‘เศรษฐา’ ประกาศก้องกลางกรุงเทพฯ ‘พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30’ พร้อมเป็นผู้นำแห่งความเปลี่ยนแปลง เตือนต้องอย่าให้ซ้ำรอยปี 2562 พลาดไป 17 ที่นั่งจนประเทศตกสู่หลุมดำ ต้องชวนกา
‘เพื่อไทย’ ให้แลนด์สไดล์ไปด้วยกัน
วันที่
5 พฤษภาคม 2566 เวลา 19.00 น.
พรรคเพื่อไทย เปิดแคมเปญใหญ่สู้ศึกเลือกตั้ง 2566 ‘เลือกเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์
ประเทศเปลี่ยนทันที’ โดยนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย
ได้กล่าวแสดงความพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยคนที่ 30
พร้อมพาประเทศไปสู่ความเปลี่ยนแปลง ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิทธิเสรีภาพ และพาไทยกลับไปยืนบนเวทีโลกอย่างสง่างาม
เพื่ออนาคตที่ดีของลูกหลานในวันข้างหน้า
นายเศรษฐา
ทวีสิน เริ่มต้นกล่าวว่าในวันนี้ ตนเองรู้สึกเห็นใจคนรุ่นใหม่
และคนกรุงเทพที่ต้องต่อสู้อย่างปากกัดตีนถีบ
เติบโตมาโดยที่ไม่มีโอกาสได้ทำตามความฝัน เพราะมีปัญหารอบตัวเต็มไปหมดทั้งค่าครองชีพที่สูงสวนทางรายได้ที่ลดลง
สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ตลอดจนกฎระเบียบและกฎหมายต่าง ๆ
สิ่งเหล่านี้ขัดขวางความฝันของคนรุ่นใหม่คนกรุงเทพที่อยากจะเป็น
นายเศรษฐา
กล่าวต่อว่า ถ้าตนเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ
สิ่งที่ต้องทำจะต้องทำหลายอย่างเริ่มต้นไปในเวลาเดียวกันเพราะปัญหาวันนี้รุมเร้าเข้ามาทุกด้าน
เริ่มต้นจากเรื่องปากท้อง ค่าน้ำค่าไฟฟ้า ค่าพลังงาน ซึ่งตนเองก็ไม่เข้าใจว่า
ค่าไฟแพงขึ้นทุกวันทำไมเขาไม่แก้ แต่พอจะเลือกตั้งค่อยคิดจะมาแก้
ยังไม่นับเรื่องค่าแรงขั้นต่ำของคนแรงงานที่อยู่กับที่แทบไม่ได้ขยับขึ้น ทั้งที่รายจ่ายและค่าครองชีพ
เรื่องน้ำสะอาด อากาศบริสุทธิ์ ซึ่งเราจะผลักดันเรื่อง
พ.ร.บ.อากาศสะอาดให้ทุกคนได้สิทธิพื้นฐานด้านการหายใจ
นอกจากนี้
เรื่องสิทธิเสรีภาพ
ตนน้อยใจเมื่อได้ยินนักการเมืองผู้ใหญ่ไล่คนออกนอกประเทศที่เขาอยากมีส่วนร่วม
ถ้าเขาไปได้หมายความว่าเขาเป็นคนมีศักยภาพ
และประเทศเรากำลังสูญเสียทรัพยากรสำคัญไป ดังนั้น เราควรให้เสรีภาพ
ให้พื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุยแสดงความเห็นในกรอบของกฎหมาย
และถ้ารัฐบาลไหนบอกว่าลูกหลานชังชาติ รัฐบาลนั้นต่างหากควรออกไป
และเรื่องนี้ยังเกี่ยวเนื่องกับการเกณฑ์ทหาร เพราะการเกณฑ์ทหารคือการลิดรอนสิทธิของพี่น้องที่เขาควรได้ไปเป็นครู
วิศวกร แพทย์ หรือชาวสวนชาวไร่ ไม่ใช่ต้องมาถูกบังคับ ดังนั้น ควรยกเลิกเกณฑ์หาร
เปลี่ยนเป็นสมัครใจเพื่อสร้างทหารมืออาชีพที่มีเกียรติ
ในส่วนของนโยบายการพัฒนา
กรุงเทพมหานคร นั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางความเจริญ เศรษฐกิจ
ความหลายหลายทางวัฒนธรรม อัตลักษณ์ รวมถึงเรื่องเสรีภาพและความเท่าเทียม
ผู้นำประเทศที่ผ่านมาไม่เคยสนใจไปพูดคุยเจรจาการค้าการลงทุนกับผู้นำหรือนักลงทุนต่างประเทศเพื่อเปิดตลาดหารายได้ใหม่ให้ประเทศเลย
ยกตัวอย่างไนจีเรีย ที่เขากำลังจะเป็นประเทศมหาอำนาจเพราะมีประชากรมากถึง 300
ล้านคนในอีก 10
ปีข้างหน้าเราต้องคิดว่าเราจะค้าขายอะไรกับเขา
ไม่ใช่มีหน้าที่แค่ไปเชิญมาประชุมกินผัดไทถ่ายภาพแล้วก็กลับ
ประเด็นเรื่องกฎหมาย
ที่ไม่เอื้อต่อการลงทุน ก็เป็นเรื่องใหญ่ ที่ต้องแก้ที่ระบบราชการ เราจะทำราชการให้เป็นรัฐบาลและราชการดิจิทัล
