วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2566

“ณัฐวุฒิ” ชี้ จดหมาย “ประวิตร” เป็นยุทธศาสตร์ของพปชร.ในสนามเลือกตั้งครั้งนี้เท่านั้น แนะถ้าจริงใจ ยุบสภาเมื่อไหร่ ชวนน้อง 2ป กลับบ้านด้วยกัน ยุติบทบาททางการเมืองเสียที


“ณัฐวุฒิ” ชี้ จดหมาย “ประวิตร” เป็นยุทธศาสตร์ของพปชร.ในสนามเลือกตั้งครั้งนี้เท่านั้น แนะถ้าจริงใจ ยุบสภาเมื่อไหร่ ชวนน้อง 2ป กลับบ้านด้วยกัน ยุติบทบาททางการเมืองเสียที


เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2566 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ได้กล่าวผ่านยูทูป ทางช่อง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ Official ในประเด็น “ประวิตร จดหมายผิดซอง? ให้ชัดเจนต้องชวนน้องกลับบ้าน” โดยนายณัฐวุฒิ กล่าวในรายการว่า


พอได้อ่านจดหมายฉบับที่ 3 ของ พล.อ.ประวิตร ทีแรกผมคิดว่าเป็นจดหมายผิดซองครับ เพราะเนื้อความตามจดหมายที่เขียนบรรยายถึงการเมืองไทย ไปตรงกับสิ่งที่คนเสื้อแดงและประชาชนผู้รักประชาธิปไตยพูดในเวทีและขบวนการต่อสู้มา 10 กว่าปี ถ้าไม่ได้ลงชื่อ พล.อ.ประวิตร ผมนึกว่าคนเสื้อแดงเขียนด้วยซ้ำไป


เจตนาของจดหมายนี้คงเป็นวิธีการทางการเมืองที่จะย้ายสถานะ พล.อ.ประวิตร ให้ขยับเข้าใกล้คนส่วนใหญ่ ขยับเข้าใกล้หลักการประชาธิปไตยมากขึ้น แต่จะให้ประชาชนเชื่ออย่างงั้น ผมว่าไม่ง่ายนะครับ คนเราคงไม่สามารถจะเปลี่ยนอะไรได้เพียงจดหมายไม่กี่ฉบับ เพราะบทบาทของท่านตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา คืออยู่ฝ่ายเผด็จการตรงข้ามกับประชาชนมาโดยตลอด

ดังนั้นการพิสูจน์ความจริงใจหลังจากนี้เป็นเรื่องของท่านนะครับ จะเขียนจดหมายมาอีกกี่ฉบับ จะเชื่อหรือไม่เชื่อเป็นสิทธิ์ของประชาชน แต่สำหรับผมขอชี้ชัดไว้ตรงนี้ก่อนว่า มันเป็นเพียงวิธีการทางการเมือง เป็นยุทธศาสตร์ของพรรคพลังประชารัฐในสนามเลือกตั้งครั้งนี้เท่านั้น


แต่เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาในจดหมายผมคิดว่ามีนัยสำคัญบางประการที่เราต้องพูดคุยกัน สำหรับผมเป็นชัยชนะสำคัญอีกก้าวหนึ่งของประชาชน!


ส่วนตัวผมไม่สามารถจะหยิบฉวยอะไรออกมาจากเรื่องนี้ แต่สำหรับประชาชนผมคิดว่าเป็นเกียรติยศที่นายทหารใหญ่ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรัฐประหารทั้งสองครั้ง คือเมื่อปี 2549 และปี 2557 วันนี้ออกมายอมรับต่อสาธารณชนว่า การรัฐประหารคือวิถีเผด็จการ ไม่ใช่ทางออกของประเทศ และวิธีคิดของชนชั้นนำไม่ได้สอดคล้องกับความเป็นจริงของบ้านเมือง และไม่ได้สอดคล้องกับความต้องการของคนส่วนใหญ่ การเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตยเท่านั้นคือทางออกที่แท้จริง!


