“ชูศักดิ์” ชี้แจงกรณี “สนธิญา” ยื่นยุบพรรคเพื่อไทย ชี้! “ณัฐวุฒิ”
มีคุณสมบัติผู้ช่วยหาเสียงของพรรคตามระเบียบ กกต. ฝาก กกต. พิจารณาความเหมาะสมคำร้องก่อนรับไว้พิจารณา
วันที่ 7 มีนาคม 2566 จากกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวว่านายสนธิญาได้ยื่นคำร้องต่อ
กกต. ให้ยุบพรรคเพื่อไทย
โดยอ้างสาระของข้อร้องเรียนว่าหัวหน้าพรรคเพื่อไทยกล่าวปราศรัยว่านายวีระศักดิ์ฯ
อดีต รมช.คมนาคม และทีม อบจ.และพรรคเพื่อไทยเป็นปรากฎการณ์ใหม่
เป็นกลุ่มเดียวกันเพื่อนำไปสู่แลนด์สไลด์ ถือเป็นการกระทำที่ขัดมาตรา 28 มาตรา 29
มาตรา 72 และมาตรา 92 (3) ของ พรป.พรรคการเมือง และกรณีการแต่งตั้งนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
เป็นผู้ช่วยหาเสียง เป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 258 (2)
เนื่องจากนายณัฐวุฒิ ฯ ถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปแล้ว ขัดต่อคุณธรรมจริยธรรม
นายชูศักดิ์ ศิรินิล
รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย ได้ชี้แจง ต่อสื่อมวลชนและประชาชนว่า
การปราศรัยของหัวหน้าพรรคเมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมาที่จังหวัดนครราชสีมา
เป็นเพียงพูดว่านายวีรศักดิ์ฯ และทีม อบจ. และพรรคเพื่อไทยเป็นกลุ่มเดียวกัน
มีความหมายเพียงว่า บุคคลตามที่กล่าวมาเป็นผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย
เพื่อนำไปสู่การแลนด์สไลด์เท่านั้น ไม่ได้มีการกระทำใดที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวเข้ามาควบคุม
ครอบงำหรือชี้นำการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยในลักษณะที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยและสมาชิกพรรคขาดความเป็นอิสระในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองแต่อย่างใด
ซึ่งการที่บุคคลใดจะสนับสนุนพรรคการเมืองใดนั้น ยอมเป็นสิทธิเสรีภาพของบุคคลนั้นที่จะพึงกระทำได้
อันถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาในทางการเมือง
และพรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้มีการกระทำใดที่จะถือเป็นการยินยอมให้บุคคลเหล่านั้นกระทำการในลักษณะเช่นนั้นแต่อย่างใดเช่นกัน
ส่วนกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ได้ขึ้นเวทีปราศรัยในพื้นที่ต่าง ๆ นั้น พรรคเพื่อไทย ได้แต่งตั้งให้นายณัฐวุฒิ
ใสยเกื้อ เป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรค
และยื่นเอกสารดังกล่าวต่อเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งไปก่อนหน้านั้นแล้ว
แม้นายณัฐวุฒิ ฯ จะมีลักษณะต้องห้ามมิให้สมัคร ส.ส. หรือดำรงตำแหน่งทางการเมือง
หรือเป็นสมาชิกพรรคก็ตาม แต่นายณัฐวุฒิฯ ยังคงเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งตามกฎหมายที่จะเป็นผู้ช่วยหาเสียงให้กับพรรคและผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยได้
ตามระเบียบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งกำหนดคุณสมบัติของผู้ช่วยหาเสียงไว้ว่า
เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งเท่านั้น กรณีเช่นนี้พรรคได้ดำเนินการทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง
ไม่ว่าการเลือกตั้งระดับชาติและการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น และ
กกต.ก็ประกาศรับรองการเลือกตั้งที่ผ่านมา การที่นายสนธิญากล่าวอ้างรัฐธรรมนูญ
มาตรา 258 (2) ซึ่งเป็นเรื่องการปฏิรูปประเทศ
ไม่ใช่บทบัญญัติที่ห้ามบุคคลกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด จึงเป็นการกล่าวอ้างที่ไม่เป็นสาระ
ดังนั้น ข้อกล่าวอ้างของนายสนธิญา
จึงไม่เข้าองค์ประกอบใด ๆ
ที่จะถือว่าพรรคเพื่อไทยกระทำการอันฝ่าฝืนต่อกฎหมายพรรคการเมืองและรัฐธรรมนูญ
และพรรคเห็นว่านายสนธิญา ได้ยื่นคำร้องให้ยุบพรรคเพื่อไทยมาแล้วหลายครั้ง
โดยมิได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้ครบถ้วนและถูกต้องเสียก่อน
พรรคจึงเห็นว่าการกระทำของนายสนธิญาอาจเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 101
ของกฎหมายพรรคการเมืองที่บัญญัติว่า
“ผู้ใดแจ้งหรือกล่าวหาพรรคการเมืองหรือบุคคลว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อคณะกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยรู้อยู่ว่าเป็นความเท็จต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
5 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น”
พรรคเพื่อไทยจึงจะได้ยื่นคำร้องขอให้ กกต. ได้ดำเนินการสืบสวนไต่สวนและเอาผิดต่อไป
นอกจากนี้ ได้ทราบข้อเท็จจริงว่ามีแกนนำบางคนของบางพรรคการเมืองอยู่เบื้องหลัง
การดำเนินการ ซึ่งอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐาน
หากปรากฏหลักฐานชัดเจนพรรคก็จะยื่นขอให้
กกต.ดำเนินการยุบพรรคการเมืองดังกล่าวตามมาตรา 101 วรรคสอง ต่อไปด้วย
ในเรื่องนี้ขอฝากไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้งว่า
การจะพิจารณารับคำร้องที่มีการร้องขอให้ยุบพรรคนั้น
ให้พิจารณาข้อเท็จจริงเบื้องต้นก่อนว่าอยู่ในข่ายที่สมควรจะรับคำร้องไว้พิจารณาหรือไม่
เพราะมิฉะนั้นแล้วก็จะมีผู้ที่หวังจะสร้างผลกระทบในการเลือกตั้งให้กับพรรคการเมือง
โดยการนำข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ ข้อมูลที่บิดเบือนคลาดเคลื่อนไปยื่นขอยุบพรรคเพื่อให้
เกิดกระแสทางโซเชียลมีเดียว่าพรรคโน้นพรรคนี้จะถูกยุบ
ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายกับพรรคการเมืองได้
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เพื่อไทย