื้นที่

 


"มติศาลรธน." ฟัน "พิเชษฐ์" ผิด ม.144 พ้น สส. - รองปธ.สภาฯ ทันที เพิกถอนสิทธิสมัครเลือกตั้ง 10 ปี ปมโยกงบลงพื้นที่


วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ได้นัดฟังคำวินิจฉัย คดีที่ นายภัณฑิล น่วมเจิม สส.พรรคประชาชน (ปชน.) และ สส.รวม 121 คน (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม กรณีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง (ผู้ถูกร้อง) เป็นผู้ให้ความเห็นชอบการจัดทำโครงการและให้มีการเสนองบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 3 โครงการ


ที่ผู้ถูกร้องมีส่วนโดยทางตรง และทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และในกรณีที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรมีคำขอเสนอโครงการทั้ง 3 โครงการดังกล่าวอีกครั้ง ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 เป็นการเสนอของบประมาณด้วยโครงการที่มีรูปแบบเดียวกันและต่อเนื่องกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่ผู้ถูกร้องมีส่วนในการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำใด ๆ ที่มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงและทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง


ทั้งนี้ ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง จำนวน 9 ปาก โดยศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาปรึกษาหารือแล้ว มีคำสั่งรับคำแถลงการณ์ปิดคดีของคู่กรณีรวมไว้ในสำนวน และเห็นว่าคดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายและมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวน ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง


โดยเมื่อเวลา 15.00 น.ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย ว่า ผู้ถูกร้อง คือนายพิเชษฐ์ มีความผิดตามม.144 ให้ สิ้นสุดสมาชิกภาพการเป็นสส. นับจากวันที่ ศาลฯมีคำวินิจฉัย นับจากวันที่ 1 ส.ค.และเป็นวันที่ตำแหน่งรองประธานสภา คนที่ 1 ว่างลง และให้เพิกถอนสิทธิการรับสมัครเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี ทั้งนี้ต้องเลือกตั้งแบบแบ่งเขตใน 45 วันนับแต่วันที่ว่างลง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ศาลรัฐธรรมนูญ #พิเชษฐ์เชื้อเมืองพาน #พรรคประชาชน #มาตรา144

ธิดา ถาวรเศรษฐ : 1 ส.ค. 2568 : ใครว่า “ฮุนเซน” เพิ่งเปิดเกมรุกในยุคนี้

 


ธิดา ถาวรเศรษฐ : 1 ส.ค. 2568 : ใครว่า “ฮุนเซน” เพิ่งเปิดเกมรุกในยุคนี้


สังเกตเกมรุกทางทหาร ทางการทูตและสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และสื่อสารในสังคมกัมพูชาและสังคมโลกของ “ฮุนเซน”


ดิฉันคิดว่า “ฮุนเซน” เตรียมการไว้นานแล้ว เพราะการมีจุดเริ่มต้นจากประวัติชีวิตที่เป็นชาวคอมมิวนิสต์เขมรแดง และหนีมาเวียดนามทำกองทัพใหม่ ชิงอำนาจจากเขมรแดง เขาก็ต้องเผชิญกับปัญหาความสัมพันธ์ต่างประเทศมานานแล้ว เริ่มต้นคือ จีน, โซเวียต, เวียดนาม แล้วต่อมาก็คือผลจากโลกเสรี ทำให้จัดการเลือกตั้ง มีเขมรหลายฝ่าย แต่สิ่งที่ “ฮูนเซน” กุมไว้คือ กำลังทหารให้ได้เปรียบในการยึดพื้นที่ และการสนับสนุนจากต่างประเทศ จนสามารถทำให้กัมพูชามีนายกรัฐมนตรี 2 คน ทั้งที่คะแนนแพ้แล้วสามารถจัดการพรรคอื่น ๆ ได้หมด มาจนบัดนี้เขาต้องพลิกแพลงยืดหยุ่น ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากขึ้นกับเวียดนาม, รัสเซีย มาขึ้นกับจีน และใช้ประโยชน์จากแต่ละประเทศให้เป็นคุณได้ในแต่ละเวลา จนบัดนี้ก็แสดงความอ่อนน้อมเอาใจสหรัฐอเมริกา การส่ง “ฮุนมาเนต” ไปเรียนที่เวสป้อยท์ แสดงว่า “ฮุนเซน” เตรียมการไว้แล้วที่จะใช้ช่องทางโลกเสรีมาสนับสนุนตนด้วย ทำให้เราเห็นผลงานในช่วงนี้ที่กัมพูชาเดิมเกมรวดเร็วมาก ปิดเกมรุกทางต่างประเทศได้ก่อน 1 สิงหาคม เพื่อผลจากการได้รับประโยชน์เรื่องทั้งภาษี และบังคับไทยให้หยุดรบ และพร้อมที่จะแสดงท่าทีอำนวยประโยชน์ทางการเมืองการทหาร จับมือกับสหรัฐอเมริกาหลังจากการเป็นลูกน้องเวียดนามมาเป็นจีนแล้ว


ตอนนี้ก็พร้อมจะเป็นลูกน้องสหรัฐฯ หรือว่าทำงานเวทีต่างประเทศอย่างน่าพิศวงมากที่กลับตัวรวดเร็ว พร้อมทั้งกล้าพูดแถลงข่าวที่ตรงข้ามกับการกระทำที่ผิดกฎกติกาสากลในการทำสงครามและข้อตกลง อย่างครั้งล่าสุดคือการหยุดยิง นี่กัมพูชาอาจจะถือเป็นกลยุทธ์ในศึกพิพาทชายแดนกับไทย (แต่ไม่จบ)


ดังนั้น 1) อนาคตการทำการตกลงเจรจาต่าง ๆ ที่กัมพูชาเคยทำผิด จนรัฐไทย ทางกองทัพ ร้องเรียนมาหลายร้อยเรื่อง ต่อไปนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกแน่นอน ดังนั้น การทำงานทางการทหารและการสื่อสาร การทูตระหว่างประเทศ จึงหย่อนยานอย่างที่ผ่านมาไม่ได้ เพราะอนาคตปัญหาชายแดนจะยากลำบากมากขึ้น เหมือนปัจจุบันนี้ อันเป็นผลจากการละเมิด MOU43 แล้วเราปล่อยให้มีการรุกคืบดินแดนอธิปไตยมานับสิบ ๆ ปี


ต่อไปนี้กัมพูชาก็จะพยายามสร้างความชอบธรรมที่จะนำพื้นที่ปราสาทชายแดนไปขึ้นศาลโลกให้ได้ เพื่อให้คนกัมพูชาชื่นชม ยอมรับ การครองอำนาจของครอบครัว “ตระกูลฮุน” ต่อไป