สู้กันมา 10 กว่าปี ถึงวันนี้คนสำคัญในฝ่ายรัฐประหารเปลี่ยนคำพูด ซึ่งที่จริงเราเห็นภาพแบบนี้มาแล้วต่อเนื่องนะครับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหารชุดปี 2549 ถึงที่สุดก็ตั้งพรรคการเมืองแล้วก็ลงเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหารปี 2557 ก็ตั้งพรรคการเมืองแล้วลงเลือกตั้ง แม้ว่าทั้งสองคนจะเลือกตั้งภายใต้กติกาที่มีเจตนาเอาเปรียบคู่ต่อสู้คือ “พรรคเพื่อไทย” ก็ตาม แต่ถึงที่สุด หัวหน้าคณะยึดอำนาจก็ต้องเดินยกมือไหว้ประชาชนกลางตลาดกลางท้องถนนอย่างที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน


ดังนั้น ถึงเวลาที่ยอมรับกันได้หรือยังครับว่า บ้านเมืองมันจะเดินไปข้างหน้าก็ด้วยวิถีทางที่ถูกต้อง ด้วยการเคารพอำนาจอธิปไตยและการตัดสินใจของประชาชนส่วนใหญ่


ส่วนการจัดการกับความขัดแย้งในสังคมไทยผมคิดว่าเราไม่สามารถทำได้ด้วยแค่การก้าวข้าม เพราะเรื่องนี้จำเป็นต้องมีการแก้ปัญหากันอย่างถูกวิธี เราไม่สามารถจะทำให้ความขัดแย้งหรือแตกต่างทางความคิดของคนในสังคมมันหายไปได้ร้อยเปอร์เซ็นหรอกครับ เพียงแต่เราต้องช่วยกันทำให้ความขัดแย้งแตกต่างเหล่านี้ ทำให้คนสามารถจะอยู่ร่วมกันได้ในสังคม ภายใต้กติกาที่ชอบธรรมและยอมรับร่วมกัน จะอีลิท ชนชั้นนำ หรือ กลุ่มอำนาจ กลุ่มผลประโยชน์ใด ๆ ต้องอยู่อย่างถูกที่ถูกทาง ถูกต้องตามหลักการ ตามหลักนิติธรรม


ไม่ใช่เปิดทางและปล่อยให้อำนาจนอกระบบทั้งหลายเข้ามาแทรกแซงทุกกลไกของบ้านเมือง ระบบราชการต้องสนองตอบต่อประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ ไม่ใช่เป็นเครื่องมือของอำนาจเผด็จการที่สถาปนารัฐราชการเป็น “รัฐซ้อนรัฐ” กดทับอำนาจประชาชน


ถ้า พล.อ.ประวิตร ต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าเชื่ออย่างที่เขียนจดหมายจริง ฉบับต่อไประบุให้ชัดเลยครับว่าหลังการเลือกตั้งต้องมีรัฐธรรมนูญใหม่ โดยสสร.จากการเลือกตั้งของประชาชน ต้องปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูประบบราชการให้รับใช้ต่อประชาชน ต้องปิดกั้นอำนาจนอกระบบทั้งหลายไม่ให้เข้ามาแทรกแซงประชาธิปไตยอีกต่อไป


แนวคิดโซ่ข้อกลางอย่างที่ท่านพยายามทำ เคยมีนายทหารอาวุโสกว่าท่านพยายามทำมาก่อน แต่โซ่ก็ขึ้นสนิมทุกที เพราะแต่ละคนแต่ละฝ่ายโดยเฉพาะกลุ่มอำนาจชนชั้นนำไม่เคยเคารพและยอมรับในประชาชน


แต่ถ้าจะให้ง่ายกว่านั้นและผมจะเชื่อท่านทันทีว่าสิ่งที่เขียนมาในจดหมายกลั่นจากหัวใจคือ ท่านชวนน้องอีก 2ป กลับบ้านด้วยกันเถอะครับ ยุบสภาเมื่อไหร่ พากันกลับบ้านเมื่อนั้น ยุติบทบาททางการเมืองเสียตั้งแต่ตอนนี้ ประชาชนเขาจะเดินหน้าไปในกระบวนการเลือกตั้ง ส.ว. 250 คน วิญญาณจะได้เป็นอิสระ ไม่ต้องวนเวียนพัวพันอยู่กับท่านหรือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จะได้เคารพในการตัดสินใจของประชาชนเสียที


ถ้าท่านตกลงใจแบบนี้ ไปไหนมาไหนจะมีคนเข้าคิวหอมแก้มท่านเยอะครับ เชื่อผมเถอะ!


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ณัฐวุฒิใสยเกื้อ #ประยุทธ์ #ประวิตร #เลือกตั้ง66