มีจุดบริการประชาชน One
stop service ยกตัวอย่าง ทูตอิสราเอลท่านเล่าว่า
มีนักลงทุนสนใจมาสร้างโรงงานด้าน Food tech ธุรกิจเนื้อที่สะกิดจากวัวและมาเจริญเติบโตในแลป
ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่ตลาดโลกต้องการ เขายื่นเรื่องขออนุญาต อย.จนเขารอไม่ได้ต้องย้ายฐานไปตั้งโรงงานที่สิงคโปร์
นี่คือปัญหาพื้น ๆ ที่เจอ ที่เราต้องแก้
นอกจากนี้
ในด้านต่างประเทศ ได้พบทูตมากกว่า 23 ประเทศ
เขาต่างบอกว่าอยากมาลงทุนในประเทศไทย แต่เขาคอยดูก่อนว่า ใครจะเป็นรัฐบาล
เตรียมจะทำจดหมายเชิญไปเยือนเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนด้านการค้า
ซึ่งคณะพรรคเพื่อไทยหลายท่านก็ได้พูดคุยหารือกันหลายเรื่องรวมถึงเรื่องประมง ICC
ซึ่งเราก็จะเจรจาแก้ไขปัญหาเมื่อเป็นรัฐบาล
ในเรื่องการกระจุกตัวของชุมชนเมือง
นายเศรษฐา ให้ความเห็นว่า ความเจริญต้องไม่กระจุกอยู่แต่ต้องกระจายออกไป
เริ่มต้นที่นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000
บาทที่จะเริ่มต้นกระจายเม็ดเงินสร้างความเจริญให้ท้องถิ่น ไม่ใช่แค่จังหวัดใหญ่
แต่รวมถึงจังหวัดรองทั้งด้านเศรษฐกิจและท่องเที่ยว และเมืองควรมีระบบขนส่งสาธารณะในราคาที่เหมาะสม
คือนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท เพราะทุกวันนี้ราคาสูงคนชั้นกลางพอจ่ายแต่คนชั้นล่างไม่มีโอกาสได้เข้าถึงทั้งที่ขนส่งสาธารณะ
ควรเป็นสาธารณะให้ทุกคนได้จริง
ท้ายสุด
คือเรื่องจุดยืนของประเทศไทยในสายตาของนานาชาติ ประเทศไทยเป็นประเทศเล็ก มีเอกราช
แต่เราต้องมีผู้นำมีความสามารถออกไปเจรจาไม่ใช่แค่การค้า แต่ไปแสดงจุดยืนบนเวทีโลกได้ทั้งในเรื่องแนวทางสันติภาพ
การไม่รุกรานประเทศอื่นรวมถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนด้วย
เราไม่มีเวลาให้ใครก็ตามเข้ามาลองของ
ต้องเป็นผู้นำตัวจริงเท่านั้น ถึงเวลาที่เราต้องการผู้นำที่มีประสบการณ์
พรรคที่มีนโยบายเข้าใจปัญหาประชาชน วันนี้ผมมีความพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่
30 ของประเทศไทย แต่ผมไม่ได้อยากเป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นนายกรัฐมนตรี
ผมมายืนตรงนี้ มาที่นี้ ผมอยากเป็นนายกรัฐมนตรีที่นำซึ่งความเปลี่ยนแปลง
ถ้าผมไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ผมไม่เป็นดีกว่า
ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่จะนำมาซึ่งอนาคตที่ดีกว่าของลูกหลานทุกคน ประสบการณ์ 30 ปีในวงการธุรกิจสร้างบริษัทจนเป็นแนวหน้าของประเทศ ผมมีความพร้อม
ผมมาอยู่พรรคเพื่อไทยที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน
วันนี้พรรคเพื่อไทยมีทั้งคนที่มีประสบการณ์ มีคนรุ่นใหม่ที่เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง 4 ปีที่แล้วเราพลาดไป 17 ที่นั่ง
เป็นจุดเปลี่ยนประเทศที่ทำให้ประเทศตกสู่หลุมดำ จนทำให้ “จนแล้ว จนอยู่ จนอีก”
วันที่ 14 พฤษภาคม พรรคเพื่อไทย พร้อมทุกมิติ
เป็นวันคืนอำนาจอธิปไตยให้ประชาชนคนไทยทุกคน นโบายดีดีที่พูดไปจะเป็นไปไม่ได้
ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่ได้รับการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์” นายเศรษฐา กล่าว
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เพื่อไทย #เลือกตั้ง66