2) ส่วนฝ่ายรัฐไทย เป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลอ่อนแอ “ตระกูลชินวัตร” พ่อลูกก็กำลังเผชิญศึกทางกฎหมาย ไม่สามารถสร้างภาวะการนำรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพและสร้างเอกภาพในการนำพาประเทศไทยได้ ที่สำคัญคือ บุคลากรของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยดูอ่อนด้อยมากเมื่อเผชิญกับการรุกของกัมพูชา ต้องคอยแก้เกมตามหลังกัมพูชา กัมพูชาเป็นประเทศเล็กที่เทียบกำลังเศรษฐกิจและกำลังรบกับไทยไม่ได้ แต่เขามีภาวะการนำที่รวมศูนย์และมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากกว่า จึงกำหนดเกมให้ไทยเดินตามและเป็นฝ่ายรับ คอยแก้เกมไปเรื่อย ๆ ดิฉันเชื่อว่าเขามีแผนการรุกต่อไปทั้ง 2 แนวรบ คือทั้งการทหารและการสื่อสาร งานการทูตต่างประเทศ เขาจะมีเกมใหม่ ๆ ที่เตรียมวางไว้แล้ว

 

บุคลากรของรัฐบาลไทยและผู้นำยังไม่อาจทำให้คนไทยเชื่อมั่นได้เลย แต่กัมพูชาเตรียมไว้ แม้แต่คณะที่ปรึกษาและลอบบี้ยีสต์ หลายชุดไว้นานแล้ว ทั้งได้ศึกษาวิธีการตั้งแต่ยุค นโรดม สีหนุ ที่ได้รัยชัยชนะเรื่องปราสาทพระวิหาร

 

ในขณะที่ชุดทนายไทยเวลานั้นสนใจทำพิธีกรรม ขอให้พระเจ้าตากสินช่วย (อ้างถึงคำบอกเล่าของสุตสาย หัสดิน) มีทั้งคนทรงและจุดธูปจริงและใช้จุดซิการ์ วางหันทิศมาไทย แทนการจุดธูป ดิฉันอ่านเรื่องราวช่วงนั้นก็ได้แต่เศร้าใจ แต่ทำอย่างไรได้ เพราะทีมทนายเราเป็นหัวหน้าฝ่ายจารีตนิยมที่สำคัญ ดิฉันหวังว่ากัมพูชาคงไม่สามารถเดินเกมรุกที่คณะมนตรีความมั่นคงเพื่อเอามาเป็นพวก ไม่ให้ใช้สิทธิ์ยับยั้งการให้ไทยถูกนำขึ้นศาลโลกสำเร็จ

 

เก่งจริง ๆ “ตระกูลฮุน” ผู้รู้เรื่องประเทศไทยดี และหวังว่าการรู้เขารู้เราของ “ตระกูลฮุน” คงไม่สามารถได้เปรียบในการศึกกับไทย ถ้ารัฐไทยปรับปรุงตนได้เร็ว เดินไปข้างหน้า เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น ทั้งประเทศตนเองและเพื่อนบ้าน ไม่ใช่มาทะเลาะกับเรื่องที่ดินชายแดนและปราสาทหิน


ประวัติศาสตร์ประเทศกัมพูชาถ้าย้อนไปน่าขมขื่น ควรจะเดินไปข้างหน้าให้ประชาชนมีความสุขในปัจจุบันและอนาคต ไม่ใช่เฉพาะความมั่นคงแห่งอำนาจของตระกูลผู้ปกครองเท่านั้น นี่คือความปรารถนาดีจากมิตรของประชาชนด้วยกัน


และประเทศไทยต้องพัฒนาการเมืองการปกครองเช่นกัน ไม่ใช่เอาแต่เข่นฆ่า จับกุมคุมขังผู้เห็นต่างทางการเมือง เพื่อให้พวกจารีตอำนาจนิยมครองอำนาจยาวนาน หรือจะเอาอย่าง “ตระกูลฮุน” กัมพูชา และ “ตระกูลคิม” ของเกาหลีเหนือ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ฮุนเซน #กัมพูชา #ไทยกัมพูชา

"เผ่าภูมิ" นำทีม EXIM ซับน้ำตาน้ำท่วม "สุโขทัย" มอบถุงยังชีพ ออก 6 มาตรการ พักหนี้-ลดดอก-ขยายเวลา ช่วยผู้ประสบภัย

 


"เผ่าภูมิ" นำทีม EXIM ซับน้ำตาน้ำท่วม "สุโขทัย" มอบถุงยังชีพ ออก 6 มาตรการ พักหนี้-ลดดอก-ขยายเวลา ช่วยผู้ประสบภัย


วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) พร้อมคณะผู้บริหารและพนักงาน EXIM BANK ลงพื้นที่ อบต.บ้านนา อ.ศรีสำโรง และ อบต. ปากแคว อ. เมือง จ. สุโขทัยมอบถุงยังชีพ ประกอบด้วย อุปกรณ์อุปโภคบริโภคและของใช้จำเป็นต่อการดำรงชีพเพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยทางภาคเหนือจากพายุวิภา


โดย EXIM BANK ได้ออกมาตรการช่วยเหลือแก่ลูกค้าปัจจุบันเป็นการด่วน โดยครอบคลุมทั้งการยืดหนี้ การลดภาระต้นทุนทางการเงิน การเปลี่ยนเงื่อนไขการผ่อนชำระ ซึ่งจะช่วยบรรเทาและพยุงกิจการให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ รายละเอียดดังนี้


กรณีวงเงินกู้ระยะสั้น

1. ขอขยายระยะเวลาตั๋วสัญญาใช้เงินได้สูงสุด 360 วัน

2. เพิ่มวงเงินหมุนเวียนชั่วคราวสูงสุด 20% ของวงเงินหมุนเวียนเดิม ไม่เกิน 2 ล้านบาท โดยใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม

3. เปลี่ยนแปลงหนี้ระยะสั้นเป็นหนี้ระยะยาว ผ่อนชำระสูงสุด 3 ปี


กรณีวงเงินกู้ระยะยาว

1. ขยายระยะเวลาวงเงินกู้สูงสุดได้ 7 ปี

2. ปรับบดอัตราดอกเบี้ยปีแรกลง 0.5% หรือจ่ายดอกเบี้ยเพียง 50% ในช่วง 6 เดือนแรก

3. พักชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 1 ปี


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์





“ศิริกัญญา” มองเป็นข่าวดีได้ภาษีสหรัฐ 19% จี้รัฐบาลเปิดเงื่อนไขปิดดีล สินค้าใดกระทบ แนะเตรียมเงินเยียวยาไว้เลย คาด ถ้า “ไทย-กัมพูชา” ปะทะอีกโดนขู่ขึ้นภาษีอีกแน่ เหตุ การเสนอชื่อรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ยื่นได้ถึง ต.ค. เชื่อ “ทรัมป์” หวังเป็น 1 คนที่ถูกเสนอชื่อ

