‘ดีอี’ ผนึก ‘ตำรวจไซเบอร์’ จับมิจฉาชีพออนไลน์อีกล็อต
‘ทลายเครือข่ายพนันออนไลน์-แก๊งหลอกส่งสินค้าไม่ตรงปก’
โชว์อายัดบัญชีแก๊งหลอกโหลดแอปดูดเงิน ดึงเงินคืนผู้เสียหายได้ 9.6 แสน
วันที่
18 ธันวาคม 2566 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ดีอี
และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.
ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒนครบัญชา ผบช.สอท.
เร่งแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะกรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการพนันออนไลน์
ผลักดันการทำงานของศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441
ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา
ซึ่งเป็นจุด One Stop Service แก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์
ได้ร่วมกันปฏิบัติการ Cyber Guardian เป็นการบุกตรวจค้นจับกุมผู้กระทำผิดจำนวน
4 กรณี
1.
กรณีจับกุมแก๊งหลอกโหลดแอปดูดเงิน อายัดเงินได้ทัน 9.6 แสนบาทคืนให้กับผู้เสียหาย
จากกรณีคนร้ายได้โทรศัพท์มาหลอกลวงผู้เสียหายโดยอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลางที่จะมาประสานการรับเงินบําเหน็จบํานาญจากรัฐบาลเดือนละ
2 ครั้ง
โดยคนร้ายจะให้ผู้เสียหายเพิ่มเพื่อนในแอปพลิเคชันไลน์ แล้วมีการให้ทำตามขั้นตอนที่คนร้ายบอก
ปรากฏว่าโทรศัพท์เครื่องค้างไม่สามารถปิดเครื่องหรือทำอะไรได้
ผู้เสียหายจึงรีบเดินทางไปที่ธนาคารและพบว่าเงินในบัญชีธนาคาร 2 บัญชีถูกโอนไปยังบัญชีคนร้าย 5 ครั้ง
2.
กรณีจับกุมเครือข่ายพนันออนไลน์ Slotkub พบเงินหมุนเวียนกว่า
200 ล้านบาท จำนวน 3 เว็บไซต์ ได้แก่ slotkub789.com,
slotkub88.com และ like365.com ซึ่งเครือข่ายดังกล่าว
มีสมาชิกผู้เล่นรวมกันกว่า 100,000 คน
มียอดเงินหมุนเวียนกว่า 200 ล้านบาทต่อปี
จากการสืบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า ทั้ง 3
เว็บไซต์ดังกล่าวนั้นเป็นเครือข่ายเดียวกัน
จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด
รวมจำนวน 10 ราย โดยมีทั้งเจ้าของเว็บไซต์ โปรแกรมเมอร์
เจ้าหน้าที่ดูแลการเงิน และบัญชีม้า
นอกจากนี้ยังได้ขออนุมัติหมายค้นจากศาลและเข้าตรวจค้นเป้าหมาย 6 จุดในเช้ามืดของวันที่ 13 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยจับกุมผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้อง
สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 4 ราย
พร้อมตรวจยึดของกลางและทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องได้หลายรายการ มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท
3.
กรณีบุกค้นโกดังใหญ่ย่านบางบอน ขยายผลจากกรณีจับตัวการส่งพัสดุ
หลอกเก็บเงินปลายทางโดยไม่ได้มีการสั่งซื้อ
และส่งสินค้าที่ไม่ตรงปกเพื่อหลอกเก็บเงินปลายทาง
ซึ่งตำรวจไซเบอร์ได้เร่งกวาดล้างจับกุมผู้กระทำผิด โดยสืบเนื่องจาก
ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441
ได้รับร้องเรียนจากการประชาชนเป็นจำนวนมาก
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนสอบสวนและนำกำลังเข้าจับกุมนายอนุศาสน์
(ขอสงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี ซึ่งได้ใช้แพลตฟอร์ม TikTok
จำนวน 4 บัญชีในการขายสินค้า
มีการส่งพัสดุในรอบ 1 เดือน ประมาณ 8,000 ชิ้น และมีพัสดุตีกลับประมาณ 47 เปอร์เซ็นต์
อีกทั้งยังมียอดระงับการเก็บเงินปลายทางกว่า 8 แสนบาท
จึงได้นำตัวพร้อมของกลางส่งดำเนินคดี
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ได้นำกำลังพร้อมหมายค้นศาลแขวงบางบอน
เข้าตรวจค้นโกดังสินค้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ในซอย เอกชัย 109
แขวงบางบอนใต้ เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร พบนางสาวกัญญารัตน์ อายุ 24 ปี ชาว จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้ดูแล
โดยพบของกลางสินค้านำเข้าจากประเทศจีนที่ไม่มีมาตรฐานกว่า 30
รายการ รวมทั้งสิ้นกว่า 4 พันชิ้น อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า
น้ำหอม ครีมทาผิว และสินค้าอื่นๆ อีกหลายรายการ
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมดส่งดำเนินการตามกฎหมาย
พร้อมจะทำการขยายผลเพิ่มเติมจากหลักฐานที่ได้จากปฏิบัติการดังกล่าวต่อไป
4. กรณีจับแก๊งรับจ้างตัดต่อภาพลามกอนาจารผ่านกลุ่มลับแอป VK โดยใช้ชื่อบัญชี ‘รบกวนตัดออกให้ที’ ซึ่งมีผู้ติดตามประมาณ 1.2 แสนราย นอกจากนี้
ยังมีการโพสต์ข้อความรับจ้างตัดต่อภาพผู้อื่นให้เป็นภาพโป๊เปลือย
หรือรับเข้าเป็นสมัครชิกกลุ่มวีไอพีชื่อ ‘ชุมชนช่างตัดเสื้อ’
รวมทั้งเปิดให้เช่าใช้งานโปรแกรม AI สำหรับตัดต่อภาพโป๊เปลือย
โดยรับชําระเงินผ่านระบบทรูมันนี่ วอลเล็ท ในรูปแบบของอั่งเปา
จากการตรวจสอบเส้นทางการเงิน สามารถนําไปสู่การออกหมายจับผู้ต้องหาได้จำนวน 2 ราย ซึ่งเป็นผู้รับผลประโยชน์จากการร่วมกันกระทำความผิดดังกล่าว
โดยในครั้งนี้สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ครบทั้ง 2 ราย
พร้อมตรวจยึดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือที่ใช้ในการกระทำความผิด
ซึ่งการตัดต่อเป็นภาพลามกและนําไปโพสต์ขายในสื่อสังคมออนไลน์เป็นการกระทำความผิดหลายข้อหา
อาทิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 (1) และ พ.ร.บ.
ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์14(4) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ
ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ระวางโทษจําคุกไม่เกิน
5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท
หรือทั้งจำทั้งปรับและมาตรา 16
นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูล
คอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น
ตัดต่อ เติมหรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด
โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง
หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3
ปีปรับไม่เกิน 200,000 บาท
“รัฐบาลโดยกระทรวงดีอี และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน
มีความมุ่งมั่นที่จะกวาดล้างอาชอาญกรรมทางเทคโนโลยีทุกรูปแบบ
เพื่อลดความเสียหายและลดความเสี่ยงให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน
รวมทั้งหามาตรการใหม่ๆ เพื่อยับยั้งการทำงานของมิจฉาชีพ โดยบูรณาการการทำงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันทีที่ได้รับแจ้งจากผู้เสียหาย
หากพี่น้องประชาชนมีข้อสงสัย สามารถโทรปรึกษาสายด่วน AOC 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าว
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กระทรวงดีอี #อาชญากรรมทางเทคโนโลยี