 


ศิริกัญญา” มองเป็นข่าวดีได้ภาษีสหรัฐ 19% จี้รัฐบาลเปิดเงื่อนไขปิดดีล สินค้าใดกระทบ แนะเตรียมเงินเยียวยาไว้เลย คาด ถ้า “ไทย-กัมพูชา” ปะทะอีกโดนขู่ขึ้นภาษีอีกแน่ เหตุ การเสนอชื่อรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ยื่นได้ถึง ต.ค. เชื่อ “ทรัมป์” หวังเป็น 1 คนที่ถูกเสนอชื่อ


วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เมื่อเวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐ ที่ประเทศไทยได้ 19% ว่า หลังจากที่เราเห็นของประเทศอื่นด้วย 19% ถือเป็นข่าวดี เพราะอยู่ในระดับเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และกัมพูชา ขณะที่เวียดนามอยู่ที่ 20% ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แม้ว่า 19% จะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง แต่สิ่งที่น่ากังวลต่อไปคือเงื่อนไขต่างๆ ที่ยังไม่ได้มีการเปิดเผย ซึ่งไม่ใช่ของประเทศไทยประเทศเดียว แต่รวมถึงประเทศอื่น และเงื่อนไขที่ต้องมีทุกประเทศคือเงื่อนไขของสินค้าที่ต้องผ่านทางที่จะต้องถูกเก็บภาษีมากกว่านี้ แต่กลับไม่มีรายละเอียดว่าสินค้าประเภทไหนที่จะต้องผ่านทาง โดยทางสหรัฐอเมริกาก็มีแนวคิดเข้มงวดในการตรวจสอบองค์ประกอบข้างในว่าเป็นของประเทศไหนมากกว่า คือมีสัดส่วนที่ผลิตในภูมิภาคนั้นเท่าไหร่ และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มอัตราขึ้น รวมถึงกลไกต่างๆ ที่จะใช้ช่วยเหลือเยียวยา ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่เกิดเฉพาะผู้ส่งออก แต่รวมไปถึงเกษตรกรและการที่กำหนดสัดส่วนของวัตถุดิบภายในภูมิภาคสูงมากเกินไป ก็อาจจะกระทบกับห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคนี้


เมื่อถามว่านายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่ามีการเสนอนำเข้า 0% แต่อาจไม่ครบทุกรายการ มีสินค้าใดบ้างที่น่ากังวล น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า สินค้าที่ถูกนำไปเปิดตลาดให้ลดภาษีลงเหลือ 0% ตนยังไม่แน่ใจว่ามีสินค้าอะไรบ้าง แต่ที่น่าจับตามอง แน่นอนว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ไม่ใช่จะลดภาษีนำเข้าเหลือ 0% แต่คงจะมีการกำหนดเลยว่าจะนำเข้ากี่ล้านตันต่อปี เป็นต้น หรือสินค้าเกษตรอื่นๆ ที่น่ากังวล จะเป็นพวกเนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู เนื้อไก่ หรือเนื้อวัว ที่มีความอ่อนไหว หากจะมีการเปิดตลาดให้กับสหรัฐ แต่เมื่อวันที่ 31 ก.ค. ที่ผ่านมา ก็มีการเปิดเผยว่าสินค้าสำคัญๆ จะไม่มีการเปิดตลาด เช่น ข้าว น้ำตาล เป็นต้น แต่สุดท้ายคงต้องรอฟังเงื่อนไขทั้งหมดว่ามีการนำอะไรไปเจรจาบ้าง รวมถึงเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการค้าด้วย ซึ่งเราต้องให้ทางรัฐบาลเร่งรัดเปิดเผยโดยเร็ว เพราะเงื่อนไขต่างๆเหล่านี้ต้องรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่ส่วนได้ส่วนเสีย ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร หรือผู้ประกอบการอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ต้องทำให้เป็นไปตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญ การตกลงกันเรื่องการลงทุน การค้าต่างๆ ที่อาจเกิดผลกระทบอย่างมหาศาลในระบบเศรษฐกิจ จำเป็นต้องมีการรับฟังความคิดเห็น ในที่สุดต้องผ่านรัฐสภาให้ความเห็นชอบ


เมื่อถามถึงสินค้าบางประเภทที่สหรัฐใช้ต้นทุนสูง ไทยอาจจะเปิดให้เข้ามาแข่งขัน เช่น ปลานิล เพราะไม่ค่อยกระทบคนไทย แต่ขณะเดียวกันสินค้าที่กระทบคนไทย เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อาจจะจำกัดมากขึ้น เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เปลี่ยนจากรับของประเทศเพื่อนบ้านมารับจากสหรัฐแทน น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า แน่นอนว่าจะเป็นเงื่อนไขต่อมา ในท้ายที่สุดเราจะไม่มีทางทราบเลยว่าหากเปิดจริงจะเกิดผลกระทบอะไรบ้าง โดยสินค้า 0% ตนคิดว่าทางรัฐบาลคงจะระมัดระวังอย่างที่สุด เพื่อให้เกิดผลกระทบกับคนในประเทศน้อยที่สุด แต่เรายังไม่ทราบอยู่ดีว่า 90% ของสินค้าทั้งหมดที่ไปเปิด 0% มีอะไรบ้าง เช่น ปลานิล จริงๆ ก็มีชื่อว่าทิลาเพีย ไม่ได้มีแค่ปลานิลอย่างเดียว อาจจะรวมถึงปลาทับทิมหรือปลาอื่นๆ ในวงศ์นั้นด้วย ซึ่งต้องมาตรวจสอบรายละเอียดกันอีกครั้ง หากเป็นพิกัดศุลกากรของทิลาเพียนี้ จะมีสินค้าตัวไหนที่กระทบกับปลาภายในประเทศบ้าง เพราะบางครั้งก็ไม่ได้สู้กันตรงๆ กับประเภทสินค้า หากนำมาแล้วเป็นสินค้าทดแทนได้และราคาถูกกว่า ก็เป็นไปได้ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น ตอนที่มีปลาดอลลี่เข้ามาแล้วราคาถูก ทำให้ปลาอื่นๆ ที่เป็นปลาน้ำจืดเกิดผลกระทบเช่นเดียวกัน


น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ต้องรอฟังอย่างเดียวว่าจะเยียวยาให้เกษตรกรอย่างไร เพราะที่ผ่านมามีการพูดถึงเรื่องนี้น้อยมากว่าการนำข้าวโพดจากสหรัฐเข้ามาจะกระทบกับราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศแน่นอน มีเพียงการกำหนดราคารับซื้อที่สูงขึ้นกว่าราคาตลาดนิดหน่อย แต่กลายเป็นว่าผู้ประกอบการก็ไม่รับซื้อจากเกษตรกร ฉะนั้น ต้องเร่งทำความเข้าใจกับเกษตรกรและพูดถึงเรื่องมาตรการเยียวยา หากเราไปดูมาตรการที่อยู่ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่แล้วหมื่นกว่าล้านเป็นการให้สินเชื่อผู้ประกอบการที่อยู่ในภาคส่งออก เพื่อพยุงการก้าวงาน แต่เกษตรกรกลับได้รับโดรนเพื่อการเกษตร แต่ไม่ได้เยียวยาอย่างแท้จริงในเรื่องจำเป็นเร่งด่วน


เมื่อถามว่าควรตั้งงบไว้เท่าไหร่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ตอนนี้จาก 1.57 แสนล้านบาทที่เป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม เพิ่งมีการอนุมัติไปแค่ 1.1 แสนล้านบาท ยังคงเหลืออยู่ 4 หมื่นกว่าล้านบาท แต่ตอนนี้ได้ข่าวว่าจะมีการพูดคุยว่าต้องใช้ไปในเรื่องอื่นๆ เช่น เรื่ององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ก็ยังไม่ได้มีการอนุมัติงบในส่วนนั้น ดังนั้น มีการตุนไว้แล้ว 4 หมื่นล้านบาท ที่อาจจะต้องใช้ในเรื่องอื่น ไม่ใช่เรื่องการให้สินเชื่ออย่างเดียว แต่เป็นการ เตรียมความพร้อมและเยียวยาผลกระทบ ตนคิดว่าไม่เพียงพอเท่าไหร่ในการที่จะต้องเตรียมรับมือ แต่ก็ยังมีงบกลางในส่วนของเงินใช้จ่ายสำรองฉุกเฉินและจำเป็น ซึ่งขณะนี้ขณะนี้มีการอนุมัติไปแล้วประมาณ 2 หมื่นกว่าล้าน จากที่สภาอนุมัติไป 9.6 หมื่นล้าน เท่ากับว่ายังมีเหลืออยู่ประมาณ 6 หมื่นล้าน ขอให้รัฐบาลเร่งนำงบกลางเงินสำรองใช้จ่ายฉุกเฉินตรงนี้ มาเบิกจ่ายเพื่อพยุงเศรษฐกิจ และแก้ไขผลกระทบที่เกิดขึ้น


เมื่อถามว่าหากเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่ได้ภาษี 19% เท่ากันมองว่าเป็นเพราะปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขที่เราเสนอไปหรือว่าด้านความมั่นคง น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เป็นปัจจัยของทุกเรื่อง หนึ่งในเรื่องที่ในเรื่องที่ไทยได้ภาษี 19% เท่ากับกัมพูชาอาจมีปัจจัยเรื่องความมั่นคง ร่วมด้วยเพราะท้ายที่สุดการเจรจาหยุดยิงก็เป็นผล ซึ่งการหยุดยิงเกิดขึ้นจริงแม้จะล่าช้าไปเล็กน้อย จึงทำให้ไทยและกัมพูชาไม่ได้อยู่ในเรทที่ถูกทำโทษ เพิ่มจากประเทศอื่นๆในภูมิภาค


เมื่อถามว่ามีการวิเคราะห์ว่าเวียดนามได้ประกาศว่าภาษี 20% ก่อนประเทศอื่น จะเป็นตัวล่อเป้า ในการยื่นข้อเสนอของประเทศอื่นหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เห็นด้วย เนื่องจากการเปิดข้อตกลงของเวียดนามก่อนเป็นการบรัฟแบบหนึ่ง เพราะเวียดนามคงให้ข้อเสนอที่ค่อนข้างกว้างขวางในการเปิดตลาดสินค้าแทบทุกรายการ ดังนั้นการที่หลายประเทศเห็นดีลของเวียดนามก่อน จึงเป็นการกระตุ้นและหลายประเทศให้เปิดตลาดมากขึ้น เพื่อให้ได้ อัตราภาษีต่ำกว่าหรือเท่ากับเวียดนาม


เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ว่าหลังจากนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีอีก น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นได้ในอนาคต เพราะหลังจากที่มีการประกาศอัตราภาษีในหลายประเทศทั่วโลกออกมา ไม่ทันขาดคำทรัมป์ก็ขึ้นภาษีแคนาดา จาก 25% เป็น 35% เนื่องจากการไปสนับสนุนปาเลสไตน์ จึงเป็นความไม่แน่นอน ที่เราจำเป็นต้องอยู่กับมัน ภายใต้ประธานาธิบดีที่ชื่อโดนัลด์ ทรัมป์ที่ต้องเตรียมพร้อมหลายเรื่องในอนาคต ที่ไม่ทราบว่าจะออกมาตรการอะไร ประหลาด ๆ ออกมาหรือไม่ แล้วต้องอย่าลืมว่ารายการสินค้าที่เคย ขึ้นมาก่อนหน้านี้ ก็มีการขึ้นต่อ เช่น ทองแดง แล้วก่อนหน้านี้การขึ้นภาษีที่ยังคงที่อยู่ที่ 25% เช่น ส่วนรถยนต์ เป็นต้นเป็นสิ่งที่เราต้องจับตาดูต่อไปว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหลังจากนี้หรือไม่


เมื่อถามว่าการปะทะตามแนวชายแดนไทยกัมพูชาที่อาจจะยังไม่จบ มีโอกาสที่ภาษีจะขึ้นอีกหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ถ้าการเจรจาหยุดยิงไม่เป็นผลและกลับมาปะทะกันใหม่ คิดว่าทางประธานาธิบดีสหรัฐอาจจะใช้จุดนี้ มาเป็นข้อเรียกร้องโดยการขู่ขึ้นภาษี อีกรอบหนึ่งก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะกำหนดการยื่นเสนอชื่อของผู้ที่จะได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ จะเกิดขึ้นต้นเดือน ต.ค. จึงแอบเดาว่าประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อยากให้มีคนเสนอชื่อเหมือนกัน แล้วถ้าสามารถเจรจาให้เกิดการหยุดยิงได้ระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็อาจจะเป็นหนึ่งในเรื่องที่ทรัมป์ ถูกเสนอชื่อให้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพได้

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #ภาษีสหรัฐ #ทรัมป์

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ แจงชัด งบฯ อาคารสภา กทม. ไม่ได้ปั้นเอง สภากทม.เป็นผู้เสนอ ย้ำไม่ทุจริต ทุกขั้นตอนโปร่งใส

 


ผู้ว่าฯ ชัชชาติ แจงชัด งบฯ อาคารสภา กทม. ไม่ได้ปั้นเอง สภากทม.เป็นผู้เสนอ ย้ำไม่ทุจริต ทุกขั้นตอนโปร่งใส


เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. ชี้แจงภายหลังการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่สาม (ครั้งที่ 5) พ.ศ. 2568 ถึงกรณีที่กล่าวหาว่าตนมีการทุจริต ว่า วันนี้เป็นวันแรกที่มีการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งผ่านไปได้ด้วยดี โดยในช่วงบ่ายก่อนปิดประชุมในวันนี้ (31ก.ค.) ซึ่งเป็นช่วงที่ตนไม่อยู่ ได้มีประเด็นกล่าวหาว่าตนได้ทุจริตเกี่ยวกับโครงการที่เสนอเข้ามา คือการปรับปรุงสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ประมาณ 4 โครงการ เช่น ปรับปรุงหลังคา แอร์ พืันที่ และทำห้องสมุดเพิ่ม ขอยืนยันว่าไม่ได้ทุจริต เพราะเราทำทุกอย่างตามขั้นตอน


ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวต่อไปว่า ซึ่งทั้งหมดเป็นความต้องการของ สภา กทม. ที่ร้องขอ ผ่านสำนักงานเลขานุการสภาฯ มีคณะกรรมการกิจการสภาฯ เป็นผู้ดูแล โดยกระบวนการคือ เมื่อสภา กทม. มีความต้องการที่จะปรับปรุงอาคาร แต่ไม่มีหน่วยงานช่วยในการคำนวณราคา จึงได้ให้ สำนักการโยธา กทม. ช่วยคำนวณและประมาณราคา แต่ไม่ใช่ราคากลาง เพราะกระบวนการยังไม่ถึงขั้นตอนการประมูล ซึ่งเมื่อได้ตัวเลขสรุปงบประมาณที่ต้องการแล้ว สำนักงานเลขานุการสภาฯ ก็จะเสนอมา ที่สํานักงบประมาณกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะตรวจสอบว่าทำตามขั้นตอนที่กำหนดหรือไม่ และจะเสนอเป็นงบประมาณต่อไป


ทั้งนี้ งบประมาณทั้งหมดของ กทม. ตน ซึ่งเป็นผู้ว่าฯ กทม. ต้องเป็นคนเสนอให้สภา กทม. พิจารณา ดังนั้น การกล่าวหาว่า ผู้ว่าฯ กทม. ปั้นโครงการต่าง ๆ นั้น ไม่เป็นความจริง แต่เป็นความต้องการของ สภา กทม. และสำนักงานเลขานุการสภาฯ ขอมา เราไม่ได้เป็นคนตั้งโครงการ ราคาก็เป็นการประมาณราคา ยังไม่ใช่ราคากลาง และยังมีขั้นตอนต่อจากนี้อีกมากมาย


ที่กล่าวหาว่าตนทุจริตนั้นรับไม่ได้ เป็นคำกล่าวที่รุนแรงและเราไม่เคยทำ จึงต้องชี้แจงให้พี่น้องประชาชนให้ทราบ และจะชี้แจงอย่างเป็นทางการอีกครั้ง เราทำทุกอย่างด้วยความสุจริตโปร่งใส ตรวจสอบได้” ผู้ว่าฯกทม.กล่าว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

ทบ. นำ “เอกอัครราชทูต-ทูตทหาร” 23 ประเทศ พร้อมสื่อ ตปท. ลงพื้นที่ศรีสะเกษ ดูผลงานกัมพูชายิงถล่ม “รพ.-โรงเรียน-ปั๊ม” และเยี่ยมศูนย์อพยพ

 


ทบ. นำ “เอกอัครราชทูต-ทูตทหาร” 23 ประเทศ พร้อมสื่อ ตปท. ลงพื้นที่ศรีสะเกษ ดูผลงานกัมพูชายิงถล่ม “รพ.-โรงเรียน-ปั๊ม”  และเยี่ยมศูนย์อพยพ


วันนี้ (1 สิงหาคม 2568) เวลา 08.30 น. ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง พล.ท.อานุภาพ ศิริมณฑล รองเสนาธิการทหารบก พล.อ.ท.ณรัฐ บุญประเสริฐ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ (จก.กร.ทอ.) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก (ทบ.) พร้อมด้วย นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ พล.ต.นฤดล สุขมา เจ้ากรมจเรทหารบก ในฐานะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พล.ต.ประเสริฐ หมวดเชียงคะ ผู้อำนวยการสำนักวิเทศสัมพันธ์ นำเอกอัครราชทูต 3 ประเทศ ได้แก่ บรูไน, ญี่ปุ่น และ เมียนมา อปทูต 3 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย, ลาว และ อินโดนีเซีย ผู้แทนการทูตอีก 5 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐ, สิงคโปร์, จีน, เวียดนาม และฟิลิปปินส์ เดินทางไปที่กองบิน 21 (บน.21) จ.อุบลราชธานี ลงพื้นที่สังเกตการณ์และประเมินผลกระทบจากการปะทะกันบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะทหารกัมพูชาได้ยิงเครื่องยิงจรวดบีเอ็ม-21 (BM-21) และปืนใหญ่มายังพื้นที่พลเรือน จ.ศรีสะเกษ ทำให้ได้รับความเสียหาย รวมทั้งการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง


ทั้งนี้ ยังมีผู้ช่วยทูตทหารอีก 23 ประเทศ ได้แก่ 1. สวีเดน 2. สาธารณรัฐประชาชนจีน 3. มาเลเซีย 4. สหรัฐอเมริกา 5. ปากีสถาน 6. รัสเซีย 7. สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 8. แคนาดา 9. ออสเตรเลีย 10. ฝรั่งเศส 11. ญี่ปุ่น 12. เวียดนาม 13. อิตาลี 14. เนเธอร์แลนด์ 15. สวิตเซอร์แลนด์ 16. บรูไน 17. อินโดนีเซีย 18. เยเมน 19. สิงคโปร์ 20. อินเดีย 21. เกาหลีใต้ 22. ฟิลิปปินส์ และ 23. ตุรกี


ทั้งนี้ คณะจะเดินทางไปที่มณฑลทหารบกที่ 22 (มทบ.22) ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เพื่อฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของกัมพูชา


หลังจากนั้นจะลงพื้นที่สำรวจความเสียหายบริเวณจุดร้านสะดวกซื้อภายในปั๊มน้ำมัน ปตท.บ้านผือ ต.หนองหญ้าลาด อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ที่ถูกทหารกัมพูชาใช้เครื่องยิงจรวดบีเอ็ม-21 (BM-21) ยิงตกใส่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 8 ราย และบาดเจ็บ 10 ราย จากนั้นจะเดินทางไปโรงเรียนภูมิซรอลวิทยา ต.เสาธงชัย สังเกตการณ์พื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย


พื้นที่ต่อจากนั้นจะเดินทางไปที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ซำเม็ง ที่ได้รับความเสียหายจากจากกระสุนปืนใหญ่ทหารกัมพูชา ทำให้ต้องสั่งอพยพแพทย์และผู้ป่วยไปที่ที่ปลอดภัย โดย รพ.สต.ซำเม็งได้รับความเสียหายหนัก ปัจุบันไม่สามารถเปิดให้บริการได้ และพาคณะไปเยี่ยมประชาชนที่ศูนย์พักพิง อ.กันทรลักษ์ เพื่อไปดูความเป็นอยู่หลังได้รับความเดือดร้อนจากที่กัมพูชายิงปืนใหญ่ และเครื่องยิงจรวดบีเอ็ม-21 (BM-21) เข้ามาในพื้นที่พลเรือนทำให้ต้องอพยพมาอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย


โดยพล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก (ทบ.) กล่าวถึงการลงพื้นที่ว่า  วันนี้ก็เป็นการพาเอกอัคราชทูต อุปทูต ทูตทหาร สื่อต่างประเทศ รวมทั้งสื่อไทยในพื้นที่ รวมเกือบ 200 คนแยกกันเดินทางไปก่อน วันนี้วัตถุประสงค์การพาไปดูพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ดูเรื่องหลักๆคือผลกระทบจากการใช้อาวุธทหารกัมพูชามาที่เป้าหมายพลเรือน ได้แก่โรงพยาบาล โรงเรียน มีปั๊มน้ำมันในร้านสะดวกซื้อ และปิดท้ายไปที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวว่ามีประชาชนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบเพียงใด เอกอัคราชทูต อุปทูต ทูตทหาร และสื่อต่างประเทศจะได้เห็น จะเป็นโอกาสดีที่จะให้ผู้ที่ไปในวันนี้ได้สื่อสารไปในระดับสากล 


“เป้าหมายหลักของเราเน้นเรื่องของข้อเท็จจริง เราอาจจะไม่เหมือนกับฝั่งกัมพูชา โดยเฉพาะสถานที่หรือจุดที่เราไปทั้งหมดนั้นเป็นจุดเกิดเหตุที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่ละจุดเหล่านั้นค่อนข้างห่างจากพื้นที่การสู้รบเป็นหลาย 10 กิโลเมตร โดยต่างประเทศที่ไปสังเกตดูทุกคนก็ยังพูดถึงกองทัพบกที่ได้ออกมาชี้แจงได้ได้ให้กำลังใจกันเป็นการส่วนตัว ว่าเราสามารถตอบสนองต่อข่าวได้เร็วมาก ทุกคนน่าจะมีความเห็นตรงกันในเรื่องนี้”โฆษก ทบ.กล่าว 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #TruthFromThailand #ไทยกัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพบก




“ภัทราภรณ์” แฉงบซ่อมสภา กทม. 194 ล้านบาท อึ้งปีที่แล้วโดนตัด ปีนี้แปลงร่างขอใหม่ ซัด “ชัชชาติ” รู้เห็นเป็นใจหรือไม่

 


“ภัทราภรณ์” แฉงบซ่อมสภา กทม. 194 ล้านบาท อึ้งปีที่แล้วโดนตัด ปีนี้แปลงร่างขอใหม่ ซัด “ชัชชาติ” รู้เห็นเป็นใจหรือไม่


วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ที่ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ในการประชุมสภากรุงเทพมหานครเพื่อพิจารณาญัตติร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย ส.ก.เขตบางซื่อ พรรคประชาชน ได้กล่าวถึงงบซ่อมสภากรุงเทพมหานครหรืออาคารไอราวัตพัฒนา


ภัทราภรณ์ กล่าวว่า งบประมาณก้อนนี้มีทั้งหมด 4 โครงการ มูลค่ารวมกันสูงถึงกว่า 194 ล้านบาท แบ่งเป็นการซ่อมหลังคา ปรับปรุงพื้นที่ชั้นใต้ดิน ซ่อมระบบเครื่องกล และการก่อสร้างห้องสมุดสภา กทม. ที่ห้องโถงชั้น 1 บางคนอาจมองว่าตึกเดียวใช้งบเกือบ 200 ล้านเลยหรือ ซึ่งตนต้องขอย้อนไปในปีงบประมาณ 68 ซึ่งมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน 


ปีที่แล้วมีโครงการหนึ่งที่ไม่มีอยู่ในเล่มร่างงบประมาณ แต่ท่านผู้ว่าฯ กลับเร่งยัดเข้ามาในงบแปรญัตติไม่กี่วันก่อนที่จะถึงวันสุดท้ายของการพิจารณางบประมาณ เป็นเลขกลมๆ โครงการเดียวกว่า 573 ล้านบาท ชื่อว่า “โครงการปรับปรุงอาคารไอราวัตพัฒนา” ของสำนักเลขานุการสภากรุงเทพมหานคร มีตั้งแต่ซ่อมหลังคา เปลี่ยนลิฟท์ทั้งสภา เปลี่ยนบันไดเลื่อนใหม่ทั้งสภา ทำห้องน้ำใหม่ทั้งสภา และอื่นๆ อีกมากมาย 


“การรีบเขียนโครงการ รายละเอียดไม่มี ถามแล้วตอบไม่ได้ แต่ยอดใหญ่ขนาดสร้างตึกใหม่ได้นั้น เราจะเรียกว่าจงใจทุจริตได้หรือไม่ โชคยังดีที่เพื่อนสมาชิกมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ร่วมกันตัดงบของผู้ว่าฯ ตัวนี้ออกอย่างเป็นเอกฉันท์ในที่ประชุมวิสามัญงบประมาณปีที่แล้ว” 


ภัทราภรณ์กล่าวต่อว่า แทนที่ตัดงบทิ้งไปปีก่อนแล้วจะจบ ปรากฎว่าโครงการนี้ฟื้นคืนชีพกลับมาในร่างใหม่ จากก้อนเดียวก้อนใหญ่ แตกเป็น 4 ก้อน แยกไป 2 สำนัก คือสำนักงานเลขนุการสภากรุงเทพมหานคร และสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว สิ่งที่เหมือนกับปี 68 มี 2 อย่าง คืองบประมาณการซ่อมหลังคาอาคารไอราวัตพัฒนา และงบประมาณซ่อมแอร์ ซึ่งปกติเวลาจะมีการทุจริต มักมีการเคาะยอดเงินที่ต้องทอนออกมาเป็นตัวตั้งต้นก่อน แล้วค่อยเขียนโครงการมาสวม ดังนั้นถ้ายอดเดิมคือ 573 ล้านบาท แล้วยอดใหม่ของ 4 โครงการในร่างงบประมาณปี 69 แค่ 194 ล้านบาท เป็นไปได้ที่อีกเกือบ 400 ล้านบาทยังสาละวนอยู่กับการปรับปรุงสภา กทม. เพียงแต่อาจเบ้ไปสายดิจิทัลแทนเพราะมันดูตรวจสอบยาก และอาจจะเข้ามาในรูปแบบของงบแปรญัตติอีก 6 โครงการในปลายเดือนสิงหาคมนี้


“ท่านผู้ว่าฯ อาจจะใช้มุกเดิม บอกว่าข้าราชการทำเอง ท่านไม่เคยทราบ ดิฉันว่าท่านเลิกดูถูกพี่น้องประชาชน คำขอจากหน่วยงาน 2 สำนักที่ว่า ท่านแทบไม่ได้ตัดงบอะไรที่สำนักขอมาเลย จากเกือบ 200 ล้าน ตัดรวมกันไปแค่ 1.8% จากที่ขอมาเท่านั้น”


สำหรับโครงการแรก งานปรับปรุงหลังคาไอราวัตพัฒา 52.6 ล้านบาท งานหลักคือการซ่อมหลังคา แม้ตนเห็นด้วยว่าควรทำใหม่ แต่ราคาสูงเกินไปหรือไม่ เช่นงานรางน้ำแสตนเลสอาคารไอราวัต ราคารางน้ำปกติที่ใช้สำหรับคอนโดสูงจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 บาทต่อเมตร แต่ราคาที่ผู้ว่าเสนอมาอยู่ที่ 15,000 บาทต่อเมตร มีส่วนต่างสูงถึง 1,430,000 บาท 


โครงการที่สองเป็นงานปรับปรุงพื้นที่ภายในอาคารไอราวัตพัฒนา ชั้น B2 ราคา 43 ล้านบาท เหตุผลความจำเป็นของโครงการนี้ หลักๆ คือห้องประชุมไม่เพียงพอและห้องงบประมาณใช้ไม่สะดวก แต่จากที่ตนใช้มา 3 ปีก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไร อุปกรณ์ต่างๆ ครบครัน อีกทั้งยังมีการใส่จำนวนตรม.มาเกินความเป็นจริงไปมาก จากห้องประชุมใหญ่พื้นที่ 243 ตรม. กลับใส่มา 2,972 ตรม. ทำให้มีส่วนต่างเพิ่มขึ้นมา 13,645,000 บาท จากยอดเดิมเพียง 1,215,000 บาท


ตนเทียบราคามาครุภัณฑ์มาให้หมดแล้วทุกรายการ ส่วนต่างฉ่ำๆ 59% และที่ราคาครุภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์บวมขนาดนี้ได้ เพราะทั้งหมดเป็นการเสนอราคามาเทียบ 3 เจ้า บ้านเดียวกันหมดเป็นธุรกิจครอบครัว ไม่อาจไม่ผิดกฎหมาย ผิดที่ กทม. มีระบบที่เอื้อและเห็นดีเห็นงามต่อการทุจริต ทำให้ผู้ประกอบการต้องใช้วิธีแบบนี้เพื่อให้ได้งาน ใช่หรือไม่ 


โครงการที่สามเป็นงานปรับปรุงระบบเครื่องกลหรือระบบแอร์และลิฟท์ในอาคารไอราวัตพัฒนา ราคา 55.8 ล้านบาท เหตุผลความจำเป็นของโครงการ มีตั้งแต่แอร์ในอาคารไม่เย็นบางจุด น้ำแอร์หยด ค่าบำรุงรักษาแพง ระบบท่อและวาล์วชำรุด ลดขนาดห้องเครื่องเพื่อประหยัดพลังงาน และอื่นๆ อีกมากมาย ฟังแล้วเหมือนจะพังทั้งระบบ ตนในฐานะผู้ใช้งานอาคารก็เห็นตามเนื้อผ้าแค่ว่าห้องประชุม 2-3 ห้องแอร์ไม่เย็นเท่านั้น ส่วนอื่นๆยังไม่เห็นหลักฐาน ซึ่งคงต้องขอเอกสารเพิ่มเติม


แต่ในส่วนของงบประมาณที่ขอมา โครงการนี้ควรจะลงรายละเอียดและมีความชัดเจนที่สุดแล้ว เพราะเป็นงานติดตั้งและงานจัดซื้อเครื่องจักรใหญ่ แต่ก็เป็นที่น่าสงสัยมากๆ ว่าทำไมกลับเขียน BOQ ให้คลุมเครือจนไม่รู้ว่าแต่ละรายการทำอะไร


โครงการสุดท้ายคือ งานก่อสร้างห้องสมุดสภากทม. อาคารไอราวัตพัฒนา ราคา 43,030,000 บาท โครงการนี้ตนหนักใจมาก พยายามหาเหตุผลความจำเป็นอย่างสุดกำลัง ขุดแล้วขุดอีกก็ไม่เจอความสมเหตุสมผล เริ่มกันที่ความต้องการให้ห้องสมุดแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของห้องสมุดทั้ง กทม. ในแบบก่อสร้างมีทั้งหลังคาเปิด-ปิดได้พร้อมมอเตอร์อัตโนมัติยอดรวมกว่า 16 ล้านบาทที่ไม่รู้ว่าทำทำไม แล้วยังมีโรงหนังมินิโฮมเธียเตอร์ขนาด 20 ที่นั่ง ถามจริงๆ ว่าท่านผู้ว่าฯ จะให้สภาฉายอะไรและใครจะมาดู ท่านผู้ว่าฯ ไปขอแบบจากโรงหนัง 4D สุดปังของรัฐสภามาหรือเปล่า


ทั้ง 4 โครงการซ่อมสภากทม.ที่กล่าวมา นี่คือการซ่อมสภาภาค 2 ที่ภาคแรกนั้นเป็นการซ่อมรัฐสภาใหญ่ที่สส.สว.ใช้งานกันอยู่ มาครบจัดเต็ม น่าจะเอาต้นแบบจากรุ่นพี่ตึก สตง. มีทั้งการกินส่วนต่างครุภัณฑ์อย่างหน้าไม่อาย มีการกินโครงสร้างตึกตั้งแต่รางน้ำฝนยันตกแต่งภายใน ส่วนที่น่าจะเจริญรอยตามรุ่นพี่รัฐสภาไป ก็มีทั้งความลักลั่นที่จะเอาส่วนต่างจากการปรับปรุงห้องประชุมงบประมาณใหม่และโรงหนังที่ไม่รู้ว่าเอามาดูอะไร หรือไม่ 


ตอนแรกตนคิดไปเองว่าหรือการทุจริตที่ง่ายที่สุดมันคือการซ่อมสภาที่นักการเมืองอยู่กันเองนี่แหล่ะ เพราะเหตุผลความจำเป็นก็มาจากคนตรวจสอบงบ เวลาก่อสร้างก็งุบงิบทำไปเพราะไม่มีประชาชนมาร้องเรียน แต่เพราะหากเราดูกันที่รัฐสภานั้น งานซ่อมรัฐสภาปกติจะมาจากประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ นั่นก็คือประธานสภา แต่สภากรุงเทพมหานครนั้นต่างออกไป เราเป็นสภาท้องถิ่น อยู่ภายใต้กระทรวงมหาดไทยที่มีผู้ว่าฯเป็นฝ่ายบริหาร ดังนั้นงบซ่อมสภากทม.นี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีฝ่ายบริหารกทม.จัดให้ และผู้ว่าฯเป็นคนเซ็นอนุมัติ 


ข้อเสนอของดิฉันต่อคณะกรรมการวิสามัญพิจารณางบประมาณฯที่กำลังจะเริ่มทำงานในอีกไม่กี่วันนี้ คือ ให้ปรับลดงบประมาณลงมากกว่า 50% จากร่างงบประมาณที่ขอมาให้เหมาะสมกับปริมาณงานจริง ได้แก่ โครงการงานปรับปรุงหลังคา และงานปรับปรุงระบบเครื่องกลหรือระบบแอร์และลิฟท์ ส่วนที่ให้ตัดทิ้งทั้งรายการเนื่องจากไม่มีเหตุผลความจำเป็น ได้แก่ โครงการปรับปรุงพื้นที่ชั้น B2 และงานก่อสร้างห้องสมุดสภากทม. ซึ่งอย่างน้อยที่สุดจะช่วยประหยัดภาษีของพี่น้องประชาชนไปได้ถึง 140,230,000 บาทเพื่อนำไปพัฒนากรุงเทพมหานครให้คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ในด้านอื่นต่อไป 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

“เอกกวิน” ชำแหละงบ กทม. 69 พบพิรุธงบสำนักการศึกษา "ห้องเรียนทิพย์-ครุภัณฑ์ทิพย์" จี้ผู้ว่าฯ ตอบคำถาม

 


“เอกกวิน” ชำแหละงบ กทม. 69 พบพิรุธงบสำนักการศึกษา "ห้องเรียนทิพย์-ครุภัณฑ์ทิพย์" จี้ผู้ว่าฯ ตอบคำถาม


วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ที่ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ในการประชุมสภากรุงเทพมหานครเพื่อพิจารณาญัตติร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เอกกวิน โชคประสพรวย ส.ก.เขตราชเทวี พรรคประชาชน ได้อภิปรายตรวจสอบงบประมาณของสำนักพัฒนาสังคมและสำนักการศึกษา พบหลายโครงการส่อความไม่โปร่งใสและอาจเป็นการใช้งบประมาณที่ซ้ำซ้อน ไม่คุ้มค่าภาษีของประชาชน


โดย ส.ก.เอกกวิน ตั้งข้อสังเกตถึงโครงการปรับปรุงกายภาพห้องเรียนอนุบาลต้นแบบของสำนักการศึกษา งบประมาณ 76 ล้านบาท ซึ่งจากการลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการฯ พบข้อมูลในร่างงบประมาณที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงในหลายโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็น "ห้องเรียนทิพย์" และ "ห้องส่งเสริมการเรียนรู้ทิพย์" 


เช่น โรงเรียนสามเสนนอก (เขตดินแดง) ของบปรับปรุง 25 ห้องเรียน แต่มีห้องเรียนจริงเพียง 21 ห้อง และของบสำหรับห้องส่งเสริมการเรียนรู้ 6 ห้อง แต่มีจริงแค่ 1 ห้อง เท่ากับมี "ห้องทิพย์" โผล่ในเอกสารรวม 9 ห้อง หรือโรงเรียนบ้านบัวมลและโรงเรียนปลูกจิต พบ "ห้องเรียนทิพย์" ในลักษณะเดียวกัน โดยของบประมาณเกินจำนวนห้องเรียนที่มีอยู่จริง


นอกจากนี้ยังมี "ครุภัณฑ์ทิพย์" จัดซื้อซ้ำซ้อน เช่นโรงเรียนสามเสนนอก มีทีวีอยู่แล้ว 20 เครื่อง แต่ของบซื้อใหม่ 25 เครื่อง รวมเป็น 45 เครื่อง และมีแอร์แล้ว 23 ตัว แต่ของบซื้อเพิ่มอีก 12 ตัว รวมเป็น 35 ตัว ขณะที่โรงเรียนปลูกจิตไม่มีแอร์เลย แต่มี 5 ห้องเรียน กลับของบซื้อแอร์เพียง 4 เครื่อง สรุปแล้วหลักการทำโครงการได้ลงพื้นที่สำรวจความต้องการจริงหรือไม่ 


เอกกวิน เรียกร้องให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ตอบคำถามให้ชัดเจนว่ารายละเอียดโครงการทั้งการปรับปรุงกายภาพและการจัดซื้อครุภัณฑ์ ไม่ตรงกับความเป็นจริง จะชี้แจงเรื่องนี้อย่างไร


เอกกวิน ทิ้งท้ายว่า “ผมมาเจาะลึกโครงการเพื่ออยากทราบการจัดทำงบประมาณ เพราะรายละเอียดไม่ตรงกับความเป็นจริง งบประมาณเหล่านี้ผ่านมาได้ยังไง ผมเห็นด้วยกับโครงการนี้เป็นอย่างมาก ต้องการให้นักเรียนชั้นอนุบาลมีห้องที่ดีแต่ไม่ใช่ทำโครงการแบบนี้ และมีอีกหลายโครงการที่ต้องติดตามในคณะกรรมการวิสามัญงบประมาณ”


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #งบ69 #งบกทม #พรรคประชาชน #ผู้ว่ากทม